งานเลี้ยงนี้เป็นธรรมเนียมที่ชาวบ้าน จัดขึ้นให้มีขึ้นภายหลังที่พวกเขาตัดสินใจที่จะละทิ้งอดีต รับชายหนุ่มและหญิงสาวที่มาจากภาภายนอก ได้มาคบหาและสร้างครอบครัวกับคนหนุ่มสาว และรวมไปถึงพ่อหม้ายแม่หม้ายในหมู่บ้านด้วยเช่นกัน พวกเขาจะสร้างธรรมเนียม จัดงานเลี้ยงรับขวัญสมาชิกใหม่ในหมู่บ้านขึ้นมา ด้วยการล่าสัตว์มาทำอาหาร เลี้ยงฉลองในตอนกลางคืน ให้ผู้ที่เข้ามาใหม่นั้น ได้ทำความรู้จักและฝากเนื้อฝากตัว กับชาวบ้านในหมู่บ้านคนอื่นๆ
“แต่ข้ากับเฉียนเอ๋อร์ มาเพื่ออาศัยหลบภัยชั่วคราวเท่านั้น นี่จะไม่เป็นการรบกวนพวกท่าน ให้ต้องเหนื่อยกันหรอกหรือ อีกอย่างหากไม่นับเฉียนเอ๋อร์ ที่มีเลือดของท่านแม่ทัพอยู่ครึ่งหนึ่ง ตัวข้าเองก็นับว่าเป็นคนนอก”
“ฮูหยินกล่าวอะไรเช่นนั้นขอรับ ท่านเป็นฮูหยินของท่านแม่ทัพ เช่นนั้นแล้ว ท่านก็คือคนสำคัญของพวกเราด้วยนะขอรับ”
จินซีจ่าวกล่าวขึ้นมาด้วยความสัตย์จริง เพราะในเวลานี้มีเพียงฮูหยินและคุณชายน้อยเท่านั้น ที่เป็นคนในครอบครัวสกุลฉือสายหลัก ของท่านแม่ทัพ ที่เหลืออยู่เพียงแค่สองคน
“เอาเถิด เมื่อทุกคนยืนยันเช่นนั้น ข้าเองจะไม่ปฏิเสธ ดีเสียอีก ข้ากับพวกท่านป้า และท่านน้าสาวทั้งหลาย จะได้ร่วมมือปักลายลงบนผ้า เอาไว้ตัดชุดใส่ในงานวันนั้นกัน พวกท่านว่าดีหรือไม่”
“ดีเจ้าค่ะฮูหยิน”
ทั้งบ่ายวันนั้นที่บ้านของผู้นำหมู่บ้าน จึงเต็มไปด้วยสมาชิกในหมู่บ้าน ช่วยกันลงมือแล่เนื้อสัตว์ เอาใช้ในวันงานเลี้ยงต้อนรับ พร้อมกับนำส่วนที่เหลือแจกจ่ายให้กับชาวบ้าน ส่วนอีกด้านก็ช่วยกันปักลายดอกไม้ที่ตนเองชื่นชอบลงบนผ้า เพื่อที่จะได้เอาไว้ใส่ในงานเลี้ยง เวลาล่วงเลยมาถึงตอนเย็น ก็ถึงเวลาที่ทุกคนจะต้องแยกย้าย กลับไปยังเรือนของตน ฉือฟางอินตอนเองก็เช่นกัน แต่ก่อนที่นางจะกลับไปที่เรือน นางจะแวะไปดูอาการ ของเจ้าหมาน้อยที่โรงหมอก่อน นางจึงจัดการใช้ข้างหนึ่งอุ้มบุตรชาย และใช้มืออีกข้างถือห่อเนื้อหมู ที่จินซือโจวแบ่งมาให้จำนวนหนึ่ง เดินไปทางโรงหมอของหมู่บ้าน
“ท่านหมอ ข้ามาดูอาการของเจ้าลูกหมาสีดำ ที่ท่านน้าลู่ซือพามาให้ท่านดูอาการเจ้าค่ะ” ฉือฟางอินกล่าวกับชายชราอยู่ในชุดขาวสะอาด ที่กำลังตรวจดูสมุนไพรอบแห้งในกระจาดอยู่
“นั่นพวกเจ้าคือฮูหยินน้อยฉือฟางอิน กับคุณชายน้อยเฟิ่งเฉียนใช่หรือไม่”
“ใช่เจ้าค่ะ”
“เข้ามาข้างในก่อนสิ”
“เจ้าค่ะ”
“ต้องขอโทษด้วยที่ข้าไปต้อนรับพวกเจ้า พร้อมกับชาวบ้านคนอื่นๆ พอดีว่าข้ากำลังยุ่งอยู่กับการคัดเลือกสมุนไพร ที่พึ่งได้รับมาจากด้านนอกน่ะ”
“มิเป็นไรเลยเจ้าค่ะ ข้าต่างหากที่ต้องเป็นคนกล่าวขอโทษ ที่มารบกวนให้พวกท่านช่วยดูแล”
“เจ้านี่ ขี้เกรงใจผู้อื่นอย่างที่ซีจ่าวกล่าวไว้จริงๆ ว่าไงเจ้าหนู จ้องข้าไม่วางตาเชียว มิเคยเห็นคนแก่เครายาวมาก่อนหรือ ฮ่าๆๆ”
“ใช่แล้วเจ้าค่ะ เฉียนเอ๋อร์ยังไม่เคยพบคนแก่ที่มีอายุเท่าท่านมาก่อนเลยเจ้าค่ะ”
นับตั้งแต่เฉียนเอ๋อร์เกิดมา คงจะมีแต่แม่นมหลี่กับพ่อบ้านหม่าเท่านั้น ที่เป็นผู้มีอายุมากที่สุดที่เฉียนเอ๋อร์เคยพบ ซึ่งแม่นมหลี่เองก็ไม่ได้อายุเยอะเท่ากับท่านหมอ หากให้เทียบก็คงจะแก่กว่าท่านป้าซีหลันขึ้นไปอีกหน่อยเห็นจะได้
“นั่นสินะ ท่านปู่กับท่านย่าของเจ้าก็จากโลกนี้ไปตั้งแต่พวกเขายังอายุไม่มาก ส่วนทวดทั้งสองของเจ้าที่เป็นสหายรักของข้า หากพวกเขายังมีชีวิตอยู่ ก็คงจะผมขาวเครายาวเช่นข้านี่ล่ะ เช่นนั้นก็ถือเสียว่าตัวข้าฉิวหว่านอี้
เป็นทวดของเจ้าตัวน้อย แล้วก็เป็นปู่ของเจ้าอีกคนหนึ่งก็แล้วกัน”“เจ้าค่ะ ท่านหมอ”
“อื้อ…แอ๊”
“ฮ่าๆๆ ตัวเท่านี้ก็รู้จักความเสียแล้ว มาสิ ข้าจะพาเจ้าไปดูเจ้าหมาน้อยตัวนั้น”
ชายชรายื่นแขนทั้งสองข้างมาหาเฉียนเอ๋อร์ ที่นั่งอยู่บนตักของฉือฟางอินด้วยท่าทางใจดี เจ้าตัวน้อยมองหน้าชายชราอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็เริ่มยิ้มและเอนตัวไปข้างหน้า ฉือฟางอินเองที่เห็นว่าคนตรงหน้ายังแข็งแรงดีอยู่ นางจึงได้ยกเฉียนเอ๋อร์ ให้ท่านหมอฉิวหว่านอี้อุ้มพาเดินนำไปทางด้านหลังโรงหมอเล็กๆ แห่งนี้
‘หงิงงง หงิงง…โฮ่ง! โฮ่ง!’
