ทั้งจินซีหลันและจินซีจ่าว ที่รู้เบื้องลึกเบื้องหลังการกระทำทั้งหมด ของบุตรสาวและน้องสาวของตนเองเป็นอย่างดี ต่างรู้ดีว่าเรื่องนี้คงไม่มีทางจบลงง่ายๆ เพราะดูจากการกระทำของซือจูในวันนี้ ก็ทำให้พวกขเขาได้รู้แล้วว่า ที่นางเขียนจากอารมสงบใจ บอกกับบิดาว่านางได้สำนึกผิดและหักห้ามใจ ที่มีต่อท่านแม่ทัพฉือหย่งหลิงได้แล้วนั้น แท้ที่จริงแล้วนางโกหก
หลังจากวันนี้ไปเขาที่เป็นพี่ชาย จะต้องพูดคุยกับมารดาอย่างจริงจัง เพราะพวกเขาจะปล่อยให้จินซือจู ทำอะไรสิ่งใดโดยที่ไม่ให้เกียรติฮูหยินของท่านแม่ทัพ ไม่เช่นนั้นจะเสียหน้าไปถึงบิดา ที่เป็นถึงผู้นำหมู่บ้านเอาได้ มื้อค่ำในวันนั้นจึงเป็นจินซีจ่าว ที่คอยพูดสร้างบรรยากาศดีๆ ด้วยการชวนฉือฟางอินพูดคุย
รวมไปถึงการบอกเล่ารายระเอียด ในแต่ละพื้นที่ของหมู่บ้านหั้วห่าว ให้ฉือฟางอินได้ทราบ โดยมีจินซีหลันผู้เป็นมารดาคอยช่วยพูดส่งเสริมอีกแรง ฉือฟางอินเองก็รับรู้ได้ถึง ความพยายามของคนทั้งสอง นางจึงพุ่งความสนใจไปที่จินซีจ่าวกับมารดา และทำเป็นไม่ใส่ใจการกระทำของเด็กสาวที่นั่งหน้าบูดอยู่ตรงหน้าไป
“ฮูหยิน ท่านต้องการให้มีคนคอยเฝ้าท่าน กับคุณชายน้อยในตอนกลางคืนหรือไม่เจ้าคะ เผื่อว่าท่านจะกังวลที่ต้องพักผ่อนในที่ที่ไม่คุ้นเคย”
“นั่นสิขอรับ ให้ข้าน้อยกับคนของท่านแม่ทัพคนอื่นๆ มาเฝ้ายามกลางคืนให้ ดีหรือไม่ขอรับ”
“ไม่เป็นไรๆ ไม่ต้องลำบากท่านป้ากับพวกเจ้าหรอก อีกอย่างเมื่อครู่นี้เจ้าเองก็บอกอยู่ไม่ใช่หรือ ว่ามีเวรยามคอยอยู่รอบๆ หมู่บ้าน”
“ใช่ขอรับ”
“เช่นนั้น ก็ทำอย่างที่เคยทำมาเถิด ข้ากับเฉียนเอ๋อร์อยู่ด้วยกันสองคนได้”
“ขอรับ งั้นพวกข้าไม่อยู่รบกวนฮูหยินแล้วขอรับ เชิญฮูหยินและคุณชายน้อย พักผ่อนกันตามสบายขอรับ”
“วันนี้ขอบใจทุกคนมาก ที่ต้อนรับข้าเป็นอย่างดี”
ให้หลังจากที่ทุกคนกลับไปกันหมดแล้ว ฉือฟางอินจึงได้พาตัวเองและเฉียนเอ๋อร์ไปอาบน้ำ โดยไม่ลืมลากเปลของแม่เฒ่าลี่เข้าไปด้วย นางจัดการวางเจ้าก้อนหมั่นโถวลงในเปล ที่นอกจะสามารถลากไปไหนมาไหนได้สะดวกแล้ว ก็ยังสามารถเอนฐานรองเปล ให้เฉียนเอ๋อร์สามารถอยู่ในนั้น ด้วยท่ากึ่งนั่งกึ่งนอนได้ เพื่อให้เขามองเห็นนางยามที่นางกำลังแช่ตัวเพื่อชำระร่างกาย เจ้าตัวน้อยจะได้ไม่ร้องโยเยเพราะไม่เห็นนางอยู่ในสายตา
ยามที่อยู่กันตามลำพังสองคนแม่ลูก ฉือฟางอินจึงจำต้องจัดการตัวเองให้เร็วสักหน่อย ยังไม่ทันได้สวมชุดให้เรียบร้อย ฉือฟางอินที่สวมเพียงแค่ชุดด้านใน ที่เป็นเพียงผ้าสีขาวผืนบาง ก็ต้องรีบมาอาบน้ำให้ลูกน้อย เพราะกลัวน้ำที่เตรียมไว้กะละมัง จะหายอุ่นเสียก่อน
“คิก อื้อ แอ๊!”
