“หยุด! อย่าขยับ”
เฮือก!
ฉือฟางอินผวากอดเฉียนเอ๋อร์เอาไว้แน่น ทันทีที่ได้ยินเสียงบุคคลปริศนาดังมาจากด้านหลัง เดิมทีคิดว่าบริเวณนี้อยู่ในทางที่คนของฉือหย่งหลิงกำชับเอาไว้ นางจึงคิดว่าบริเวณนี้น่าจะปลอดภัย และต้นไม้ต้นนี้เองก็ใหญ่พอ ที่จะเป็นที่กำบังสายตาจากผู้อื่นให้กับนางและเฉียนเอ๋อรได้พักพิง ในยามที่อากาศร้อนจนเฉียนเอ๋อร์ร้องโยเยเพราะไม่สบายตัว แล้วค่อยออกเดินทางหาหมู่บ้านที่ว่านั่นต่อ
แต่สุดท้ายก็เกิดเรื่องขึ้นจนได้ และแม้นางจะรู้สึกกลัวเพราะไม่รู้ว่า คนพวกนั้นต้องการสิ่งใดจากนางกันแน่ แต่ฉือฟางอินก็พยายามบังคับตัวเองไม่ให้สติแตกไปมากกว่านี้ นางจึงมองไปรอบๆ บริเวณนั้น เพื่อหาสิ่งที่พอจะนำมาป้องกันตัวได้ ขณะที่เสียงฝีเท้าของคนด้านหลังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ มือของนางก็คว้าเอาไม้ท่อนหนึ่งได้พอดี
“อ อย่าเข้ามานะ!”
ฉือฟางอินกอดเฉียนเอ๋อร์เอาไว้แน่น แล้วตระโกนจนสุดเสียง พร้อมกับใช้มือที่ถือท่อนไม้อยู่ กวัดแกว่งไปมาเพื่อป้องกันตัว ในขณะที่ฉือฟางอินกำลังใช้ไม้ กวัดแกว่งไปมาอย่างสะเปะสะปะ โดยไม่ลืมหูลืมตานั้น อีกฝ่ายหนึ่งเมื่อพบว่าบุคคลภายนอก ที่บุกรุกเข้ามายังพื้นที่ของพวกเขานั้น เป็นเพียงแม่ลูกอ่อนคู่หนึ่ง ไม่ใช่กลุ่มโจรกบฏ ที่กำลังเข้าโจมตีเมืองอี้อยู่ ณ ขณะนี้ ชายทั้งสามคนก็ถึงกับผงะไป อย่างทำอะไรไม่ถูก พวกเขาได้แต่มองหน้ากันอย่างใช้ความคิด เมื่อบุคคลตรงหน้า เป็นบุคคลอื่น ที่มิได้อยู่ในแผนล้อมผู้ร้ายตามที่ได้รับคำสั่งมา
ชายฉกรรจ์ทั้งสามจึงหันไปหาชายอีกคนหนึ่ง ซึ่งก็คือหัวหน้าของพวกเขา ที่กำลังยืนดูสถานการณ์อยู่หลังหินก้อนใหญ่ แล้วใช้สายตาสื่อความหมายเชิงคำถาม ว่าจะให้พวกตนทำอย่างไรต่อไป ด้านชายผู้นั้นที่เห็นทุกอย่างมาตั้งแต่ต้น ได้รู้แล้วว่าคนที่อยู่หลังต้นไม้มิใช่กลุ่มโจรกบฏอย่างที่เข้าใจ แต่กระนั้น แม่ลูกคู่นี้ก็ยังถือว่าเป็นคนนอกที่ไม่อาจไว้ใจได้อยู่ดี ชายคนดังกล่าวจึงทำท่าทางเป็นสัญญาณ ให้คนของตนเองจัดการจับตัวฉือฟางอินเอาไว้ เพื่อที่จะได้นำไปสอบสวน ถึงที่มาที่ไปต่อไป
“หยุด! นั่นคือฮูหยินฉือฟางอินกับคุณชายเฟิ่งเฉียน!”