เสียงร้องและเสียงเห่าดังขึ้นมาทันที ที่เจ้าหมาน้อยรับรู้ได้ว่ากำลังมีคนเดินเข้าไปหา เมื่อฉือฟางอินเดินไปถึงนางก็เห็นว่า ท่านหมอฉิวหว่านอี้ได้สร้างคอกเล็กๆ เอาไว้ให้เจ้าหมาน้อยได้อยู่เป็นอย่างดี
“ตัวข้าเองไม่ได้เชี่ยวชาญเรื่องการรักษาสัตว์ แต่ถามสหายที่เชี่ยวชาญมาแล้ว เจ้าหมาตัวนี้ยังเล็กมากนัก ใช้แค่ไม้ดามขาเอาไว้สักพักก็จะดีขึ้นเอง ตอนนี้ได้กินข้าวอิ่มทุกมือ จนเริ่มมีเนื้อหนังขึ้นมาบ้างแล้วล่ะ อีกไม่นานก็คงจะหายดี”
“ขอบคุณท่านหมอมากเจ้าค่ะที่เป็นธุระให้ อย่างไรแล้วเรื่องค่ารักษา ท่านสามารถลงบัญชีให้ข้าได้เลยนะเจ้าคะ”
“ไม่ต้องหรอกข้าไม่คิดเงิน กับคนที่นี่ข้ายังไม่คิด แล้วกับหมาตัวแค่นี้ จะให้ข้าคิดได้อย่างไรกัน”
“รับไว้เถิดเจ้าค่ะ เผื่อว่าท่านจะได้เอาไว้ใช่จ่าย ยามที่ท่านต้องเดินทางไปเสาะหาสิ่งของ ที่หายากจากข้างนอกมาไว้ใช้ที่นี้”
“ฮูหยินน้อย ตัวข้าไม่จำเป็นต้องเดินทางไปที่ไหนเพื่อเสาะหาสิ่งใดหรอก จวนของข้าที่อยู่ด้านนอกมีทุกสิ่งทุกอย่างแล้ว”
“จวนข้างนอก หมายความว่าท่านหมอ อาศัยอยู่ข้างนอกหรือหรือเจ้าคะ”
"ใช่แล้ว ข้าเป็นอดีตหมอหลวง จากสำนักหมอหลวงในวัง ที่เดินทางมาที่แดนตะวันออก พร้อมกับหั้วชินอ๋องตามรับสั่งของฝ่าบาท”
ฉิวหว่านอี้เป็นสหายคนสนิท ของท่านปู่และท่านย่าของฉือหย่งหลิง เหมือนดั่งเช่นที่บิดาของฉือหย่งหลิง เป็นสหายรักของหั้วชินอ๋อง พวกเขาทั้งหมดจึงนับได้ว่า อยู่ฝ่ายเดียวกันมาตั้งแต่ต้น เมื่อหั้วชินอ๋องเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ ในการชิงอำนาจจากองค์รัชทายาท และต้องมาฟื้นฟูพื้นที่แดนตะวันออก ตามราชโองการของฮ่องเต้
ฉิวหว่านอี้จึงลาออกจากสำนักหมอหลวง ตามมาช่วยเหลือหั้วชินอ๋องที่แดนตะออกแห่งนี้ ด้วยการเปิดโรงหมอประจำอยู่ที่นี่ และยังเปิดสำนักศึกษา ให้ผู้ที่อยากเป็นหมอ ได้เข้ามาศึกษาและเรียนรู้ความรู้เบื้องต้น เพื่อนำไปต่อยอดการศึกษาอย่างจริงจัง ที่สำนักหมอหลวงที่ตั้งอยู่ในเขตเมืองหลวง
“เช่นนั้นเองหรือเจ้าคะ แล้วอย่างนี้ที่นี่…”
“ข้ามีพวกลูกศิษย์ที่ไว้ใจได้ คอยแวะเวียนมาประจำการ ส่วนข้าจะคอยแวะเวียนมาในยามที่มีเรื่องสำคัญ”
“เข้าใจแล้วเจ้าค่ะ” ฉือฟางอินพูดคุยกับหมอชราต่ออีกครู่หนึ่ง ก่อนจะขอตัวกลับไปยังเรือนของตนเอง
ยามซื่อ ณ หอประจำการของหมู่บ้าน
ฉือหย่งหลิงที่ออกจากหมู่หั้วห่าว ไปช่วยกองกำลังสำรองต่อสู้กับกลุ่มโจรกบฏชายแดนในเมืองอี้ พร้อมกับอยู่วางแผนใช้วิธี ที่จะใช้จัดการกบฏเหล่านั้นมาตั้งแต่ในช่วงสายของวัน หลังจากจัดการตัวเองเรียบร้อยแล้ว เขาจึงได้มายืนรับลม อยู่ที่ระเบียงชั้นบนสุดของหอประจำการ จินซีจ่าวที่เห็นดังนั้น จึงอดไม่ได้ที่จะเข้ามาหยอกเย้า
“อะแฮ่ม! ท่านแม่ทัพยืนมิเข้าไปพักผ่อนหรือขอรับ วันนี้ท่านออกไปสู้กับพวกโจรกบฏมาทั้งวัน เหตุใดถึงได้มายืนมองหลังคาเรือนฮูหยินอยู่เช่นนี้ล่ะขอรับ”
“พูดอะไรของเจ้า ข้าไปมองหลังคาเรือนใคร ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน”
“อ้อ งั้นหรือขอรับ ข้าคิดว่าท่านกำลังรอเวลา ให้เรือนหลังหนึ่ง ที่ตั้งอยู่ท้ายหมู่บ้าน ดับตระเกียงอยู่เสียอีกขอรับ”
“ทำไมข้าต้องรอ เรือนไหนจะดับไฟเมื่อใด ก็มิเห็นจะเกี่ยวกับข้า เจ้านั่นแหละ อยากถูกข้าลงโทษมากใช่หรือไม่ ถึงได้พูดจากวนอารมณ์ข้าตั้งแต่เมื่อเช้า หรืออยากให้ข้ารายงานพฤติกรรมของเจ้า ให้บิดาเจ้ารับรู้หรือไม่”
