ฉือฟางอินนิ่งอึ้งไปสักพักหนึ่ง หลังจากที่ได้รู้ว่าเรื่องสำคัญที่พ่อบ้านหม่าต้องการบอกกับนาง เอาเถิด จะช้าจะเร็วอย่างไรแล้ว คนผู้นั้นก็ต้องกลับมาอยู่ดี และนางเองก็เตรียมตัวเตรียมใจไว้ได้ประมาณหนึ่งแล้ว หลังจากนี้จะเกิดสิ่งใดขึ้น ขอเพียงได้อยู่เลี้ยงดูเฉียนเอ๋อร์ นางก็พร้อมที่จะเผชิญหน้ากับทุกสิ่ง
“แล้วท่านแม่ทัพของเจ้า อนุญาตให้ข้าไปพบหรือไม่”
“เอ่อ...คือ”
“ไม่อย่างนั้นสินะ”
“มิใช่ขอรับ ที่ข้าต้องการจะบอกท่านก็คือ ท่านแม่ทัพยังไม่สามารถกล่าวสิ่งใดได้ในตอนนี้ขอรับ เวลานี้ท่านอ๋อง กำลังรอพบฮูหยินอยู่ขอรับ”
“หมายว่าอย่างไร”
“ข้าน้อยเองก็ยังไม่รู้อะไรมากขอรับ รู้เพียงว่าท่านแม่ทัพ ถูกหามขึ้นเปลมาโดยทหารสี่คน และท่านอ๋องก็สั่งห้ามไม่ให้ใครเข้าไปในเรือนของท่านแม่ทัพเลยขอรับ ท่านอ๋องบอกแค่เพียงว่า หากฮูหยินกลับมาแล้ว ให้ข้าพาท่านไปพบขอรับ”
“เช่นนั้นก็อย่ามัวรอช้ากันอยู่เลย พวกเจ้าเอาของทั้งหมดนี่ไปไว้ที่เรือนของข้า แม่นมหลี่ ข้าฝากเฉียนเอ๋อร์ด้วย”
ในบรรดาความคิดที่ตีรวนอยู่ภายในหัวนั้น ฉือฟางอินอดที่จะสงสัยไม่ได้ว่า ทำไมบุรุษนิสัยอย่างฉือหย่งหลิง ถึงได้มีสตรีถึงสองคนมาชอบพอในตัวเขา แต่เพราะเรื่องนี้ยังเล็กน้อยมาก สำหรับร่างของฉือหย่งหลิงที่นอนอยู่ตรงหน้า หญิงสาวจึงลืมเรื่องของเหวินหยวนหลิง ไปได้เพียงเสี้ยววินาที เมื่อทุกคนทยอยออกจากห้องไป จนเหลือเพียงท่านหมอฉิวหว่านอี้ ที่กำลังตรวจร่างกายชายหนุ่มอยู่หญิงสาวจึงได้ถือวิสาสะนั่งลงบนเตียง เพ่งพิจารณาสภาพร่างกาย ของฉือหย่งหลิงอย่างใกล้ชิด ก็พบว่านอกจากร่ายกายผอมโซ และใบหน้าที่ซีดเซียวและซูบตอบอย่างเห็นได้ชัด ว่าเกิดจากการไม่ได้กินอาหารแล้วนั้น บาดแผลที่ฉกรรจ์ทั่วทั้งร่างกายของฉือหย่งหลิง ก็ล้วนแล้วแต่เป็นบาดแผลที่เกิดขึ้นจริง มิใช่เรื่องปั้นแต่งขึ้นมาเพื่อตบตากันที่นางต้องทำเช่นนี้ นั่นก็เพราะที่ผ่านมา นางถูกบททดสอบชีวิตอันแสนสาหัส ที่เคยได้ประสบพบเจอจากอดีต จนถึงการได้ย้อนเวลามาเกิดใหม่อีกครั้ง ได้สั่งสอนให้อย่าใช้ชีวิตด้วยความประมาทและตลอดเวลาที่เคยใช้ชีวิต อยู่ร่วมชายคาเดียวกันกับฉือหย่งหลิง ก็ใช่ว่าชายหนุ่มจะเป็นคนไม่มีเล่ห์เหลี่ยมเสียเมื่อไหร่ เพราะฉะนั้น ตัวน
