โฮ่ง! โฮ่ง! โฮ่ง! หงิง หงิง
“ชู่ว เจ่าเจา เจ้ากำลังทำให้เฉียนเอ๋อร์ตื่นนะ”
ฉือฟางอินส่งเสียงปราบหมาน้อยเจ่าเจา ที่นางไปรับกลับมาเลี้ยงไว้ที่เรือนเมื่อหลายวันก่อน ตอนที่นางไปทำสัญญารับซื้อดอกไม้ป่าจากชาวบ้านที่อยู่ด้านนอก โดยมีท่านหมอฉิวหว่านอี้เป็นธุระจัดการให้ ทำให้ทุกเช้ามืดที่เรือนหลังนี้ จะมีเสียงแหลมเล็กของเจ้าเจ่าเจาส่งเสียงเห่าร้องขออาหารในทุกๆ วัน
“เอ้า กินเสีย กินให้อิ่ม วันนี้ข้าจะพาออกไปข้างนอก”
วันนี้ฉือฟางอินมีภารกิจที่ต้องออกไปทำนอกเรือน นั่นก็คือการไปรับดอกไม้รอบใหม่ ที่จะมาส่งที่โรงหมอของหมู่บ้าน แต่ก่อนหน้านั้นนางจะต้องแวะไปดูชาวบ้านลงมือปลูกต้นหม่อนเสียก่อน นับจากวันที่นางได้วางแผน ที่จะเกิดกิจการที่ย่านการค้าเมืองอี้ นี่ก็เป็นเวลากว่าหนึ่งเดือนแล้ว ที่ฉือฟางอินใช้ความสามารถที่นางมี คัดแยกชนิดของผ้าให้เหมาะสมกับด้ายที่จะใช้ปัก จากนั้นก็มานั่งวาดลายผ้าที่จะปักคร่าวๆ ลงบนกระดาษแผ่นแล้วแผ่นเล่า เพื่อให้ได้รูปที่สวยและสมส่วนมากที่สุด จากนั้นก็เอากระดาษเหล่านั้นมาเทียบลงบนผ้า แล้วจัดการใช้ดิ้นด้ายชั้นดีค่อยๆ ปักลงบนผ้าอย่างใจเย็น ฉือฟางอินอดทนนั่งหลังขดหลังแข็ง ปักลายลงบนผ้าผืนน้อยใหญ่หลายผืน จนตอนนี้นางมีผ้าที่เสร็จพร้อม ที่จะนำไปวางขายที่ร้านค้าเก็บไว้ในหีบได้สองหีบใหญ่แล้ว
ส่วนน้ำมันหอมระเหยที่มีขั้นตอนการทำ ระเอียดมากว่าการปักผ้าหลายเท่านั้น เวลาร่วมเดือนที่ผ่านมานี้ จึงยังเป็นเพียงขั้นตอนการนำดอกไม้ที่รับซื้อมาจากชาวบ้าน มาแยกชนิดและตากแห้งพร้อมกับจดบันทึกชื่อ ลักษณะ และกลิ่นของพวกมันเอาไว้ก่อน และนอกจากนี้นางก็ไม่ลืมที่จะเก็บเมล็ดพันธุ์ของพวกมันเอาไว้ สำหรับเพาะพันธุ์ไว้เปรียบเทียบกลิ่น ว่าดอกไม้ชนิดเดียวกันที่กำเติบโตกันคนละที่ จะมีกลิ่นหอมต่างกันหรือไม่
เผื่อในอนาคตนางจะได้ซื้อที่ดินสักผืน เอาไว้ปลูกดอกไม้เหล่านี้ สำหรับเอาไว้ทำน้ำมันหอมระเหยโดยเฉพาะ โดยไม่ต้องไปเบียดเบียนดอกไม้ที่ขึ้นอยู่ในป่า การปลูกต้นหม่อนของชาวบ้านในวันนี้ เป็นความคิดที่ฉือฟางอินเสนอให้กับชาวบ้าน เพื่ออยากตอบแทนพวกเขา ที่ช่วยดูแลนางกับเฉียนเอ๋อร์เป็นอย่างดี ตลอดระยะเวลาที่นางอาศัยอยู่ที่หมู่บ้านแห่งนี้ ฉือฟางอินจึงได้คิดวิธีสร้างรายได้ให้กับพวกเขา ด้วยการให้พวกเขาปลูกต้นหม่อนเอาไว้เลี้ยงหนอนไหม บนผืนดินข้างผืนดินที่ชาวบ้านใช้ปลูกฝ้าย เพื่ออนาคตพวกเขาจะได้ทอผ้าจากตัวไหม และนำผ้าเหล่านั้นมาขายให้กับนาง เพื่อที่นางจะได้นำผ้าเหล่านั้นมาปักลาย เป็นสินค้านำไปวางขายในร้านค้ากิจการของนาง ส่วนที่เหลือก็ส่งไปขายยังแคว้นข้างเคียง เพื่อนำรายได้มาสู่หมู่บ้าน
“ฮูหยิน ท่านมาแล้วหรือเจ้าคะ”
“เป็นอย่างไรบ้าง ทุกอย่างเป็นไปด้วยดีหรือไม่”
“เจ้าค่ะ นี่ก็ปลูกไปได้เกือบครึ่งแล้วเจ้าค่ะ”
ฉือฟางอินยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ออกมาทันที หลังได้ยินว่าการปลูกต้นหม่อน ที่ได้เริ่มขึ้นไปแล้วนั้น ไม่ได้มีปัญหาอะไรให้ต้องกังวลใจ แม้การปลูกหม่อนเลี้ยงไหมนี้ ยังจะต้องใช้เวลาอีกนานหลายเดือน แต่นางเชื่อว่าต้นหม่อน ที่ถูกปลูกลงในผืนดินกว้างใหญ่ผืนนี้ จะนำมาพาประโยชน์ และเงินทองมาให้กับชาวบ้านทุกคนได้อย่างแน่นอน และสิ่งสำคัญที่ต้องทำ ระหว่างที่รอต้นหม่อนเจริญเติบโตน นั่นก็คือการส่งจดหมายไปหาบิดาของนาง เพื่อขอให้บิดาช่วยไปพบท่านผู้นำสกุลเล่อ สกุลที่สืบทอดการเลี้ยงไหม ที่มีคุณภาพดีมากที่สุดในแคว้นหลู เพื่อทำสัญญาจองไข่หนอนไหมของพวกเขาเอาไว้ล่วงหน้า