ระหว่างที่อาบน้ำอยู่นั้น เจ้าก่อนหมั่นโถวขาวอวบ ก็ใช้ขาตีน้ำในกะละมัง พร้อมกับคุยจ้อกับมารดาไม่หยุดปาก ฉือฟางอินเห็นดังนั้นก็ได้แต่หัวเราะด้วยความเอ็นดู และกล่าวตอบโต้เฉียนเอ๋อร์กลับไปบ้างเจ้าเด็กน้อยก็ยิ่งส่งเสียงคุยดังขึ้น แล้วยังทำหน้าตาตลกใส่ ทำให้ฉือฟางอินหัวเราะชอบใจไม่หยุดเช่นกัน
สองแม่ลูกผลัดกันหยอกล้อกันอยู่อย่างนั้น โดยที่ไม่รู้เลยว่าตอนนี้ฉือหย่งหลิง ได้แอบเข้ามาในยืนดูพวกเขาอยู่พักใหญ่แล้ว ก่อนหน้านี้ฉือหลังเสร็จจากการประชุม วางแผนจัดการกลุ่มโจรกบฏ ตัวเขาได้ออกมาชมบรรยากาศยามค่ำคืน ด้านบนหอประจำการของหมู่บ้าน
จึงได้เห็นว่าจินซีจ่าวที่ไม่ได้เข้าร่วมประชุมด้วย เพราะต้องติดตามมารดา ไปดูแลความเรียบร้อยให้กับฉือฟางอินและเฉียนเอ๋อร์ กำลังมุ่งหน้ากลับมาที่หอประจำการ ชายหนุ่มจึงอาศัยจังหวะนี้ ใช้วิชาตัวเบาลัดเลาะไปตามจริงไม้ มุ่งหน้าไปยังเรือนของตน แล้วหลบอยู่ในห้องทำงาน เพื่อลอบดูพฤติกรรมของฉือฟางอิน
แต่ทว่าเสียงเจื้อยแจ้วของของบุตร ที่ประสานกับเสียงหัวเราะจากมารดาของเขา ที่ดังแว่วมาจากในห้องอาบน้ำนั้น กลับทำให้ทั้งสองข้างของชายหนุ่ม ก้าวพ้นออกจากที่หลบซ่อน เดินมุ่งหน้าไปยังห้องอาบน้ำ เพราะต้องการเห็นด้วยตาของตนเองว่า เหตุใดคนทั้งสองถึงได้ส่งเสียงอย่างอารมณ์ดีเช่นนั้น
เมื่อลอบแอบดูสองแม่ลูกผ่านช่องระหว่างประตู ภาพที่ฉือหย่งหลิงกได้เห็น คือภาพของหญิงสาวกำลังนั่งอาบน้ำ ให้กับบุตรชายที่กึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่ในกะละมัง โดยมีแขนข้างหนึ่งของมารดาคอยประคองเอาไว้อยู่ ส่วนมืออีกข้างก็กำลังวักน้ำ ลูบไปตามตัวของบุตรชายอย่างคล่องแคล่ว
“เอาล่ะ แม่ให้เจ้าเล่นนานแล้ว พวกเราไปทำตัวให้แห้งแล้วรีบสวมชุดกันดีกว่า เดี๋ยวเจ้าจะไม่สบายเอาได้”
“อื้อ…แอ๊”
ฉือหย่งหลิงรีบพาตนเอง เข้าไปหลบอยู่ในที่ซ่อนเดิมทันที หลังจากที่ได้ยินเสียงของสองแม่ลูก ใกล้จะออกมาห้องอาบน้ำ ฉือฟางอินที่ไม่ยังคงไม่รู้ว่าเวลานี้ สองคนแม่ลูกไม้ได้อยู่ในเรือน กันเพียงแค่สองคน นางจึงไม่ได้สนใจว่าชุดผ้าบางที่นางสวมใส่อยู่ เมื่อนางขยับร่างกาย ยามที่เช็ดตัวและผูกผ้าเตี่ยว ปกปิดช่วงล่างให้กับเฉียนเอ๋อร์ จะทำให้ผ้าบางที่เปียกชุ่มไปด้วยน้ำ ได้แนบไปกับเนื้อตัวจนเห็นไปถึงไหนต่อไหน และคนเดียวที่ได้เห็นภาพนี้ ก็ฉือหย่งหลิงที่แอบอยู่อีกห้องหนึ่ง
ทุกการกระทำของนาง ล้วนตกอยู่ในสายตาของเขา จากที่จะมาแอบดูเห็นกับตา ว่าเมื่อยู่ตามลำพังแล้ว หญิงสาวจะสามารถดูแลลูก ได้จริงอย่างที่พูดหรือไม่ แต่ทว่าตอนนี้สายตาของฉือหย่งหลิงนั้น กลับไม่ได้มองไปที่บุตรชายตัวน้อย แต่กลับถูกตรึงเอาไว้ด้วยชุดสีขาวบางเบาเปียกชุ่ม ที่กำลังแนบไปกับเนื้อตัวของฉือฟางอิน ทำให้เขาได้เห็นเนินอก และสัดส่วนอวบอัดแต่ก็เข้ารูป ของนาวอย่างเต็มตา
ไหนจะไรผมที่เปียกชุ่ม ที่เรียงรายอยู่ที่ต้นคอของนาง กว่าที่จะรู้ตัวว่าตนเองกำลังทำสิ่งใดอยู่ ก็ในตอนที่ฉือฟางอินตั้งท่าจะถอดชุดผ้าบางนั่นออก เพื่อเปลี่ยนเป็นชุดใหม่ ฉือหย่งหลิงถึงกับอ้าปากค้าง อย่างคนหาเสียงตนเองไม่เจอ ก่อนจะรีบหันหลังออกจากเรือนไป
‘บ้าจริง! นางนึกอย่างจะทำอะไรก็ทำ ไม่ระวังตัวบ้างเสียเลย หากมีใครมาเห็นเข้าจะทำอย่างไร’