“ท่านอ๋องโปรดเมตตาหม่อนฉันเถิดเพคะ เห็นแก่ที่หม่อมฉันเดินทางติดตามกองทัพ ไปช่วยรักษาคนเจ็บที่แดนเหนือ อย่างน้อยๆ ก็ให้ข้าได้มาเยี่ยมท่านแม่ทัพก็ยังดีเพคะ”หั้วชินนอ๋องถอนหายใจออกมาอย่างหัวเสีย ให้กับการกระทำและคำพูดของเหวินหย่วนหลิง ทั้งที่เมื่อครู่นี้ตัวเขาได้กล่าวออกไปชัดเจนแล้วว่า นางไม่มีความจำเป็นใดใด ที่จะต้องมาที่จวนสกุลฉืออีกแต่ทว่าในระหว่างที่กำลังจะเดินทางกลับวัง เหวินหย่วนหลิงกลับวิ่งมานั่งลงคุกเข่า ขอร้องให้เขาอนุญาตให้นาง ได้มาเยี่ยมฉือหย่งหลิงทุกที่จวนวัน โดยใช้คุณงามความดีที่ตนเองมาเป็นข้ออ้าง“เจ้ายังมีความเกรงกลัวข้าอยู่หรือไม่ ถึงได้กล่าววาจามาทวงบุญคุณกับข้าเช่นนี้ อยากให้ข้าสั่งลงโทษเจ้ารึ”“ท่านอ๋องได้โปรดใจเย็นก่อนพะย่ะค่ะ หลิงเอ๋อร์! ขอประทานอภัยท่านอ๋องเดียวนี้ เจ้ากำลังทำให้ท่านอ๋องไม่พอใจอยู่นะ”“มะ หม่อมฉันขอประทานอภัยท่านอ๋อง หม่อมฉินมิบังอาจจะลำเลิกบุญคุณท่านอ๋องเพคะ หม่อมฉันเพียงแค่เป็นห่วงอาการท่านแม่ทัพ เลยอยากจะมีเยี่ยมเขาเท่านั้นเพคะ”“แต่ข้าบอกแล้วไม่ใช่ห
ท่านหมอฉิวหว่านอี้ จึงได้เรียกพลทหารคนสนิทของฉือหย่งหลิง ไปวางแผนซ้อนแผนการของฉือหย่งหลิงอย่างลับๆ โดยการออกอุบายหลอกฉือหย่งหลิงว่า ทั้งท่านหมอฉิวหว่านอี้ และเหล่าพลทหารคนสนิท มีความจำเป็นที่จะต้องออกไปปฏิบัติภารกิจ ที่อยู่ด้านนอกจวน โดยมีข้ออธิบายไม่ให้ฉือหย่งหลิงสัยว่าท่านหมอฉิวหว่านอี้ จะต้องออกไปดูความเรียบร้อยที่โรงหมอ และให้ความรู้แก่ลูกศิษย์ที่สำนักศึกษา ส่วนเหล่าพลทหารนั้น ท่านหมอฉิวหว่านอี้ได้ส่งสารไปถึงหั้วชินอ๋องขอร้องให้เขาช่วยอีกแรง ซึ่งแน่นอนว่าหั้วชินอ๋อง ก็ได้ตอบตกลงทันที เพราะเขาเองก็อยากจะให้คนทั้งคู่ ได้ปรับความเข้าใจกันได้ในวันเร็ววัน หั้วชินอ๋องจึงได้ออกคำสั่งเรียกรวมพล เหล่าทหารในกองกำลังทั้งหมด ให้มาพร้อมเพียงกันที่ค่ายทหาร เพื่อตรวจความสมบูรณ์ของร่างกาย เตรียมความพร้อมในการกลับมาฝึกวิทยายุทธหลังจากนั้น หมอชราก็ได้เรียกฉือฟางอินให้ไปพบ เพื่อบอกกล่าวธุระและความจำเป็น ของตนเองและเหล่าพลทหาร ที่จะต้องออกไปทำภารกิจจึงจำเป็นที่จะต้องให้นาง มาคอยอยู่ดูแลฉือหย่งหลิง เพราะนางเป็นคนเดียว ที่หั้วชินอ๋องไว้ใจมากที่สุดหลายวันมานี้ หลังจากที่ทำก
“อ้ะ เหวอ!”เหตุเพราะมั่นใจว่าเวลานี้ ทุกคนในเรือนคงจะหลับหมดแล้ว ซ้ำในคืนนี้ที่นอกก็มีพายุหิมะพัดกระหน่ำอยู่ คงจะไม่มีผู้ใดออกจากที่พักมาในเวลานี้ ฉือหย่งหลิงถึงได้ลุกขึ้นจากเตียงมายืดเส้นยืดสาย และฝึกเดินเพื่อความเคยชินกับบาดแผลบนร่างกาย ตามที่ท่านหมอฉิวหว่านอี้แนะนำไม่คิดว่าคนที่เข้ามาเห็น จะเป็นฉือฟางอินที่เสียได้ ด้วยความตกใจและดวงตาที่ยังเห็นได้ไม่ดี มือทั้งสองข้างที่ควรจะคว้าขอบโต๊ะเอาไว้กลับคว้าได้เพียงอากาศ ทำให้ร่างของฉือหย่งหลิง ล้มลงกระแทกกับพื้นอย่างแรง“โอ้ย!”