เมื่อไหร่ที่ต้นหม่อนเติบโต พร้อมที่จะเป็นอาหารให้กับหนอนไหมแล้ว นางจะให้บิดาช่วยส่งไข่หนอนไหมพวกนั้นมาให้ ฉือฟางอินได้แต่หวังว่านับจากนี้ ไปจนกว่าเหล่าต้นหม่อนจะโตเต็มที่ สถานการณ์วุ่นวายที่เมืองอี้จะกลับเข้าสู่สภาวะปกติได้เร็ววัน และดูเหมือนว่าคำภาวนาของฉือฟางอิน จะเป็นจริงเร็วกว่าที่คิดเอาไว้ เพราะหลังจากนั้นได้เพียงสิบห้าวัน จินซีจ่าวก็กลับเข้ามาในหมู่บ้านพร้อมกับขาวดีว่า บัดนี้ กองกำลังสำรองของหั้วชินอ๋อง ได้มีชัยเหนือกบฏชายแดน ที่หมายจะยึดเมืองอี้แล้ว เมืองอี้ในตอนนี้จึงกลับเข้าสู่สภาวะปกติ เวลานี้จึงอยู่ในระหว่างรอให้ทางการ จัดการความเรียบร้อยที่อยู่อาศัยของชาวบ้าน
จึงเป็นโอกาสอันดี เนื่องจากหลายวันก่อนจินซือโจว ได้นำสัญญาเช่าที่ดิน มาให้นางเขียนและ ชื่อประทับรอยนิ้วมือเรียบร้อยแล้ว วันนี้จึงเป็นวันที่นางจะต้องบอกรูปแบบร้านค้าให้กับจินซือจ่าว เพื่อไปรายงานแก่ช่างที่รออยู่
“ฮูหยินอยากได้อาคารแบบไหนหรือขอรับ”
“ข้าอยากได้อาคารสองชั้นขนาดสองคูหา ด้านล่างกั้นแบ่งเป็นสองห้องใหญ่ ส่วนด้านบนไม่ต้องกั้น แบบนี้ เจ้าพอจะเข้าใจใช่หรือไม่”
ในคราแรกความต้องการของฉือฟางอินนั้น นางอยากได้แค่พื้นที่ที่จะการสร้างร้านค้ากิจการของตัวเอง ขนาดเพียงหนึ่งคูหาเท่านั้น แต่ทว่าเมื่อมาคำนวณค่าเช่าพื้น ที่ต้องจ่ายทุกเดือนแล้ว ช่างไม่คุ้มค่ากับพื้นที่เพียงหนึ่งคูหาเอาเสียเลย นางจึงได้เปลี่ยนความคิดขยายพื้นที่ร้านค้า ออกมาเป็นแบบที่เพิ่งอธิบายให้จินซีจ่าวฟังไปเมื่อครู่นี้แทน
“เข้าใจขอรับ”
“ดี เช่นนั้นก็เอาแต่เพียงเท่านี้ก่อนเถิด ในส่วนของภายในกับของที่ใช้ตกแต่ง ข้าขอใช้เวลาคิดอีกสักหน่อย”
“ได้ขอรับ เช่นนั้นข้าน้อยขอตัวก่อน”
“อื้อ! แอ๊!”
เป็นเฉียนเอ๋อร์ที่ก่อนหน้านี้ กำลังนั่งจ้องผู้ใหญ่คุยกันตาแป๋วอยู่บนตักของฉือฟางอิน พอได้ยินจินซีจ่าวกล่าวลามารดาแล้วทำท่าจะลุกออกไปจากเรือน พลันเจ้าก้อนหมั่นโถว ก็ส่งเสียงร้องคุยกับจินซีจ่าวขึ้นมาดังลั่น
“เฉียนเอ๋อร์ เจ้าก็อยากบอกลาท่านน้าซีจ่าวเหมือนกันหรือ”
“อื้อ อู้วว วา อูวว”
“ฮ่าฮ่าฮ่า น่าเอ็นดูมากเลยขอรับคุณชายน้อย เอาไว้ครั้งหน้า ข้าน้อยจะแวะมาเล่นด้วยนะขอรับ วันนี้ข้าต้องไปทำธุระให้มารดาของท่านก่อน”
“อื้อ แอ๊!”
เด็กน้อยส่งเสียงราวกับว่าเข้าใจ พร้อมกับยกมือขึ้นมาโบกไปมา เหมือนเป็นการบอกลาจินซีจ่าวอย่างไรอย่างนั้น ผู้ใหญ่ทั้งสองที่ได้เห็นท่าทางเช่นนั้น ก็อดที่จะหัวเราะออกมาไม่ได้ เฉียนเอ๋อร์ในตอนนี้ ใกล้จะเข้าสู่เดือนที่ห้าเต็มที เขาสามารถพลิกคว่ำตัวไปมาเองได้ และยังรู้จักความมากขึ้น จนมารดาอย่างนางอดที่จะสงสัยไม่ได้ว่า เด็กวัยเท่านี้จะเข้าใจในสิ่งที่ผู้ใหญ่พูดได้จริงนะหรือ
ส่วนเรื่องการกินนั้นไม่ต้องพูดถึง ทุกวันนี้อาหารแต่ละมื้อที่ฉือฟางอินต้องกินทุกวัน ล้วนแล้วแต่เป็นอาหารที่กินเพื่อบำรุงน้ำนมทั้งสิ้น แต่ถึงอย่างนั้น นางก็เต็มใจที่จะกินอาหารเหล่านั้น เพื่อที่จะให้น้ำนมของนางมีมากพอ สำหรับให้เฉียนเอ๋อร์ได้กินในทุกวัน สิบวันต่อมาหลังจากที่ขอเวลาไปคิด เรื่องของจำเป็นภายในร้านค้า และของที่จะใช้ตกแต่งทั้งหมด วันนี้ก็ถึงเวลาที่ฉือฟางอินจะต้องเอารายชื่อของทั้งหมด พร้อมกับเงินจำนวนหนึ่งมาให้จินซีจ่าวที่บ้านของเขา
“เฉียนเอ๋อร์ เจ้าดูลูกเจี๊ยบพวกนี้สิ พวกมันตัวอวบอ้วนเหมือนกับเจ้าไม่มีผิด”