เช้าวันใหม่ฉือฟางอินตื่นขึ้นมาตั้งแต่ตอนฟ้ายังไม่สราง เพราะเสียงร้องของเฉียนเอ๋อร์ เวลานี้คงจะเป็นเวลาตื่นของเขา พอเห็นว่ามารดายังคงนอนหลับอยู่ เจ้าก้อนหมั่นโถวถึงได้แผดเสียงปลุกให้นางตื่นขึ้นมา เมื่อเห็นว่ามารดาตื่นแล้ว เจ้าตัวน้อยก็ชูมือและแขนเล็กป้อมของตนเอง ขึ้นมากลางอากาศอย่างสื่อความหมายฉือฟางอินที่รู้งานอยู่แล้ว จึงได้ก้มลงหอมแก้มกลมของเขาหนึ่งฟอดใหญ่ ก่อนที่จะลุกขึ้นอุ้มเจ้าก้อนหมันโถวขึ้นมาไว้แนบอก เจ้าตัวน้อยได้ทีก็รีบหันหน้าเข้าหาอกอุ่น พร้อมกับเอาปากถูไถไปกับอกของมารดาทันที“ที่แท้ เจ้าก็หิวนี่เอง” ฉือฟางจึงรีบจัดการปลดชุดของนางออก เพื่อให้บุตรชายได้กินนม เจ้าก้อนหมั่วโถวเองก็ไม่รอช้า รีบผวาเข้าเต้าของมารดาทันที“เด็กดีในเย็นๆ ไม่ต้องรีบ แม่ไม่หนีเจ้าไปไหนหรอก”ฉือฟางอินนั่งให้เฉียนเอ๋อร์ดูดนมจากอกนางจนอิ่ม จากนั้นก็อุ้มเขามาวางบนตัก ใช้มือข้างหนึ่งประคองหน้าอกของเขาเอาไว้แล้วเอนตัวเขาไปด้านหน้าเล็กน้อย จากนั้นก็ใช้มือข้างที่เหลือตบที่หลังของเฉียนเอ๋อร์เบาๆ เพื่อไล่ลมให้ได้เรอออกมา&l
สองวันผ่านไป…วันนี้ฉือฟางอินตื่นขึ้นมาก่อนบุตรชาย ที่ยังนอนหลับตาพริ้มซุกอกอุ่นของนางอยู่ เหตุของการตื่นเช้าในวันนี้ ก็เพราะว่าวันนี้นางจะได้ลงมือเข้าครัว ที่คนงานทำเสร็จไปเมื่อวานนี้ ตามกำหนดเวลาสองวันอย่างที่พวกเขาได้บอกเอาไว้ นางค่อยๆ ดันตัวเองลุกขึ้นจากที่นอน ไม่ให้รบกวนเจ้าก้อนหมั่นโถวที่ยังคงหลับใหล คงอีกสักพักใหญ่กว่าที่เขาจะตื่น ตอนนี้นางจะต้องไปล้างหน้าล้างตา แล้วรีบไปเตรียมหุงข้าวเอาไว้ก่อนหลังจากจัดการตัวเองเรียบร้อยแล้ว ฉือฟางอินก็เดินตรงมายังห้องครัว เปิดดูถุงข้าวสารถุงเล็ก หนึ่งในเสบียงของแห้งที่จินซือโจว นำมามอบให้กับนางเมื่อค่ำวานนี้ ส่วนที่เหลือเป็นเครื่องปรุง ผักอีกสองสามอย่าง ไก่หนึ่งตัวและเนื้อหมูน้ำค้างอีกหนึ่งชั่ง ตอนที่ได้ร่วมโต๊ะอาหารกับจินซือโจว ทำให้นางได้ทราบความเป็นมาของหมู่บ้านหั้วห่าว และได้ทราบรายละเอียดวิถีชีวิต ของชาวบ้านในหมู่บ้านมากขึ้น จากคำบอกเล่าของเขา วิถีชีวิตและความเป็นอยู่ของคนชาวบ้านที่นี่ ส่วนใหญ่แล้วมักจะทำการเกษตรเอาไว้กินกันเอง ส่วนที่เหลือก็จะเอาแลกเปลี่ยนกัน เนื้อสัตว์ที่นำมาทำอาหาร จะสลับกันเป็นช่วงๆ ระหว่างสัตว์ที่ชาวบ้านเลี้ยงเองกั
“ฮูหยิน ท่านจะไปไหนหรือขอรับ”“ข้าจะพาเฉียนเอ๋อร์ไปทำความรู้จักกับชาวบ้านคนอื่นๆ นะ อ่อ แล้วก็อยากจะไปดูอาการของเจ้าลูกหมาตัวนั้นสักหน่อย ว่าขาของมันดีขึ้นบ้างหรือไม่ แล้วนี่พวกเจ้า…กำลังทำอะไรกันอยู่หรือ”“กำลังประชุมเรื่องผลัดเวรยาม ในหมู่บ้านตอนกลางคืนกันอยู่ขอรับ”“เช่นนั้นข้าไม่รบกวนพวกเจ้าแล้ว แต่เจ้าช่วยบอกทางไปพบคนในหมู่บ้าน กับโรงหมอให้ข้าได้หรือไม่”“เดี๋ยวข้าน้อยเดินไปส่งก็ได้ขอรับ เมื่อเช้าคนของท่านอ๋องขนผ้าใช้ทำเครื่องนุ่งห่ม มามอบให้ชาวบ้านพอดี ท่านแม่และท่านน้าคนอื่นๆ คงจะอยู่กันที่ศาลากลางหมู่บ้านขอรับ”“เอาสิ”แม้จะรู้สึกได้ถึงสายตาคู่หนึ่งที่กำลังจ้องมองมา แต่เวลานี้ความตื่นเต้นที่จะได้พบปะกับชาวบ้าน ก็ได้ดึงความสนใจของฉือฟางอิน ที่มีต่อฉือหย่งหลิงไปจนหมด เมื่อจินซีจ่าวพยักหน้าให้พร้อมกับก้าวขาเดินนำไป นางก็รีบก้าวตามชายหนุ่มไปทันที“ท่านแม่ขอรับ”“ว่าอย่างไรซีจ่าว โอ๊ะ! ฮูหยิน”เมื่อหันมาตามเสียงเรียกของบุตรชาย แล้วพบว่าที่ด้านหลังของบุตรชาย มีฉือฟางอินยืนอยู่ จินซีหลันจึงได้ส่งเสียงเรียกนางออกมาหญิงชาวบ้านคนอื่นที่เห็นดังนั้น ต่างก็รีบลุกขึ้นยืนแล้วรีบก้มหัวให้หญิง