“อย่าเลยขอรับ ข้าน้อยมิกล้าแล้วขอรับ” จินซีจ่าวรีบปฏิเสธทันควัน เมื่อได้ยินฉือหย่งหลิงเอ่ยถึงจินซือโจวผู้เป็นบิดาของเขาออกมา
จินซือโจวเป็นคนรักษาขนบธรรมเนียม และกฎระเบียบอย่างเป็นอย่างมาก ขืนเรื่องที่ตัวเขาชอบหยอกล้อท่านแม่ทัพเล่นเช่นนี้ คงได้ถูกใช้ให้ไปให้อาหารจั่งอาวสุนัขดุร้าย สัตว์เลี้ยงที่หั้วชินอ๋องเอามาฝากเลี้ยงเอาไว้ในป่าบนภูเขาเป็นแน่
“หึ” ฉือหย่งหลิงหัวเราะให้กับท่าทาง ของลูกน้องคนสนิท ก่อนตั้งท่าจะเดินจากไป แต่ทว่าก็ถูกจินซีจ่าวกล่าวรั้งเอาไว้ก่อน
“มีอะไร”
“ข้าแค่จะบอกท่านว่าวันพรุ่งนี้ ท่านพ่อจะจัดงานเลี้ยงต้อนรับฮูหยิน และคุณชายน้อยเฟิ่งเฉียนขอรับ”
“อืม พวกเจ้าจัดการกันไปเถิด ข้าจะดูอยู่ห่างๆ”
“แต่ว่า…”
“มีอะไรอีก”
“เมื่อครู่มีนกพิราบส่งสารจากแดนเหนือ บินมาที่นี่ขอรับ เป็นสารจากท่านอ๋องฝากมาถึงท่านว่า ได้เวลาที่ท่านต้องกลับไปยังสนามรบ ที่แดนเหนือแล้วขอรับ"
สิ่งที่จินซีจ่าวกล่าวมานั้น ทำให้ฉือหย่งหลิงชะงักไป หากนับรวมเวลาสองวัน ขี่ม้าเร็วเดินทางจากแดนเหนือ ก็เป็นเวลาห้าวันแล้ว ทหารที่อยู่ทางนั้นคงจะพักฟื้นร่างกาย จนใกล้พร้อมที่จะทำทำสงคราม กับกบฏชายแดนอีกครั้งแล้ว หั้วชินอ๋องถึงได้ส่งสารมาเรียกตัวเขากลับไป“สามวัน”“อะไรหรือขอรับ”“ส่งสารกลับไปให้ท่านอ๋อง อีกสามวันข้าจะกลับไป”เมื่อกล่าวจบแม่ทัพหนุ่มก็ใช่วิชาตัวเบา กระโดดจากระเบียงหอประจำการ ไปยังต้นไม้ใหญ่ที่อยู่อีกฟากหนึ่งทันที ทิ้งให้จินซีจ่าวยืนงงกับท่าทีของผู้เป็นนายอยู่เพียงลำพังเพราะหากเป็นเมื่อก่อน ท่านแม่ทัพก็คงจะรีบขึ้นควบม้า มุ่งหน้ากลับไปยังแดนเหนือทันที ตามนิสัยของผู้ที่ในชีวิตนี้สนใจแต่สนามรบ และการตามหาผู้ที่อยู่เบื้องหลัง การลอบสังหารบิดามารดาเท่านั้นแต่ดูท่าในวันนี้ ท่านแม่ทัพคงจะมีเรื่องอื่นให้คิด เพอ่มขึ้นมาแล้วแล้วกระมัง ไม่เช่นนั้นก็คงไม่ขอต่อเวลา อยู่ที่นี่ไม่อีกสามวันเช่นนี้อย่างแน่นอน“หึ ข้าน้อยจะรอดู ว่าท่านจะหลอกตัวเอง ว่าไม่ได้สนใจใยดี ฮูหยินของท่านไปได้อีกนานแค่
ฉือฟางอินรีบไล่ความคิด ที่มีต่อฉือหย่งหลิงออกไป นางไม่ควรเอาความคิดตนเอง ไปเกี่ยวข้องกับคนใจร้ายคนนั้น ให้เสียบรรยากาศงานเลี้ยง ที่ชาวตั้งใจจัดให้นางกับเฉียนเอ๋อร์ หลังจากมื้ออาหารและดนตรีผ่านไป ก็ถึงเวลาที่ของการร่ำสุราชมการแสดงของเหล่านางรำ ที่หั้วชินอ๋องสั่งให้คนจัดหามาให้ เพื่อให้แน่ใจว่าคณะนางรำที่จ้างวานในคืนนี้ จะไม่สร้างความเดือนร้อน ให้กับคนหมู่บ้านหั้วห่าวได้ในภายหลัง“ฮ้าว...อือ...”“เฉียนเอ๋อร์ เจ้าง่วงนอนแล้วหรือ” เจ้าตัวน้อยดิ้นเอาตัวหันเข้าหาอกอุ่น พยายามใช้มือน้อยๆ ลูบไปมาที่อกอุ่นของนาง เป็นการแสดงให้รู้ว่าเวลานี้ เขาทั้งง่วงและหิวเต็มทีแล้ว หลังจากที่นั่งดูผู้ใหญ่กินอาหารอยู่นาน“ฮูหยิน ท่านจะไปไหนหรือเจ้าคะ”“เฉียนเอ๋อร์ดูท่าจะง่วงนอนเต็มที จะเป็นไรหรือไม่หากข้าจะขอตัวกลับเรือนก่อน”“แต่การแสดงพึ่งจะเริ่มขึ้นเองนะเจ้าคะ อีกอย่างตามธรรมของหมู่บ้านแล้ว คืนนี้ท่านจะต้องร่ำสุรา เพื่อถวายแก่เทพซาฮว๋าด้วยเจ้าคะ”