“ฉือหย่งหลิง!”แม่จะกำลังโกรธที่ดูเหมือนว่าตลอดมา ฉือหย่งหลิงจะโกหกนางเรื่องอาการบาดเจ็บที่แท้จริงของเขา แต่พอเห็นเขาล้มลง ฉือฟางอินก็รีบวิ่งเข้ามาดูอาการเขาทันที“เจ็บตรงไหนหรือไม่”“ตรงนี้”เมื่อมองตามมือของฉือหย่งหลิงไป แล้วก็พบว่าบาดแผลที่หน้าท้องของเขา กำลังมีเลือดไหลทะลักออกมา“ล เลือด เลือดเต็มไปหมดเลย”“ข้าไม่เป็นไร”
แต่ทว่าในความเป็นจริงมัก จะสวนทางกับสิ่งที่ต้องการเสมอ เพราะภายหลังจากคืนนั้นที่ได้บอกความในใจกับหญิงสาวไป เช้าวันรุ่งขึ้นนางก็พาเฉียนเอ๋อร์กลับไปที่เรือนของนางทันทีจนผ่านไปหลายวัน ก็ยังไม่เห็นวี่แววว่าหญิงสาวจะมาหาเขาที่เรือนนี้เพื่อดูอาการบาดเจ็บ“ท่านแม่ทัพขอรับ”“พ่อบ้านหม่ามาแล้วหรือ นางว่าอย่างไรบ้าง”“ฮูหยินรับทราบ แต่ไม่ได้เอ่ยอะไรขอรับ นางยังมีงานที่ต้องทำมากมายทีเดียว”“อย่างนั้นหรือ”หลายวันมานี้ อาการที่ดวงตาของชายหนุ่มดีขึ้นมาก จนท่านหมอฉิวหว่านอี้ ได้ทำการเปลี่ยนผ้าปิดตา จากที่เคยหนาและทึบ เพราะต้องคอยระวังแสงและสิ่งสรกปรก ในตอนนี้ได้เปลี่ยนมาเป็นผ้าขาวบาง ให้ฉือหย่งหลิงสามารถมองเห็นสิ่งต่างๆ อยู่ภายใต้ผ้าผืนบางผืนนี้ได้บ้าง เมื่อทราบว่าความที่ให้พ่อบ้านหม่า นำไปบอกแก่ฉือฟางอิน เผื่อว่าหากนางรู้เรื่องนี้เข้า นางจะยอมมาเยี่ยมเขาบ้าง แต่ทว่าสุดท้ายก็ต้องพบกับความผิดหวัง เมื่อได้ยินคำรายงานจากพ่อบ้านหม่า“ฮูหยินน้อยฟางอินนี่ช่างใจแข็งใช้ได้เหมือนกันนะ" ท่านหมอฉิวหว่
เมื่อสบโอกาสฉือหย่งหลิงจึงไม่รอช้า รีบชิงพูดดักทางหญิงสาวออกมาในคราวเดียว นอกจากนี้ก็ยังหันไปบอกให้คนรับใช้ ที่เดินยกสำรับตามหลังมา ให้รีบนำอาการจัดวางขึ้นโต๊ะทันที เพื่อไม่ให้ฉือฟางอินมีข้ออ้างหลบหน้ากันได้อีก นอกจากนี้เขาก็ยังหยิบเอาไม่เท้าค่อยๆ แตะปลายไม้ลงบนพื้นเรือน พร้อมกับกวาดไปมาอยู่ด้ายหน้าตนเอง ทำท่าทางอย่างคนมองเห็นไม่ถนัดไปยังโต๊ะกินข้าวทั้งที่ความจริงแล้ว ตัวเขาไม่จำเป็นต้องใช้ไม้เท้านี่เลยด้วยซ้ำ เพราะก่อนหน้านี้ตัวเขาเอง ก็ได้ฝึกเดินกะระยะการก้าวเท้า ในพื้นที่ต่างๆ จนคล่องดีแล้ว และเมื่อครู่นี้ที่ออกเดินจากเรือนตนเองมากับพ่อบ้านหม่า ฉือหย่งหลิงก็สามารถเดินมาด้วยตัวเองได้อย่างดี โดยมีพ่อบ้านหม่าคอยบอกให้ระมัดระวัง การลื่นจากหิมะที่จับตัวกันเป็นน้ำแข็งตามทางเดินเพียงเท่านั้นแต่ที่ต้องทำเหมือนกับว่าตนเอง ยังคงเดินไม่ได้สะดวกอยู่ตอนนี้ ก็เพราะคำแนะนำจากท่านหมอฉิวหว่านอี้ ที่บอกว่าบางทีการทำตนเป็นผู้อ่อนแอต่อหน้าผู้อื่น ก็อาจจะช่วยทำให้อะไรง่ายขึ้นเวลานี้ฉือหย่งหลิง จึงเลือกหยิบเอาไม้เท้าออกมาใช้ เพื่อแสร้งทำเป็นว่าเขายังมองเห็นได้ไม่ดี ต่อหน้าท