“แอ๊! อือๆๆ อู้ววว”
เป็นเพราะว่านางออกจากเรือนมาก่อนจะถึงเวลานัด ฉือฟางอินจึงถือโอกาสใช้เวลาที่เหลืออยู่นี้ อุ้มพาเฉียนเอ๋อร์เดินชมบรรยากาศระหว่างทางเดิน ที่ต้องผ่านสวนดอกไม้ สวนผักและเล้าไก่ของชาวบ้านไปเรื่อยๆ อย่างไม่รีบร้อนเท่าไหร่นัก เมื่อสองแม่ลูกเดินเล่นกันจนพอใจแล้ว พวกเขาพากันเดินมาที่บ้านท่านผู้นำหมู่บ้าน แต่นั้นก็เหมือนจะเร็วกว่าเวลาที่นัดหมายกับจินซีจ่าวไว้อยู่ดี เพราะเมื่อฉือฟางอินเดินมาจนถึงแล้ว ก็พบว่าที่บ้านของท่านผู้นำในตอนนี้ ได้มีกลุ่มชายฉกรรจ์ประจำหมู่บ้านสามสี่คน กำลังจับกลุ่มพูดคุยอยู่กับจินซือจ่าว และจินซือโจวด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
บางทีนางอาจจะมาเร็วไปหน่อย ฉือฟางอินจึงตัดสินใจเดินไปชมสวนดอกไม้ของชาวบ้าน ที่อยู่อีกทางหนึ่งเพื่อฆ่าเวลา ระหว่างที่พวกเขายังคงคุยธุระกันอยู่ แต่ทว่าก่อนที่ฉือฟางอินจะได้หันหลังกลับออกไปนั้น หูของนางกลับได้ยินชายฉกรรจ์คนหนึ่ง กล่าวถึงสถานการณ์สงครามชายแดนทางเหนือ ที่ฉือหย่งหลิงกำลังปฏิบัติหน้าที่อยู่ที่นั่นขึ้นมาเสียก่อน
“สถานการณ์ตอนนี้ไม่ค่อยสู้ดีเท่าไหร่นักขอรับ เพราะค่ายทหารฝั่งของเราถูกซุ่มโจมตีขอรับ”
“เช่นนั้นหรือ แล้วท่านอ๋องกับท่านแม่ทัพปลอดภัยดีหรือไม่”
“ท่านอ๋องปลอดภัยดีขอรับ แต่ว่าท่านแม่ทัพ...”
“ท่านแม่ทัพเป็นอะไร!”
“จากสารที่ทางนั้นส่งมา ข่าวว่าท่านแม่ทัพได้รับบาดเจ็บหนักเลยทีเดียวขอรับ”
กริ๊ง! เคร้ง!เสียงร่วงหล่นจากสิ่งของบางอย่าง เรียกให้คนทั้งหมอที่ยืนคุยกันอยู่หันหน้ามาทางต้นทางของเสียงนั้นทันที“ฮูหยิน!”ฉือฟางอินที่กำลังจะเดินออกไปเมื่อครู่ เมื่อได้ยินว่าฉือหย่งหลิงได้รับบาดเจ็บ พลันมือไม้ของนางก็อ่อนลง จนทำให้ถุงเงินและของที่นำติดตัวมาด้วยล่วงหล่นออกจากมือไป“ฮูหยิน ท่านเป็นอะไรหรือไม่ขอรับ”เป็นจินซีจ่าวที่เดินปรี่เข้ามาถามไถ่อาการของฉือฟางอิน หลังจากที่สังเกตเห็นว่านางสีหน้าที่ไม่ค่อยดีเท่าไหร่นัก“ข ข้า ไม่เป็นอะไร ของพวกนี้”“เชิญท่านมานักพักด้านในก่อนเถิดขอรับ ของพวกนี้ข้าเก็บให้เองขอรับ”ฉือฟางอินพยักหน้ารับคำจินซีจ่าวแต่โดยดี จากนั้นก็เดินเข้าไปในบ้านของเขาด้วยท่าทางล่องลอย ภายในหัวยังคงได้ยินเสียงบุรุษผู้นั้นกล่าวถึงเรื่องที่ฉือหย่งหลิง ได้รับบาดเจ็บซ้ำไปซ้ำมาอยู่อย่างนั้น “ฮูหยิน”“ที่เจ้าพูดออกมาเมื่อครู่ เป็นเรื่องจริงอย่างนั้นหรือ...ที่ว่าคนผู้นั้นบาดเจ็บสาหัส”บุรุษคนดั่งกล่าวมีท่าทีอึกอักขึ้
เมื่อฉือฟาอินได้ฟังคำอธิบายและเห็นท่าทางของแม่นมหลี่ ฉือฟางอินก็รับรู้ได้ทันที่ว่า และเวลานี้คนรับใช้ในจวนสกุลฉือเอง คงรู้สึกว่าพวกเขานั้นขาดที่พึ่งกันจริงๆ“ตกลง ข้าจะทำตามที่พวกเจ้าขอร้อง หากมีสิ่งใดที่ข้าพอจะช่วยเหลือพวกเจ้าได้ ก็บอกข้ามาได้เลย”“ขอบคุณเจ้าค่ะฮูหยิน ขอบคุณจริงๆ เจ้าค่ะ” แม่นมหลี่และพ่อบ้านหม่ารู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง ที่ฉือฟางอินตอบตกลงในสิ่งที่พวกเขาร้องขอ ส่วนคนรับใช้คนอื่นแม้จะมีท่าทางไม่ค่อยมั่นใจในตัวนางเท่าไหร่ เพราะที่ผ่านมาพวกเขาไม่เคยเห็นฉือหย่งหลิง ให้ความสำคัญกับนางมาก่อน แม้แต่อำนาจการดูแลภายในจวน ก็ไม่เคยให้นางจัดการแต่เมื่อบุคคลสำคัญดูแลทั้งคุณชายเฟิ่งเฉียน และความเรียบร้อยภายในจวน ออกหน้ามาขนาดนี้แล้ว พวกเขาก็ไม่มีเหตุผลใดที่จะไม่ทำตาม“เช่นนั้นฮูหยิน ส่งคุณชายให้ข้าเถิดเจ้าค่ะ เด็กๆ เตรียมน้ำไว้ให้ท่านแล้ว เชิญท่านชำระร่างกายแช่น้ำให้ผ่อนคลาย ไม่ต้องห่วงทางนี้ ข้าจะดูแลคุณชายให้เอง”“ขอบใจมาก”