“ปักลายผ้าหรือเจ้าคะ”“ใช่แล้ว ข้าเห็นฝีมือการตัดเย็บของพวกท่านแล้ว ขอเดาว่าพวกท่านก็น่าจะปักลายผ้าเป็น กันด้วยใช่หรือไม่”“เจ้าค่ะ พวกเราล้วนปักลายผ้ากันเป็นทุกคน แต่ว่าลวดลายที่พวกเราปักได้ มิได้ประณีตและงดงาม เหมือนอย่างลายผ้าบนชุดของท่านหรอกเจ้าค่ะ”“เหตุใดท่านจึงพูดเช่นนั้น ข้าเคยเห็นสตรีที่ด้านนอกนั่นหลายคน ก็สวมใส่ชุดที่มีลายปักผ้า เหมือนอย่างข้ามิใช่หรือ”“มิผิดเจ้าค่ะ เพียงแต่ลวดลายผ้าที่สตรีเหล่านั้นสวมใส่ ล้วนแล้วแต่เป็นผ้าที่นำเข้ามาจากแคว้นข้างเคียง และแคว้นอื่นที่อยู่ห่างออกไปเจ้าค่ะ”“จริงหรือ”“จริงเจ้าค่ะ เพราะเดิมทีที่แดนตะวันออก แห่งแคว้นฟู่ของพวกเรา…”มีเขตที่ตั้งอยู่ระหว่างเขตติดต่อ ระหว่างแคว้นหลายแคว้น ที่กำลังอยู่ในช่วง รวบรวมแคว้นของตนเองอยู่ จึงทำให้ในหลายครั้งที่แคว้นฟู่ ต้องรับมือลูกหลงจากสงครามระหว่างแคว้นเหล่านั้น พร้อมยังต้องรับมือกับแคว้น ที่ต้องการจะยึดเอาเขตแดนในแคว้นฟู่ ที่อยู่ติดกับเขตแคว้นตนเองไปครอบครอง ทำให้ในหลายสิบปีที่ผ่านมานี้ ชาวบ้านที่แดนตะวันออกส่วนใหญ่ จึงไม่ได้มีเวลาสนใจเรื่องอื่น นอกเหนือจากการสู้รบและป้องกันภัยจากศัตรู หญิงสาวในแคว้น
“เมื่อเสร็จจากตรงนี้ พวกท่านก็ร้อยด้ายมาซ่อนปมด้ายไว้ตรงนี้ ก็เป็นอันเรียบร้อยแล้ว”“ฮูหยิน วิธีนี้ของท่านช่างรวดเร็วและงดงามมากเหลือเกินเจ้าค่ะ”“ข้าบอกแล้วว่าวิธีลัดนี้จะทำให้ปักลายผ้าได้ง่ายและเร็วขึ้น”วิธีปักด้ายลงบนผ้าที่ฉือฟางอิน กำลังสอนเหล่าหญิงชาวบ้านตรงหน้านางนั้น เป็นวิธีลัดที่นางคิดขึ้นมาเอง เพราะการที่ต้องจดจ่ออยู่กับสิ่งใดเป็นเวลานาน บางครั้งก็ทำให้นางรู้สึกขี้เกียจ และอยากที่จะออกไปเล่นซนกับสหายเร็วๆ นางจึงคิดวิธีดึงเอาวิธีการปักผ้าของท่านแม่กับท่านย่า ที่ถึงแม้จะมีวิชาการการปักผ้าศาสตร์เดียวกัน แต่ทั้งสองคนกลับมีวิธีการ ที่ตนเองใช้ปักผ้าต่างกันฉือฟางอินจึงนำวิธีการของทั้งสอง มาผสมผสานเข้าด้วยกัน จนได้วิธีลัด ในการปักผ้าแต่ละลายใหเร็วขึ้น อย่างที่นางสอนให้แก่เหล่าหญิงชาวบ้านไปเมื่อครู่นี้ “ฮูหยิน ท่านช่างมีฝีมือยอดเยี่ยมมากจริงๆ เจ้าค่ะ”“พวกท่านอย่าได้ยกยอข้านักเลย คนที่ต้องชื่นชมยกความดีความชอบให้ คือท่านย่ากับท่านแม่ของข้ามากกว่า หากไม่ได้พวกนางคอยเคี่ยวเข็ญข้าอย่างหนัก ข้าก็คงทำสิ่งนี้ออกมาได้ไม่ดี”“โถ่ ฮูหยิน มิเกินไปหรอกเจ้าค่ะ ท่านน่ะเก่งมากเลยนะเจ้าคะ อย่าได
เมื่อกระจ่างแจ้งแก่ใจแล้ว ฉือฟางอินจึงพาเฉียนเอ๋อร์กลับมาที่เดิม ในมือยังคงกวัดแกว่งของเล่นไปมา ให้เฉียนเอ๋อร์ได้เล่นอย่างอารมณ์ดี แต่ภายในหัวกลับเอาแต่คิด ถึงสิ่งที่ได้ยินเมื่อครู่ จนไม่ได้ยิน เสียงเรียกของจินซีหลัน กับหญิงชาวบ้านคนอื่นๆ ที่เดินนำอาหารมาจัดวางเรียงบนโต๊ะอยู่ตอนนี้“ฮูหยินเจ้าคะ ฮูหยิน!”