หลังจากที่กล่อมเฉียนเอ๋อร์จนหลับสนิทแล้ว ก็ถึงเวลาที่ฉือฟางอิน ต้องกลับไปที่งานเลี้ยงอีกครั้ง แต่ก่อนที่นางจะไปแม่เฒ่าลี่ที่รอนางอยู่หน้าเรือน ก็ได้เอ่ยถามนางขึ้นมาเสียก่อน“เจ้าหนูน้อยหลับดีแล้วหรือ”“เจ้าค่ะ”ฉือฟางอินลอบมองแม่เฒ่าลี่อยู่เป็นระยะ เพราะยังสงสัยในคำพูดเมื่อครู่นี้ของหญิงชรา แม่เฒ่าลี่เห็นท่าทางเช่นนั้น ก็หัวเราะในลำคอเบาๆ ก่อนจะกล่าวบางสิ่งขึ้นมา“ฮูหยินน้อยมีอะไรจะพูดกับข้านั้นหรือ เหตุใดได้ถึงทำท่าทางอย่างนั้นกัน”“เอ่อ...คือ...”“หรือว่ากำลังสงสัยในคำพูดของข้า”“เป็นเช่นนั้นเจ้าค่ะท่านแม่เฒ่า”“หึ มิต้องสงสัยไปหรอก มันก็แค่การคาดเดาของข้าน่ะ เพราะอยู่ที่นี่พวกเจ้ามีกันเพียงแค่สองแม่ลูก ข้าก็เลยคิดว่ายามที่เจ้าจะต้องร่ำสุราตามธรรมเนียมของหมู่บ้าน ที่เรือนของข้าน่าจะเป็นตัวเลือก ให้เจ้าพาเจ้าหนูน้อยมาฝากเลี้ยงน่ะ ที่ข้าพูดอยู่นี้ถูกใช่หรือไม่”“ถูกแล้วเจ้าค่ะ”“เวลานี้บิดาของเจ้าหนูน้
จินซีหลันพูดยังไม่ทันขาดคำ ฉือฟางอินที่เพิ่งจะลุกพราดพราดลงจากแท่นพิธี ก็เซถลาไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว หากไม่ได้คนผู้หนึ่งมาประชิดตัวรับนางได้ทันเวลา นางก็คงจะล้มหน้าคะมำไปกับพื้นแล้ว“โล่งอกไปที แต่นั่นเจ้า โอ๊ะ! ท่านแม่ท- อุ๊บ!”จินซีหลันคิดว่าคนที่มาช่วยฉือฟางอินเอาไว้ คงจะเป็นชาวบ้านสักคนที่อยู่ในงานเลี้ยง แต่เมื่อนางเดินเข้าไปใกล้ คนผู้นั้นกลับไม่ใช่ชาบ้านอย่างที่นางคิด แต่เป็นฉือหย่งหลิงแทน แต่ก่อนที่จินซีหลันจะได้อุทานขึ้นมา จินซีหลันบุตรชายของนาง ก็ได้เอื้อมมือมาปิดปากนางเอาไว้ก่อน“ชู่ว ท่านแม่ ท่านแม่ทัพยังคงอยู่ในระหว่างเวลาการทำภารกิจลับ ท่านอย่าได้เอ็ดไป” จินซีหลันได้ฟังความที่บุตรชายกบอก นางจึงพยักหน้าเข้าใจ และไม่กล่าวสิ่งใดออกมาอีก“เฉียนเอ๋อร์อยู่ที่เรือนแม่เฒ่าลี่ใช่หรือไม่”“ใช่เจ้าค่ะ”เมื่อได้รับคำยืนจากจินซีหลันแล้ว ฉือหย่งหลิงก็ไม่พูดพร่ำทำเพลง รีบช้อนตัวอุ้มฉือฟางอินที่สลบไปแล้วขึ้นมา จากนั้นก็พานางเดินออกจากงานเลี้ยง ไปที่ยังเรือนแม่เฒ่าลี่ทันที“
“แอ้...อื้อ! อาๆๆ”“ชู่ว คุณชายน้อย มารดาของท่านยังพักผ่อนอยู่ อย่าเพิ่งส่งเสียงรบกวนนางเลยนะเจ้าคะ”“อื้อๆๆ”แม้อี้ซวางจะพูดปลอบให้คุณชายน้อย ที่ต้องการปลุกมารดา ไม่ให้ไปรบกวน ฮูหยินที่ยังคงนอนพักผ่อนอยู่ แต่คุณชายน้อยจะไม่ยอมท่าเดียว อี้ซวางได้แต่เอ็นดูท่าทางของเด็กน้อย ที่พยายามยื่นมือเล็กป้อมไปหามารดาจนสุดแขน พร้อมกับส่งเสียงดังไม่ยอมหยุด และไม่นานความพยายามของเขาก็เป็นผล“ฮูหยิน ท่านตื่นแล้ว”ฉือฟางอินค่อยๆ ยันตัวเองลุกขึ้นพิงหัวเตียง ด้วยความที่เมื่อคืนนางดื่มสุราไปมากพอสมควร เมื่อตื่นขึ้นมานาจึงยังมีอาการมึนหัวอยู่เล็กน้อย“ท่านน้าอี้ซวาง...เฉียนเอ๋อร์”“อื้อ...อาๆๆ”เจ้าเด็กน้อยเมื่อเห็นว่ามารดาตื่นขึ้นมาแล้ว ก็ส่งเสียงดังไม่รู้ภาษา ถีบข้ายื่นมือมาทางมารดา หวังจะได้ถูกมารดาอุ้มเสียที ฉือฟางอินที่เห็นท่าดังนั้นก็อดที่จะขำเอ็นดูไม่ได้“แม่ยังไม่ได้อาบน้ำตั้งแต่เมื่อคืน เจ้ารอแม่เดี๋ยวเดียวได้หรือไม่ หรือว่าเจ้าหิวอย่างหรือไม่&
