“แอ้...อื้อ! อาๆๆ”
“ชู่ว คุณชายน้อย มารดาของท่านยังพักผ่อนอยู่ อย่าเพิ่งส่งเสียงรบกวนนางเลยนะเจ้าคะ”
“อื้อๆๆ”
แม้อี้ซวางจะพูดปลอบให้คุณชายน้อย ที่ต้องการปลุกมารดา ไม่ให้ไปรบกวน ฮูหยินที่ยังคงนอนพักผ่อนอยู่ แต่คุณชายน้อยจะไม่ยอมท่าเดียว อี้ซวางได้แต่เอ็นดูท่าทางของเด็กน้อย ที่พยายามยื่นมือเล็กป้อมไปหามารดาจนสุดแขน พร้อมกับส่งเสียงดังไม่ยอมหยุด และไม่นานความพยายามของเขาก็เป็นผล
“ฮูหยิน ท่านตื่นแล้ว”
ฉือฟางอินค่อยๆ ยันตัวเองลุกขึ้นพิงหัวเตียง ด้วยความที่เมื่อคืนนางดื่มสุราไปมากพอสมควร เมื่อตื่นขึ้นมานาจึงยังมีอาการมึนหัวอยู่เล็กน้อย
“ท่านน้าอี้ซวาง...เฉียนเอ๋อร์”
“อื้อ...อาๆๆ”
เจ้าเด็กน้อยเมื่อเห็นว่ามารดาตื่นขึ้นมาแล้ว ก็ส่งเสียงดังไม่รู้ภาษา ถีบข้ายื่นมือมาทางมารดา หวังจะได้ถูกมารดาอุ้มเสียที ฉือฟางอินที่เห็นท่าดังนั้นก็อดที่จะขำเอ็นดูไม่ได้
“แม่ยังไม่ได้อาบน้ำตั้งแต่เมื่อคืน เจ้ารอแม่เดี๋ยวเดียวได้หรือไม่ หรือว่าเจ้าหิวอย่างหรือไม่”
“มิต้องห่วงเจ้าค่ะฮูหยิน แม่เฒ่าลี่ให้ข้าไปขอความช่วยเหนือจากหญิงชาวบ้านแม่ลูกอ่อน มาให้คุณชายน้อยเข้าเต้าแล้วเจ้าค่ะ”
“แล้วเฉียนเอ๋อร์ยอมกินนมนางหรือไม่”
“ตอนแรกก็ไม่ยอมเจ้าค่ะ ร้องจะหาแต่ท่านท่าเดียว แต่สุดท้ายก็ทนความหิวไม่ไหวเจ้าค่ะ”
ฉือฟางอินได้ยินเช่นนั้นก็เบาใจ นางเองก็ต้องรีบลุกไปจัดการตัวเองแล้วเหมือนกัน เพื่อที่จะได้กลับมาอุ้มเจ้าก้อนหมั่นโถวเร็วๆ
“เฉียนเอ๋อร์ เจ้ารอแม่เดี๋ยวเดียว แม่จะรีบมาอุ้มเจ้า”
“อื้อๆ อาๆๆ”
“เชิญเจ้าค่ะฮูหยิน ข้าเตรียมชุดเอาไว้ให้ท่านแล้วเจ้าค่ะ”
หลังจากที่ฉือฟางอินจัดการตัวเองเรียบร้อยแล้ว เฉียนเอ๋อร์จึงได้กลับสู่อ้อมกอดของมารดาสมใจ เมื่อเดินออกมาก็พบว่าอี้ซวาง ได้จัดกับข้าวขึ้นโต๊ะไว้รอให้เรียบร้อยแล้ว แม่เฒ่าลี่เองก็นั่งรอทั้งสองคนอยู่ที่โต๊ะกินข้าว พร้อมกับหญิงสาวนางหนึ่งที่อุ้มเด็กคนหนึ่งนั่งอยู่ข้างๆ
“ฮูหยินน้อย แม่นางนี้คือหย่งซื่อ ที่ข้าไหว้วานให้มาช่วยให้นมคุณชายน้อย ระหว่างที่ท่านยังให้นมเขาไม่ได้”
“ที่แท้ก็เป็นท่านน้าท่านนี้นี่เอง ขอบคุณท่านน้าหย่งซื่อมาก ที่สละน้ำนมให้กับเฉียนเอ๋อร์ของข้า”
“ไม่เป็นเลยเจ้าค่ะฮูหยิน ข้าเต็มใจเจ้าค่ะ”
“อย่างไรข้าก็ต้องขอบคุณท่านอยู่ดี แล้วนี่ บุตรชายของท่านมีนามว่าอะไร อายุเท่าใดแล้วหรือ ดูสิ เขาดูตัวโตกว่าเฉียนเอ๋อร์เสียอีก”
“บุตรชายของข้ามีนามว่า หย่งเจี้ยนอายุตอนนี้เข้าเดือนที่หกแล้วเจ้าค่ะ”
“อย่างนั้นเองหรือ เฉียนเอ๋อร์ท่านป้าหย่งซื่อมีบุญคุณกับเจ้า โตขึ้นจงอย่าลืมตอบแทน”
“อื้อ แอ๊ๆ”
เฉียนเอ๋อร์ส่งเสียงตอบรับมารดาทันทีเหมือนทุกครั้ง ราวกับว่าตนเองนั้นเข้าใจสิ่งที่มารดากล่าว แต่ทว่าสายตากลับเอาแต่จดจ้องไปที่หย่งเจี้ยนไม่วางตา และเมื่อหย่งเจี้ยงมองกลับมา เจ้าก้อนหมั่นโถวก็ส่งยิ้มกว้างจนเห็นเหงือกแดงแจ๋ไปให้ ภาพเด็กทั้งสองคนหัวเราะเล่นกันไปมานั้น พาให้ผู้ใหญ่ที่นั่งอยู่ ต่างเอ็นดูกับท่าทางของเด็กน้อยทั้งสอง
หลังจากเสร็จสิ้นอาหารเช้ากันไปแล้ว หย่งซื่อยังคงไม่ได้จากไปไหน เนื่องจากนางยังต้องให้นมเฉียนเอ๋อร์ แทนฉือฟางอินที่จะต้องดื่มน้ำสมุนไพร ขับฤทธิ์สุราออกจากร่างกาย กว่าเฉียนเอ๋อร์จะกลับมากินนมมารดาของตนเองได้ ก็ต้องใช้เวลาไปจนถึงช่วงค่ำของวันนี้ถึงจะแล้วเสร็จ
“เฉียนเอ๋อร์ ดูท่าแล้วเจ้าจะชอบหย่งเจี้ยนมาเลยสินะ เอาอย่างนี้ดีหรือไม่ แม่จะให้เจ้ากับหย่งเจี้ยนเป็นสหายของกันและกัน เจ้าว่าดีหรือไม่”
“อื้อๆ แอ๊!”