แต่ทว่ายังไม่ทันที่ทั้งสามคนจะได้เข้าถึงตัว ของฉือฟางอินและเฉียนเอ๋อร์ ก็ได้มีเสียงของใครบางคนตะโกนห้ามพวกเขา โดยการเอ่ยชื่อบุคคลสำคัญ ที่อยู่ในแผนการที่เคยได้ร่วมประชุมกันเมื่อหลายวันก่อนขึ้นมา ชายทั้งสามพร้อมด้วยหัวหน้าของพวกเขา ต่างพากันหันไปทางเสียงของบุคคลนั้นเป็นตาเดียว ฉือฟางอินเองก็เช่นเดียวกัน เพราะถ้านางไม่ได้หูแว่วไป ชายที่เพิ่งปรากฏตัวเมื่อครู่ เขาเพิ่งได้เอ่ยเรียกชื่อนางกับเฉียนเอ๋อร์ขึ้นมา เพื่อห้ามคนพวกนี้ไม่ให้เข้ามาจับตัวนางกับบุตรชาย
“นั่น จ เจ้า คือเจ้านั่นเอง!”
เมื่อได้เห็นหน้าชายผู้นั้นชัดๆ ฉือฟางอินก็ถึงกับเอ่ยทักเขาเสียงดังด้วยความดีใจ เพราะเขาเป็นหนึ่งกลุ่มชาย ที่เป็นคนของฉือหย่งหลิง ที่พานางและเฉียนเอ๋อร์ ไปซ่อนตัวที่ห้องลับในจวนสกุลฉือนั่นเอง
“ขอรับฮูหยิน ข้าน้อย จินซีจ่าว เองขอรับ”
จินซีจ่าวกล่าวตอบรับฉือฟางอิน พร้อมกับเดินเข้ามายืนแทรกกลาง ระหว่างฉือฟางอินและกลุ่มชายฉกรรจ์ทั้งสี่คน ชายทั้งสามที่ยืนล้อมฉือฟางอินอยู่ก่อนหน้านี้ ได้ก้มหัวให้กับจินซีจ่าวคล้ายกับการทำความเคารพ ต่อคนที่มีสถานะใหญ่กว่าพวกเขา ฝ่ายของจินซีจ่าวเอง ก็หันไปก้มหัวให้กับชายอีกคนที่ดูจากภายนอกแล้ว น่าจะมีอายุมากกว่าเขาอยู่มาก แต่นั่นก็ไม่น่าตกใจเท่ากับคำที่เขาเรียกชายคนนั้นหลังจากที่ก้มหัวให้
“ท่านพ่อ”
“ซีจ่าว เมื่อครู่เจ้าบอกว่า สองคนนี้คือ…”
“ทั้งสองคนนี้คือฮูหยินฉือฟางอิน และคุณชายฉือเฟิ่งเฉียน ของท่านแม่ทัพใหญ่ขอรับท่านพ่อ”
ทันทีที่ได้ยินชัดเจนว่าสตรีและเด็กตรงหน้าเป็นใคร ชายฉกรรจ์ทั้งสาม ที่ฉือฟางอินเดาเอาว่าน่าจะมีสถานะเป็นผู้น้อยที่สุดในที่นี้ ก็ได้คุกเข่าก้มหัวแล้วกล่าวขอโทษนาง ที่ได้กระทำการล่วงเกินไปก่อนหน้านี้ ส่วนชายอีกคน ที่ฉือฟางอินเพิ่งได้ทราบเมื่อครู่ ว่าเขาคือบิดาของจินซีจ่าว แม้เขาจะไม่ได้คุกเข่าก้มหัวขออภัยจากฉือฟางอิน เหมือนอย่างที่สามคนนั้นทำ
แต่ทว่าท่าทีของเขา ก็เปลี่ยนไปจากตอนแรกที่ดูจะไม่ชอบใจที่นางเข้ามาที่นี่ กลายเป็นสีหน้ากังวลเมื่อได้รู้ว่านางคือฮูหยินแห่งจวนสกุลฉือ และเมื่อสายตาของเขา ได้มองเลยไปยังด้านหลังของจินซีจ่าวผู้เป็นบุตรชาย บิดาของจินซีจ่าวก็ถึงกับต้องเบิกตากว้างด้วยความตกใจ เมื่อได้สบตาเข้ากับสายตาคนอีกผู้หนึ่ง ที่ไม่รู้ว่ามายืนอยู่ตรงนี้ตั้งแต่เมื่อใด