ระหว่างที่มือกำลังฝนหมึก ในหัวของฉือฟางอินก็ได้ไล่เลียงเรื่องราวเมื่อชีวิตที่แล้วไปพลาง เพราะหากเวลาในอดีตกับปัจจุบันสอดคล้องกัน เช่นนั้นก็แสดงว่าเวลานี้สินเดิม ของมารดาที่นางนำติดตัวออกมาจากจวนสกุลฉือ เวลานี้ก็คงจะพอเหลือให้นางได้ใช้อยู่ที่หมู่บ้านนี้ ได้อย่างสบายมือไปได้อีกนาน แต่ถึงอย่างนั้น นางก็จะต้องคิดเผื่ออนาคตไว้ด้วยเช่นนั้น ช่วงเวลาที่นางกับเฉียนเอ๋อร์ยังต้องอาศัยอยู่ที่หมู่บ้านหั้วห่าวแห่งนี้ นางจะต้องหาทาใช้ของมีค่าเงินที่เหลืออยู่จำนวนนี้ ต่อยอดให้พวกมันได้งอกเงยขึ้นมา เพื่อที่จะได้ใช้เป็นใบเบิกทางให้นางกับเฉียนเอ๋อร์ ได้ทำสิ่งต่างๆ ในอนาคตได้ง่ายขึ้นใช่แล้ว มีเงินเท่ากับมีอำนาจ เพราะเงินสามารถบันดาลทุกสิ่งมาให้กับนางได้ หรือไหว้วานให้ใครทำสิ่งใดให้ก็ย่อมได้“เสร็จเสียที”การทำบัญชีในครั้งนี้ ฉือฟางอินไม่เพียงแต่จดบันทึกเงินและของมีค่าที่มีอยู่ในย่ามเท่านั้น แต่รวมไปถึงเงินและของมีค่า ที่นางซ่อนเอาไว้ใต้เรือนไม้หลังเก่า ที่จวนสกุลฉืออยู่อีกจำนวนหนึ่ง มารดาของนางถึงจะไม่ได้เกิดมาในสกุลร่ำรวย แต่นางมีความขยันและความพยายามทุกวิถีทาง
วันรุ่งขึ้นฉือฟางอินตื่นขึ้นมาด้วยอาการเจ็บเต้านม เมื่อถึงเวลาที่ต้องให้นมเฉียนเอ๋อร์ ความเจ็บนี้ก็ยิ่งทวีคูณขึ้นมาพร้อมกับน้ำนมที่ไหลได้น้อย จนทำให้เจ้าบุตรชายร้องโยเยเพราะกินไม่อิ่ม จึงนึกขึ้นมาได้ว่าเพราะมัวแต่ยุ่งอยู่กับเรื่องกิจการร้านค้า จึงทำให้ลืมดื่มน้ำแกงบำรุงน้ำนมหลายวันแล้ว เช้านี้จึงรีบจัดการงานในเรือนให้แล้วเสร็จ จากนั้นก็รีบบุตรชายไปยังโรงหมอของหมู่บ้านทันที เมื่อเดินมาถึงก็พบกับเจ้าหมาน้อย ส่งเสียงเห่าต้อนอยู่ที่หน้าประตู ทำให้คนที่อยู่ด้านในรีบเดินออกมาดู ว่าเหตุใดเจ้าลูกหมาตัวจ้อยถึงได้เห่าเสียงดังไม่หยุด“อ้าว ข้าก็นึกว่าเจ้าตัวนี้มันเห่าเสียงดังด้วยเรื่องอะไร ที่แท้ก็เป็นฮูหยินน้อยกับคุณชายน้อยเองหรือ มาๆ เข้ามาด้านในก่อนสิ”“เจ้าค่ะท่านหมอ”“เชิญมานั่งทางนี้ก่อน เช้าๆ แบบนี้ก็จะดูรกหูรกตาไปสักหน่อยนะ พอดีว่าสองสามวันนี้ คนของข้านำสมุนไพรรอบใหม่มาส่งเยอะมากทีเดียว ก็เลยยังมีส่วนที่ต้องตากแดด อีกหลายแดดเหลืออยู่อีกจำนวนหนึ่ง ว่าแต่เหตุใดถึงได้มาที่นี่กันตั้งแต่เช้า มีใครเจ็บป่วยหรือไม่ส
โฮ่ง! โฮ่ง! โฮ่ง! หงิง หงิง“ชู่ว เจ่าเจา เจ้ากำลังทำให้เฉียนเอ๋อร์ตื่นนะ”ฉือฟางอินส่งเสียงปราบหมาน้อยเจ่าเจา ที่นางไปรับกลับมาเลี้ยงไว้ที่เรือนเมื่อหลายวันก่อน ตอนที่นางไปทำสัญญารับซื้อดอกไม้ป่าจากชาวบ้านที่อยู่ด้านนอก โดยมีท่านหมอฉิวหว่านอี้เป็นธุระจัดการให้ ทำให้ทุกเช้ามืดที่เรือนหลังนี้ จะมีเสียงแหลมเล็กของเจ้าเจ่าเจาส่งเสียงเห่าร้องขออาหารในทุกๆ วัน“เอ้า กินเสีย กินให้อิ่ม วันนี้ข้าจะพาออกไปข้างนอก”วันนี้ฉือฟางอินมีภารกิจที่ต้องออกไปทำนอกเรือน นั่นก็คือการไปรับดอกไม้รอบใหม่ ที่จะมาส่งที่โรงหมอของหมู่บ้าน แต่ก่อนหน้านั้นนางจะต้องแวะไปดูชาวบ้านลงมือปลูกต้นหม่อนเสียก่อน นับจากวันที่นางได้วางแผน ที่จะเกิดกิจการที่ย่านการค้าเมืองอี้ นี่ก็เป็นเวลากว่าหนึ่งเดือนแล้ว ที่ฉือฟางอินใช้ความสามารถที่นางมี คัดแยกชนิดของผ้าให้เหมาะสมกับด้ายที่จะใช้ปัก จากนั้นก็มานั่งวาดลายผ้าที่จะปักคร่าวๆ ลงบนกระดาษแผ่นแล้วแผ่นเล่า เพื่อให้ได้รูปที่สวยและสมส่วนมากที่สุด จากนั้นก็เอากระดาษเหล่านั้นมาเทียบลงบนผ้า แล้วจัดการใช้ดิ้นด้ายชั้นดีค่อยๆ ปักลงบนผ้า