“ดีๆ เมื่อเจ้าทั้งสองคนโตขึ้น พวกเจ้าจะต้องช่วยเหลือเกื้อกูล ซึ่งกันและกันเข้าใจหรือไม่”
“อื้อ แอ๊!/แอ๊”
ทารกทั้งสองเปล่งเสียงโดยพร้อมเพียงกัน เรียกเสียงหัวเราะจากผู้ใหญ่ทั้งสี่คนได้เป็นอย่างดี เวลาทั้งช่วงเช้าจนถึงช่วงบ่ายที่บ้านแม่เฒ่าลี่ จึงได้ยินเสียงเด็กทารกทั้งสองคน หยอกล้อเล่นกันไปมาดังไปทั่วบริเวณ ส่วนในช่วงบายที่เด็กทั้งสองคน กำลังหลับใหลตามเวลานอนของพวกเขา รวมไปถึงแม้เฒ่าลี่เองก็ต้องพักผ่อนหลังจากกินยาไปด้วยเช่นกัน อี้ซวางจึงได้ขอตัวไปทำงานอย่างอื่นที่เรือนเล็กๆ ของนางที่อยู่หลังเรือนของแม่เฒ่าลี่
ฉือฟางอินนั่งมองหย่งซื่อที่นั่งดูบุตรชาย พร้อมกับเย็บชุดจากอุปกรณ์ ที่นางเตรียมมาจากบ้านไปด้วยอยู่ครู่หนึ่ง นางจึงได้ละสายตาจากสองแม่ลูก แล้วหันกลับมานั่งทบทวนสิ่งต่างๆ ที่อยู่ในหัวของนาง เป็นเวลากว่าเจ็ดวันแล้ว นับตั้งแต่ฟื้นขึ้นมากลางป่า ในวันนั้นนางฟื้นขึ้นมา พร้อมกับความตั้งใจที่ใช้ชีวิตอย่างสงบ และอุทิศเวลาทั้งชีวิตให้กับเฉียนเอ๋อร์เพียงคนเดียว
แต่ถึงอย่างนั้นทุกอย่าง ก็ไม่ได้ง่ายดายอย่างที่นางคิด เพราะนับตั้งแต่วันนั้นก็ยังไม่มีวันไหนเลย ที่ฉือฟางอินจะได้อยู่อย่างสงบอย่างที่นางตั้งใจเอาไว้ แต่กระนั้นจะให้โทษผู้อื่นอย่างเดียวก็คงจะไม่ได้ เพราะบางครั้งก็เป็นตัวนางเองเสียด้วยซ้ำ ที่ไม่สามรถชนะความอยากรู้อยากเห็นของตนเองได้
ถึงได้พาตนเองเข้าไปรู้เรื่อง ที่ทำให้ไม่สบายใจเช่นนี้ แม้กระทั้งกับเรื่องของฉือหย่งหลิงเองด้วยเช่นกัน หากนางไม่อยากให้เขามามีอิทธิพลกับหัวใจและความรู้สึกของนาง นับตั้งแต่นี้ไปต่อไป นางจะต้องเลิกคิดถึงเรื่องเขา รวมไปถึงเรื่องของคนอื่น แล้วหันกลับมาสนใจแต่เรื่องของตัวเองกับบุตรชาย ค่ำวันเดียวกันนั้น หลังจากที่ได้ดื่มน้ำสมุนไพรขับฤทธิ์สุราแก้วสุดท้ายแล้ว ฉือฟางอินจึงได้พาเฉียนเอ๋อร์กลับมาที่เรือน เวลานี้นางกำลังนั่งเล่นพูดคุยกับเจ้าก้อนหมั่นโถว เพื่อรอเวลาที่จะเอาเขาเข้าเต้าแล้วกล่อมนอน
“อือ ฮรึก อื้ออ”
“โอ๋ๆ เด็กดี เจ้าง่วงแล้วใช่หรือไม่ มาๆ แม่จะพาเจ้าเข้านอน”
ฉือฟางอินอุ้มบุตรชายกินนม พร้อมกับร้องเพลงกล่อมเจ้าตัวน้อยไปด้วย ผ่านไปครู่ใหญ่เฉียนเอ๋อร์ก็เข้าสู่ห้วงนิทรา เมื่อวางบุตรชายไว้บนเตียงและจัดที่ทางให้เขา นอนหลับอย่างสบายเรียบร้อยแล้ว นางจึงได้ดับไฟแล้วเดินออกจากห้องนอน ไปที่ห้องทำงานของฉือหย่งหลิง ความจริงนางไม่ได้อยากจะแตะต้อง สิ่งของที่เป็นของคนผู้นั้นเท่าไหร่ แต่เมื่อนางต้องอาศัยอยู่ที่นี่ นางจึงขอใช้สิทธิ์การเป็นภรรยาของเขา หยิบของเล็กๆ น้อยๆ ในห้องนี้ เช่น สมุดเปล่า พู่กันและที่ฝนหมึกมาใช้หน่อยก็แล้วกัน
เมื่อรื้อหาของที่ต้องการมาจนครบแล้ว ฉือฟางอินจึงได้จัดการลงมือฝนหมึก เพื่อเตรียมจะทำสมุดบัญชีสำหรับแจกแจงเงิน และสมบัติของมารดาที่เหลืออยู่ เพื่อที่จะได้วางแผนอนาคต ของนางและบุตรชาย