ชายหนุ่มราวกับต้องมนต์สะกด ฉือฟางอินในเวลานี้แม้จะไม่ได้สวมชุดหรูหรา และบนศีรษะของนางก็มีเพียงปิ่นหยกธรรมดา ปักอยู่บนมวยผมที่มวยเอาไว้เพียงหลวมๆ แต่นางกลับงดงามราวกับภาพวาดหญิงสาวโบราณ ที่ไม่อาจหาของมีค่าใดมาเทียบได้ ยิ่งจ้องมองนางนานเท่าไหร่ ก็เหมือนกับว่าตัวเขากำลังตกอยู่ในภวังค์ จนไม่สามารถควบคุมตนเองได้ ฉือหย่งหลิงเคลื่อนตัวเข้าไปใกล้หญิงสาวช้าๆ จากทางด้านหลัง แล้วโอบกอดนางเอาไว้เบาๆ“นี่ท่าน!”“ชู่ว อย่าเสียงดังไป เฉียนเอ๋อร์ของเรา กำลังจะหลับแล้ว”“แล้วท่านมากอดข้าทำไมเล่า”“ข้าแค่อยากช่วยเจ้ากล่อมเฉียนเอ๋อร์ เจ้าดูสิ ไม่เจอกันเพียงไม่กี่เดือน เขาตัวใหญ่จนล้นตักเจ้าแล้ว เฉียนเอ๋อร์คงจะกินเก่งมากเลยใช่หรือไม่”ฉือหย่งหลิงพูดเฉไฉไปเรื่องอื่น โดยไม่สนท่าทีของร่างบางในอ้อมกอด ต่อให้นางพยายามดิ้นหรือพูดไล่เขาอย่างไร แต่เขาก็ยังไม่ยอมปล่อย“อาการบาดเจ็บจากสงครามของท่าน ข้าว่าท่านควรให้ท่านหมอฉิวหว่านอี้ ตรวจให้ระเอียดอีกรอบจะดีกว่านะเจ้าคะ”“เหตุใดถึงกล่าวเช่นนั้น
“แอ๊ มาๆ”“เด็กดี อย่าเสียงดังไป เห็นหรือไม่ว่าแม่ของเจ้า กำลังนอนหลับอยู่” แม่ทัพหนุ่มเอี้ยวตัวไปอุ้มบุตรชาย ที่กำลังส่งเสียงเรียกมารดาขึ้นนั่งบนอก เพราะไม่อยากให้เขารบกวนหญิงสาวที่กำลังนอนหลับอยู่“นี่เจ้าตัวหนักขนาดนี้แล้วหรือ”“อา อู๊ว”ทารกน้อยวัยสิบเดือนร้องตอบโต้บิดาออกมาเสียงดัง จนทำให้มารดาเริ่มขยับตัว บิดาของเขาจึงค่อยๆ ยันตัวลุกขึ้น แล้วอุ้มออกจากห้องไป เพื่อไม่ให้เด็กน้อยรบกวนการพักผ่อนของมารดา แม้เวลานี้จะเป็นเวลาเช้าแล้วก็ตามเป็นเวลาสามเดือนกว่าแล้ว ที่ฉือฟางอินและเฉียนเอ๋อร์ย้ายกลับมาอยู่ที่เรือนเดิมของเจ้าตัวน้อย ตามคำขอของฉือหย่งหลิง เมื่อครั้งที่เขาต้องล้มป่วย เนื่องจากความอยากจะใช้เวลากับภรรยาและลูกทุกวัน ชายหนุ่มจึงเลือกที่จะเทียวไปเทียวมาที่เรือนของภรรยา แทนที่จะรักษาอาการบาดเจ็บให้หายดีก่อน การที่ต้องเดินฝ่าความหนาวเย็นของฤดูเหมันต์เช่นนั้น นานวันเข้าร่างกายที่ยังไม่แข็งแรงดีของเขาก็เกิดประท้วงขึ้นมา ท่านหมอฉิวหว่านอี้จึงสั่งให้ฉือหย่งหลิงพักรักษาตัวอยู่ที่เรือนหลั