ชีวิตใหม่ในจวนสกุลฉือเริ่มขึ้นมาได้กว่าครึ่งเดือนแล้ว ระเบียบในจวนสกุลฉือแม้จะไม่เหมือนที่สกุลชวี่ แต่ทว่าก็ไม่ได้ยุ่งยากจนเกินความสามารถของฉือฟางอิน นางยังคงจัดการทุกอย่างได้เป็นอย่างดี นับตั้งแต่วันแรก ที่ที่ได้รับผิดชอบหน้าที่นี้ เช้าวันนี้ฉือฟางอินยังคงตื่นขึ้นมา ตั้งแต่ฟ้ายังไม่สางเหมือนเช่นเคย ส่วนเฉียนเอ๋อร์นั้นยังคงนอนหลับอุตุอยู่ในเปล เพราะด้วยช่วงวัยที่เปลี่ยนของเขา จึงทำให้เวลาตื่นนอนของเขาเปลี่ยนไปด้วย เวลานี้ที่มีคนคอยหุงหาอาหารให้นางจึงพอมีเวลานั่งดูแผนงานกิจการร้านค้าของตนเอง ก่อนที่จะได้เวลาตื่นของบุตรชายเมื่อวันก่อนหลังจากที่จินซีจ่าว มารายงานความคืบหน้า ว่าช่างที่ได้ว่าจ้างเอาไว้ ได้ทำการจัดพื้นที่ทั้งหมด ในร้านค้าเสร็จเรียบร้อยแล้ว เหลือเพียงของตกแต่งที่ต้องรอให้ฉือฟางอิน เดินทางไปสั่งการด้วยตัวเองวันนี้จึงเป็นวันที่นางนัดกับจินซีจ่าว ไปดูความเรียบร้อยและสิ่งที่ยังขาดอยู่ภายในร้านค้าของนางและจะถือโอกาสนี้ เดินสำรวจพื้นที่ทั้งสองฝั่งของย่านการค้าเมืองอี้ ที่ได้กลับมาเปิดใหม่อย่างเป็นทางการแล้วอย่างระเอียด ว่ากิจการร้านค้าทั้งสองฝั่งนั้นข
“ได้อย่างไรกัน มิเห็นหรือว่าเถ้าแก่พาพวกข้ามาถึงก่อน”ฉือฟางอินกล่าวออกมาด้วยความไม่พอใจแม้ดูจากลักษณะแล้วสตรีนางนี้น่าจะมีอายุพอที่จะเป็นมารดาของนางได้ แต่กระนั้น ก็เห็นๆ กันอยู่ว่าฉือฟางอินกับคนอื่นๆ นั้นมาถึงก่อน และยังถูกเถ้าแก่เจ้าของภัตตาคาร เชื้อเชิญให้มานั่งที่โต๊ะตัวนี้ด้วยตัวเอง แล้วเหตุใดสตรีนางนี้ถึงได้กล้าทำกริยาเสียมารยาทเช่นนี้กับพวกนางได้“แต่ข้านั่งก่อน ใครนั่งก่อนก็ได้กินก่อน คนอื่นๆ ที่มาที่นี่ก็ทำเช่นนี้เหมือนกันทั้งนั้น เจ้ามิรู้หรอกหรือ หรือว่าพึ่งจะเคยได้ออกมาดูโลกภายนอกครั้งแรก ถึงได้ไม่รู้ความเช่นนี้”“นี่ท่าน!”“เอ่อ ท่านทั้งสองใจเย็นๆ ก่อนนะขอรับ” หม่ออิ๋นเถ้าแก่เจ้าของภัตตาคารห้วงจุงที่เห็นว่าเริ่มท่าไม่ดีแล้ว จึงได้เอ่ยห้ามสตรีทั้งสองนางที่กำลังเถียงกันด้วยความหนักใจแต่หากยึดความถูกต้อง แน่นอนว่าฝ่ายของสตรีที่เขาพาเข้ามาในร้านด้วยตัวเองเมื่อครู่นี้ อย่างไรแล้วนางและพวกก็จะต้องได้ที่นั่งโต๊ะตัวนี้ไป แต่ทว่าเขาจะไม่หนักใจเลยหากว่าสตรีอีกคน ไม่ใช่อนุเจี้ยนหรือหวางชิงเจี้
หลังการทราบข่าวว่าอีกไม่นาน กองกำลังทหารที่ถูกส่งให้ไปรบที่ชายแดนทางเหนือ จะได้เดินทางกลับมายังเมืองหลวงแล้ว วันต่อมา ฉือฟางอินจึงได้ไหว้วานให้เจียงเถาออกไปเรียกตัว ช่างก่อสร้างกลุ่มเดียวกับที่สร้างกิจการร้านค้าของนางให้มาพบที่จวนสกุลฉือมะรืนนี้ทันที หลังจากนั้นในวันรุ่งขึ้น นางก็เรียกคนรับใช้ชายหญิงจำนวนหนึ่ง ให้มาทำความสะอาดและถางหญ้าบริเวณรอบๆ เรือนไม้หลังเก่าของนางทั้งหมดและระหว่างนั้นก็พาตนเองไปนั่งนั่งอยู่ที่โต๊ะเก่าๆ ใต้ต้นไม้แถวนั้น พร้อมกับจดบันทึกบางอย่างลงในสมุด ที่พกติดมือมาด้วยสีหน้าจริงจังเมื่อคนรับใช้ทั้งหมดทำงานแล้วเสร็จได้เป็นที่น่าพอใจ นางจึงได้ตบรางวัลให้พวกเขาด้วยเงินจำนวนหนึ่ง แล้วให้พวกเขาแยกย้ายกันไปทำอย่างอื่นได้“เหวินจู เจียงเถา ตามข้ามา”หลังจากที่คนรับใช้คนอื่นๆ ออกไปหมดแล้ว ฉือฟางอินจึงเรียกเหวินจูและเจียงเถา ให้เข้าไปด้านในเรือนพร้อมกันเมื่อเข้ามานด้านในแล้ว ฉือฟางอินก็สั่งให้เจียงเถาเปิดแผ่นไม้พื้นกระดานแผ่นหนึ่งใต้เตียงนอน ซึ่งในนั้นมีสมบัติที่เป็นสินเดิมของมารดา ที่นางซ่อนอยู่ออกมา จากนั้นก็สั่งให้เจียงเถ