ระหว่างที่มือกำลังฝนหมึก ในหัวของฉือฟางอินก็ได้ไล่เลียงเรื่องราวเมื่อชีวิตที่แล้วไปพลาง เพราะหากเวลาในอดีตกับปัจจุบันสอดคล้องกัน เช่นนั้นก็แสดงว่าเวลานี้สินเดิม ของมารดาที่นางนำติดตัวออกมาจากจวนสกุลฉือ เวลานี้ก็คงจะพอเหลือให้นางได้ใช้อยู่ที่หมู่บ้านนี้ ได้อย่างสบายมือไปได้อีกนาน แต่ถึงอย่างนั้น นางก็จะต้องคิดเผื่ออนาคตไว้ด้วยเช่นนั้น ช่วงเวลาที่นางกับเฉียนเอ๋อร์ยังต้องอาศัยอยู่ที่หมู่บ้านหั้วห่าวแห่งนี้ นางจะต้องหาทาใช้ของมีค่าเงินที่เหลืออยู่จำนวนนี้ ต่อยอดให้พวกมันได้งอกเงยขึ้นมา เพื่อที่จะได้ใช้เป็นใบเบิกทางให้นางกับเฉียนเอ๋อร์ ได้ทำสิ่งต่างๆ ในอนาคตได้ง่ายขึ้นใช่แล้ว มีเงินเท่ากับมีอำนาจ เพราะเงินสามารถบันดาลทุกสิ่งมาให้กับนางได้ หรือไหว้วานให้ใครทำสิ่งใดให้ก็ย่อมได้“เสร็จเสียที”การทำบัญชีในครั้งนี้ ฉือฟางอินไม่เพียงแต่จดบันทึกเงินและของมีค่าที่มีอยู่ในย่ามเท่านั้น แต่รวมไปถึงเงินและของมีค่า ที่นางซ่อนเอาไว้ใต้เรือนไม้หลังเก่า ที่จวนสกุลฉืออยู่อีกจำนวนหนึ่ง มารดาของนางถึงจะไม่ได้เกิดมาในสกุลร่ำรวย แต่นางมีความขยันและความพยายามทุกวิถีทาง
วันรุ่งขึ้นฉือฟางอินตื่นขึ้นมาด้วยอาการเจ็บเต้านม เมื่อถึงเวลาที่ต้องให้นมเฉียนเอ๋อร์ ความเจ็บนี้ก็ยิ่งทวีคูณขึ้นมาพร้อมกับน้ำนมที่ไหลได้น้อย จนทำให้เจ้าบุตรชายร้องโยเยเพราะกินไม่อิ่ม จึงนึกขึ้นมาได้ว่าเพราะมัวแต่ยุ่งอยู่กับเรื่องกิจการร้านค้า จึงทำให้ลืมดื่มน้ำแกงบำรุงน้ำนมหลายวันแล้ว เช้านี้จึงรีบจัดการงานในเรือนให้แล้วเสร็จ จากนั้นก็รีบบุตรชายไปยังโรงหมอของหมู่บ้านทันที เมื่อเดินมาถึงก็พบกับเจ้าหมาน้อย ส่งเสียงเห่าต้อนอยู่ที่หน้าประตู ทำให้คนที่อยู่ด้านในรีบเดินออกมาดู ว่าเหตุใดเจ้าลูกหมาตัวจ้อยถึงได้เห่าเสียงดังไม่หยุด“อ้าว ข้าก็นึกว่าเจ้าตัวนี้มันเห่าเสียงดังด้วยเรื่องอะไร ที่แท้ก็เป็นฮูหยินน้อยกับคุณชายน้อยเองหรือ มาๆ เข้ามาด้านในก่อนสิ”“เจ้าค่ะท่านหมอ”“เชิญมานั่งทางนี้ก่อน เช้าๆ แบบนี้ก็จะดูรกหูรกตาไปสักหน่อยนะ พอดีว่าสองสามวันนี้ คนของข้านำสมุนไพรรอบใหม่มาส่งเยอะมากทีเดียว ก็เลยยังมีส่วนที่ต้องตากแดด อีกหลายแดดเหลืออยู่อีกจำนวนหนึ่ง ว่าแต่เหตุใดถึงได้มาที่นี่กันตั้งแต่เช้า มีใครเจ็บป่วยหรือไม่ส
โฮ่ง! โฮ่ง! โฮ่ง! หงิง หงิง“ชู่ว เจ่าเจา เจ้ากำลังทำให้เฉียนเอ๋อร์ตื่นนะ”ฉือฟางอินส่งเสียงปราบหมาน้อยเจ่าเจา ที่นางไปรับกลับมาเลี้ยงไว้ที่เรือนเมื่อหลายวันก่อน ตอนที่นางไปทำสัญญารับซื้อดอกไม้ป่าจากชาวบ้านที่อยู่ด้านนอก โดยมีท่านหมอฉิวหว่านอี้เป็นธุระจัดการให้ ทำให้ทุกเช้ามืดที่เรือนหลังนี้ จะมีเสียงแหลมเล็กของเจ้าเจ่าเจาส่งเสียงเห่าร้องขออาหารในทุกๆ วัน“เอ้า กินเสีย กินให้อิ่ม วันนี้ข้าจะพาออกไปข้างนอก”วันนี้ฉือฟางอินมีภารกิจที่ต้องออกไปทำนอกเรือน นั่นก็คือการไปรับดอกไม้รอบใหม่ ที่จะมาส่งที่โรงหมอของหมู่บ้าน แต่ก่อนหน้านั้นนางจะต้องแวะไปดูชาวบ้านลงมือปลูกต้นหม่อนเสียก่อน นับจากวันที่นางได้วางแผน ที่จะเกิดกิจการที่ย่านการค้าเมืองอี้ นี่ก็เป็นเวลากว่าหนึ่งเดือนแล้ว ที่ฉือฟางอินใช้ความสามารถที่นางมี คัดแยกชนิดของผ้าให้เหมาะสมกับด้ายที่จะใช้ปัก จากนั้นก็มานั่งวาดลายผ้าที่จะปักคร่าวๆ ลงบนกระดาษแผ่นแล้วแผ่นเล่า เพื่อให้ได้รูปที่สวยและสมส่วนมากที่สุด จากนั้นก็เอากระดาษเหล่านั้นมาเทียบลงบนผ้า แล้วจัดการใช้ดิ้นด้ายชั้นดีค่อยๆ ปักลงบนผ้า