“โอ๊ะ! ท่านป้า ท ท่านเรียกข้าหรือ”“ใช่เจ้าค่ะ กำลังคิดอะไรอยู่หรือเจ้าคะ ถึงได้ไม่ได้ยินเสียงพวกเรา หรือว่าฮูหยินต้องการสิ่งใดหรือไม่เจ้าคะ บอกพวกข้ามาได้เลยนะเจ้าคะ พวกข้ายินดีช่วยเจ้าค่ะ”ได้รับน้ำใจจากจินซีหลันเช่นนี้ ฉือฟางอินก็จะรู้สึกสะท้อนใจ หญิงวัยกลางคนตรงหน้าจะรู้หรือไม่ ว่าบุตรสาวของนาง กำลังคิดวางแผนให้ตนเองเป็น ได้เป็นอนุภรรยาของฉือหย่งหลิง แต่ถึงอย่างนั้นฉือฟางอินไม่อยากให้เรื่องนี้ นำพาให้บรรยากาศที่ดี ระหว่างตัวนางและหญิงชาวบ้านทุกคนต้องเสียไปนางจึงเลือกเก็บเรื่องนี้เอาไว้ในใจ รอเวลากลับไปถึงเรือน แล้วค่อยคิดเรื่องที่พึ่งได้ยินมาต่อ“ข้าก็แค่คิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย แล้วนี่พวกท่าน ทำอาหารเสร็จแล้วหรือ”“เรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ เอ๋ ของเล่นนี่…”“เมื่อครู่นี้แม่เฒ่าลี่ ฝากท่
งานเลี้ยงนี้เป็นธรรมเนียมที่ชาวบ้าน จัดขึ้นให้มีขึ้นภายหลังที่พวกเขาตัดสินใจที่จะละทิ้งอดีต รับชายหนุ่มและหญิงสาวที่มาจากภาภายนอก ได้มาคบหาและสร้างครอบครัวกับคนหนุ่มสาว และรวมไปถึงพ่อหม้ายแม่หม้ายในหมู่บ้านด้วยเช่นกัน พวกเขาจะสร้างธรรมเนียม จัดงานเลี้ยงรับขวัญสมาชิกใหม่ในหมู่บ้านขึ้นมา ด้วยการล่าสัตว์มาทำอาหาร เลี้ยงฉลองในตอนกลางคืน ให้ผู้ที่เข้ามาใหม่นั้น ได้ทำความรู้จักและฝากเนื้อฝากตัว กับชาวบ้านในหมู่บ้านคนอื่นๆ“แต่ข้ากับเฉียนเอ๋อร์ มาเพื่ออาศัยหลบภัยชั่วคราวเท่านั้น นี่จะไม่เป็นการรบกวนพวกท่าน ให้ต้องเหนื่อยกันหรอกหรือ อีกอย่างหากไม่นับเฉียนเอ๋อร์ ที่มีเลือดของท่านแม่ทัพอยู่ครึ่งหนึ่ง ตัวข้าเองก็นับว่าเป็นคนนอก”“ฮูหยินกล่าวอะไรเช่นนั้นขอรับ ท่านเป็นฮูหยินของท่านแม่ทัพ เช่นนั้นแล้ว ท่านก็คือคนสำคัญของพวกเราด้วยนะขอรับ”จินซีจ่าวกล่าวขึ้นมาด้วยความสัตย์จริง เพราะในเวลานี้มีเพียงฮูหยินและคุณชายน้อยเท่านั้น ที่เป็นคนในครอบครัวสกุลฉือสายหลัก ของท่านแม่ทัพ ที่เหลืออยู่เพียงแค่สองคน“เอาเถิด เมื่อทุกคนยืนยันเช่นนั้น ข้าเองจะไ
สิ่งที่จินซีจ่าวกล่าวมานั้น ทำให้ฉือหย่งหลิงชะงักไป หากนับรวมเวลาสองวัน ขี่ม้าเร็วเดินทางจากแดนเหนือ ก็เป็นเวลาห้าวันแล้ว ทหารที่อยู่ทางนั้นคงจะพักฟื้นร่างกาย จนใกล้พร้อมที่จะทำทำสงคราม กับกบฏชายแดนอีกครั้งแล้ว หั้วชินอ๋องถึงได้ส่งสารมาเรียกตัวเขากลับไป“สามวัน”“อะไรหรือขอรับ”“ส่งสารกลับไปให้ท่านอ๋อง อีกสามวันข้าจะกลับไป”เมื่อกล่าวจบแม่ทัพหนุ่มก็ใช่วิชาตัวเบา กระโดดจากระเบียงหอประจำการ ไปยังต้นไม้ใหญ่ที่อยู่อีกฟากหนึ่งทันที ทิ้งให้จินซีจ่าวยืนงงกับท่าทีของผู้เป็นนายอยู่เพียงลำพังเพราะหากเป็นเมื่อก่อน ท่านแม่ทัพก็คงจะรีบขึ้นควบม้า มุ่งหน้ากลับไปยังแดนเหนือทันที ตามนิสัยของผู้ที่ในชีวิตนี้สนใจแต่สนามรบ และการตามหาผู้ที่อยู่เบื้องหลัง การลอบสังหารบิดามารดาเท่านั้นแต่ดูท่าในวันนี้ ท่านแม่ทัพคงจะมีเรื่องอื่นให้คิด เพอ่มขึ้นมาแล้วแล้วกระมัง ไม่เช่นนั้นก็คงไม่ขอต่อเวลา อยู่ที่นี่ไม่อีกสามวันเช่นนี้อย่างแน่นอน“หึ ข้าน้อยจะรอดู ว่าท่านจะหลอกตัวเอง ว่าไม่ได้สนใจใยดี ฮูหยินของท่านไปได้อีกนานแค่
