แม้ฉือหย่งหลิงจะรู้สึกชอบใจเมื่อเห็นเฉียนเอ๋อร์ ที่พึ่งจะมีอายุได้เพียงสามเดือน ก็เริ่มฉายแววเฉลียวฉลาดให้ได้เห็นถึงเพียงนี้แล้ว แต่ทว่าหากเขายังเดินอยู่ตรงนี้ ก็เกรงว่าจะถูกฉือฟางอินอาจจับพิรุธเอาได้ ฉือหย่งหลิงจำต้องเดินไปยังด้านหลัง แล้วสั่งให้บุรุษสองในสามคนที่คุ้มกันอยู่ด้านหลัง สับเปลี่ยนมาเดินขนาบข้างอยู่ห่างๆ คอยคุ้มกันฉือฟางอินกับเฉียนเอ๋อร์แทนเขา
“ฮูหยินขอรับ พวกเรามาถึงทางเข้าหมู่บ้านแล้วขอรับ”
เมื่อมองไปตามองตามมือของจินซีจ่าว สิ่งที่ฉือฟางอินเห็นก็คือกำแพงหินธรรมชาติขนาดใหญ่ ที่มีเถาวัลย์เลื้อยพันแน่นหนาตั้งตระหง่านอยู่เบื้องหน้า โดยมีทางเข้าเล็กๆ ที่มีพื้นที่พอให้แค่มนุษย์เดินเรียงแถวกันเข้าไปเท่านั้น และทันทีที่ฉือฟางอินเห็นทางแคบๆ นั่น พลันโรคกลัวที่แคบที่เป็นโรคประจำตัวของนาง ก็เกิดกำเริบขึ้นมา
ซึ่งอาการกำเริบที่เกิดขึ้นนี้ เป็นผลพวงมาจากในตอนที่นางยังเล็ก ในวันหนึ่งที่นางได้เล่นซ่อนหากับคนใช้ที่จวนสกุลชวี่ ในวันนั้นฉือฟางอินได้เข้าไปแอบในหีบใส่ของใบใหญ่ แต่แล้วก็เกิดเหตุไม่ดีขึ้นเมื่อมีคน แอบลอบมาลงกุญแจหีบที่นางซ่อนตัวอยู่ กว่าจะมีคนหานางพบ นางก็เกือบจะตายไปแล้ว ฉือฟางอินต้องรักษาตัวอยู่นาน กว่าที่สภาพร่างกาย และจิตใจจะหายกลับมาเป็นปกติ ซ้ำร้ายที่เหตุการณ์ในวันนั้น ได้ทำให้นางกลัวที่แคบมานับตั้งแต่นั้น
ด้านฉือหย่งหลิงเองก็สังเกตได้ว่า ตัวของฉือฟางอินมีอาการสั่น เหมือนกับกำลังหวาดกลัวสิ่งใดอยู่ และที่ข้างขมับทั้งสองข้างเริ่มมีเหงื่อซึมออกมา ทั้งที่อากาศ ณ ตรงนี้นั้นไม่ได้อบอ้าวเลยสักนิด เมื่อเห็นท่าไม่ดีเขาจึงได้เดินเข้าไปถามไถ่อาการจากนาง
“เหตุใดเจ้าถึงตัวสั่น และเหงื่อซึมเช่นนี้ เจ้าเป็นอะไรหรือไม่” เมื่อได้ยินฉือหย่งหลิงกล่าวเช่นนั้น คนอื่นๆ จึงก็หันมาทางฉือฟางอินเป็นตาเดียว
“นั่นสิขอรับ หรือว่าท่านจะเหนื่อยจากการเดินทาง เช่นนั้น พักสักหน่อยดีหรือไม่ขอรับ อีกอย่างระยะทางจากทางเข้านี้ ไปจนถึงหมู่บ้านก็ใกล้เพียงแค่นี้ ฮูหยินพักให้อาการดีขึ้นก่อนเถิดขอรับ”
เป็นจินซีจ่าวที่เสนอทางเลือกขึ้นมา เมื่อที่เห็นสีหน้าไม่สู้ดีของฉือฟางอินและรู้สึกได้ ถึงความเป็นห่วงผ่านท่าทีของท่านแม่ทัพที่มีต่อฮูหยิน มากเสียจนเกือบจะลืมไปแล้วว่าเวลานี้ตนเอง ไม่สามารถเปิดเผยตัวตนได้ ถึงได้รีบปรี่เข้าไปถามอาการของฮูหยินอย่างใกล้ชิด โดยที่ไม่กลัวนางจับได้ว่าตนเองมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไรเสียอย่างนั้น
“ไม่ ม ไม่เป็นไร หากเจ้าบอกว่าระยะทางมิได้ไกล เช่นนั้นก็รีบไปให้ถึงหมู่บ้านกันเถิด”
“แต่อาการของท่าน ดูไม่สู้ดีเลยนะขอรับ”
“ข้าไม่ได้เหนื่อยจริงๆ เพียงแต่ ข้า…
“เจ้าเป็นอะไร” ฉือหย่งหลิงที่ยืนอยู่ใกล้ๆ ถามออกมาด้วยความร้อนใจ
“ข้ากลัวที่แคบน่ะ”
ฉือหย่งหลิงตกใจไม่น้อย ที่ได้ยินฉือฟางอินอธิบายสิ่งที่นางกำลังเป็นอยู่ ทำให้เขาหวนคิดไปถึงเหตุการณ์ในอดีต ที่เขาเคยมีความคิดอยากจะจับฉือฟางอิน ขังเอาไว้ในห้องที่ทั้งแคบและมืด เพื่อให้นางได้สำนึกกับพฤติกรรมของตนเอง ที่มักจะชอบหนีออกไปดื่มสุราข้างนอกจวน จนทำให้เกิดคำติฉินนินทาจากชาวบ้านผ่านมาถึงหูของเขา ว่าตัวเขานั้นเป็นถึงแม่ทัพใหญ่ของแคว้นฟู่ แต่กลับมีตาหามีแววไม่ ไปคว้าเอาสตรีที่ชอบร่ำสุรา มาตบแต่งเป็นฮูหยินเข้าจวนสกุลฉือ หากในวันนั้นเขาไม่สามารถยับยั้งความโกรธที่มีเอาไว้ได้ แล้วจับนางขังไว้อย่างที่ใจอยาก ไม่รู้ว่านางในตอนนั้นจะเป็นตายร้ายดีอย่างไร จู่ภายในใจของฉือหย่งหลิง ก็เกิดความรู้สึกผิดต่อหญิงสาวขึ้นมา
“ต แต่ข้าจะไม่ทำตัวเป็นภาระพวกเจ้าหรอกนะ อีกอย่างพวกเจ้าก็อยู่กันตั้งหลายคน หากข้ารีบเดินสักหน่อย บางทีข้าอาจจะไม่เป็นอะไรก็ได้”
เมื่อเห็นว่าทุกคนกำลังมีสีหน้าเคร่งเครียด จากอาการป่วยของนาง ฉือฟางอินพยายามหาทางออกเรื่องนี้ด้วยตัวเอง เพราะไม่อยากทำให้คนอื่นต้องมาเดือนร้อนไปด้วย แต่กระนั้นฉือหย่งหลิงก็ไม่อนุญาตให้นางทำเช่นนั้นได้ เขาจึงได้เข้ามาประชิดตัวนาง อาศัยจังหวะที่นางกำลังเผลอ ชิงอุ้มเฉียนเอ๋อร์มาไว้กับตัว
“นี่เจ้าจะทำอะไร! เอาเฉียนเอ๋อร์ของข้าคืนมาเดี๋ยวนี้นะ!”