กริ๊ง! เคร้ง!เสียงร่วงหล่นจากสิ่งของบางอย่าง เรียกให้คนทั้งหมอที่ยืนคุยกันอยู่หันหน้ามาทางต้นทางของเสียงนั้นทันที“ฮูหยิน!”ฉือฟางอินที่กำลังจะเดินออกไปเมื่อครู่ เมื่อได้ยินว่าฉือหย่งหลิงได้รับบาดเจ็บ พลันมือไม้ของนางก็อ่อนลง จนทำให้ถุงเงินและของที่นำติดตัวมาด้วยล่วงหล่นออกจากมือไป“ฮูหยิน ท่านเป็นอะไรหรือไม่ขอรับ”เป็นจินซีจ่าวที่เดินปรี่เข้ามาถามไถ่อาการของฉือฟางอิน หลังจากที่สังเกตเห็นว่านางสีหน้าที่ไม่ค่อยดีเท่าไหร่นัก“ข ข้า ไม่เป็นอะไร ของพวกนี้”“เชิญท่านมานักพักด้านในก่อนเถิดขอรับ ของพวกนี้ข้าเก็บให้เองขอรับ”ฉือฟางอินพยักหน้ารับคำจินซีจ่าวแต่โดยดี จากนั้นก็เดินเข้าไปในบ้านของเขาด้วยท่าทางล่องลอย ภายในหัวยังคงได้ยินเสียงบุรุษผู้นั้นกล่าวถึงเรื่องที่ฉือหย่งหลิง ได้รับบาดเจ็บซ้ำไปซ้ำมาอยู่อย่างนั้น “ฮูหยิน”“ที่เจ้าพูดออกมาเมื่อครู่ เป็นเรื่องจริงอย่างนั้นหรือ...ที่ว่าคนผู้นั้นบาดเจ็บสาหัส”บุรุษคนดั่งกล่าวมีท่าทีอึกอักขึ้
เมื่อฉือฟาอินได้ฟังคำอธิบายและเห็นท่าทางของแม่นมหลี่ ฉือฟางอินก็รับรู้ได้ทันที่ว่า และเวลานี้คนรับใช้ในจวนสกุลฉือเอง คงรู้สึกว่าพวกเขานั้นขาดที่พึ่งกันจริงๆ“ตกลง ข้าจะทำตามที่พวกเจ้าขอร้อง หากมีสิ่งใดที่ข้าพอจะช่วยเหลือพวกเจ้าได้ ก็บอกข้ามาได้เลย”“ขอบคุณเจ้าค่ะฮูหยิน ขอบคุณจริงๆ เจ้าค่ะ” แม่นมหลี่และพ่อบ้านหม่ารู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง ที่ฉือฟางอินตอบตกลงในสิ่งที่พวกเขาร้องขอ ส่วนคนรับใช้คนอื่นแม้จะมีท่าทางไม่ค่อยมั่นใจในตัวนางเท่าไหร่ เพราะที่ผ่านมาพวกเขาไม่เคยเห็นฉือหย่งหลิง ให้ความสำคัญกับนางมาก่อน แม้แต่อำนาจการดูแลภายในจวน ก็ไม่เคยให้นางจัดการแต่เมื่อบุคคลสำคัญดูแลทั้งคุณชายเฟิ่งเฉียน และความเรียบร้อยภายในจวน ออกหน้ามาขนาดนี้แล้ว พวกเขาก็ไม่มีเหตุผลใดที่จะไม่ทำตาม“เช่นนั้นฮูหยิน ส่งคุณชายให้ข้าเถิดเจ้าค่ะ เด็กๆ เตรียมน้ำไว้ให้ท่านแล้ว เชิญท่านชำระร่างกายแช่น้ำให้ผ่อนคลาย ไม่ต้องห่วงทางนี้ ข้าจะดูแลคุณชายให้เอง”“ขอบใจมาก”
ชีวิตใหม่ในจวนสกุลฉือเริ่มขึ้นมาได้กว่าครึ่งเดือนแล้ว ระเบียบในจวนสกุลฉือแม้จะไม่เหมือนที่สกุลชวี่ แต่ทว่าก็ไม่ได้ยุ่งยากจนเกินความสามารถของฉือฟางอิน นางยังคงจัดการทุกอย่างได้เป็นอย่างดี นับตั้งแต่วันแรก ที่ที่ได้รับผิดชอบหน้าที่นี้ เช้าวันนี้ฉือฟางอินยังคงตื่นขึ้นมา ตั้งแต่ฟ้ายังไม่สางเหมือนเช่นเคย ส่วนเฉียนเอ๋อร์นั้นยังคงนอนหลับอุตุอยู่ในเปล เพราะด้วยช่วงวัยที่เปลี่ยนของเขา จึงทำให้เวลาตื่นนอนของเขาเปลี่ยนไปด้วย เวลานี้ที่มีคนคอยหุงหาอาหารให้นางจึงพอมีเวลานั่งดูแผนงานกิจการร้านค้าของตนเอง ก่อนที่จะได้เวลาตื่นของบุตรชายเมื่อวันก่อนหลังจากที่จินซีจ่าว มารายงานความคืบหน้า ว่าช่างที่ได้ว่าจ้างเอาไว้ ได้ทำการจัดพื้นที่ทั้งหมด ในร้านค้าเสร็จเรียบร้อยแล้ว เหลือเพียงของตกแต่งที่ต้องรอให้ฉือฟางอิน เดินทางไปสั่งการด้วยตัวเองวันนี้จึงเป็นวันที่นางนัดกับจินซีจ่าว ไปดูความเรียบร้อยและสิ่งที่ยังขาดอยู่ภายในร้านค้าของนางและจะถือโอกาสนี้ เดินสำรวจพื้นที่ทั้งสองฝั่งของย่านการค้าเมืองอี้ ที่ได้กลับมาเปิดใหม่อย่างเป็นทางการแล้วอย่างระเอียด ว่ากิจการร้านค้าทั้งสองฝั่งนั้นข