“นี่พวกเราไม่ได้จะกลับบ้านกันหรอกหรือเจ้าคะ”ฉือฟางอินเอ่ยถามขึ้นมา เพราะเห็นว่าที่ที่ฉือหย่งหลิงพาตัวนางกับเฉียนเอ๋อร์มานั้น คือท่าเรือแคว้นหลูแทนที่มุ่งหน้า เดินกลับจวนสกุลฉือตามกำหนดการ ฉือหย่งหลิงไม่ได้อธิบายในทันที แต่กลับเดินนำหน้านางไปที่เรือลำหนึ่ง ที่ตกแต่งไปด้วยผ้าสีแดงสวยงาม ราวกับมีงานมงคลอยู่บนเรือลำนั้น แล้วหันมายื่นมือรอให้นางเดินเข้าไป เพื่อที่ได้พยุงนางกับลูกขึ้นเรือ“นี่อย่างไร จะพากำลังจะพาเจ้ากลับบ้าน”ความแปลกใจของฉือฟางอินยิ่งทวีขึ้น เมื่อเดินเข้ามาด้านในเรือแล้วพบว่า ด้านในของเรือลำนี้ได้ถูกจำลอง ให้เหมือนกับงานพิธีสมรสอย่างไรอย่างนั้น“นี่มันอะไรกันเจ้าคะ ทำในนี้ถึงได้...”“ฮูหยิน เมื่อสามปีก่อนที่เราแต่งงานกัน เป็นข้าที่ปฏิบัติกับเจ้าไม่ดี ไม่ให้เกียรติ์เจ้าในฐานะภรรยา แม้แต่เกี้ยวเจ้าสาวดีดี ก็ไม่ได้หาให้เจ้า ในวันนี้ที่ข้าสำนึกผิดแล้ว จึงอยากจะขอแก้ตัวกับเจ้าใหม่ ฮูหยิน ได้โปรดแต่งงานกับข้าอีกครั้งได้หรือไม่ ครั้งนี้ข้าสัญญาด้วยชีวิต ว่าเจ้าจะไม่เสียใจที่ได้แต่งงานกับคนอย่างข้าอีก เหมือนเมื่อสามปีที่แล้วอย่างแน่นอน
“ด้วยนิสัยเดิมของบุตรชายข้าคนนี้ ที่นอกจะไม่เอาไหนแล้ว เขามักจะชอบลักเล็กขโมยน้อย สิ่งของคนที่เขาเคยได้สนทนาด้วยเสมอพะย่ะค่ะ”พรึ่บชวี่ซุนเหลียนขาอ่อนล้มพับลงไปนั่งกับทันที เมื่อนางเห็นพู่ตราสัญลักษณ์สกุลรุ่ย ประจำตัวของนางอยู่ในมือของฮ่องเต้ พู่ตราสัญลักษณ์นี้ เป็นสิ่งที่ติดตัวนางมาตั้งแต่เด็ก ด้วยความผูกพันกับของสิ่งนี้ ทำให้แม้จะเข้ามาเป็นอนุภรรยาในสกุลชวี่แล้ว นางก็ยังคงห้อยพู่ตราสัญลักษณ์สกุลรุ่ย ไว้กับตัวอยู่ตลอดเวลา ชวี่ซุนเหลียนไม่รู้ว่าตัวเองทำมันหล่นหายไปตอนไหนจนเข้าใจไปว่านางอาจจะทำพู่นั่น ตอนที่ไปอารามหวั่งสุ่ยกับจินหู่อดีตสาวใช้ ที่ถูกนางผลักตกเขาไปเมื่อสามปีก่อน เพราะจินหู่เป็นคนเดียวที่อยู่กับนาง ทั้งตอนวางแผนและตอนที่นางไปพบกับหลี่หมิงด้วยตัวเอง ชวี่ซุนเหลียนจึงจำต้องกำจัดนาง ตามคำสั่งของกู้ชินอ๋อง เพราะไม่อยากเกิดปัญหาตามมาในอนาคต หลังจากผ่านคืนนั้นไปไม่นาน ขณะที่ชวี่เจียงโหลวนำทัพไปทำสงคราม ชวี่ซุนเหลียนจึงออกอุบายกับจินหู่ ว่าตัวนางนั้นอยากจะไปสงบจิตใจ จากเรื่องที่พึ่งผ่านพ้นไป ด้วยการไปไหว้พระที่อารามหวั่งสุ่ยและต้องการไ
เกิดเสียงฮือฮาไปทั่วทุกสารทิศ ว่าเหตุใดชวี่เจียงโหลวถึงได้มาขออย่าขาดกับชวี่ซุนเหลียน ต่อหน้าธารกำนัลในวันสำคัญเช่นนี้ แม้แต่กู้ชินอ๋องเองก็ต้องถึงกับลุกขึ้นจากที่นั่ง เพราะไม่ได้คาดคิดถึงการกระทำเช่นนี้ ของชวี่เจียงโหลวมาก่อน“ท่านพี่ นี่มันอะไรกันเจ้าคะ”“นั่นสิแม่ทัพชวี่ วันดีๆ แบบนี้ เหตุใดเจ้าถึงขออย่ากับนางต่อหน้าข้าและคนอื่นๆ”“นั่นก็เพราะว่าข้า มิอาจอยู่ร่วมชายคา กับสตรีชั่วช้าคนนี้ได้อีกต่อไปแล้วพะย่ะค่ะ”“เจ้าหมายความว่าอย่างไรกัน”“พระองค์คงจะไม่รู้ว่าเมื่อสามปีที่แล้ว มีสิ่งใดเกิดขึ้นในจวนของกระหม่อมบ้าง”ทันทีที่ได้ยินชวี่เจียงโหลวกล่าวเช่นนั้น กู้ชินอ๋องและชวี่ซุนเหลียนต่างก็ตาเบิกกว้าง พร้อมกับหันหน้ามาสบตากัน เรื่องเมื่อสามปีที่แล้วจะเป็นเรื่องใดได้อีก หากไม่ใช่เรื่องที่ชวี่ซุนเหลียนวางแผน แย่งคู่หมั้นของฉือฟางอินมาให้บุตรสาว และหมายจะให้คนงานหอนางโลม เข้ามาทำมิดีร้ายกับฉือฟางอินถึงในเรือนของนาง“กระหม่อมสู้อดทน สืบหาเบาะแสผู้ที่อยู่เบื้องหลังมาตลอด จนได