ฉือฟางอินเองก็พยายามยื้อแย่ง ตัวเฉียนเอ๋อร์กลับมาสุดชีวิต เพราะกลัวชายปริศนาผู้นี้ จะทำอันตรายกับลูกน้อยของนาง แต่ด้วยขนาดตัวของเขาที่ทั้งสูงและกำยำ จึงทำให้นางไม่สามารถเข้าถึงตัวเฉียนเอ๋อร์ได้แม้แต่ปลายเล็บ ฉือฟางอินกระโดดยื้อแย่งตัวเฉียนเอ๋อร์อยู่เช่นนั้น จนในที่สุดนางก็หมดแรง แล้วค่อยๆ ทรุดตัวนั่งลงด้วยความเหนื่อยล้า ด้านชายฉือฟางอินก็สิ้นฤทธิ์แล้ว เขาก็ค่อยๆ คุกเข่าลงต่อหน้านาง
“ขี่หลังข้า”
“เจ้าว่าอะไรนะ”
“ข้า บอก ว่า ให้ เจ้า ขี่ หลัง ข้า”
ฉือหย่งหลิงตั้งใจกล่าวาจาอย่างกวนประสาทออกไป ฉือฟางอินที่เพิ่งจะเข้าใจสิ่งที่บุรุษผู้นี้ทำ ก็ได้แต่ฟึดฟัดกำหมัดแน่น แล้วลุกขึ้นทำตามสิ่งที่เขาบอก พร้อมกับต่อว่าเขาอยู่ในใจ
‘ถ้าคิดช่วยเหลือกัน เหตุใดถึงไม่บอกให้นางเข้าใจแต่แรกเล่า จู่ๆ ก็มาแย่งเฉียนเอ๋อร์ของนางไปเช่นนี้ ใครมันจะไม่คิดว่าเป็นเรื่องร้ายกัน’
จินซีจ่าวได้แต่สายหน้าให้กับภาพตรงหน้า ท่านแม่ทัพหนอท่านแม่ทัพ แม้ในสถานการณ์เช่นนี้ ท่านแม่ทัพก็ยังมีแก่ใจหาเรื่องแกล้งฮูหยินเข้าจนได้ แต่ใครเล่าเลยจะรู้ว่าสิ่งที่ฉือหย่งหลิงทำไปเมื่อครู่นี้ แท้ที่จริงแล้วเขาเพียงต้องการ ที่จะดึงความสนใจของฉือฟางอิน เพื่อที่นางจะได้ลืมอาการกลัวที่แคบ ที่กำลังกำเริบอยู่ไป
“รีบไปกันเถิด”
เมื่อพูดจบฉือหย่งหลิงที่กำลังอุ้มทั้งบุตรชาย และมีฉือฟางอินขี่หลังอยู่ ก็เดินนำหน้าเข้าไปยังทางเข้าหมู่บ้านหั้วห่าวทันที เพราะเกรงว่าหากช้ากว่านี้อาการกลัวที่แคบของฉือฟางอินจะกำเริบขึ้นมาอีก เพราะรู้ดีว่าข้างในนั้น ทั้งแคบและมืดเพียงใด มือของนางก็จิกเกร็งลงบนไหล่ของเขาด้วยความกลัว ยามที่ทางที่เขาพาเดินมาเรื่อยๆ เริ่มแคบลงและไร้ซึ่งแสงสว่างจากภายนอก
“ไม่ต้องกลัวหลับตาเสีย”
ฉือฟางอินทำตามสิ่งที่ชายผู้นี้บอกทันที ถึงแม้นางจะไม่ค่อยชอบใจคำพูดและการกระทำคนผู้นี้เท่าไหร่นัก แต่เพราะเห็นแก่ที่เขาอุส่าแบกนางขึ้นหลังมา นางก็จะทำเป็นลืมนิสัยแย่ๆ ของเขาไปก็แล้วกัน
ฟุดฟิด…ฟุดฟิด…
‘แต่กลิ่นนีมัน’
ในขณะที่ถูกแบกขึ้นหลังอยู่นั้น หญิงสาวก็เหมือนจะได้กลิ่นบางอย่างตีขึ้นมาที่จมูกของนาง ซึ่งกลิ่นที่ว่านี้ให้ความรู้สึกราวกับว่า นางเคยได้กลิ่นนี้มาก่อน อย่างไรอย่างนั้น
‘นี่มันคือกลิ่นกายของฉือหย่งหลิงมิใช่หรือ!’