“นี่พวกเราไม่ได้จะกลับบ้านกันหรอกหรือเจ้าคะ”ฉือฟางอินเอ่ยถามขึ้นมา เพราะเห็นว่าที่ที่ฉือหย่งหลิงพาตัวนางกับเฉียนเอ๋อร์มานั้น คือท่าเรือแคว้นหลูแทนที่มุ่งหน้า เดินกลับจวนสกุลฉือตามกำหนดการ ฉือหย่งหลิงไม่ได้อธิบายในทันที แต่กลับเดินนำหน้านางไปที่เรือลำหนึ่ง ที่ตกแต่งไปด้วยผ้าสีแดงสวยงาม ราวกับมีงานมงคลอยู่บนเรือลำนั้น แล้วหันมายื่นมือรอให้นางเดินเข้าไป เพื่อที่ได้พยุงนางกับลูกขึ้นเรือ“นี่อย่างไร จะพากำลังจะพาเจ้ากลับบ้าน”ความแปลกใจของฉือฟางอินยิ่งทวีขึ้น เมื่อเดินเข้ามาด้านในเรือแล้วพบว่า ด้านในของเรือลำนี้ได้ถูกจำลอง ให้เหมือนกับงานพิธีสมรสอย่างไรอย่างนั้น“นี่มันอะไรกันเจ้าคะ ทำในนี้ถึงได้...”“ฮูหยิน เมื่อสามปีก่อนที่เราแต่งงานกัน เป็นข้าที่ปฏิบัติกับเจ้าไม่ดี ไม่ให้เกียรติ์เจ้าในฐานะภรรยา แม้แต่เกี้ยวเจ้าสาวดีดี ก็ไม่ได้หาให้เจ้า ในวันนี้ที่ข้าสำนึกผิดแล้ว จึงอยากจะขอแก้ตัวกับเจ้าใหม่ ฮูหยิน ได้โปรดแต่งงานกับข้าอีกครั้งได้หรือไม่ ครั้งนี้ข้าสัญญาด้วยชีวิต ว่าเจ้าจะไม่เสียใจที่ได้แต่งงานกับคนอย่างข้าอีก เหมือนเมื่อสามปีที่แล้วอย่างแน่นอน
“ด้วยนิสัยเดิมของบุตรชายข้าคนนี้ ที่นอกจะไม่เอาไหนแล้ว เขามักจะชอบลักเล็กขโมยน้อย สิ่งของคนที่เขาเคยได้สนทนาด้วยเสมอพะย่ะค่ะ”พรึ่บชวี่ซุนเหลียนขาอ่อนล้มพับลงไปนั่งกับทันที เมื่อนางเห็นพู่ตราสัญลักษณ์สกุลรุ่ย ประจำตัวของนางอยู่ในมือของฮ่องเต้ พู่ตราสัญลักษณ์นี้ เป็นสิ่งที่ติดตัวนางมาตั้งแต่เด็ก ด้วยความผูกพันกับของสิ่งนี้ ทำให้แม้จะเข้ามาเป็นอนุภรรยาในสกุลชวี่แล้ว นางก็ยังคงห้อยพู่ตราสัญลักษณ์สกุลรุ่ย ไว้กับตัวอยู่ตลอดเวลา ชวี่ซุนเหลียนไม่รู้ว่าตัวเองทำมันหล่นหายไปตอนไหนจนเข้าใจไปว่านางอาจจะทำพู่นั่น ตอนที่ไปอารามหวั่งสุ่ยกับจินหู่อดีตสาวใช้ ที่ถูกนางผลักตกเขาไปเมื่อสามปีก่อน เพราะจินหู่เป็นคนเดียวที่อยู่กับนาง ทั้งตอนวางแผนและตอนที่นางไปพบกับหลี่หมิงด้วยตัวเอง ชวี่ซุนเหลียนจึงจำต้องกำจัดนาง ตามคำสั่งของกู้ชินอ๋อง เพราะไม่อยากเกิดปัญหาตามมาในอนาคต หลังจากผ่านคืนนั้นไปไม่นาน ขณะที่ชวี่เจียงโหลวนำทัพไปทำสงคราม ชวี่ซุนเหลียนจึงออกอุบายกับจินหู่ ว่าตัวนางนั้นอยากจะไปสงบจิตใจ จากเรื่องที่พึ่งผ่านพ้นไป ด้วยการไปไหว้พระที่อารามหวั่งสุ่ยและต้องการไ