“ได้อย่างไรกัน มิเห็นหรือว่าเถ้าแก่พาพวกข้ามาถึงก่อน”ฉือฟางอินกล่าวออกมาด้วยความไม่พอใจแม้ดูจากลักษณะแล้วสตรีนางนี้น่าจะมีอายุพอที่จะเป็นมารดาของนางได้ แต่กระนั้น ก็เห็นๆ กันอยู่ว่าฉือฟางอินกับคนอื่นๆ นั้นมาถึงก่อน และยังถูกเถ้าแก่เจ้าของภัตตาคาร เชื้อเชิญให้มานั่งที่โต๊ะตัวนี้ด้วยตัวเอง แล้วเหตุใดสตรีนางนี้ถึงได้กล้าทำกริยาเสียมารยาทเช่นนี้กับพวกนางได้“แต่ข้านั่งก่อน ใครนั่งก่อนก็ได้กินก่อน คนอื่นๆ ที่มาที่นี่ก็ทำเช่นนี้เหมือนกันทั้งนั้น เจ้ามิรู้หรอกหรือ หรือว่าพึ่งจะเคยได้ออกมาดูโลกภายนอกครั้งแรก ถึงได้ไม่รู้ความเช่นนี้”“นี่ท่าน!”“เอ่อ ท่านทั้งสองใจเย็นๆ ก่อนนะขอรับ” หม่ออิ๋นเถ้าแก่เจ้าของภัตตาคารห้วงจุงที่เห็นว่าเริ่มท่าไม่ดีแล้ว จึงได้เอ่ยห้ามสตรีทั้งสองนางที่กำลังเถียงกันด้วยความหนักใจแต่หากยึดความถูกต้อง แน่นอนว่าฝ่ายของสตรีที่เขาพาเข้ามาในร้านด้วยตัวเองเมื่อครู่นี้ อย่างไรแล้วนางและพวกก็จะต้องได้ที่นั่งโต๊ะตัวนี้ไป แต่ทว่าเขาจะไม่หนักใจเลยหากว่าสตรีอีกคน ไม่ใช่อนุเจี้ยนหรือหวางชิงเจี้
หลังการทราบข่าวว่าอีกไม่นาน กองกำลังทหารที่ถูกส่งให้ไปรบที่ชายแดนทางเหนือ จะได้เดินทางกลับมายังเมืองหลวงแล้ว วันต่อมา ฉือฟางอินจึงได้ไหว้วานให้เจียงเถาออกไปเรียกตัว ช่างก่อสร้างกลุ่มเดียวกับที่สร้างกิจการร้านค้าของนางให้มาพบที่จวนสกุลฉือมะรืนนี้ทันที หลังจากนั้นในวันรุ่งขึ้น นางก็เรียกคนรับใช้ชายหญิงจำนวนหนึ่ง ให้มาทำความสะอาดและถางหญ้าบริเวณรอบๆ เรือนไม้หลังเก่าของนางทั้งหมดและระหว่างนั้นก็พาตนเองไปนั่งนั่งอยู่ที่โต๊ะเก่าๆ ใต้ต้นไม้แถวนั้น พร้อมกับจดบันทึกบางอย่างลงในสมุด ที่พกติดมือมาด้วยสีหน้าจริงจังเมื่อคนรับใช้ทั้งหมดทำงานแล้วเสร็จได้เป็นที่น่าพอใจ นางจึงได้ตบรางวัลให้พวกเขาด้วยเงินจำนวนหนึ่ง แล้วให้พวกเขาแยกย้ายกันไปทำอย่างอื่นได้“เหวินจู เจียงเถา ตามข้ามา”หลังจากที่คนรับใช้คนอื่นๆ ออกไปหมดแล้ว ฉือฟางอินจึงเรียกเหวินจูและเจียงเถา ให้เข้าไปด้านในเรือนพร้อมกันเมื่อเข้ามานด้านในแล้ว ฉือฟางอินก็สั่งให้เจียงเถาเปิดแผ่นไม้พื้นกระดานแผ่นหนึ่งใต้เตียงนอน ซึ่งในนั้นมีสมบัติที่เป็นสินเดิมของมารดา ที่นางซ่อนอยู่ออกมา จากนั้นก็สั่งให้เจียงเถ
“นี่พวกเราไม่ได้จะกลับบ้านกันหรอกหรือเจ้าคะ”ฉือฟางอินเอ่ยถามขึ้นมา เพราะเห็นว่าที่ที่ฉือหย่งหลิงพาตัวนางกับเฉียนเอ๋อร์มานั้น คือท่าเรือแคว้นหลูแทนที่มุ่งหน้า เดินกลับจวนสกุลฉือตามกำหนดการ ฉือหย่งหลิงไม่ได้อธิบายในทันที แต่กลับเดินนำหน้านางไปที่เรือลำหนึ่ง ที่ตกแต่งไปด้วยผ้าสีแดงสวยงาม ราวกับมีงานมงคลอยู่บนเรือลำนั้น แล้วหันมายื่นมือรอให้นางเดินเข้าไป เพื่อที่ได้พยุงนางกับลูกขึ้นเรือ“นี่อย่างไร จะพากำลังจะพาเจ้ากลับบ้าน”ความแปลกใจของฉือฟางอินยิ่งทวีขึ้น เมื่อเดินเข้ามาด้านในเรือแล้วพบว่า ด้านในของเรือลำนี้ได้ถูกจำลอง ให้เหมือนกับงานพิธีสมรสอย่างไรอย่างนั้น“นี่มันอะไรกันเจ้าคะ ทำในนี้ถึงได้...”“ฮูหยิน เมื่อสามปีก่อนที่เราแต่งงานกัน เป็นข้าที่ปฏิบัติกับเจ้าไม่ดี ไม่ให้เกียรติ์เจ้าในฐานะภรรยา แม้แต่เกี้ยวเจ้าสาวดีดี ก็ไม่ได้หาให้เจ้า ในวันนี้ที่ข้าสำนึกผิดแล้ว จึงอยากจะขอแก้ตัวกับเจ้าใหม่ ฮูหยิน ได้โปรดแต่งงานกับข้าอีกครั้งได้หรือไม่ ครั้งนี้ข้าสัญญาด้วยชีวิต ว่าเจ้าจะไม่เสียใจที่ได้แต่งงานกับคนอย่างข้าอีก เหมือนเมื่อสามปีที่แล้วอย่างแน่นอน