ฉือฟางอินจำได้ขึ้นใจ เพราะนี่เป็นกลิ่นน้ำมันหอมระเหย ที่นางทำขึ้นมาให้กับเขา ในภายหลังที่นางได้รู้ว่าฉือหย่งหลิง แอบเข้ามาหานางในยามดึก เพื่อมาลูบท้องและนวดขาให้กับนาง นางจึงอยากตอบแทนความดีในของเขาข้อนี้ ฉือฟางอินจึงตั้งใจเตรียมน้ำผสมกับน้ำมันหอมระเหย ที่ช่วยในเรื่องขับไล่ความเหนื่อยล้า ให้ฉือหย่งหลิงได้แช่ตัวหลังจากที่ทำงานหนักมาทั้งวันสิ่งนี้เป็นหนึ่งในวิธีปรนนิบัติสามี ที่มารดาของนางได้ถ่ายทอดเคล็ดลับเอาไว้ให้ เมื่อครั้งที่มารดาและบิดาของนาง ยังมีความสัมพันธ์อันดีต่อกันอยู่ ฉือฟางอินมักจะเห็นมารดาของนาง เตรียมน้ำผสมน้ำมันหอมระเหยที่ทำมาจากสมุนไพร ไว้สำหรับให้กับบิดาของนางได้แช่ตัว ก่อนที่บิดาจะกลับมาจากการไปว่าราชการ ที่ราชสำนักในวังหลวงในทุกวันเมื่อฉือฟางอินถามมารดาอย่างใคร่รู้ มารดาของนางจึงใจสอนความรู้ให้นางอย่างละเอียดทุกขั้นตอนและยังบอกเคล็ดลับกรรมวิธี ที่จะสามารถเปลี่ยนกลิ่นกายของผู้ที่ลงไปแช่ ให้มีกลิ่นสมุนไพรอย่างที่คนทำเลือกแต่งกลิ่นขึ้นมาได้ ถ้าหากภรรยาอยากจะให้สามีมีกลิ่นกายเช่นไร ก็ให้จับคู่กลิ่นสมุนไพรที่ตนเองต้องการ นำไปทำน้ำมันหอมระเหย และผสม
“พวกท่านทั้งหลาย นี่คือฮูหยินฉือฟางอิน และคุณชายน้อยฉือเฟิ่งเฉียน”เมื่อจินซีจ่าวแนะนำให้ชาวบ้าน ที่ยืนเรียงรายกันอยู่ด้านหน้า ได้ทราบว่าสตรีแม่ลูกอ่อนที่เพิ่งเข้ามาในหมู่บ้านหั้วห่าวของพวกเขา คือฮูหยินและคุณชายน้อย ภรรยาเอกและบุตรชายของท่านแม่ทัพฉือหย่งหลิงเหล่าชาวบ้านที่ตั้งตารอการมาถึงของบุคคลสำคัญทั้งสอง ต่างกล่าวต้อนรับฉือฟางอินและเฉียนเอ๋อร์ด้วยท่าทางยินดีฉือฟางอินรู้สึกโล่งใจขึ้นมาทันที ที่เห็นท่าทางของพวกเขาเกือบทุกคน ต่างยินดีที่นางจะต้องมาอาศัยอยู่ที่นี่ชั่วคราวเว้นก็แต่หญิงสาววัยแรกรุ่นนางหนึ่งที่กำลังยืนทำหน้าตาบอกบุญไม่รับ อยู่ด้านหลังหญิงวัยกลางคน ที่ยืนอยู่ข้างบิดาของจินซีจ่าวท่าทางเช่นนั้น ทำให้ลางสังหรณ์บางอย่างของสตรีที่รู้กริยาท่าทางของสตรีด้วยกันเป็นอย่าดี บอกกับฉือฟางอินว่าในอนาคตอันใกล้นี้ คงจะต้องมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นเป็นแน่ฉะนั้น สิ่งที่นางอินควรจะทำ ระหว่างที่ต้องพักอยู่ที่หมู่บ้านแห่งนี้ ก็คือจะต้องอยู่ให้ห่างจากหญิงสาวนางที่ดูจะไม่ยินดี กับการมีอยู่ของนางเข้าไว้ เพื่อหลีกเลี่ยงความวุ่นวา
“ฮูหยิน ตอนนี้คุณชายน้อยก็หลับไปแล้ว ท่านไปอาบน้ำล้างเนื้อล้างตัวก่อนเถิดเจ้าค่ะ ชุดใหม่ของท่านข้าเตรียมพร้อมไว้มห้อยู่ด้านในแล้ว ส่วนตรงนี้พวกข้าจะคอยดูคุณชายให้ท่านเอง”“เช่นนั้นข้าฝากเฉียนเอ๋อร์ ไว้กับพวกท่านด้วย”ฉือฟางอินเอื้อมมือไปตบเบาๆ ที่หน้าอกของบุตรชายอีกสองสามที เพื่อให้แน่ใจว่าเจ้าก้อนหมั่นโถวหลับสนิทดีแล้ว นางถึงได้ละจากเขาเพื่อไปชำระล้างร่างกาย เรือนหลังนี้เป็นเรือนไม้ธรรมดา ที่ตั้งอยู่ด้านหลังสุดของหมู่บ้านหั้วห่าว ที่มีชาวบ้านอาศัยอยู่ประมาณสิบกว่าครอบครัวเห็นจะได้ ที่นี่แม้จะเป็นเพียงเรือนพักผ่อนชั่วคราวแต่ก็มีพื้นที่สำหรับเอาไว้ทำงาน มีเตียงเอาไว้พักผ่อนหลับนอน และห้องอาบน้ำ ที่ถูกจัดสันเอาไว้อย่างพอดี จะเว้นก็เสียแต่ไม่มีโรงครัวกับพื้นที่รอบๆ เรือนนั้นไม่ได้กว้างใหญ่ เหมือนเรือนหลังอื่นของชาวบ้าน แต่นั่นก็ไม่ได้เป็นปัญหาอะไรสำหรับฉือฟางอิน เพราะเวลานับเกือบสองปีที่ผ่านมา ที่ฉือหย่งหลิงได้ให้นางอาศัยอยู่ในเรือนไม่เก่าหลังจวนสกุลฉือ นางยังสามารถอยู่มาได้จนถึงตอนนี้ ด้วยความรู้ความสามารถ ตามที่ท่านแม่ได้สั่งสอนมา แม้ว่าก