ด้านจินซีจ่าวที่เห็นบิดามีท่าทางเช่นนั้น เขาจึงหันตามสายตาของบิดาไป ถึงได้เห็นว่าคนที่บอกกับเขาว่าจะมอบหน้าที่ตรงนี้ ให้จินซีจ่าวจัดการทั้งหมด ส่วนตนเองจะขอแอบดูอยู่ห่างๆ แต่ทว่าตอนนี้กลับมายืนอยู่ด้านหลังของเขาแล้วเสียอย่างนั้น ฉือฟางอินที่เห็นสองพ่อลูกทำท่าทางแปลกๆและเมื่อเห็นว่าทั้งหมดละความสนใจนางไปหาใครอีกคน นางจึงได้แอบชะเง้อดูบ้าง ว่าบุคคลที่มาใหม่ผู้นั้นเป็นใครกัน และเมื่อชะเง้อจนสุดคอ นางก็ได้เห็นว่าบุคคลปริศนาที่มาใหม่นั้น
เป็นบุรุษร่างสูงที่สวมชุดสีดำไปทั้งตัวและใบหน้า เหลือไว้แค่เพียงดวงตาทั้งสองข้าง การแต่งกายเช่นนี้ฉือฟางอินเคยเห็นมัน ด้วยเพราะนางเป็นบุตรสาวของแม่ทัพใหญ่ ล้วนต้องเคยได้เห็นการฝึกฝนของเหล่าทหารมาก่อน นี่เป็นชุดสวมใส่เพื่ออำพรางตัวตน ในยามที่บุคคลนั้นได้รับมอบหมายให้ทำภารกิจสำคัญ โดยห้ามให้ผู้ใดรู้ตัวตนว่าเขาเป็นใครและถูกสั่งการมาโดยผู้ใด
“อื้อ…แอ๊ะ!”
ขณะเดียวกันระหว่างที่ฉือฟางอิน กำลังชะเง้อมองคนผู้นั้นอย่างใคร่รู้ เฉียนเอ๋อร์ที่ก่อนหน้านี้ได้นอนนิ่งอยู่ในอ้อมกอดของนาง ไม่ได้ร้องส่งเสียงเหมือนรู้ความว่า เวลานี้ตนเองต้องทำตัวเช่นไร เพื่อไม่ไปรบกวนมารดาที่กำลังพยายามตั้งสติ หาทางช่วยเหลือตนเองอยู่ ตอนนี้กลับออกแรงดิ้นพร้อมส่งเสียง เรียกร้องความสนใจจากฉือฟางอิน ให้หันมาสนใจเขาได้แล้ว
แต่ดูเหมือนว่าเสียงที่เฉียนเอ๋อร์ร้องออกมานั้น จะดังเกินกว่าที่จะเรียกความสนใจ จากมารดาของเขาเพียงแค่คนเดียว เหล่าบุรุษที่นั่งยืนล้อมกันเองอยู่นั้น ถึงได้หันมาทางสองแม่ลูกเมื่อได้ยินเสียงเด็กทารกตัวน้อยร้องส่งเสียงออกมา รวมไปถึงชายที่อยู่ในชุดอำพรางตัวผู้นั้นด้วย หากแต่ทว่าเมื่อชายผู้นั้นหันมา แล้วเห็นสภาพของฉือฟางอินในตอนนี้ ที่เสื้อผ้าหลุดลุ่ยจนเกือบเห็นอะไรไปถึงไหน ก็ถึงกับต้องเอ่ยกับจินซีจ่าว บิดาของเขาและพักพวกด้วยเสียงเย็น รอดผ่านไรฟันออกมาอย่างหัวเสีย
“หันหน้าของพวกเจ้ากลับมาเดียวนี้”
คนทั้งห้าเมื่อได้ยินวาจาเช่นนั้น ก็พร้อมใจกันหันหลังให้กับฉือฟางอินกันอย่างพร้อมเพียง หลังจากนั้นชายชุดดำก็เดินดุ่มๆ เข้าไปหาฉือฟางอินด้วยตนเอง ท่าทางเช่นนั้นตกอยู่ในสายตาบิดาของจินซีจ่าวทั้งหมด จนเขาอดที่จะกระซิบถามบุตรชายไม่ได้
“นี่ ซีจ่าว”
“ขอรับท่านพ่อ”