“นี่พวกเราไม่ได้จะกลับบ้านกันหรอกหรือเจ้าคะ”ฉือฟางอินเอ่ยถามขึ้นมา เพราะเห็นว่าที่ที่ฉือหย่งหลิงพาตัวนางกับเฉียนเอ๋อร์มานั้น คือท่าเรือแคว้นหลูแทนที่มุ่งหน้า เดินกลับจวนสกุลฉือตามกำหนดการ ฉือหย่งหลิงไม่ได้อธิบายในทันที แต่กลับเดินนำหน้านางไปที่เรือลำหนึ่ง ที่ตกแต่งไปด้วยผ้าสีแดงสวยงาม ราวกับมีงานมงคลอยู่บนเรือลำนั้น แล้วหันมายื่นมือรอให้นางเดินเข้าไป เพื่อที่ได้พยุงนางกับลูกขึ้นเรือ“นี่อย่างไร จะพากำลังจะพาเจ้ากลับบ้าน”ความแปลกใจของฉือฟางอินยิ่งทวีขึ้น เมื่อเดินเข้ามาด้านในเรือแล้วพบว่า ด้านในของเรือลำนี้ได้ถูกจำลอง ให้เหมือนกับงานพิธีสมรสอย่างไรอย่างนั้น“นี่มันอะไรกันเจ้าคะ ทำในนี้ถึงได้...”“ฮูหยิน เมื่อสามปีก่อนที่เราแต่งงานกัน เป็นข้าที่ปฏิบัติกับเจ้าไม่ดี ไม่ให้เกียรติ์เจ้าในฐานะภรรยา แม้แต่เกี้ยวเจ้าสาวดีดี ก็ไม่ได้หาให้เจ้า ในวันนี้ที่ข้าสำนึกผิดแล้ว จึงอยากจะขอแก้ตัวกับเจ้าใหม่ ฮูหยิน ได้โปรดแต่งงานกับข้าอีกครั้งได้หรือไม่ ครั้งนี้ข้าสัญญาด้วยชีวิต ว่าเจ้าจะไม่เสียใจที่ได้แต่งงานกับคนอย่างข้าอีก เหมือนเมื่อสามปีที่แล้วอย่างแน่นอน
“ด้วยนิสัยเดิมของบุตรชายข้าคนนี้ ที่นอกจะไม่เอาไหนแล้ว เขามักจะชอบลักเล็กขโมยน้อย สิ่งของคนที่เขาเคยได้สนทนาด้วยเสมอพะย่ะค่ะ”พรึ่บชวี่ซุนเหลียนขาอ่อนล้มพับลงไปนั่งกับทันที เมื่อนางเห็นพู่ตราสัญลักษณ์สกุลรุ่ย ประจำตัวของนางอยู่ในมือของฮ่องเต้ พู่ตราสัญลักษณ์นี้ เป็นสิ่งที่ติดตัวนางมาตั้งแต่เด็ก ด้วยความผูกพันกับของสิ่งนี้ ทำให้แม้จะเข้ามาเป็นอนุภรรยาในสกุลชวี่แล้ว นางก็ยังคงห้อยพู่ตราสัญลักษณ์สกุลรุ่ย ไว้กับตัวอยู่ตลอดเวลา ชวี่ซุนเหลียนไม่รู้ว่าตัวเองทำมันหล่นหายไปตอนไหนจนเข้าใจไปว่านางอาจจะทำพู่นั่น ตอนที่ไปอารามหวั่งสุ่ยกับจินหู่อดีตสาวใช้ ที่ถูกนางผลักตกเขาไปเมื่อสามปีก่อน เพราะจินหู่เป็นคนเดียวที่อยู่กับนาง ทั้งตอนวางแผนและตอนที่นางไปพบกับหลี่หมิงด้วยตัวเอง ชวี่ซุนเหลียนจึงจำต้องกำจัดนาง ตามคำสั่งของกู้ชินอ๋อง เพราะไม่อยากเกิดปัญหาตามมาในอนาคต หลังจากผ่านคืนนั้นไปไม่นาน ขณะที่ชวี่เจียงโหลวนำทัพไปทำสงคราม ชวี่ซุนเหลียนจึงออกอุบายกับจินหู่ ว่าตัวนางนั้นอยากจะไปสงบจิตใจ จากเรื่องที่พึ่งผ่านพ้นไป ด้วยการไปไหว้พระที่อารามหวั่งสุ่ยและต้องการไ
เกิดเสียงฮือฮาไปทั่วทุกสารทิศ ว่าเหตุใดชวี่เจียงโหลวถึงได้มาขออย่าขาดกับชวี่ซุนเหลียน ต่อหน้าธารกำนัลในวันสำคัญเช่นนี้ แม้แต่กู้ชินอ๋องเองก็ต้องถึงกับลุกขึ้นจากที่นั่ง เพราะไม่ได้คาดคิดถึงการกระทำเช่นนี้ ของชวี่เจียงโหลวมาก่อน“ท่านพี่ นี่มันอะไรกันเจ้าคะ”“นั่นสิแม่ทัพชวี่ วันดีๆ แบบนี้ เหตุใดเจ้าถึงขออย่ากับนางต่อหน้าข้าและคนอื่นๆ”“นั่นก็เพราะว่าข้า มิอาจอยู่ร่วมชายคา กับสตรีชั่วช้าคนนี้ได้อีกต่อไปแล้วพะย่ะค่ะ”“เจ้าหมายความว่าอย่างไรกัน”“พระองค์คงจะไม่รู้ว่าเมื่อสามปีที่แล้ว มีสิ่งใดเกิดขึ้นในจวนของกระหม่อมบ้าง”ทันทีที่ได้ยินชวี่เจียงโหลวกล่าวเช่นนั้น กู้ชินอ๋องและชวี่ซุนเหลียนต่างก็ตาเบิกกว้าง พร้อมกับหันหน้ามาสบตากัน เรื่องเมื่อสามปีที่แล้วจะเป็นเรื่องใดได้อีก หากไม่ใช่เรื่องที่ชวี่ซุนเหลียนวางแผน แย่งคู่หมั้นของฉือฟางอินมาให้บุตรสาว และหมายจะให้คนงานหอนางโลม เข้ามาทำมิดีร้ายกับฉือฟางอินถึงในเรือนของนาง“กระหม่อมสู้อดทน สืบหาเบาะแสผู้ที่อยู่เบื้องหลังมาตลอด จนได