“ปรับปรุงเรือนนี้หรือขอรับ”“ใช่แล้ว ข้าอยากจัดสรรพื้นที่ในเรือนหลังนี้ ให้ใช้สอยได้สะดวกขึ้นสักหน่อย อย่างการต้องใช้โต๊ะทำงานของท่านแม่ทัพ มาเป็นโต๊ะกินข้าวเช่นนี้ ข้าว่ามันไม่ใช่เรื่องที่เหมาะสมเท่าไหร่”“จริงด้วยขอรับ ข้าเองก็ลืมคิดถึงเรื่องนี้ไป เช่นนั้น หากท่านต้องปรับปรุงเรือนนี้ตรงส่วนไหน หรือต้องการสิ่งใดเพิ่มเติม ฮูหยินก็บอกข้ามาได้เลยนะขอรับ เดี๋ยวข้าจะเป็นธุระให้ท่านเอง”“เช่นนั้นเจ้าก็ไปรายงานเขาก่อนเถิด หากข้าทำอะไรโดยไม่บอกกล่าวเขาก่อน คนผู้นั้นจะไม่พอใจเอาได้”“รายงาน รายงานผู้ใดหรือขอรับ”“ก็ท่านแม่ทัพอย่างไรเล่า”“ถ้าเช่นนั้นท่านคงจะต้องรอ ไปอีกหลายวันเลยนะขอรับ กว่าท่านจะได้เริ่มปรับปรุงเรือนใหม่”“ทำไมถึงต้องรอหลาย ก็ในเขาเมื่ออยู่--”‘ตายจริง นี่ข้าพูดอะไรออกไปเนี่ย!’เพราะเรื่องที่นางต้องการปรับปรุงเรือน ฉือฟางอินจึงได้ลืมไปชั่วขณะ ว่านางต้องทำเป็นไม่รู้ว่าฉือหย่งหลิงอยู่ที
เดิมทีแล้วชาวบ้านในหมู่บ้านหั้วห่าว ไม่ได้อาศัยอยู่ที่นี่มาตั้งแต่ต้น พวกเขาเป็นลูกหลานของอดีตเสนาบดี และเหล่าขุนนางที่สนับสนุนให้หั้วชินอ๋องชิงตำแหน่งรัชทายาท จากพระอนุชาที่เกิดจากครรภ์ฮองเฮา เพราะความแค้นที่หั้วชินอ๋อง ได้มารู้ความจริงภายหลังว่าฮองเฮา เป็นผู้วางแผนใส่ร้ายจี้หรงเฟยมารดาของเขา ว่าลักลอบแอบมีสัมพันธ์กับทหารองครักษ์ ทำให้ฮ่องเต้สั่งประหารมารดาของเขาแต่ทว่าบทสรุปเหตุการณ์ในครั้งนั้น ลงเอยด้วยการที่หั้วชินอ๋องเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ไป แต่ด้วยคุณงามความดีที่หั้วชินอ๋อง เคยได้ทุ่มเทมทั้งความคิดและแรงกาย ในกับการแก้ปัญหาบ้านเมือง และยังเป็นกำลังสำคัญในสงครามยุติ ความขัดแย้งต่างๆ มากมาย ที่เกิดขึ้นระหว่างแคว้นฟู่กับแคว้นอื่น ฮ่องเต้จึงเล็งเห็นว่าบุตรชายคนนี้ ยังมีประโยชน์ต่อบ้านเมืองอยู่มาก โทษหนักที่หั้วชินอ๋องได้รับจึงไม่ใช้โทษประหาร แต่เป็นการถูกสั่งให้มาพัฒนาและฟื้นฟูพื้นที่ทุรกันดาร ทางเขตตะวันออกของแคว้นฟู่ โดยมีบิดาของฉือหย่งหลิง ที่ภายหลังถูกเลื่อนให้เป็นแม่ทัพใหญ่คู่กายติดตามมาด้วยแน่นอนว่าการถูกสั่งให้มาอยู่ที่นี่ ไม่ได้เป็นปัญหากับหั้วชินอ๋องที่มีความทั้ง
ทั้งจินซีหลันและจินซีจ่าว ที่รู้เบื้องลึกเบื้องหลังการกระทำทั้งหมด ของบุตรสาวและน้องสาวของตนเองเป็นอย่างดี ต่างรู้ดีว่าเรื่องนี้คงไม่มีทางจบลงง่ายๆ เพราะดูจากการกระทำของซือจูในวันนี้ ก็ทำให้พวกขเขาได้รู้แล้วว่า ที่นางเขียนจากอารมสงบใจ บอกกับบิดาว่านางได้สำนึกผิดและหักห้ามใจ ที่มีต่อท่านแม่ทัพฉือหย่งหลิงได้แล้วนั้น แท้ที่จริงแล้วนางโกหกหลังจากวันนี้ไปเขาที่เป็นพี่ชาย จะต้องพูดคุยกับมารดาอย่างจริงจัง เพราะพวกเขาจะปล่อยให้จินซือจู ทำอะไรสิ่งใดโดยที่ไม่ให้เกียรติฮูหยินของท่านแม่ทัพ ไม่เช่นนั้นจะเสียหน้าไปถึงบิดา ที่เป็นถึงผู้นำหมู่บ้านเอาได้ มื้อค่ำในวันนั้นจึงเป็นจินซีจ่าว ที่คอยพูดสร้างบรรยากาศดีๆ ด้วยการชวนฉือฟางอินพูดคุยรวมไปถึงการบอกเล่ารายระเอียด ในแต่ละพื้นที่ของหมู่บ้านหั้วห่าว ให้ฉือฟางอินได้ทราบ โดยมีจินซีหลันผู้เป็นมารดาคอยช่วยพูดส่งเสริมอีกแรง ฉือฟางอินเองก็รับรู้ได้ถึง ความพยายามของคนทั้งสอง นางจึงพุ่งความสนใจไปที่จินซีจ่าวกับมารดา และทำเป็นไม่ใส่ใจการกระทำของเด็กสาวที่นั่งหน้าบูดอยู่ตรงหน้าไป“ฮูหยิน ท่านต้องการให้มีคนคอยเฝ้าท่าน กั