“ด้วยนิสัยเดิมของบุตรชายข้าคนนี้ ที่นอกจะไม่เอาไหนแล้ว เขามักจะชอบลักเล็กขโมยน้อย สิ่งของคนที่เขาเคยได้สนทนาด้วยเสมอพะย่ะค่ะ”พรึ่บชวี่ซุนเหลียนขาอ่อนล้มพับลงไปนั่งกับทันที เมื่อนางเห็นพู่ตราสัญลักษณ์สกุลรุ่ย ประจำตัวของนางอยู่ในมือของฮ่องเต้ พู่ตราสัญลักษณ์นี้ เป็นสิ่งที่ติดตัวนางมาตั้งแต่เด็ก ด้วยความผูกพันกับของสิ่งนี้ ทำให้แม้จะเข้ามาเป็นอนุภรรยาในสกุลชวี่แล้ว นางก็ยังคงห้อยพู่ตราสัญลักษณ์สกุลรุ่ย ไว้กับตัวอยู่ตลอดเวลา ชวี่ซุนเหลียนไม่รู้ว่าตัวเองทำมันหล่นหายไปตอนไหนจนเข้าใจไปว่านางอาจจะทำพู่นั่น ตอนที่ไปอารามหวั่งสุ่ยกับจินหู่อดีตสาวใช้ ที่ถูกนางผลักตกเขาไปเมื่อสามปีก่อน เพราะจินหู่เป็นคนเดียวที่อยู่กับนาง ทั้งตอนวางแผนและตอนที่นางไปพบกับหลี่หมิงด้วยตัวเอง ชวี่ซุนเหลียนจึงจำต้องกำจัดนาง ตามคำสั่งของกู้ชินอ๋อง เพราะไม่อยากเกิดปัญหาตามมาในอนาคต หลังจากผ่านคืนนั้นไปไม่นาน ขณะที่ชวี่เจียงโหลวนำทัพไปทำสงคราม ชวี่ซุนเหลียนจึงออกอุบายกับจินหู่ ว่าตัวนางนั้นอยากจะไปสงบจิตใจ จากเรื่องที่พึ่งผ่านพ้นไป ด้วยการไปไหว้พระที่อารามหวั่งสุ่ยและต้องการไ
เกิดเสียงฮือฮาไปทั่วทุกสารทิศ ว่าเหตุใดชวี่เจียงโหลวถึงได้มาขออย่าขาดกับชวี่ซุนเหลียน ต่อหน้าธารกำนัลในวันสำคัญเช่นนี้ แม้แต่กู้ชินอ๋องเองก็ต้องถึงกับลุกขึ้นจากที่นั่ง เพราะไม่ได้คาดคิดถึงการกระทำเช่นนี้ ของชวี่เจียงโหลวมาก่อน“ท่านพี่ นี่มันอะไรกันเจ้าคะ”“นั่นสิแม่ทัพชวี่ วันดีๆ แบบนี้ เหตุใดเจ้าถึงขออย่ากับนางต่อหน้าข้าและคนอื่นๆ”“นั่นก็เพราะว่าข้า มิอาจอยู่ร่วมชายคา กับสตรีชั่วช้าคนนี้ได้อีกต่อไปแล้วพะย่ะค่ะ”“เจ้าหมายความว่าอย่างไรกัน”“พระองค์คงจะไม่รู้ว่าเมื่อสามปีที่แล้ว มีสิ่งใดเกิดขึ้นในจวนของกระหม่อมบ้าง”ทันทีที่ได้ยินชวี่เจียงโหลวกล่าวเช่นนั้น กู้ชินอ๋องและชวี่ซุนเหลียนต่างก็ตาเบิกกว้าง พร้อมกับหันหน้ามาสบตากัน เรื่องเมื่อสามปีที่แล้วจะเป็นเรื่องใดได้อีก หากไม่ใช่เรื่องที่ชวี่ซุนเหลียนวางแผน แย่งคู่หมั้นของฉือฟางอินมาให้บุตรสาว และหมายจะให้คนงานหอนางโลม เข้ามาทำมิดีร้ายกับฉือฟางอินถึงในเรือนของนาง“กระหม่อมสู้อดทน สืบหาเบาะแสผู้ที่อยู่เบื้องหลังมาตลอด จนได