“แล้วเขาให้ความร่วมมือหรือไม่ขอรับ”“ย่อมต้องเป็นอย่างนั้น”หลังจากที่รู้ให้คนพาตัวหลี่เฉินมาที่ค่ายทหาร ชวี่เจียงโหลวแสดงตนต่อหน้าเขา พร้อมทั้งบอกให้เขาได้รู้ว่า คุณหนูที่สตรีชนชั้นสูงนิรนามคนนั้น จ้างวานให้เขามาทำมิดีมิร้ายคือบุตรสาวของตน เท่านั้นก็ทำให้ลี่เฉินตัวสั่นเป็นเจ้าเข้า เพราะความโง่เขลา“ท่านแม่ทัพชวี่ เรื่องนี้ ข ข้าไม่เกี่ยวนะขอรับ ป เป็น เป็นบุตรชายของข้า ที่แอบรับงานนั้นด้วยตัวเอง ข้าไม่เกี่ยวนะขอรับ”“คนตายไปแล้วจะพูดอะไรได้ หากเจ้าบอกว่าเจ้าไม่เกี่ยวกับข้องเรื่องนี้ แต่ทันทีที่พบของพวกนี้ เจ้ากลับจะนำไปทำลาย นี่หรือที่เจ้าบอกว่าไม่เกี่ยวข้อง”“ม ไม่ใช่ ไม่ใช่อย่างนั้นขอรับท่านแม่ทัพ ที่ข้าคิดจะเอาของพวกนี้ไปทิ้ง ก็เพราะว่าข้ากลัวข้า กับคนในครอบครัวที่เหลือที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ ต้องโดนหางเลขไปด้วยขอรับ”“งั้นก็แสดงว่าเจ้ารู้แล้วอย่านั้นหรือ ว่าของสองอย่างนี้เป็นของใคร”“ยังไม่ทราบแน่ชัดขอรับ แต่คนผู้นั้นน่าจะมีความเกี่ยวข้องกับสกุล
“อื้อ แอ้! คิกๆ”“ฮ่าๆ เฉียนเอ๋อร์ ขาเจ้าเล็กแค่นี้ แต่พละกำลังมากเหลือเกิน แม่เจ้าคงเลี้ยงเจ้ามาอย่างดีเลยสินะ”ชวี่เจียงโหลวกล่าวอย่างอารมณ์ดี ขณะที่กำลังให้หลานชาย ใช้ขาอวบทั้งสองข้าง ยันหน้าขากระโดดเด้งขึ้นเด้งลง ส่งเสียหัวเราะคิกคักด้วยความสนุกสนาน โดยมีฉือฟางอินและฉือหย่งหลิง นั่งอยู่ใกล้ๆ คอยมองสองตาหลาน เล่นด้วยกันด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม หลังจากทานมื้อค่ำด้วยกันแล้ว ชวี่เจียงโหลวได้ชักชวนบุตรสาวและบุตรเขย มานั่งพูดคุยถามสารทุกข์ตลอดหลายปีที่ไม่ได้พบหน้ากัน ซึ่งแน่นอนว่าการพูดคุยในครั้งนี้นั้น ไม่มีอนุเหลียนตามมาด้วย“เฉียนเอ๋อร์ เจ้าเล่นเบาๆ หน่อยเถิด เดี๋ยวท่านตาของเจ้าจะเจ็บเอาได้”“ไม่เป็นไรๆ ปล่อยให้เขาได้เล่นตามใจเถิด แรงเพียงเท่านี้ จะทำข้ากับได้อย่างไร เฉียนเอ๋อร์เจ้าเหนื่อยหรือยัง ให้ตาจับเจ้าโยนเล่นบนอากาศดีหรือไม่”“อื้อ แอ๊!”แม้จะพบหน้ากันเป็นวันแรก แต่สองตาหลานก็ดูจะเข้ากันดีจนคนเป็นแม่อย่างฉือฟางอินอดที่จะแปลกใจไม่ได้ เพราะที่ผ่านมา เฉียนเอ๋อร์ไม่ค่อยได้พบเจอคนอื่
“เชิญพวกเจ้าพักผ่อนกันให้หายเหนื่อยเถิด ขาดเหลืออะไรก็บอกคนรับใช้ เดี๋ยวสักครู่ข้าจะต้องเข้าวังไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้คงไม่ได้อยู่ถามสารทุกข์สุขดิบของพวกเจ้า เอาไว้พบกันตอนค่ำก็แล้วกัน”“เจ้าค่ะท่านพ่อ ท่านไปเตรียมตัวเถิดเจ้าค่ะ ไม่ต้องห่วงทางนี้”หลังจากที่พาบุตรสาวและบุตรเขย มาส่งยังเรือนเก่าของฉือฟางอิน ที่ชวี่เจียงโหลวยังคงให้คนรับใช้เข้ามาทำความสะอาดทุกวัน เหมือนเมื่อครั้งที่บุตรสาวอาศัยอยู่ที่นี่ เจ้าตัวก็ต้องรีบเดินทางไปยังวังหลวงเพื่อส่งรายงาน สิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างการทำศึกรวบรวมดินแดน ที่ชวี่เจียงโหลวเป็นผู้นำทัพ และสามารถคว้าชัยชนะมาได้เมื่อหลายเดือนก่อนด้านฉือฟางอินที่พึ่งจะตกปากรับคำที่บิดาไป แต่นางกลับมีความคิดจะออกไปข้างนอก แทนที่จะพักผ่อนตามที่บิดาบอก เหตุเห็นว่าไหนๆ ตนเองก็เดินทางมาถึงจวนสกุลชวี่ เร็วกว่าเวลาที่คำนวณเอาไว้มาก ประกอบกับที่นางไม่ได้รู้สึกเหนื่อยล้า จากการเดินทางที่ผ่านมาเลยสักนิด นางจึงอยากจะเดินทางไปเยี่ยมชมกิจการเลี้ยงหม่อน ที่เคยวางแผนว่าจะไปที่นั่นใน หลังจากผ่านไปแล้วสองถึงสามวัน หลังจากที่ถึงจวนสกุลชวี