“ไหนเจ้าบอกว่า ท่านแม่ทัพมิได้มีแก่ใจ จะสนใจใยดีฮูหยิน และมิได้รู้สึกอันใดกับนางแม่แต่น้อยอย่างไรเล่า แล้วเหตุใดท่านแม่ทัพถึงได้มีท่าทางเช่นนั้นกัน นี่มันมิใช่ท่าทางของสามีที่หวงภรรยา ที่กำลังถูกบุรุษอื่นมองหรอกหรือ”
จินซีจ่าวได้ฟังบิดาพูดกล่าวเช่นนั้น ก็ได้แต่ส่ายหน้าอย่างไม่รู้จะตอบไปว่าอย่างไรกลับไป เพราะหลายครั้งเขาเองก็มีความคิดเห็นในเรื่องนี้ไม่ต่างไปจากบิดา จริงอยู่ว่าในตอนแรกที่ฮูหยินฉือฟางอิน ได้เข้ามาอยู่ในจวนสกุลฉือ การกระทำหลายๆ อย่างของท่านแม่ทัพ บ่งบอกได้ว่าท่านแม่ทัพไม่ได้ปรารถนาและพิศวาสในตัวฮูหยินเลยแม้แต่น้อยนั่นอาจจะด้วยเรื่องราวที่นำพาให้ทั้งสองคน ต้องมาลงเอยเป็นสามีภรรยากันนั้น เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นไม่ค่อยดีเสียเท่าไหร่ ประกอบกับเดิมทีท่านแม่ทัพเอง เพื่อที่จะได้แก้แค้นให้บิดามารดา ที่ยอมสละชีวิตเพื่อให้เขาได้มีชีวิตอยู่ ท่านแม่ทัพจึงเอาเวลาทั้งหมดของตนเอง ไปทุ่มเทให้กับการฝึกวรยุทธเพื่อให้ตนเองแข็งแกร่ง และออกตามหาผู้ที่อยู่เบื้องหลังการตายของบิดามารดาเรื่องการแต่งงานจึงเป็นเรื่องที่อยู่อันดับสุดท้าย หรือไม่ก็ไม่เคยอยู่ในความคิดของท่านแม่ทัพเลย การที่ต้องเข้าไปพัวพันกับเรื่องในจวนสกุลชวี่ จนเป็นเหตุให้ท่านแม่ทัพต้องรับผิดชอบ ด้วยการแต่งงานกับฮูหยินอย่างไม่เต็มใจนั้น จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้ท่านแม่ทัพ กระทำการอย่างใจร้ายต่อฮูหยินเช่นนั้น มาตั้งแต่ที่ฮูหยินก
“อื้อ! แอ๊ คิกๆ”เสียงทารกเปร่งเสียงชอบใจ พร้อมกับเสียงหัวเราะดังไปทั่วบริเวณ ในขณะที่คนทั้งหมดกำลังเดินทางกลับหมู่บ้าน การที่ฉือฟางอินสลัดความคิดทุกอย่างทิ้ง แล้วหันไปสนใจแต่เฉียนเอ๋อร์นั้น ทำให้นางเลิกสนใจบุรุษที่เดินอยู่ข้าง ๆ ที่นางไม่รู้ว่าเขาคือฉือหย่งหลิงได้จริงๆ ฝ่ายฉือหย่งหลิงเองยามที่ได้เห็นฉือฟางอิน หยอกล้อเล่นกับเฉียนเอ๋อร์ได้เป็นอย่าง ก็นับว่าเป็นเรื่องประหลาดใจไม่น้อยสำหรับเขาเดิมทีที่ฉือหย่งหลิงต้องมาเดินอยู่ใกล้ๆ ฉือฟางอินเช่นนี้ ก็เพราะเขากลัวว่าคนเป็นแม่ ที่ไม่เคยเลี้ยงดูลูกอย่างนาง อาจจะทำอะไรที่เป็นอันตรายกับเฉียนเอ๋อร์เอาได้ ครั้นจะให้ชิงเอาตัวเฉียนเอ๋อร์มาอุ้มเสียเอง ในยามที่ตนเองอำพรางตัวอยู่นี้ ก็เกรงว่าจะผิดสังเกตจนเกินไป การที่เขาละเว้นนางเอาไว้ ไม่เปิดเผยตัวตนให้รู้เหมือนกับคนอื่นที่อยู่ที่นี้ นั่นก็เพราะว่าเขาต้องการ ที่จะสำรวจการกระทำของนางที่มีต่อบุตรชาย ว่าแม่อย่างนางที่ไม่เคยเลี้ยงดูลูกเลยสักครั้ง จะทำอย่างไรเมื่อต้องมาเลี้ยงลูกด้วยตัวเองตามลำพัง แต่อันที่จริงหากมองย้อนกลับไป การที่ฉือหย่งหลิงต้องมากังวลกลัวว่าฉือฟางอิ