เกิดเสียงฮือฮาไปทั่วทุกสารทิศ ว่าเหตุใดชวี่เจียงโหลวถึงได้มาขออย่าขาดกับชวี่ซุนเหลียน ต่อหน้าธารกำนัลในวันสำคัญเช่นนี้ แม้แต่กู้ชินอ๋องเองก็ต้องถึงกับลุกขึ้นจากที่นั่ง เพราะไม่ได้คาดคิดถึงการกระทำเช่นนี้ ของชวี่เจียงโหลวมาก่อน“ท่านพี่ นี่มันอะไรกันเจ้าคะ”“นั่นสิแม่ทัพชวี่ วันดีๆ แบบนี้ เหตุใดเจ้าถึงขออย่ากับนางต่อหน้าข้าและคนอื่นๆ”“นั่นก็เพราะว่าข้า มิอาจอยู่ร่วมชายคา กับสตรีชั่วช้าคนนี้ได้อีกต่อไปแล้วพะย่ะค่ะ”“เจ้าหมายความว่าอย่างไรกัน”“พระองค์คงจะไม่รู้ว่าเมื่อสามปีที่แล้ว มีสิ่งใดเกิดขึ้นในจวนของกระหม่อมบ้าง”ทันทีที่ได้ยินชวี่เจียงโหลวกล่าวเช่นนั้น กู้ชินอ๋องและชวี่ซุนเหลียนต่างก็ตาเบิกกว้าง พร้อมกับหันหน้ามาสบตากัน เรื่องเมื่อสามปีที่แล้วจะเป็นเรื่องใดได้อีก หากไม่ใช่เรื่องที่ชวี่ซุนเหลียนวางแผน แย่งคู่หมั้นของฉือฟางอินมาให้บุตรสาว และหมายจะให้คนงานหอนางโลม เข้ามาทำมิดีร้ายกับฉือฟางอินถึงในเรือนของนาง“กระหม่อมสู้อดทน สืบหาเบาะแสผู้ที่อยู่เบื้องหลังมาตลอด จนได
“แล้วเขาให้ความร่วมมือหรือไม่ขอรับ”“ย่อมต้องเป็นอย่างนั้น”หลังจากที่รู้ให้คนพาตัวหลี่เฉินมาที่ค่ายทหาร ชวี่เจียงโหลวแสดงตนต่อหน้าเขา พร้อมทั้งบอกให้เขาได้รู้ว่า คุณหนูที่สตรีชนชั้นสูงนิรนามคนนั้น จ้างวานให้เขามาทำมิดีมิร้ายคือบุตรสาวของตน เท่านั้นก็ทำให้ลี่เฉินตัวสั่นเป็นเจ้าเข้า เพราะความโง่เขลา“ท่านแม่ทัพชวี่ เรื่องนี้ ข ข้าไม่เกี่ยวนะขอรับ ป เป็น เป็นบุตรชายของข้า ที่แอบรับงานนั้นด้วยตัวเอง ข้าไม่เกี่ยวนะขอรับ”“คนตายไปแล้วจะพูดอะไรได้ หากเจ้าบอกว่าเจ้าไม่เกี่ยวกับข้องเรื่องนี้ แต่ทันทีที่พบของพวกนี้ เจ้ากลับจะนำไปทำลาย นี่หรือที่เจ้าบอกว่าไม่เกี่ยวข้อง”“ม ไม่ใช่ ไม่ใช่อย่างนั้นขอรับท่านแม่ทัพ ที่ข้าคิดจะเอาของพวกนี้ไปทิ้ง ก็เพราะว่าข้ากลัวข้า กับคนในครอบครัวที่เหลือที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ ต้องโดนหางเลขไปด้วยขอรับ”“งั้นก็แสดงว่าเจ้ารู้แล้วอย่านั้นหรือ ว่าของสองอย่างนี้เป็นของใคร”“ยังไม่ทราบแน่ชัดขอรับ แต่คนผู้นั้นน่าจะมีความเกี่ยวข้องกับสกุล
“อื้อ แอ้! คิกๆ”“ฮ่าๆ เฉียนเอ๋อร์ ขาเจ้าเล็กแค่นี้ แต่พละกำลังมากเหลือเกิน แม่เจ้าคงเลี้ยงเจ้ามาอย่างดีเลยสินะ”ชวี่เจียงโหลวกล่าวอย่างอารมณ์ดี ขณะที่กำลังให้หลานชาย ใช้ขาอวบทั้งสองข้าง ยันหน้าขากระโดดเด้งขึ้นเด้งลง ส่งเสียหัวเราะคิกคักด้วยความสนุกสนาน โดยมีฉือฟางอินและฉือหย่งหลิง นั่งอยู่ใกล้ๆ คอยมองสองตาหลาน เล่นด้วยกันด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม หลังจากทานมื้อค่ำด้วยกันแล้ว ชวี่เจียงโหลวได้ชักชวนบุตรสาวและบุตรเขย มานั่งพูดคุยถามสารทุกข์ตลอดหลายปีที่ไม่ได้พบหน้ากัน ซึ่งแน่นอนว่าการพูดคุยในครั้งนี้นั้น ไม่มีอนุเหลียนตามมาด้วย“เฉียนเอ๋อร์ เจ้าเล่นเบาๆ หน่อยเถิด เดี๋ยวท่านตาของเจ้าจะเจ็บเอาได้”“ไม่เป็นไรๆ ปล่อยให้เขาได้เล่นตามใจเถิด แรงเพียงเท่านี้ จะทำข้ากับได้อย่างไร เฉียนเอ๋อร์เจ้าเหนื่อยหรือยัง ให้ตาจับเจ้าโยนเล่นบนอากาศดีหรือไม่”“อื้อ แอ๊!”