“แล้วเขาให้ความร่วมมือหรือไม่ขอรับ”“ย่อมต้องเป็นอย่างนั้น”หลังจากที่รู้ให้คนพาตัวหลี่เฉินมาที่ค่ายทหาร ชวี่เจียงโหลวแสดงตนต่อหน้าเขา พร้อมทั้งบอกให้เขาได้รู้ว่า คุณหนูที่สตรีชนชั้นสูงนิรนามคนนั้น จ้างวานให้เขามาทำมิดีมิร้ายคือบุตรสาวของตน เท่านั้นก็ทำให้ลี่เฉินตัวสั่นเป็นเจ้าเข้า เพราะความโง่เขลา“ท่านแม่ทัพชวี่ เรื่องนี้ ข ข้าไม่เกี่ยวนะขอรับ ป เป็น เป็นบุตรชายของข้า ที่แอบรับงานนั้นด้วยตัวเอง ข้าไม่เกี่ยวนะขอรับ”“คนตายไปแล้วจะพูดอะไรได้ หากเจ้าบอกว่าเจ้าไม่เกี่ยวกับข้องเรื่องนี้ แต่ทันทีที่พบของพวกนี้ เจ้ากลับจะนำไปทำลาย นี่หรือที่เจ้าบอกว่าไม่เกี่ยวข้อง”“ม ไม่ใช่ ไม่ใช่อย่างนั้นขอรับท่านแม่ทัพ ที่ข้าคิดจะเอาของพวกนี้ไปทิ้ง ก็เพราะว่าข้ากลัวข้า กับคนในครอบครัวที่เหลือที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ ต้องโดนหางเลขไปด้วยขอรับ”“งั้นก็แสดงว่าเจ้ารู้แล้วอย่านั้นหรือ ว่าของสองอย่างนี้เป็นของใคร”“ยังไม่ทราบแน่ชัดขอรับ แต่คนผู้นั้นน่าจะมีความเกี่ยวข้องกับสกุล
“อื้อ แอ้! คิกๆ”“ฮ่าๆ เฉียนเอ๋อร์ ขาเจ้าเล็กแค่นี้ แต่พละกำลังมากเหลือเกิน แม่เจ้าคงเลี้ยงเจ้ามาอย่างดีเลยสินะ”ชวี่เจียงโหลวกล่าวอย่างอารมณ์ดี ขณะที่กำลังให้หลานชาย ใช้ขาอวบทั้งสองข้าง ยันหน้าขากระโดดเด้งขึ้นเด้งลง ส่งเสียหัวเราะคิกคักด้วยความสนุกสนาน โดยมีฉือฟางอินและฉือหย่งหลิง นั่งอยู่ใกล้ๆ คอยมองสองตาหลาน เล่นด้วยกันด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม หลังจากทานมื้อค่ำด้วยกันแล้ว ชวี่เจียงโหลวได้ชักชวนบุตรสาวและบุตรเขย มานั่งพูดคุยถามสารทุกข์ตลอดหลายปีที่ไม่ได้พบหน้ากัน ซึ่งแน่นอนว่าการพูดคุยในครั้งนี้นั้น ไม่มีอนุเหลียนตามมาด้วย“เฉียนเอ๋อร์ เจ้าเล่นเบาๆ หน่อยเถิด เดี๋ยวท่านตาของเจ้าจะเจ็บเอาได้”“ไม่เป็นไรๆ ปล่อยให้เขาได้เล่นตามใจเถิด แรงเพียงเท่านี้ จะทำข้ากับได้อย่างไร เฉียนเอ๋อร์เจ้าเหนื่อยหรือยัง ให้ตาจับเจ้าโยนเล่นบนอากาศดีหรือไม่”“อื้อ แอ๊!”แม้จะพบหน้ากันเป็นวันแรก แต่สองตาหลานก็ดูจะเข้ากันดีจนคนเป็นแม่อย่างฉือฟางอินอดที่จะแปลกใจไม่ได้ เพราะที่ผ่านมา เฉียนเอ๋อร์ไม่ค่อยได้พบเจอคนอื่
“เชิญพวกเจ้าพักผ่อนกันให้หายเหนื่อยเถิด ขาดเหลืออะไรก็บอกคนรับใช้ เดี๋ยวสักครู่ข้าจะต้องเข้าวังไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้คงไม่ได้อยู่ถามสารทุกข์สุขดิบของพวกเจ้า เอาไว้พบกันตอนค่ำก็แล้วกัน”“เจ้าค่ะท่านพ่อ ท่านไปเตรียมตัวเถิดเจ้าค่ะ ไม่ต้องห่วงทางนี้”หลังจากที่พาบุตรสาวและบุตรเขย มาส่งยังเรือนเก่าของฉือฟางอิน ที่ชวี่เจียงโหลวยังคงให้คนรับใช้เข้ามาทำความสะอาดทุกวัน เหมือนเมื่อครั้งที่บุตรสาวอาศัยอยู่ที่นี่ เจ้าตัวก็ต้องรีบเดินทางไปยังวังหลวงเพื่อส่งรายงาน สิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างการทำศึกรวบรวมดินแดน ที่ชวี่เจียงโหลวเป็นผู้นำทัพ และสามารถคว้าชัยชนะมาได้เมื่อหลายเดือนก่อนด้านฉือฟางอินที่พึ่งจะตกปากรับคำที่บิดาไป แต่นางกลับมีความคิดจะออกไปข้างนอก แทนที่จะพักผ่อนตามที่บิดาบอก เหตุเห็นว่าไหนๆ ตนเองก็เดินทางมาถึงจวนสกุลชวี่ เร็วกว่าเวลาที่คำนวณเอาไว้มาก ประกอบกับที่นางไม่ได้รู้สึกเหนื่อยล้า จากการเดินทางที่ผ่านมาเลยสักนิด นางจึงอยากจะเดินทางไปเยี่ยมชมกิจการเลี้ยงหม่อน ที่เคยวางแผนว่าจะไปที่นั่นใน หลังจากผ่านไปแล้วสองถึงสามวัน หลังจากที่ถึงจวนสกุลชวี