เช้าวันใหม่ฉือฟางอินตื่นขึ้นมาตั้งแต่ตอนฟ้ายังไม่สราง เพราะเสียงร้องของเฉียนเอ๋อร์ เวลานี้คงจะเป็นเวลาตื่นของเขา พอเห็นว่ามารดายังคงนอนหลับอยู่ เจ้าก้อนหมั่นโถวถึงได้แผดเสียงปลุกให้นางตื่นขึ้นมา เมื่อเห็นว่ามารดาตื่นแล้ว เจ้าตัวน้อยก็ชูมือและแขนเล็กป้อมของตนเอง ขึ้นมากลางอากาศอย่างสื่อความหมายฉือฟางอินที่รู้งานอยู่แล้ว จึงได้ก้มลงหอมแก้มกลมของเขาหนึ่งฟอดใหญ่ ก่อนที่จะลุกขึ้นอุ้มเจ้าก้อนหมันโถวขึ้นมาไว้แนบอก เจ้าตัวน้อยได้ทีก็รีบหันหน้าเข้าหาอกอุ่น พร้อมกับเอาปากถูไถไปกับอกของมารดาทันที“ที่แท้ เจ้าก็หิวนี่เอง” ฉือฟางจึงรีบจัดการปลดชุดของนางออก เพื่อให้บุตรชายได้กินนม เจ้าก้อนหมั่วโถวเองก็ไม่รอช้า รีบผวาเข้าเต้าของมารดาทันที“เด็กดีในเย็นๆ ไม่ต้องรีบ แม่ไม่หนีเจ้าไปไหนหรอก”ฉือฟางอินนั่งให้เฉียนเอ๋อร์ดูดนมจากอกนางจนอิ่ม จากนั้นก็อุ้มเขามาวางบนตัก ใช้มือข้างหนึ่งประคองหน้าอกของเขาเอาไว้แล้วเอนตัวเขาไปด้านหน้าเล็กน้อย จากนั้นก็ใช้มือข้างที่เหลือตบที่หลังของเฉียนเอ๋อร์เบาๆ เพื่อไล่ลมให้ได้เรอออกมา&l
สองวันผ่านไป…วันนี้ฉือฟางอินตื่นขึ้นมาก่อนบุตรชาย ที่ยังนอนหลับตาพริ้มซุกอกอุ่นของนางอยู่ เหตุของการตื่นเช้าในวันนี้ ก็เพราะว่าวันนี้นางจะได้ลงมือเข้าครัว ที่คนงานทำเสร็จไปเมื่อวานนี้ ตามกำหนดเวลาสองวันอย่างที่พวกเขาได้บอกเอาไว้ นางค่อยๆ ดันตัวเองลุกขึ้นจากที่นอน ไม่ให้รบกวนเจ้าก้อนหมั่นโถวที่ยังคงหลับใหล คงอีกสักพักใหญ่กว่าที่เขาจะตื่น ตอนนี้นางจะต้องไปล้างหน้าล้างตา แล้วรีบไปเตรียมหุงข้าวเอาไว้ก่อนหลังจากจัดการตัวเองเรียบร้อยแล้ว ฉือฟางอินก็เดินตรงมายังห้องครัว เปิดดูถุงข้าวสารถุงเล็ก หนึ่งในเสบียงของแห้งที่จินซือโจว นำมามอบให้กับนางเมื่อค่ำวานนี้ ส่วนที่เหลือเป็นเครื่องปรุง ผักอีกสองสามอย่าง ไก่หนึ่งตัวและเนื้อหมูน้ำค้างอีกหนึ่งชั่ง ตอนที่ได้ร่วมโต๊ะอาหารกับจินซือโจว ทำให้นางได้ทราบความเป็นมาของหมู่บ้านหั้วห่าว และได้ทราบรายละเอียดวิถีชีวิต ของชาวบ้านในหมู่บ้านมากขึ้น จากคำบอกเล่าของเขา วิถีชีวิตและความเป็นอยู่ของคนชาวบ้านที่นี่ ส่วนใหญ่แล้วมักจะทำการเกษตรเอาไว้กินกันเอง ส่วนที่เหลือก็จะเอาแลกเปลี่ยนกัน เนื้อสัตว์ที่นำมาทำอาหาร จะสลับกันเป็นช่วงๆ ระหว่างสัตว์ที่ชาวบ้านเลี้ยงเองกั