แม้ฉือหย่งหลิงจะรู้สึกชอบใจเมื่อเห็นเฉียนเอ๋อร์ ที่พึ่งจะมีอายุได้เพียงสามเดือน ก็เริ่มฉายแววเฉลียวฉลาดให้ได้เห็นถึงเพียงนี้แล้ว แต่ทว่าหากเขายังเดินอยู่ตรงนี้ ก็เกรงว่าจะถูกฉือฟางอินอาจจับพิรุธเอาได้ ฉือหย่งหลิงจำต้องเดินไปยังด้านหลัง แล้วสั่งให้บุรุษสองในสามคนที่คุ้มกันอยู่ด้านหลัง สับเปลี่ยนมาเดินขนาบข้างอยู่ห่างๆ คอยคุ้มกันฉือฟางอินกับเฉียนเอ๋อร์แทนเขา“ฮูหยินขอรับ พวกเรามาถึงทางเข้าหมู่บ้านแล้วขอรับ”เมื่อมองไปตามองตามมือของจินซีจ่าว สิ่งที่ฉือฟางอินเห็นก็คือกำแพงหินธรรมชาติขนาดใหญ่ ที่มีเถาวัลย์เลื้อยพันแน่นหนาตั้งตระหง่านอยู่เบื้องหน้า โดยมีทางเข้าเล็กๆ ที่มีพื้นที่พอให้แค่มนุษย์เดินเรียงแถวกันเข้าไปเท่านั้น และทันทีที่ฉือฟางอินเห็นทางแคบๆ นั่น พลันโรคกลัวที่แคบที่เป็นโรคประจำตัวของนาง ก็เกิดกำเริบขึ้นมาซึ่งอาการกำเริบที่เกิดขึ้นนี้ เป็นผลพวงมาจากในตอนที่นางยังเล็ก ในวันหนึ่งที่นางได้เล่นซ่อนหากับคนใช้ที่จวนสกุลชวี่ในวันนั้นฉือฟางอินได้เข้าไปแอบในหีบใส่ของใบใหญ่ แต่แล้วก็เกิดเหตุไม่ดีขึ้นเมื่อมีคน แอบลอบมาลงกุญแจหีบที่นางซ่อ
ฉือฟางอินจำได้ขึ้นใจ เพราะนี่เป็นกลิ่นน้ำมันหอมระเหย ที่นางทำขึ้นมาให้กับเขา ในภายหลังที่นางได้รู้ว่าฉือหย่งหลิง แอบเข้ามาหานางในยามดึก เพื่อมาลูบท้องและนวดขาให้กับนาง นางจึงอยากตอบแทนความดีในของเขาข้อนี้ ฉือฟางอินจึงตั้งใจเตรียมน้ำผสมกับน้ำมันหอมระเหย ที่ช่วยในเรื่องขับไล่ความเหนื่อยล้า ให้ฉือหย่งหลิงได้แช่ตัวหลังจากที่ทำงานหนักมาทั้งวันสิ่งนี้เป็นหนึ่งในวิธีปรนนิบัติสามี ที่มารดาของนางได้ถ่ายทอดเคล็ดลับเอาไว้ให้ เมื่อครั้งที่มารดาและบิดาของนาง ยังมีความสัมพันธ์อันดีต่อกันอยู่ ฉือฟางอินมักจะเห็นมารดาของนาง เตรียมน้ำผสมน้ำมันหอมระเหยที่ทำมาจากสมุนไพร ไว้สำหรับให้กับบิดาของนางได้แช่ตัว ก่อนที่บิดาจะกลับมาจากการไปว่าราชการ ที่ราชสำนักในวังหลวงในทุกวันเมื่อฉือฟางอินถามมารดาอย่างใคร่รู้ มารดาของนางจึงใจสอนความรู้ให้นางอย่างละเอียดทุกขั้นตอนและยังบอกเคล็ดลับกรรมวิธี ที่จะสามารถเปลี่ยนกลิ่นกายของผู้ที่ลงไปแช่ ให้มีกลิ่นสมุนไพรอย่างที่คนทำเลือกแต่งกลิ่นขึ้นมาได้ ถ้าหากภรรยาอยากจะให้สามีมีกลิ่นกายเช่นไร ก็ให้จับคู่กลิ่นสมุนไพรที่ตนเองต้องการ นำไปทำน้ำมันหอมระเหย และผสม