ในเมื่อยังพอมีเวลาจนกว่าฉือหย่งหลิงจะกลับมา อย่างน้อย ในช่วงเวลานี้ การพาเฉียนเอ๋อร์ไปอยู่ที่เรือนด้วย อาจจะช่วยให้เขาคุ้นชินกับที่อยู่อาศัยของมารดามากขึ้น เขาจะได้รู้สึกโหยหามารดามากขึ้น ยามที่ทั้งสองคนไม่ได้อยู่ด้วยกัน แต่ถึงอย่างนั้น นางก็ไม่ได้รูสึกดีสักนิด ที่ต้องดึงบุตรชายอันเป็นที่รัก ต้องเข้ามาเป็นส่วนหนึ่ง ในความขัดแย้งที่เกิดขึ้นมาบิดามารดาของเขาเช่นนี้แต่ทว่าหากไม่ทำเช่นนี้ นางก็ไม่รู้แล้วว่าจะต้องใช้วิธีใดที่จะเอาชนะฉือหย่งหลิงได้เพราะกับเฉียนเอ๋อร์แล้วในฐานะบิดา เขาไม่เคยแสดงท่าทีหรือทำพฤติกรรมที่ไม่ดีกับลูกเลยสักครั้ง นางได้แต่หวังว่าเข้าจะไม่ใจร้าย จนถึงขนาดทนเห็นลูกร้องไห้ปานจะขาดใจ ยามที่ต้องอยู่ห่างจากมารดาเช่นนางได้หวังว่าคนผู้นั้นจะไม่ถือเอาแต่ทิฐิของตนเองอยู่ฝ่าย จนกล้าทำร้ายเด็กน้อยผู้บริสุทธิ์ ที่เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของเขา“ระวังลื่นนะเจ้าคะ”“ขอบใจเจ้ามากเหวินจู”เวลานี้ทั่วทั้งบริเวณจวนสกุลฉือ ล้วนถูกปกคลุมไปด้วยหิมะที่โปรยปรายลงมาอย่างไม่ขาดสาย จะเดินไปไหนแต่ละครั้ง จึงต้องใช้ความระมัดระวังเป
หลังจากทำการเลือกผ้าที่ต้องการ พร้อมกับกำหนดวันที่จะให้ร้านค้าให้คนนำผ้าทั้งหมดไปส่งที่ร้านค้าของตนเรียบร้อย หลังจากนั้นก็เป็นขั้นตอนการลงสัญญาการซื้อขายในรอบหน้าเพราะร้านขายผ้าแห่งนี้ มีแหล่งทอผ้าประจำของทางร้าน ซึ่งนั้นหมายความว่า เมื่อฉือฟางอินต้องการผ้าจากร้านของพวกเขาเมื่อใด พวกเขาจะมีผ้าเพียงพอมาแลกกับเงินจำนวนมาก ที่นางจะจ่ายให้กับพวกเขาอย่างแน่นอน“ฮูหยินขอรับ”“อ้าว ซีจ่าว เจียงเถา มากันแล้วหรือ เป็นอย่างไรบ้าง หาเจอหรือไม่ผ้าที่ข้าต้องการ”“เจอขอรับ นี่ขอรับตัวอย่างผ้าไหมแพรฝูหนานที่ท่านตามหา”ตอนที่ได้รู้ว่ามีคนเข้ามาถามหาผ้าที่มีความหนา มากกว่าผ้าที่มีอยู่ในร้านค้า ฉือฟางอินใช้เวลาในคิดอยู่นานพอสมควร ว่านางจะไปหาผ้าที่มีความหนา แต่เมื่อสวมใส่แล้วไม่แข็งกระด้างมาจากที่ใด แต่สุดท้ายเมื่อได้ย้อนความหลังกลับไป เมื่อสมัยนางยังเป็นเด็ก ในตอนที่จวนสกุลชวี่ได้รับรางวัลพระราชทาน จากอดีตฮ่องเต้และฮองเฮา เมื่อครั้งที่บิดานำทัพทำสงคราม รวบรวมแคว้นที่เป็นปรปักษ์ มารวมเป็นหนึ่งเดียวกับแคว้นหลูได้ ซึ่งหนึ่งในของขวัญท
ฉือฟางอินนิ่งอึ้งไปสักพักหนึ่ง หลังจากที่ได้รู้ว่าเรื่องสำคัญที่พ่อบ้านหม่าต้องการบอกกับนาง เอาเถิด จะช้าจะเร็วอย่างไรแล้ว คนผู้นั้นก็ต้องกลับมาอยู่ดี และนางเองก็เตรียมตัวเตรียมใจไว้ได้ประมาณหนึ่งแล้ว หลังจากนี้จะเกิดสิ่งใดขึ้น ขอเพียงได้อยู่เลี้ยงดูเฉียนเอ๋อร์ นางก็พร้อมที่จะเผชิญหน้ากับทุกสิ่ง“แล้วท่านแม่ทัพของเจ้า อนุญาตให้ข้าไปพบหรือไม่”“เอ่อ...คือ”“ไม่อย่างนั้นสินะ”“มิใช่ขอรับ ที่ข้าต้องการจะบอกท่านก็คือ ท่านแม่ทัพยังไม่สามารถกล่าวสิ่งใดได้ในตอนนี้ขอรับ เวลานี้ท่านอ๋อง กำลังรอพบฮูหยินอยู่ขอรับ”“หมายว่าอย่างไร”“ข้าน้อยเองก็ยังไม่รู้อะไรมากขอรับ รู้เพียงว่าท่านแม่ทัพ ถูกหามขึ้นเปลมาโดยทหารสี่คน และท่านอ๋องก็สั่งห้ามไม่ให้ใครเข้าไปในเรือนของท่านแม่ทัพเลยขอรับ ท่านอ๋องบอกแค่เพียงว่า หากฮูหยินกลับมาแล้ว ให้ข้าพาท่านไปพบขอรับ”“เช่นนั้นก็อย่ามัวรอช้ากันอยู่เลย พวกเจ้าเอาของทั้งหมดนี่ไปไว้ที่เรือนของข้า แม่นมหลี่ ข้าฝากเฉียนเอ๋อร์ด้วย”