“นี่พวกเราไม่ได้จะกลับบ้านกันหรอกหรือเจ้าคะ”ฉือฟางอินเอ่ยถามขึ้นมา เพราะเห็นว่าที่ที่ฉือหย่งหลิงพาตัวนางกับเฉียนเอ๋อร์มานั้น คือท่าเรือแคว้นหลูแทนที่มุ่งหน้า เดินกลับจวนสกุลฉือตามกำหนดการ ฉือหย่งหลิงไม่ได้อธิบายในทันที แต่กลับเดินนำหน้านางไปที่เรือลำหนึ่ง ที่ตกแต่งไปด้วยผ้าสีแดงสวยงาม ราวกับมีงานมงคลอยู่บนเรือลำนั้น แล้วหันมายื่นมือรอให้นางเดินเข้าไป เพื่อที่ได้พยุงนางกับลูกขึ้นเรือ“นี่อย่างไร จะพากำลังจะพาเจ้ากลับบ้าน”ความแปลกใจของฉือฟางอินยิ่งทวีขึ้น เมื่อเดินเข้ามาด้านในเรือแล้วพบว่า ด้านในของเรือลำนี้ได้ถูกจำลอง ให้เหมือนกับงานพิธีสมรสอย่างไรอย่างนั้น“นี่มันอะไรกันเจ้าคะ ทำในนี้ถึงได้...”“ฮูหยิน เมื่อสามปีก่อนที่เราแต่งงานกัน เป็นข้าที่ปฏิบัติกับเจ้าไม่ดี ไม่ให้เกียรติ์เจ้าในฐานะภรรยา แม้แต่เกี้ยวเจ้าสาวดีดี ก็ไม่ได้หาให้เจ้า ในวันนี้ที่ข้าสำนึกผิดแล้ว จึงอยากจะขอแก้ตัวกับเจ้าใหม่ ฮูหยิน ได้โปรดแต่งงานกับข้าอีกครั้งได้หรือไม่ ครั้งนี้ข้าสัญญาด้วยชีวิต ว่าเจ้าจะไม่เสียใจที่ได้แต่งงานกับคนอย่างข้าอีก เหมือนเมื่อสามปีที่แล้วอย่างแน่นอน
“ด้วยนิสัยเดิมของบุตรชายข้าคนนี้ ที่นอกจะไม่เอาไหนแล้ว เขามักจะชอบลักเล็กขโมยน้อย สิ่งของคนที่เขาเคยได้สนทนาด้วยเสมอพะย่ะค่ะ”พรึ่บชวี่ซุนเหลียนขาอ่อนล้มพับลงไปนั่งกับทันที เมื่อนางเห็นพู่ตราสัญลักษณ์สกุลรุ่ย ประจำตัวของนางอยู่ในมือของฮ่องเต้ พู่ตราสัญลักษณ์นี้ เป็นสิ่งที่ติดตัวนางมาตั้งแต่เด็ก ด้วยความผูกพันกับของสิ่งนี้ ทำให้แม้จะเข้ามาเป็นอนุภรรยาในสกุลชวี่แล้ว นางก็ยังคงห้อยพู่ตราสัญลักษณ์สกุลรุ่ย ไว้กับตัวอยู่ตลอดเวลา ชวี่ซุนเหลียนไม่รู้ว่าตัวเองทำมันหล่นหายไปตอนไหนจนเข้าใจไปว่านางอาจจะทำพู่นั่น ตอนที่ไปอารามหวั่งสุ่ยกับจินหู่อดีตสาวใช้ ที่ถูกนางผลักตกเขาไปเมื่อสามปีก่อน เพราะจินหู่เป็นคนเดียวที่อยู่กับนาง ทั้งตอนวางแผนและตอนที่นางไปพบกับหลี่หมิงด้วยตัวเอง ชวี่ซุนเหลียนจึงจำต้องกำจัดนาง ตามคำสั่งของกู้ชินอ๋อง เพราะไม่อยากเกิดปัญหาตามมาในอนาคต หลังจากผ่านคืนนั้นไปไม่นาน ขณะที่ชวี่เจียงโหลวนำทัพไปทำสงคราม ชวี่ซุนเหลียนจึงออกอุบายกับจินหู่ ว่าตัวนางนั้นอยากจะไปสงบจิตใจ จากเรื่องที่พึ่งผ่านพ้นไป ด้วยการไปไหว้พระที่อารามหวั่งสุ่ยและต้องการไ
เกิดเสียงฮือฮาไปทั่วทุกสารทิศ ว่าเหตุใดชวี่เจียงโหลวถึงได้มาขออย่าขาดกับชวี่ซุนเหลียน ต่อหน้าธารกำนัลในวันสำคัญเช่นนี้ แม้แต่กู้ชินอ๋องเองก็ต้องถึงกับลุกขึ้นจากที่นั่ง เพราะไม่ได้คาดคิดถึงการกระทำเช่นนี้ ของชวี่เจียงโหลวมาก่อน“ท่านพี่ นี่มันอะไรกันเจ้าคะ”“นั่นสิแม่ทัพชวี่ วันดีๆ แบบนี้ เหตุใดเจ้าถึงขออย่ากับนางต่อหน้าข้าและคนอื่นๆ”“นั่นก็เพราะว่าข้า มิอาจอยู่ร่วมชายคา กับสตรีชั่วช้าคนนี้ได้อีกต่อไปแล้วพะย่ะค่ะ”“เจ้าหมายความว่าอย่างไรกัน”“พระองค์คงจะไม่รู้ว่าเมื่อสามปีที่แล้ว มีสิ่งใดเกิดขึ้นในจวนของกระหม่อมบ้าง”ทันทีที่ได้ยินชวี่เจียงโหลวกล่าวเช่นนั้น กู้ชินอ๋องและชวี่ซุนเหลียนต่างก็ตาเบิกกว้าง พร้อมกับหันหน้ามาสบตากัน เรื่องเมื่อสามปีที่แล้วจะเป็นเรื่องใดได้อีก หากไม่ใช่เรื่องที่ชวี่ซุนเหลียนวางแผน แย่งคู่หมั้นของฉือฟางอินมาให้บุตรสาว และหมายจะให้คนงานหอนางโลม เข้ามาทำมิดีร้ายกับฉือฟางอินถึงในเรือนของนาง“กระหม่อมสู้อดทน สืบหาเบาะแสผู้ที่อยู่เบื้องหลังมาตลอด จนได