“พวกท่านทั้งหลาย นี่คือฮูหยินฉือฟางอิน และคุณชายน้อยฉือเฟิ่งเฉียน”เมื่อจินซีจ่าวแนะนำให้ชาวบ้าน ที่ยืนเรียงรายกันอยู่ด้านหน้า ได้ทราบว่าสตรีแม่ลูกอ่อนที่เพิ่งเข้ามาในหมู่บ้านหั้วห่าวของพวกเขา คือฮูหยินและคุณชายน้อย ภรรยาเอกและบุตรชายของท่านแม่ทัพฉือหย่งหลิงเหล่าชาวบ้านที่ตั้งตารอการมาถึงของบุคคลสำคัญทั้งสอง ต่างกล่าวต้อนรับฉือฟางอินและเฉียนเอ๋อร์ด้วยท่าทางยินดีฉือฟางอินรู้สึกโล่งใจขึ้นมาทันที ที่เห็นท่าทางของพวกเขาเกือบทุกคน ต่างยินดีที่นางจะต้องมาอาศัยอยู่ที่นี่ชั่วคราวเว้นก็แต่หญิงสาววัยแรกรุ่นนางหนึ่งที่กำลังยืนทำหน้าตาบอกบุญไม่รับ อยู่ด้านหลังหญิงวัยกลางคน ที่ยืนอยู่ข้างบิดาของจินซีจ่าวท่าทางเช่นนั้น ทำให้ลางสังหรณ์บางอย่างของสตรีที่รู้กริยาท่าทางของสตรีด้วยกันเป็นอย่าดี บอกกับฉือฟางอินว่าในอนาคตอันใกล้นี้ คงจะต้องมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นเป็นแน่ฉะนั้น สิ่งที่นางอินควรจะทำ ระหว่างที่ต้องพักอยู่ที่หมู่บ้านแห่งนี้ ก็คือจะต้องอยู่ให้ห่างจากหญิงสาวนางที่ดูจะไม่ยินดี กับการมีอยู่ของนางเข้าไว้ เพื่อหลีกเลี่ยงความวุ่นวา
“ฮูหยิน ตอนนี้คุณชายน้อยก็หลับไปแล้ว ท่านไปอาบน้ำล้างเนื้อล้างตัวก่อนเถิดเจ้าค่ะ ชุดใหม่ของท่านข้าเตรียมพร้อมไว้มห้อยู่ด้านในแล้ว ส่วนตรงนี้พวกข้าจะคอยดูคุณชายให้ท่านเอง”“เช่นนั้นข้าฝากเฉียนเอ๋อร์ ไว้กับพวกท่านด้วย”ฉือฟางอินเอื้อมมือไปตบเบาๆ ที่หน้าอกของบุตรชายอีกสองสามที เพื่อให้แน่ใจว่าเจ้าก้อนหมั่นโถวหลับสนิทดีแล้ว นางถึงได้ละจากเขาเพื่อไปชำระล้างร่างกาย เรือนหลังนี้เป็นเรือนไม้ธรรมดา ที่ตั้งอยู่ด้านหลังสุดของหมู่บ้านหั้วห่าว ที่มีชาวบ้านอาศัยอยู่ประมาณสิบกว่าครอบครัวเห็นจะได้ ที่นี่แม้จะเป็นเพียงเรือนพักผ่อนชั่วคราวแต่ก็มีพื้นที่สำหรับเอาไว้ทำงาน มีเตียงเอาไว้พักผ่อนหลับนอน และห้องอาบน้ำ ที่ถูกจัดสันเอาไว้อย่างพอดี จะเว้นก็เสียแต่ไม่มีโรงครัวกับพื้นที่รอบๆ เรือนนั้นไม่ได้กว้างใหญ่ เหมือนเรือนหลังอื่นของชาวบ้าน แต่นั่นก็ไม่ได้เป็นปัญหาอะไรสำหรับฉือฟางอิน เพราะเวลานับเกือบสองปีที่ผ่านมา ที่ฉือหย่งหลิงได้ให้นางอาศัยอยู่ในเรือนไม่เก่าหลังจวนสกุลฉือ นางยังสามารถอยู่มาได้จนถึงตอนนี้ ด้วยความรู้ความสามารถ ตามที่ท่านแม่ได้สั่งสอนมา แม้ว่าก