“นี่พวกเราไม่ได้จะกลับบ้านกันหรอกหรือเจ้าคะ”ฉือฟางอินเอ่ยถามขึ้นมา เพราะเห็นว่าที่ที่ฉือหย่งหลิงพาตัวนางกับเฉียนเอ๋อร์มานั้น คือท่าเรือแคว้นหลูแทนที่มุ่งหน้า เดินกลับจวนสกุลฉือตามกำหนดการ ฉือหย่งหลิงไม่ได้อธิบายในทันที แต่กลับเดินนำหน้านางไปที่เรือลำหนึ่ง ที่ตกแต่งไปด้วยผ้าสีแดงสวยงาม ราวกับมีงานมงคลอยู่บนเรือลำนั้น แล้วหันมายื่นมือรอให้นางเดินเข้าไป เพื่อที่ได้พยุงนางกับลูกขึ้นเรือ“นี่อย่างไร จะพากำลังจะพาเจ้ากลับบ้าน”ความแปลกใจของฉือฟางอินยิ่งทวีขึ้น เมื่อเดินเข้ามาด้านในเรือแล้วพบว่า ด้านในของเรือลำนี้ได้ถูกจำลอง ให้เหมือนกับงานพิธีสมรสอย่างไรอย่างนั้น“นี่มันอะไรกันเจ้าคะ ทำในนี้ถึงได้...”“ฮูหยิน เมื่อสามปีก่อนที่เราแต่งงานกัน เป็นข้าที่ปฏิบัติกับเจ้าไม่ดี ไม่ให้เกียรติ์เจ้าในฐานะภรรยา แม้แต่เกี้ยวเจ้าสาวดีดี ก็ไม่ได้หาให้เจ้า ในวันนี้ที่ข้าสำนึกผิดแล้ว จึงอยากจะขอแก้ตัวกับเจ้าใหม่ ฮูหยิน ได้โปรดแต่งงานกับข้าอีกครั้งได้หรือไม่ ครั้งนี้ข้าสัญญาด้วยชีวิต ว่าเจ้าจะไม่เสียใจที่ได้แต่งงานกับคนอย่างข้าอีก เหมือนเมื่อสามปีที่แล้วอย่างแน่นอน
“ด้วยนิสัยเดิมของบุตรชายข้าคนนี้ ที่นอกจะไม่เอาไหนแล้ว เขามักจะชอบลักเล็กขโมยน้อย สิ่งของคนที่เขาเคยได้สนทนาด้วยเสมอพะย่ะค่ะ”พรึ่บชวี่ซุนเหลียนขาอ่อนล้มพับลงไปนั่งกับทันที เมื่อนางเห็นพู่ตราสัญลักษณ์สกุลรุ่ย ประจำตัวของนางอยู่ในมือของฮ่องเต้ พู่ตราสัญลักษณ์นี้ เป็นสิ่งที่ติดตัวนางมาตั้งแต่เด็ก ด้วยความผูกพันกับของสิ่งนี้ ทำให้แม้จะเข้ามาเป็นอนุภรรยาในสกุลชวี่แล้ว นางก็ยังคงห้อยพู่ตราสัญลักษณ์สกุลรุ่ย ไว้กับตัวอยู่ตลอดเวลา ชวี่ซุนเหลียนไม่รู้ว่าตัวเองทำมันหล่นหายไปตอนไหนจนเข้าใจไปว่านางอาจจะทำพู่นั่น ตอนที่ไปอารามหวั่งสุ่ยกับจินหู่อดีตสาวใช้ ที่ถูกนางผลักตกเขาไปเมื่อสามปีก่อน เพราะจินหู่เป็นคนเดียวที่อยู่กับนาง ทั้งตอนวางแผนและตอนที่นางไปพบกับหลี่หมิงด้วยตัวเอง ชวี่ซุนเหลียนจึงจำต้องกำจัดนาง ตามคำสั่งของกู้ชินอ๋อง เพราะไม่อยากเกิดปัญหาตามมาในอนาคต หลังจากผ่านคืนนั้นไปไม่นาน ขณะที่ชวี่เจียงโหลวนำทัพไปทำสงคราม ชวี่ซุนเหลียนจึงออกอุบายกับจินหู่ ว่าตัวนางนั้นอยากจะไปสงบจิตใจ จากเรื่องที่พึ่งผ่านพ้นไป ด้วยการไปไหว้พระที่อารามหวั่งสุ่ยและต้องการไ
เกิดเสียงฮือฮาไปทั่วทุกสารทิศ ว่าเหตุใดชวี่เจียงโหลวถึงได้มาขออย่าขาดกับชวี่ซุนเหลียน ต่อหน้าธารกำนัลในวันสำคัญเช่นนี้ แม้แต่กู้ชินอ๋องเองก็ต้องถึงกับลุกขึ้นจากที่นั่ง เพราะไม่ได้คาดคิดถึงการกระทำเช่นนี้ ของชวี่เจียงโหลวมาก่อน“ท่านพี่ นี่มันอะไรกันเจ้าคะ”“นั่นสิแม่ทัพชวี่ วันดีๆ แบบนี้ เหตุใดเจ้าถึงขออย่ากับนางต่อหน้าข้าและคนอื่นๆ”“นั่นก็เพราะว่าข้า มิอาจอยู่ร่วมชายคา กับสตรีชั่วช้าคนนี้ได้อีกต่อไปแล้วพะย่ะค่ะ”“เจ้าหมายความว่าอย่างไรกัน”“พระองค์คงจะไม่รู้ว่าเมื่อสามปีที่แล้ว มีสิ่งใดเกิดขึ้นในจวนของกระหม่อมบ้าง”ทันทีที่ได้ยินชวี่เจียงโหลวกล่าวเช่นนั้น กู้ชินอ๋องและชวี่ซุนเหลียนต่างก็ตาเบิกกว้าง พร้อมกับหันหน้ามาสบตากัน เรื่องเมื่อสามปีที่แล้วจะเป็นเรื่องใดได้อีก หากไม่ใช่เรื่องที่ชวี่ซุนเหลียนวางแผน แย่งคู่หมั้นของฉือฟางอินมาให้บุตรสาว และหมายจะให้คนงานหอนางโลม เข้ามาทำมิดีร้ายกับฉือฟางอินถึงในเรือนของนาง“กระหม่อมสู้อดทน สืบหาเบาะแสผู้ที่อยู่เบื้องหลังมาตลอด จนได