“แล้วเขาให้ความร่วมมือหรือไม่ขอรับ”“ย่อมต้องเป็นอย่างนั้น”หลังจากที่รู้ให้คนพาตัวหลี่เฉินมาที่ค่ายทหาร ชวี่เจียงโหลวแสดงตนต่อหน้าเขา พร้อมทั้งบอกให้เขาได้รู้ว่า คุณหนูที่สตรีชนชั้นสูงนิรนามคนนั้น จ้างวานให้เขามาทำมิดีมิร้ายคือบุตรสาวของตน เท่านั้นก็ทำให้ลี่เฉินตัวสั่นเป็นเจ้าเข้า เพราะความโง่เขลา“ท่านแม่ทัพชวี่ เรื่องนี้ ข ข้าไม่เกี่ยวนะขอรับ ป เป็น เป็นบุตรชายของข้า ที่แอบรับงานนั้นด้วยตัวเอง ข้าไม่เกี่ยวนะขอรับ”“คนตายไปแล้วจะพูดอะไรได้ หากเจ้าบอกว่าเจ้าไม่เกี่ยวกับข้องเรื่องนี้ แต่ทันทีที่พบของพวกนี้ เจ้ากลับจะนำไปทำลาย นี่หรือที่เจ้าบอกว่าไม่เกี่ยวข้อง”“ม ไม่ใช่ ไม่ใช่อย่างนั้นขอรับท่านแม่ทัพ ที่ข้าคิดจะเอาของพวกนี้ไปทิ้ง ก็เพราะว่าข้ากลัวข้า กับคนในครอบครัวที่เหลือที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ ต้องโดนหางเลขไปด้วยขอรับ”“งั้นก็แสดงว่าเจ้ารู้แล้วอย่านั้นหรือ ว่าของสองอย่างนี้เป็นของใคร”“ยังไม่ทราบแน่ชัดขอรับ แต่คนผู้นั้นน่าจะมีความเกี่ยวข้องกับสกุล
“อื้อ แอ้! คิกๆ”“ฮ่าๆ เฉียนเอ๋อร์ ขาเจ้าเล็กแค่นี้ แต่พละกำลังมากเหลือเกิน แม่เจ้าคงเลี้ยงเจ้ามาอย่างดีเลยสินะ”ชวี่เจียงโหลวกล่าวอย่างอารมณ์ดี ขณะที่กำลังให้หลานชาย ใช้ขาอวบทั้งสองข้าง ยันหน้าขากระโดดเด้งขึ้นเด้งลง ส่งเสียหัวเราะคิกคักด้วยความสนุกสนาน โดยมีฉือฟางอินและฉือหย่งหลิง นั่งอยู่ใกล้ๆ คอยมองสองตาหลาน เล่นด้วยกันด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม หลังจากทานมื้อค่ำด้วยกันแล้ว ชวี่เจียงโหลวได้ชักชวนบุตรสาวและบุตรเขย มานั่งพูดคุยถามสารทุกข์ตลอดหลายปีที่ไม่ได้พบหน้ากัน ซึ่งแน่นอนว่าการพูดคุยในครั้งนี้นั้น ไม่มีอนุเหลียนตามมาด้วย“เฉียนเอ๋อร์ เจ้าเล่นเบาๆ หน่อยเถิด เดี๋ยวท่านตาของเจ้าจะเจ็บเอาได้”“ไม่เป็นไรๆ ปล่อยให้เขาได้เล่นตามใจเถิด แรงเพียงเท่านี้ จะทำข้ากับได้อย่างไร เฉียนเอ๋อร์เจ้าเหนื่อยหรือยัง ให้ตาจับเจ้าโยนเล่นบนอากาศดีหรือไม่”“อื้อ แอ๊!”แม้จะพบหน้ากันเป็นวันแรก แต่สองตาหลานก็ดูจะเข้ากันดีจนคนเป็นแม่อย่างฉือฟางอินอดที่จะแปลกใจไม่ได้ เพราะที่ผ่านมา เฉียนเอ๋อร์ไม่ค่อยได้พบเจอคนอื่
“เชิญพวกเจ้าพักผ่อนกันให้หายเหนื่อยเถิด ขาดเหลืออะไรก็บอกคนรับใช้ เดี๋ยวสักครู่ข้าจะต้องเข้าวังไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้คงไม่ได้อยู่ถามสารทุกข์สุขดิบของพวกเจ้า เอาไว้พบกันตอนค่ำก็แล้วกัน”“เจ้าค่ะท่านพ่อ ท่านไปเตรียมตัวเถิดเจ้าค่ะ ไม่ต้องห่วงทางนี้”หลังจากที่พาบุตรสาวและบุตรเขย มาส่งยังเรือนเก่าของฉือฟางอิน ที่ชวี่เจียงโหลวยังคงให้คนรับใช้เข้ามาทำความสะอาดทุกวัน เหมือนเมื่อครั้งที่บุตรสาวอาศัยอยู่ที่นี่ เจ้าตัวก็ต้องรีบเดินทางไปยังวังหลวงเพื่อส่งรายงาน สิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างการทำศึกรวบรวมดินแดน ที่ชวี่เจียงโหลวเป็นผู้นำทัพ และสามารถคว้าชัยชนะมาได้เมื่อหลายเดือนก่อนด้านฉือฟางอินที่พึ่งจะตกปากรับคำที่บิดาไป แต่นางกลับมีความคิดจะออกไปข้างนอก แทนที่จะพักผ่อนตามที่บิดาบอก เหตุเห็นว่าไหนๆ ตนเองก็เดินทางมาถึงจวนสกุลชวี่ เร็วกว่าเวลาที่คำนวณเอาไว้มาก ประกอบกับที่นางไม่ได้รู้สึกเหนื่อยล้า จากการเดินทางที่ผ่านมาเลยสักนิด นางจึงอยากจะเดินทางไปเยี่ยมชมกิจการเลี้ยงหม่อน ที่เคยวางแผนว่าจะไปที่นั่นใน หลังจากผ่านไปแล้วสองถึงสามวัน หลังจากที่ถึงจวนสกุลชวี