แม้จะพบหน้ากันเป็นวันแรก แต่สองตาหลานก็ดูจะเข้ากันดีจนคนเป็นแม่อย่างฉือฟางอินอดที่จะแปลกใจไม่ได้ เพราะที่ผ่านมา เฉียนเอ๋อร์ไม่ค่อยได้พบเจอคนอื่
“เชิญพวกเจ้าพักผ่อนกันให้หายเหนื่อยเถิด ขาดเหลืออะไรก็บอกคนรับใช้ เดี๋ยวสักครู่ข้าจะต้องเข้าวังไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้คงไม่ได้อยู่ถามสารทุกข์สุขดิบของพวกเจ้า เอาไว้พบกันตอนค่ำก็แล้วกัน”“เจ้าค่ะท่านพ่อ ท่านไปเตรียมตัวเถิดเจ้าค่ะ ไม่ต้องห่วงทางนี้”หลังจากที่พาบุตรสาวและบุตรเขย มาส่งยังเรือนเก่าของฉือฟางอิน ที่ชวี่เจียงโหลวยังคงให้คนรับใช้เข้ามาทำความสะอาดทุกวัน เหมือนเมื่อครั้งที่บุตรสาวอาศัยอยู่ที่นี่ เจ้าตัวก็ต้องรีบเดินทางไปยังวังหลวงเพื่อส่งรายงาน สิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างการทำศึกรวบรวมดินแดน ที่ชวี่เจียงโหลวเป็นผู้นำทัพ และสามารถคว้าชัยชนะมาได้เมื่อหลายเดือนก่อนด้านฉือฟางอินที่พึ่งจะตกปากรับคำที่บิดาไป แต่นางกลับมีความคิดจะออกไปข้างนอก แทนที่จะพักผ่อนตามที่บิดาบอก เหตุเห็นว่าไหนๆ ตนเองก็เดินทางมาถึงจวนสกุลชวี่ เร็วกว่าเวลาที่คำนวณเอาไว้มาก ประกอบกับที่นางไม่ได้รู้สึกเหนื่อยล้า จากการเดินทางที่ผ่านมาเลยสักนิด นางจึงอยากจะเดินทางไปเยี่ยมชมกิจการเลี้ยงหม่อน ที่เคยวางแผนว่าจะไปที่นั่นใน หลังจากผ่านไปแล้วสองถึงสามวัน หลังจากที่ถึงจวนสกุลชวี
“เด็กคนนี้คือเฉียนเอ๋อร์…หลานชายของท่านเจ้าค่ะ”“แอ๊!”ท่ามกลางความตกใจและไม่คาดคิดของชวี่เจียงโหลว เจ้าตัวน้อยที่จ้องหน้าท่านตาของตนเองอยู่ก่อนแล้ว ก็ส่งเสียงทักทายขึ้นมาพร้อมกับฉีกยิ้ม เห็นฟันน้อยที่มีอยู่ไม่กี่ซี่ให้กับเขา“หละ หลานชาย โอ้! เฉียนเอ๋อร์ เฉียนเอ๋อร์หลานตา มาๆ มาให้ตาดูเจ้าใกล้ๆ หน่อยเถิด”เมื่อตั้งสติและกระจ่างแจ้งแล้วว่า เด็กชายตัวน้อยที่ฉือฟางอิน บุตรสาวของตนเองอุ้มอยู่นั้น เป็นหลานชายแท้ๆ ของตน แม่ทัพใหญ่แห่งแคว้นหลู จึงได้รีบเดินเข้าไปที่รถม้าเพื่อช่วยพยุงบุตรสาวลงมา แต่ทว่าขณะที่กำลังยื่นมือออกไป หมายจะอุ้มหลานชายของตนเองนั้น ชวี่เจียงโหลวกลับชะงักมือของเขาเอาไว้ เพราะคิดขึ้นมาได้ว่าบุตรสาวของตนเองนั้น จะยินดีให้เขาอุ้มลูกของนางหรือไม่ด้านฉือฟางอินเองหลังจากที่เห็นท่าทีลังเลของบิดา นางจึงเป็นฝ่ายส่งลูกน้อย สู่อ้อมอกท่านตาของเขา โดยที่ไม่มีท่าทีไม่พอใจแต่อย่างใด ชวี่เจียงโหลวถึงได้กล้ารับเจ้าตัวน้อยมาอุ้มเอาไว้ หญิงสาวมองภาพตรงหน้าด้วยอารมณ์ที่หลากหลาย แต่ถึงอย่างนั้นนางก็รู้สึ