“แล้วเขาให้ความร่วมมือหรือไม่ขอรับ”“ย่อมต้องเป็นอย่างนั้น”หลังจากที่รู้ให้คนพาตัวหลี่เฉินมาที่ค่ายทหาร ชวี่เจียงโหลวแสดงตนต่อหน้าเขา พร้อมทั้งบอกให้เขาได้รู้ว่า คุณหนูที่สตรีชนชั้นสูงนิรนามคนนั้น จ้างวานให้เขามาทำมิดีมิร้ายคือบุตรสาวของตน เท่านั้นก็ทำให้ลี่เฉินตัวสั่นเป็นเจ้าเข้า เพราะความโง่เขลา“ท่านแม่ทัพชวี่ เรื่องนี้ ข ข้าไม่เกี่ยวนะขอรับ ป เป็น เป็นบุตรชายของข้า ที่แอบรับงานนั้นด้วยตัวเอง ข้าไม่เกี่ยวนะขอรับ”“คนตายไปแล้วจะพูดอะไรได้ หากเจ้าบอกว่าเจ้าไม่เกี่ยวกับข้องเรื่องนี้ แต่ทันทีที่พบของพวกนี้ เจ้ากลับจะนำไปทำลาย นี่หรือที่เจ้าบอกว่าไม่เกี่ยวข้อง”“ม ไม่ใช่ ไม่ใช่อย่างนั้นขอรับท่านแม่ทัพ ที่ข้าคิดจะเอาของพวกนี้ไปทิ้ง ก็เพราะว่าข้ากลัวข้า กับคนในครอบครัวที่เหลือที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ ต้องโดนหางเลขไปด้วยขอรับ”“งั้นก็แสดงว่าเจ้ารู้แล้วอย่านั้นหรือ ว่าของสองอย่างนี้เป็นของใคร”“ยังไม่ทราบแน่ชัดขอรับ แต่คนผู้นั้นน่าจะมีความเกี่ยวข้องกับสกุล
“อื้อ แอ้! คิกๆ”“ฮ่าๆ เฉียนเอ๋อร์ ขาเจ้าเล็กแค่นี้ แต่พละกำลังมากเหลือเกิน แม่เจ้าคงเลี้ยงเจ้ามาอย่างดีเลยสินะ”ชวี่เจียงโหลวกล่าวอย่างอารมณ์ดี ขณะที่กำลังให้หลานชาย ใช้ขาอวบทั้งสองข้าง ยันหน้าขากระโดดเด้งขึ้นเด้งลง ส่งเสียหัวเราะคิกคักด้วยความสนุกสนาน โดยมีฉือฟางอินและฉือหย่งหลิง นั่งอยู่ใกล้ๆ คอยมองสองตาหลาน เล่นด้วยกันด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม หลังจากทานมื้อค่ำด้วยกันแล้ว ชวี่เจียงโหลวได้ชักชวนบุตรสาวและบุตรเขย มานั่งพูดคุยถามสารทุกข์ตลอดหลายปีที่ไม่ได้พบหน้ากัน ซึ่งแน่นอนว่าการพูดคุยในครั้งนี้นั้น ไม่มีอนุเหลียนตามมาด้วย“เฉียนเอ๋อร์ เจ้าเล่นเบาๆ หน่อยเถิด เดี๋ยวท่านตาของเจ้าจะเจ็บเอาได้”“ไม่เป็นไรๆ ปล่อยให้เขาได้เล่นตามใจเถิด แรงเพียงเท่านี้ จะทำข้ากับได้อย่างไร เฉียนเอ๋อร์เจ้าเหนื่อยหรือยัง ให้ตาจับเจ้าโยนเล่นบนอากาศดีหรือไม่”“อื้อ แอ๊!”แม้จะพบหน้ากันเป็นวันแรก แต่สองตาหลานก็ดูจะเข้ากันดีจนคนเป็นแม่อย่างฉือฟางอินอดที่จะแปลกใจไม่ได้ เพราะที่ผ่านมา เฉียนเอ๋อร์ไม่ค่อยได้พบเจอคนอื่
“เชิญพวกเจ้าพักผ่อนกันให้หายเหนื่อยเถิด ขาดเหลืออะไรก็บอกคนรับใช้ เดี๋ยวสักครู่ข้าจะต้องเข้าวังไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้คงไม่ได้อยู่ถามสารทุกข์สุขดิบของพวกเจ้า เอาไว้พบกันตอนค่ำก็แล้วกัน”“เจ้าค่ะท่านพ่อ ท่านไปเตรียมตัวเถิดเจ้าค่ะ ไม่ต้องห่วงทางนี้”หลังจากที่พาบุตรสาวและบุตรเขย มาส่งยังเรือนเก่าของฉือฟางอิน ที่ชวี่เจียงโหลวยังคงให้คนรับใช้เข้ามาทำความสะอาดทุกวัน เหมือนเมื่อครั้งที่บุตรสาวอาศัยอยู่ที่นี่ เจ้าตัวก็ต้องรีบเดินทางไปยังวังหลวงเพื่อส่งรายงาน สิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างการทำศึกรวบรวมดินแดน ที่ชวี่เจียงโหลวเป็นผู้นำทัพ และสามารถคว้าชัยชนะมาได้เมื่อหลายเดือนก่อนด้านฉือฟางอินที่พึ่งจะตกปากรับคำที่บิดาไป แต่นางกลับมีความคิดจะออกไปข้างนอก แทนที่จะพักผ่อนตามที่บิดาบอก เหตุเห็นว่าไหนๆ ตนเองก็เดินทางมาถึงจวนสกุลชวี่ เร็วกว่าเวลาที่คำนวณเอาไว้มาก ประกอบกับที่นางไม่ได้รู้สึกเหนื่อยล้า จากการเดินทางที่ผ่านมาเลยสักนิด นางจึงอยากจะเดินทางไปเยี่ยมชมกิจการเลี้ยงหม่อน ที่เคยวางแผนว่าจะไปที่นั่นใน หลังจากผ่านไปแล้วสองถึงสามวัน หลังจากที่ถึงจวนสกุลชวี