“เด็กคนนี้คือเฉียนเอ๋อร์…หลานชายของท่านเจ้าค่ะ”“แอ๊!”ท่ามกลางความตกใจและไม่คาดคิดของชวี่เจียงโหลว เจ้าตัวน้อยที่จ้องหน้าท่านตาของตนเองอยู่ก่อนแล้ว ก็ส่งเสียงทักทายขึ้นมาพร้อมกับฉีกยิ้ม เห็นฟันน้อยที่มีอยู่ไม่กี่ซี่ให้กับเขา“หละ หลานชาย โอ้! เฉียนเอ๋อร์ เฉียนเอ๋อร์หลานตา มาๆ มาให้ตาดูเจ้าใกล้ๆ หน่อยเถิด”เมื่อตั้งสติและกระจ่างแจ้งแล้วว่า เด็กชายตัวน้อยที่ฉือฟางอิน บุตรสาวของตนเองอุ้มอยู่นั้น เป็นหลานชายแท้ๆ ของตน แม่ทัพใหญ่แห่งแคว้นหลู จึงได้รีบเดินเข้าไปที่รถม้าเพื่อช่วยพยุงบุตรสาวลงมา แต่ทว่าขณะที่กำลังยื่นมือออกไป หมายจะอุ้มหลานชายของตนเองนั้น ชวี่เจียงโหลวกลับชะงักมือของเขาเอาไว้ เพราะคิดขึ้นมาได้ว่าบุตรสาวของตนเองนั้น จะยินดีให้เขาอุ้มลูกของนางหรือไม่ด้านฉือฟางอินเองหลังจากที่เห็นท่าทีลังเลของบิดา นางจึงเป็นฝ่ายส่งลูกน้อย สู่อ้อมอกท่านตาของเขา โดยที่ไม่มีท่าทีไม่พอใจแต่อย่างใด ชวี่เจียงโหลวถึงได้กล้ารับเจ้าตัวน้อยมาอุ้มเอาไว้ หญิงสาวมองภาพตรงหน้าด้วยอารมณ์ที่หลากหลาย แต่ถึงอย่างนั้นนางก็รู้สึ
“เชิญท่านแม่ทัพกับฮูหยินทางนี้ขอรับ”เจียงเถาที่เร่งเดินทางมาให้ถึงเมืองลิ่ง ก่อนหน้าที่คนที่เหลือที่ขบวนจะเดินมาถึง เพื่อมาจัดการหาที่พักให้กับทุกคน เมื่อเห็นว่าเจ้านายและคนอื่นๆ เดินทางมาถึงแล้ว ชายหนุ่มจึงรีบเดินเข้ามาเพื่อนำทางไปยังโรงเตี๊ยมชั้นดี ที่เขาจัดการจ่ายเงินที่เจ้านายมอบให้ สำหรับสถานที่พักค้างแรมในคืนนี้ระหว่างทางที่กำลังเดินไปยังโรงเตี๊ยม ฉือฟางอินที่เคยได้ยินชื่อและได้มาเยือนเป็นครั้งแรก ก็อดที่จะตื่นตาตื่นใจกับการสัมผัสบรรยากาศในสถานที่ใหม่ไม่ได้ เพราะแม้ว่าเวลานี้จะเป็นเวลาพลบค่ำแล้ว แต่บรรยากาศในเมืองลิ่งก็ยังคงคึกคัก คลาคลั่งไปด้วยผู้คนมากมาย ไม่เหมือนกับเมืองอื่นๆ ที่ชาวบ้านส่วนใหญ่จะทำกิจวัตรอยู่ในบ้านของตนเอง หลังจากพระอาทิตย์ตกดินไปแล้ว นั่นก็เพราะทุกพื้นที่ในเมืองลิ่งนั้น ล้วนเต็มไปด้วยโรงเตี๊ยมกิจการร้านค้าและร้านอาหารน้อยใหญ่ จนไปถึงภัตตาคารเรียงรายไปทั่วทั้งเมือง“ถึงแล้วขอรับ”“อ้าว นายของเจ้ามาแล้วรึ เชิญๆ ท่านแม่ทัพฮูหยิน เชิญเข้ามาได้เลย ข้าให้เด็กเตรียมที่พักไว้ตามที่ท่านต้องการแล้ว เด็กๆ มา
“กลับแคว้นหลูอย่างนั้นหรือฮูหยิน”ทันทีที่ได้เห็นท่าทางของฉือหย่งหลิง หลังจากที่เขาได้รู้ว่าตัวนางนั้นกำลังจะเดินกลับแคว้นหลู ฉือฟางอินก็ได้แต่ถอนหายใจออกมา นางไม่ได้คิดที่จะปิดบังเขาแต่อย่างใด เพียงแต่ต้องการเวลาให้ตัวนางได้เรียบเรียงคำพูดมาอธิบายให้กับฉือหย่งหลิงอนุญาตให้นาง ได้กลับไปยังแคว้นบ้านเกิด แต่เนื่องจากช่วงนี้การงานที่รัดตัว จึงทำให้นางลืมบอกเรื่องนี้กับเขา“ใช่ ข้าจะกลับบ้าน”“แล้วเหตุใดข้าถึงไม่รู้เรื่องนี้ ข้าทำอะไรให้เจ้าไม่พอใจอย่างนั้นหรือ”“เปล่า ท่านไม่ได้ทำอะไร”“ไม่จริง ไม่เช่นนั้นเจ้าจะวางแผนหนีข้าไปเช่นนี้หรือ”“ไปกันใหญ่แล้ว ข้าแค่จะกลับไปเยี่ยมท่านพ่อ”“เยี่ยมบิดาของเจ้าหรือ”“ก็ใช่น่ะสิ ท่านคิดไปถึงไหนกัน”เพราะนับตั้งแต่ที่ได้มาอยู่ที่นี่ มีเรื่องราวมากมายเกิดขึ้นที่หญิงสาวไม่ทันได้ตั้งตัว จึงเป็นเวลากว่าสามปีแล้วที่หญิงสาว ยังไม่ได้มีโอกาสกลับไปเยี่ยมบ้านเกิดตามธรรมเนียม เวลานี้ที่ตัวนางกำลังขยายร้