“ปรับปรุงเรือนนี้หรือขอรับ”“ใช่แล้ว ข้าอยากจัดสรรพื้นที่ในเรือนหลังนี้ ให้ใช้สอยได้สะดวกขึ้นสักหน่อย อย่างการต้องใช้โต๊ะทำงานของท่านแม่ทัพ มาเป็นโต๊ะกินข้าวเช่นนี้ ข้าว่ามันไม่ใช่เรื่องที่เหมาะสมเท่าไหร่”“จริงด้วยขอรับ ข้าเองก็ลืมคิดถึงเรื่องนี้ไป เช่นนั้น หากท่านต้องปรับปรุงเรือนนี้ตรงส่วนไหน หรือต้องการสิ่งใดเพิ่มเติม ฮูหยินก็บอกข้ามาได้เลยนะขอรับ เดี๋ยวข้าจะเป็นธุระให้ท่านเอง”“เช่นนั้นเจ้าก็ไปรายงานเขาก่อนเถิด หากข้าทำอะไรโดยไม่บอกกล่าวเขาก่อน คนผู้นั้นจะไม่พอใจเอาได้”“รายงาน รายงานผู้ใดหรือขอรับ”“ก็ท่านแม่ทัพอย่างไรเล่า”“ถ้าเช่นนั้นท่านคงจะต้องรอ ไปอีกหลายวันเลยนะขอรับ กว่าท่านจะได้เริ่มปรับปรุงเรือนใหม่”“ทำไมถึงต้องรอหลาย ก็ในเขาเมื่ออยู่--”‘ตายจริง นี่ข้าพูดอะไรออกไปเนี่ย!’เพราะเรื่องที่นางต้องการปรับปรุงเรือน ฉือฟางอินจึงได้ลืมไปชั่วขณะ ว่านางต้องทำเป็นไม่รู้ว่าฉือหย่งหลิงอยู่ที
เดิมทีแล้วชาวบ้านในหมู่บ้านหั้วห่าว ไม่ได้อาศัยอยู่ที่นี่มาตั้งแต่ต้น พวกเขาเป็นลูกหลานของอดีตเสนาบดี และเหล่าขุนนางที่สนับสนุนให้หั้วชินอ๋องชิงตำแหน่งรัชทายาท จากพระอนุชาที่เกิดจากครรภ์ฮองเฮา เพราะความแค้นที่หั้วชินอ๋อง ได้มารู้ความจริงภายหลังว่าฮองเฮา เป็นผู้วางแผนใส่ร้ายจี้หรงเฟยมารดาของเขา ว่าลักลอบแอบมีสัมพันธ์กับทหารองครักษ์ ทำให้ฮ่องเต้สั่งประหารมารดาของเขาแต่ทว่าบทสรุปเหตุการณ์ในครั้งนั้น ลงเอยด้วยการที่หั้วชินอ๋องเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ไป แต่ด้วยคุณงามความดีที่หั้วชินอ๋อง เคยได้ทุ่มเทมทั้งความคิดและแรงกาย ในกับการแก้ปัญหาบ้านเมือง และยังเป็นกำลังสำคัญในสงครามยุติ ความขัดแย้งต่างๆ มากมาย ที่เกิดขึ้นระหว่างแคว้นฟู่กับแคว้นอื่น ฮ่องเต้จึงเล็งเห็นว่าบุตรชายคนนี้ ยังมีประโยชน์ต่อบ้านเมืองอยู่มาก โทษหนักที่หั้วชินอ๋องได้รับจึงไม่ใช้โทษประหาร แต่เป็นการถูกสั่งให้มาพัฒนาและฟื้นฟูพื้นที่ทุรกันดาร ทางเขตตะวันออกของแคว้นฟู่ โดยมีบิดาของฉือหย่งหลิง ที่ภายหลังถูกเลื่อนให้เป็นแม่ทัพใหญ่คู่กายติดตามมาด้วยแน่นอนว่าการถูกสั่งให้มาอยู่ที่นี่ ไม่ได้เป็นปัญหากับหั้วชินอ๋องที่มีความทั้ง