“เด็กคนนี้คือเฉียนเอ๋อร์…หลานชายของท่านเจ้าค่ะ”“แอ๊!”ท่ามกลางความตกใจและไม่คาดคิดของชวี่เจียงโหลว เจ้าตัวน้อยที่จ้องหน้าท่านตาของตนเองอยู่ก่อนแล้ว ก็ส่งเสียงทักทายขึ้นมาพร้อมกับฉีกยิ้ม เห็นฟันน้อยที่มีอยู่ไม่กี่ซี่ให้กับเขา“หละ หลานชาย โอ้! เฉียนเอ๋อร์ เฉียนเอ๋อร์หลานตา มาๆ มาให้ตาดูเจ้าใกล้ๆ หน่อยเถิด”เมื่อตั้งสติและกระจ่างแจ้งแล้วว่า เด็กชายตัวน้อยที่ฉือฟางอิน บุตรสาวของตนเองอุ้มอยู่นั้น เป็นหลานชายแท้ๆ ของตน แม่ทัพใหญ่แห่งแคว้นหลู จึงได้รีบเดินเข้าไปที่รถม้าเพื่อช่วยพยุงบุตรสาวลงมา แต่ทว่าขณะที่กำลังยื่นมือออกไป หมายจะอุ้มหลานชายของตนเองนั้น ชวี่เจียงโหลวกลับชะงักมือของเขาเอาไว้ เพราะคิดขึ้นมาได้ว่าบุตรสาวของตนเองนั้น จะยินดีให้เขาอุ้มลูกของนางหรือไม่ด้านฉือฟางอินเองหลังจากที่เห็นท่าทีลังเลของบิดา นางจึงเป็นฝ่ายส่งลูกน้อย สู่อ้อมอกท่านตาของเขา โดยที่ไม่มีท่าทีไม่พอใจแต่อย่างใด ชวี่เจียงโหลวถึงได้กล้ารับเจ้าตัวน้อยมาอุ้มเอาไว้ หญิงสาวมองภาพตรงหน้าด้วยอารมณ์ที่หลากหลาย แต่ถึงอย่างนั้นนางก็รู้สึ
“เชิญท่านแม่ทัพกับฮูหยินทางนี้ขอรับ”เจียงเถาที่เร่งเดินทางมาให้ถึงเมืองลิ่ง ก่อนหน้าที่คนที่เหลือที่ขบวนจะเดินมาถึง เพื่อมาจัดการหาที่พักให้กับทุกคน เมื่อเห็นว่าเจ้านายและคนอื่นๆ เดินทางมาถึงแล้ว ชายหนุ่มจึงรีบเดินเข้ามาเพื่อนำทางไปยังโรงเตี๊ยมชั้นดี ที่เขาจัดการจ่ายเงินที่เจ้านายมอบให้ สำหรับสถานที่พักค้างแรมในคืนนี้ระหว่างทางที่กำลังเดินไปยังโรงเตี๊ยม ฉือฟางอินที่เคยได้ยินชื่อและได้มาเยือนเป็นครั้งแรก ก็อดที่จะตื่นตาตื่นใจกับการสัมผัสบรรยากาศในสถานที่ใหม่ไม่ได้ เพราะแม้ว่าเวลานี้จะเป็นเวลาพลบค่ำแล้ว แต่บรรยากาศในเมืองลิ่งก็ยังคงคึกคัก คลาคลั่งไปด้วยผู้คนมากมาย ไม่เหมือนกับเมืองอื่นๆ ที่ชาวบ้านส่วนใหญ่จะทำกิจวัตรอยู่ในบ้านของตนเอง หลังจากพระอาทิตย์ตกดินไปแล้ว นั่นก็เพราะทุกพื้นที่ในเมืองลิ่งนั้น ล้วนเต็มไปด้วยโรงเตี๊ยมกิจการร้านค้าและร้านอาหารน้อยใหญ่ จนไปถึงภัตตาคารเรียงรายไปทั่วทั้งเมือง“ถึงแล้วขอรับ”“อ้าว นายของเจ้ามาแล้วรึ เชิญๆ ท่านแม่ทัพฮูหยิน เชิญเข้ามาได้เลย ข้าให้เด็กเตรียมที่พักไว้ตามที่ท่านต้องการแล้ว เด็กๆ มา
“กลับแคว้นหลูอย่างนั้นหรือฮูหยิน”ทันทีที่ได้เห็นท่าทางของฉือหย่งหลิง หลังจากที่เขาได้รู้ว่าตัวนางนั้นกำลังจะเดินกลับแคว้นหลู ฉือฟางอินก็ได้แต่ถอนหายใจออกมา นางไม่ได้คิดที่จะปิดบังเขาแต่อย่างใด เพียงแต่ต้องการเวลาให้ตัวนางได้เรียบเรียงคำพูดมาอธิบายให้กับฉือหย่งหลิงอนุญาตให้นาง ได้กลับไปยังแคว้นบ้านเกิด แต่เนื่องจากช่วงนี้การงานที่รัดตัว จึงทำให้นางลืมบอกเรื่องนี้กับเขา“ใช่ ข้าจะกลับบ้าน”“แล้วเหตุใดข้าถึงไม่รู้เรื่องนี้ ข้าทำอะไรให้เจ้าไม่พอใจอย่างนั้นหรือ”“เปล่า ท่านไม่ได้ทำอะไร”“ไม่จริง ไม่เช่นนั้นเจ้าจะวางแผนหนีข้าไปเช่นนี้หรือ”“ไปกันใหญ่แล้ว ข้าแค่จะกลับไปเยี่ยมท่านพ่อ”“เยี่ยมบิดาของเจ้าหรือ”“ก็ใช่น่ะสิ ท่านคิดไปถึงไหนกัน”เพราะนับตั้งแต่ที่ได้มาอยู่ที่นี่ มีเรื่องราวมากมายเกิดขึ้นที่หญิงสาวไม่ทันได้ตั้งตัว จึงเป็นเวลากว่าสามปีแล้วที่หญิงสาว ยังไม่ได้มีโอกาสกลับไปเยี่ยมบ้านเกิดตามธรรมเนียม เวลานี้ที่ตัวนางกำลังขยายร้