“แล้วเขาให้ความร่วมมือหรือไม่ขอรับ”“ย่อมต้องเป็นอย่างนั้น”หลังจากที่รู้ให้คนพาตัวหลี่เฉินมาที่ค่ายทหาร ชวี่เจียงโหลวแสดงตนต่อหน้าเขา พร้อมทั้งบอกให้เขาได้รู้ว่า คุณหนูที่สตรีชนชั้นสูงนิรนามคนนั้น จ้างวานให้เขามาทำมิดีมิร้ายคือบุตรสาวของตน เท่านั้นก็ทำให้ลี่เฉินตัวสั่นเป็นเจ้าเข้า เพราะความโง่เขลา“ท่านแม่ทัพชวี่ เรื่องนี้ ข ข้าไม่เกี่ยวนะขอรับ ป เป็น เป็นบุตรชายของข้า ที่แอบรับงานนั้นด้วยตัวเอง ข้าไม่เกี่ยวนะขอรับ”“คนตายไปแล้วจะพูดอะไรได้ หากเจ้าบอกว่าเจ้าไม่เกี่ยวกับข้องเรื่องนี้ แต่ทันทีที่พบของพวกนี้ เจ้ากลับจะนำไปทำลาย นี่หรือที่เจ้าบอกว่าไม่เกี่ยวข้อง”“ม ไม่ใช่ ไม่ใช่อย่างนั้นขอรับท่านแม่ทัพ ที่ข้าคิดจะเอาของพวกนี้ไปทิ้ง ก็เพราะว่าข้ากลัวข้า กับคนในครอบครัวที่เหลือที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ ต้องโดนหางเลขไปด้วยขอรับ”“งั้นก็แสดงว่าเจ้ารู้แล้วอย่านั้นหรือ ว่าของสองอย่างนี้เป็นของใคร”“ยังไม่ทราบแน่ชัดขอรับ แต่คนผู้นั้นน่าจะมีความเกี่ยวข้องกับสกุล
“อื้อ แอ้! คิกๆ”“ฮ่าๆ เฉียนเอ๋อร์ ขาเจ้าเล็กแค่นี้ แต่พละกำลังมากเหลือเกิน แม่เจ้าคงเลี้ยงเจ้ามาอย่างดีเลยสินะ”ชวี่เจียงโหลวกล่าวอย่างอารมณ์ดี ขณะที่กำลังให้หลานชาย ใช้ขาอวบทั้งสองข้าง ยันหน้าขากระโดดเด้งขึ้นเด้งลง ส่งเสียหัวเราะคิกคักด้วยความสนุกสนาน โดยมีฉือฟางอินและฉือหย่งหลิง นั่งอยู่ใกล้ๆ คอยมองสองตาหลาน เล่นด้วยกันด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม หลังจากทานมื้อค่ำด้วยกันแล้ว ชวี่เจียงโหลวได้ชักชวนบุตรสาวและบุตรเขย มานั่งพูดคุยถามสารทุกข์ตลอดหลายปีที่ไม่ได้พบหน้ากัน ซึ่งแน่นอนว่าการพูดคุยในครั้งนี้นั้น ไม่มีอนุเหลียนตามมาด้วย“เฉียนเอ๋อร์ เจ้าเล่นเบาๆ หน่อยเถิด เดี๋ยวท่านตาของเจ้าจะเจ็บเอาได้”“ไม่เป็นไรๆ ปล่อยให้เขาได้เล่นตามใจเถิด แรงเพียงเท่านี้ จะทำข้ากับได้อย่างไร เฉียนเอ๋อร์เจ้าเหนื่อยหรือยัง ให้ตาจับเจ้าโยนเล่นบนอากาศดีหรือไม่”“อื้อ แอ๊!”แม้จะพบหน้ากันเป็นวันแรก แต่สองตาหลานก็ดูจะเข้ากันดีจนคนเป็นแม่อย่างฉือฟางอินอดที่จะแปลกใจไม่ได้ เพราะที่ผ่านมา เฉียนเอ๋อร์ไม่ค่อยได้พบเจอคนอื่
“เชิญพวกเจ้าพักผ่อนกันให้หายเหนื่อยเถิด ขาดเหลืออะไรก็บอกคนรับใช้ เดี๋ยวสักครู่ข้าจะต้องเข้าวังไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้คงไม่ได้อยู่ถามสารทุกข์สุขดิบของพวกเจ้า เอาไว้พบกันตอนค่ำก็แล้วกัน”“เจ้าค่ะท่านพ่อ ท่านไปเตรียมตัวเถิดเจ้าค่ะ ไม่ต้องห่วงทางนี้”หลังจากที่พาบุตรสาวและบุตรเขย มาส่งยังเรือนเก่าของฉือฟางอิน ที่ชวี่เจียงโหลวยังคงให้คนรับใช้เข้ามาทำความสะอาดทุกวัน เหมือนเมื่อครั้งที่บุตรสาวอาศัยอยู่ที่นี่ เจ้าตัวก็ต้องรีบเดินทางไปยังวังหลวงเพื่อส่งรายงาน สิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างการทำศึกรวบรวมดินแดน ที่ชวี่เจียงโหลวเป็นผู้นำทัพ และสามารถคว้าชัยชนะมาได้เมื่อหลายเดือนก่อนด้านฉือฟางอินที่พึ่งจะตกปากรับคำที่บิดาไป แต่นางกลับมีความคิดจะออกไปข้างนอก แทนที่จะพักผ่อนตามที่บิดาบอก เหตุเห็นว่าไหนๆ ตนเองก็เดินทางมาถึงจวนสกุลชวี่ เร็วกว่าเวลาที่คำนวณเอาไว้มาก ประกอบกับที่นางไม่ได้รู้สึกเหนื่อยล้า จากการเดินทางที่ผ่านมาเลยสักนิด นางจึงอยากจะเดินทางไปเยี่ยมชมกิจการเลี้ยงหม่อน ที่เคยวางแผนว่าจะไปที่นั่นใน หลังจากผ่านไปแล้วสองถึงสามวัน หลังจากที่ถึงจวนสกุลชวี