“เชิญท่านแม่ทัพกับฮูหยินทางนี้ขอรับ”เจียงเถาที่เร่งเดินทางมาให้ถึงเมืองลิ่ง ก่อนหน้าที่คนที่เหลือที่ขบวนจะเดินมาถึง เพื่อมาจัดการหาที่พักให้กับทุกคน เมื่อเห็นว่าเจ้านายและคนอื่นๆ เดินทางมาถึงแล้ว ชายหนุ่มจึงรีบเดินเข้ามาเพื่อนำทางไปยังโรงเตี๊ยมชั้นดี ที่เขาจัดการจ่ายเงินที่เจ้านายมอบให้ สำหรับสถานที่พักค้างแรมในคืนนี้ระหว่างทางที่กำลังเดินไปยังโรงเตี๊ยม ฉือฟางอินที่เคยได้ยินชื่อและได้มาเยือนเป็นครั้งแรก ก็อดที่จะตื่นตาตื่นใจกับการสัมผัสบรรยากาศในสถานที่ใหม่ไม่ได้ เพราะแม้ว่าเวลานี้จะเป็นเวลาพลบค่ำแล้ว แต่บรรยากาศในเมืองลิ่งก็ยังคงคึกคัก คลาคลั่งไปด้วยผู้คนมากมาย ไม่เหมือนกับเมืองอื่นๆ ที่ชาวบ้านส่วนใหญ่จะทำกิจวัตรอยู่ในบ้านของตนเอง หลังจากพระอาทิตย์ตกดินไปแล้ว นั่นก็เพราะทุกพื้นที่ในเมืองลิ่งนั้น ล้วนเต็มไปด้วยโรงเตี๊ยมกิจการร้านค้าและร้านอาหารน้อยใหญ่ จนไปถึงภัตตาคารเรียงรายไปทั่วทั้งเมือง“ถึงแล้วขอรับ”“อ้าว นายของเจ้ามาแล้วรึ เชิญๆ ท่านแม่ทัพฮูหยิน เชิญเข้ามาได้เลย ข้าให้เด็กเตรียมที่พักไว้ตามที่ท่านต้องการแล้ว เด็กๆ มา
“กลับแคว้นหลูอย่างนั้นหรือฮูหยิน”ทันทีที่ได้เห็นท่าทางของฉือหย่งหลิง หลังจากที่เขาได้รู้ว่าตัวนางนั้นกำลังจะเดินกลับแคว้นหลู ฉือฟางอินก็ได้แต่ถอนหายใจออกมา นางไม่ได้คิดที่จะปิดบังเขาแต่อย่างใด เพียงแต่ต้องการเวลาให้ตัวนางได้เรียบเรียงคำพูดมาอธิบายให้กับฉือหย่งหลิงอนุญาตให้นาง ได้กลับไปยังแคว้นบ้านเกิด แต่เนื่องจากช่วงนี้การงานที่รัดตัว จึงทำให้นางลืมบอกเรื่องนี้กับเขา“ใช่ ข้าจะกลับบ้าน”“แล้วเหตุใดข้าถึงไม่รู้เรื่องนี้ ข้าทำอะไรให้เจ้าไม่พอใจอย่างนั้นหรือ”“เปล่า ท่านไม่ได้ทำอะไร”“ไม่จริง ไม่เช่นนั้นเจ้าจะวางแผนหนีข้าไปเช่นนี้หรือ”“ไปกันใหญ่แล้ว ข้าแค่จะกลับไปเยี่ยมท่านพ่อ”“เยี่ยมบิดาของเจ้าหรือ”“ก็ใช่น่ะสิ ท่านคิดไปถึงไหนกัน”เพราะนับตั้งแต่ที่ได้มาอยู่ที่นี่ มีเรื่องราวมากมายเกิดขึ้นที่หญิงสาวไม่ทันได้ตั้งตัว จึงเป็นเวลากว่าสามปีแล้วที่หญิงสาว ยังไม่ได้มีโอกาสกลับไปเยี่ยมบ้านเกิดตามธรรมเนียม เวลานี้ที่ตัวนางกำลังขยายร้