“เด็กคนนี้คือเฉียนเอ๋อร์…หลานชายของท่านเจ้าค่ะ”“แอ๊!”ท่ามกลางความตกใจและไม่คาดคิดของชวี่เจียงโหลว เจ้าตัวน้อยที่จ้องหน้าท่านตาของตนเองอยู่ก่อนแล้ว ก็ส่งเสียงทักทายขึ้นมาพร้อมกับฉีกยิ้ม เห็นฟันน้อยที่มีอยู่ไม่กี่ซี่ให้กับเขา“หละ หลานชาย โอ้! เฉียนเอ๋อร์ เฉียนเอ๋อร์หลานตา มาๆ มาให้ตาดูเจ้าใกล้ๆ หน่อยเถิด”เมื่อตั้งสติและกระจ่างแจ้งแล้วว่า เด็กชายตัวน้อยที่ฉือฟางอิน บุตรสาวของตนเองอุ้มอยู่นั้น เป็นหลานชายแท้ๆ ของตน แม่ทัพใหญ่แห่งแคว้นหลู จึงได้รีบเดินเข้าไปที่รถม้าเพื่อช่วยพยุงบุตรสาวลงมา แต่ทว่าขณะที่กำลังยื่นมือออกไป หมายจะอุ้มหลานชายของตนเองนั้น ชวี่เจียงโหลวกลับชะงักมือของเขาเอาไว้ เพราะคิดขึ้นมาได้ว่าบุตรสาวของตนเองนั้น จะยินดีให้เขาอุ้มลูกของนางหรือไม่ด้านฉือฟางอินเองหลังจากที่เห็นท่าทีลังเลของบิดา นางจึงเป็นฝ่ายส่งลูกน้อย สู่อ้อมอกท่านตาของเขา โดยที่ไม่มีท่าทีไม่พอใจแต่อย่างใด ชวี่เจียงโหลวถึงได้กล้ารับเจ้าตัวน้อยมาอุ้มเอาไว้ หญิงสาวมองภาพตรงหน้าด้วยอารมณ์ที่หลากหลาย แต่ถึงอย่างนั้นนางก็รู้สึ
“เชิญท่านแม่ทัพกับฮูหยินทางนี้ขอรับ”เจียงเถาที่เร่งเดินทางมาให้ถึงเมืองลิ่ง ก่อนหน้าที่คนที่เหลือที่ขบวนจะเดินมาถึง เพื่อมาจัดการหาที่พักให้กับทุกคน เมื่อเห็นว่าเจ้านายและคนอื่นๆ เดินทางมาถึงแล้ว ชายหนุ่มจึงรีบเดินเข้ามาเพื่อนำทางไปยังโรงเตี๊ยมชั้นดี ที่เขาจัดการจ่ายเงินที่เจ้านายมอบให้ สำหรับสถานที่พักค้างแรมในคืนนี้ระหว่างทางที่กำลังเดินไปยังโรงเตี๊ยม ฉือฟางอินที่เคยได้ยินชื่อและได้มาเยือนเป็นครั้งแรก ก็อดที่จะตื่นตาตื่นใจกับการสัมผัสบรรยากาศในสถานที่ใหม่ไม่ได้ เพราะแม้ว่าเวลานี้จะเป็นเวลาพลบค่ำแล้ว แต่บรรยากาศในเมืองลิ่งก็ยังคงคึกคัก คลาคลั่งไปด้วยผู้คนมากมาย ไม่เหมือนกับเมืองอื่นๆ ที่ชาวบ้านส่วนใหญ่จะทำกิจวัตรอยู่ในบ้านของตนเอง หลังจากพระอาทิตย์ตกดินไปแล้ว นั่นก็เพราะทุกพื้นที่ในเมืองลิ่งนั้น ล้วนเต็มไปด้วยโรงเตี๊ยมกิจการร้านค้าและร้านอาหารน้อยใหญ่ จนไปถึงภัตตาคารเรียงรายไปทั่วทั้งเมือง“ถึงแล้วขอรับ”“อ้าว นายของเจ้ามาแล้วรึ เชิญๆ ท่านแม่ทัพฮูหยิน เชิญเข้ามาได้เลย ข้าให้เด็กเตรียมที่พักไว้ตามที่ท่านต้องการแล้ว เด็กๆ มา
“กลับแคว้นหลูอย่างนั้นหรือฮูหยิน”ทันทีที่ได้เห็นท่าทางของฉือหย่งหลิง หลังจากที่เขาได้รู้ว่าตัวนางนั้นกำลังจะเดินกลับแคว้นหลู ฉือฟางอินก็ได้แต่ถอนหายใจออกมา นางไม่ได้คิดที่จะปิดบังเขาแต่อย่างใด เพียงแต่ต้องการเวลาให้ตัวนางได้เรียบเรียงคำพูดมาอธิบายให้กับฉือหย่งหลิงอนุญาตให้นาง ได้กลับไปยังแคว้นบ้านเกิด แต่เนื่องจากช่วงนี้การงานที่รัดตัว จึงทำให้นางลืมบอกเรื่องนี้กับเขา“ใช่ ข้าจะกลับบ้าน”“แล้วเหตุใดข้าถึงไม่รู้เรื่องนี้ ข้าทำอะไรให้เจ้าไม่พอใจอย่างนั้นหรือ”“เปล่า ท่านไม่ได้ทำอะไร”“ไม่จริง ไม่เช่นนั้นเจ้าจะวางแผนหนีข้าไปเช่นนี้หรือ”“ไปกันใหญ่แล้ว ข้าแค่จะกลับไปเยี่ยมท่านพ่อ”“เยี่ยมบิดาของเจ้าหรือ”“ก็ใช่น่ะสิ ท่านคิดไปถึงไหนกัน”เพราะนับตั้งแต่ที่ได้มาอยู่ที่นี่ มีเรื่องราวมากมายเกิดขึ้นที่หญิงสาวไม่ทันได้ตั้งตัว จึงเป็นเวลากว่าสามปีแล้วที่หญิงสาว ยังไม่ได้มีโอกาสกลับไปเยี่ยมบ้านเกิดตามธรรมเนียม เวลานี้ที่ตัวนางกำลังขยายร้