“เด็กคนนี้คือเฉียนเอ๋อร์…หลานชายของท่านเจ้าค่ะ”“แอ๊!”ท่ามกลางความตกใจและไม่คาดคิดของชวี่เจียงโหลว เจ้าตัวน้อยที่จ้องหน้าท่านตาของตนเองอยู่ก่อนแล้ว ก็ส่งเสียงทักทายขึ้นมาพร้อมกับฉีกยิ้ม เห็นฟันน้อยที่มีอยู่ไม่กี่ซี่ให้กับเขา“หละ หลานชาย โอ้! เฉียนเอ๋อร์ เฉียนเอ๋อร์หลานตา มาๆ มาให้ตาดูเจ้าใกล้ๆ หน่อยเถิด”เมื่อตั้งสติและกระจ่างแจ้งแล้วว่า เด็กชายตัวน้อยที่ฉือฟางอิน บุตรสาวของตนเองอุ้มอยู่นั้น เป็นหลานชายแท้ๆ ของตน แม่ทัพใหญ่แห่งแคว้นหลู จึงได้รีบเดินเข้าไปที่รถม้าเพื่อช่วยพยุงบุตรสาวลงมา แต่ทว่าขณะที่กำลังยื่นมือออกไป หมายจะอุ้มหลานชายของตนเองนั้น ชวี่เจียงโหลวกลับชะงักมือของเขาเอาไว้ เพราะคิดขึ้นมาได้ว่าบุตรสาวของตนเองนั้น จะยินดีให้เขาอุ้มลูกของนางหรือไม่ด้านฉือฟางอินเองหลังจากที่เห็นท่าทีลังเลของบิดา นางจึงเป็นฝ่ายส่งลูกน้อย สู่อ้อมอกท่านตาของเขา โดยที่ไม่มีท่าทีไม่พอใจแต่อย่างใด ชวี่เจียงโหลวถึงได้กล้ารับเจ้าตัวน้อยมาอุ้มเอาไว้ หญิงสาวมองภาพตรงหน้าด้วยอารมณ์ที่หลากหลาย แต่ถึงอย่างนั้นนางก็รู้สึ
“เชิญท่านแม่ทัพกับฮูหยินทางนี้ขอรับ”เจียงเถาที่เร่งเดินทางมาให้ถึงเมืองลิ่ง ก่อนหน้าที่คนที่เหลือที่ขบวนจะเดินมาถึง เพื่อมาจัดการหาที่พักให้กับทุกคน เมื่อเห็นว่าเจ้านายและคนอื่นๆ เดินทางมาถึงแล้ว ชายหนุ่มจึงรีบเดินเข้ามาเพื่อนำทางไปยังโรงเตี๊ยมชั้นดี ที่เขาจัดการจ่ายเงินที่เจ้านายมอบให้ สำหรับสถานที่พักค้างแรมในคืนนี้ระหว่างทางที่กำลังเดินไปยังโรงเตี๊ยม ฉือฟางอินที่เคยได้ยินชื่อและได้มาเยือนเป็นครั้งแรก ก็อดที่จะตื่นตาตื่นใจกับการสัมผัสบรรยากาศในสถานที่ใหม่ไม่ได้ เพราะแม้ว่าเวลานี้จะเป็นเวลาพลบค่ำแล้ว แต่บรรยากาศในเมืองลิ่งก็ยังคงคึกคัก คลาคลั่งไปด้วยผู้คนมากมาย ไม่เหมือนกับเมืองอื่นๆ ที่ชาวบ้านส่วนใหญ่จะทำกิจวัตรอยู่ในบ้านของตนเอง หลังจากพระอาทิตย์ตกดินไปแล้ว นั่นก็เพราะทุกพื้นที่ในเมืองลิ่งนั้น ล้วนเต็มไปด้วยโรงเตี๊ยมกิจการร้านค้าและร้านอาหารน้อยใหญ่ จนไปถึงภัตตาคารเรียงรายไปทั่วทั้งเมือง“ถึงแล้วขอรับ”“อ้าว นายของเจ้ามาแล้วรึ เชิญๆ ท่านแม่ทัพฮูหยิน เชิญเข้ามาได้เลย ข้าให้เด็กเตรียมที่พักไว้ตามที่ท่านต้องการแล้ว เด็กๆ มา
“กลับแคว้นหลูอย่างนั้นหรือฮูหยิน”ทันทีที่ได้เห็นท่าทางของฉือหย่งหลิง หลังจากที่เขาได้รู้ว่าตัวนางนั้นกำลังจะเดินกลับแคว้นหลู ฉือฟางอินก็ได้แต่ถอนหายใจออกมา นางไม่ได้คิดที่จะปิดบังเขาแต่อย่างใด เพียงแต่ต้องการเวลาให้ตัวนางได้เรียบเรียงคำพูดมาอธิบายให้กับฉือหย่งหลิงอนุญาตให้นาง ได้กลับไปยังแคว้นบ้านเกิด แต่เนื่องจากช่วงนี้การงานที่รัดตัว จึงทำให้นางลืมบอกเรื่องนี้กับเขา“ใช่ ข้าจะกลับบ้าน”“แล้วเหตุใดข้าถึงไม่รู้เรื่องนี้ ข้าทำอะไรให้เจ้าไม่พอใจอย่างนั้นหรือ”“เปล่า ท่านไม่ได้ทำอะไร”“ไม่จริง ไม่เช่นนั้นเจ้าจะวางแผนหนีข้าไปเช่นนี้หรือ”“ไปกันใหญ่แล้ว ข้าแค่จะกลับไปเยี่ยมท่านพ่อ”“เยี่ยมบิดาของเจ้าหรือ”“ก็ใช่น่ะสิ ท่านคิดไปถึงไหนกัน”เพราะนับตั้งแต่ที่ได้มาอยู่ที่นี่ มีเรื่องราวมากมายเกิดขึ้นที่หญิงสาวไม่ทันได้ตั้งตัว จึงเป็นเวลากว่าสามปีแล้วที่หญิงสาว ยังไม่ได้มีโอกาสกลับไปเยี่ยมบ้านเกิดตามธรรมเนียม เวลานี้ที่ตัวนางกำลังขยายร้