“เด็กคนนี้คือเฉียนเอ๋อร์…หลานชายของท่านเจ้าค่ะ”“แอ๊!”ท่ามกลางความตกใจและไม่คาดคิดของชวี่เจียงโหลว เจ้าตัวน้อยที่จ้องหน้าท่านตาของตนเองอยู่ก่อนแล้ว ก็ส่งเสียงทักทายขึ้นมาพร้อมกับฉีกยิ้ม เห็นฟันน้อยที่มีอยู่ไม่กี่ซี่ให้กับเขา“หละ หลานชาย โอ้! เฉียนเอ๋อร์ เฉียนเอ๋อร์หลานตา มาๆ มาให้ตาดูเจ้าใกล้ๆ หน่อยเถิด”เมื่อตั้งสติและกระจ่างแจ้งแล้วว่า เด็กชายตัวน้อยที่ฉือฟางอิน บุตรสาวของตนเองอุ้มอยู่นั้น เป็นหลานชายแท้ๆ ของตน แม่ทัพใหญ่แห่งแคว้นหลู จึงได้รีบเดินเข้าไปที่รถม้าเพื่อช่วยพยุงบุตรสาวลงมา แต่ทว่าขณะที่กำลังยื่นมือออกไป หมายจะอุ้มหลานชายของตนเองนั้น ชวี่เจียงโหลวกลับชะงักมือของเขาเอาไว้ เพราะคิดขึ้นมาได้ว่าบุตรสาวของตนเองนั้น จะยินดีให้เขาอุ้มลูกของนางหรือไม่ด้านฉือฟางอินเองหลังจากที่เห็นท่าทีลังเลของบิดา นางจึงเป็นฝ่ายส่งลูกน้อย สู่อ้อมอกท่านตาของเขา โดยที่ไม่มีท่าทีไม่พอใจแต่อย่างใด ชวี่เจียงโหลวถึงได้กล้ารับเจ้าตัวน้อยมาอุ้มเอาไว้ หญิงสาวมองภาพตรงหน้าด้วยอารมณ์ที่หลากหลาย แต่ถึงอย่างนั้นนางก็รู้สึ
“เชิญท่านแม่ทัพกับฮูหยินทางนี้ขอรับ”เจียงเถาที่เร่งเดินทางมาให้ถึงเมืองลิ่ง ก่อนหน้าที่คนที่เหลือที่ขบวนจะเดินมาถึง เพื่อมาจัดการหาที่พักให้กับทุกคน เมื่อเห็นว่าเจ้านายและคนอื่นๆ เดินทางมาถึงแล้ว ชายหนุ่มจึงรีบเดินเข้ามาเพื่อนำทางไปยังโรงเตี๊ยมชั้นดี ที่เขาจัดการจ่ายเงินที่เจ้านายมอบให้ สำหรับสถานที่พักค้างแรมในคืนนี้ระหว่างทางที่กำลังเดินไปยังโรงเตี๊ยม ฉือฟางอินที่เคยได้ยินชื่อและได้มาเยือนเป็นครั้งแรก ก็อดที่จะตื่นตาตื่นใจกับการสัมผัสบรรยากาศในสถานที่ใหม่ไม่ได้ เพราะแม้ว่าเวลานี้จะเป็นเวลาพลบค่ำแล้ว แต่บรรยากาศในเมืองลิ่งก็ยังคงคึกคัก คลาคลั่งไปด้วยผู้คนมากมาย ไม่เหมือนกับเมืองอื่นๆ ที่ชาวบ้านส่วนใหญ่จะทำกิจวัตรอยู่ในบ้านของตนเอง หลังจากพระอาทิตย์ตกดินไปแล้ว นั่นก็เพราะทุกพื้นที่ในเมืองลิ่งนั้น ล้วนเต็มไปด้วยโรงเตี๊ยมกิจการร้านค้าและร้านอาหารน้อยใหญ่ จนไปถึงภัตตาคารเรียงรายไปทั่วทั้งเมือง“ถึงแล้วขอรับ”“อ้าว นายของเจ้ามาแล้วรึ เชิญๆ ท่านแม่ทัพฮูหยิน เชิญเข้ามาได้เลย ข้าให้เด็กเตรียมที่พักไว้ตามที่ท่านต้องการแล้ว เด็กๆ มา
“กลับแคว้นหลูอย่างนั้นหรือฮูหยิน”ทันทีที่ได้เห็นท่าทางของฉือหย่งหลิง หลังจากที่เขาได้รู้ว่าตัวนางนั้นกำลังจะเดินกลับแคว้นหลู ฉือฟางอินก็ได้แต่ถอนหายใจออกมา นางไม่ได้คิดที่จะปิดบังเขาแต่อย่างใด เพียงแต่ต้องการเวลาให้ตัวนางได้เรียบเรียงคำพูดมาอธิบายให้กับฉือหย่งหลิงอนุญาตให้นาง ได้กลับไปยังแคว้นบ้านเกิด แต่เนื่องจากช่วงนี้การงานที่รัดตัว จึงทำให้นางลืมบอกเรื่องนี้กับเขา“ใช่ ข้าจะกลับบ้าน”“แล้วเหตุใดข้าถึงไม่รู้เรื่องนี้ ข้าทำอะไรให้เจ้าไม่พอใจอย่างนั้นหรือ”“เปล่า ท่านไม่ได้ทำอะไร”“ไม่จริง ไม่เช่นนั้นเจ้าจะวางแผนหนีข้าไปเช่นนี้หรือ”“ไปกันใหญ่แล้ว ข้าแค่จะกลับไปเยี่ยมท่านพ่อ”“เยี่ยมบิดาของเจ้าหรือ”“ก็ใช่น่ะสิ ท่านคิดไปถึงไหนกัน”เพราะนับตั้งแต่ที่ได้มาอยู่ที่นี่ มีเรื่องราวมากมายเกิดขึ้นที่หญิงสาวไม่ทันได้ตั้งตัว จึงเป็นเวลากว่าสามปีแล้วที่หญิงสาว ยังไม่ได้มีโอกาสกลับไปเยี่ยมบ้านเกิดตามธรรมเนียม เวลานี้ที่ตัวนางกำลังขยายร้