“นี่พวกเราไม่ได้จะกลับบ้านกันหรอกหรือเจ้าคะ”ฉือฟางอินเอ่ยถามขึ้นมา เพราะเห็นว่าที่ที่ฉือหย่งหลิงพาตัวนางกับเฉียนเอ๋อร์มานั้น คือท่าเรือแคว้นหลูแทนที่มุ่งหน้า เดินกลับจวนสกุลฉือตามกำหนดการ ฉือหย่งหลิงไม่ได้อธิบายในทันที แต่กลับเดินนำหน้านางไปที่เรือลำหนึ่ง ที่ตกแต่งไปด้วยผ้าสีแดงสวยงาม ราวกับมีงานมงคลอยู่บนเรือลำนั้น แล้วหันมายื่นมือรอให้นางเดินเข้าไป เพื่อที่ได้พยุงนางกับลูกขึ้นเรือ“นี่อย่างไร จะพากำลังจะพาเจ้ากลับบ้าน”ความแปลกใจของฉือฟางอินยิ่งทวีขึ้น เมื่อเดินเข้ามาด้านในเรือแล้วพบว่า ด้านในของเรือลำนี้ได้ถูกจำลอง ให้เหมือนกับงานพิธีสมรสอย่างไรอย่างนั้น“นี่มันอะไรกันเจ้าคะ ทำในนี้ถึงได้...”“ฮูหยิน เมื่อสามปีก่อนที่เราแต่งงานกัน เป็นข้าที่ปฏิบัติกับเจ้าไม่ดี ไม่ให้เกียรติ์เจ้าในฐานะภรรยา แม้แต่เกี้ยวเจ้าสาวดีดี ก็ไม่ได้หาให้เจ้า ในวันนี้ที่ข้าสำนึกผิดแล้ว จึงอยากจะขอแก้ตัวกับเจ้าใหม่ ฮูหยิน ได้โปรดแต่งงานกับข้าอีกครั้งได้หรือไม่ ครั้งนี้ข้าสัญญาด้วยชีวิต ว่าเจ้าจะไม่เสียใจที่ได้แต่งงานกับคนอย่างข้าอีก เหมือนเมื่อสามปีที่แล้วอย่างแน่นอน
“ด้วยนิสัยเดิมของบุตรชายข้าคนนี้ ที่นอกจะไม่เอาไหนแล้ว เขามักจะชอบลักเล็กขโมยน้อย สิ่งของคนที่เขาเคยได้สนทนาด้วยเสมอพะย่ะค่ะ”พรึ่บชวี่ซุนเหลียนขาอ่อนล้มพับลงไปนั่งกับทันที เมื่อนางเห็นพู่ตราสัญลักษณ์สกุลรุ่ย ประจำตัวของนางอยู่ในมือของฮ่องเต้ พู่ตราสัญลักษณ์นี้ เป็นสิ่งที่ติดตัวนางมาตั้งแต่เด็ก ด้วยความผูกพันกับของสิ่งนี้ ทำให้แม้จะเข้ามาเป็นอนุภรรยาในสกุลชวี่แล้ว นางก็ยังคงห้อยพู่ตราสัญลักษณ์สกุลรุ่ย ไว้กับตัวอยู่ตลอดเวลา ชวี่ซุนเหลียนไม่รู้ว่าตัวเองทำมันหล่นหายไปตอนไหนจนเข้าใจไปว่านางอาจจะทำพู่นั่น ตอนที่ไปอารามหวั่งสุ่ยกับจินหู่อดีตสาวใช้ ที่ถูกนางผลักตกเขาไปเมื่อสามปีก่อน เพราะจินหู่เป็นคนเดียวที่อยู่กับนาง ทั้งตอนวางแผนและตอนที่นางไปพบกับหลี่หมิงด้วยตัวเอง ชวี่ซุนเหลียนจึงจำต้องกำจัดนาง ตามคำสั่งของกู้ชินอ๋อง เพราะไม่อยากเกิดปัญหาตามมาในอนาคต หลังจากผ่านคืนนั้นไปไม่นาน ขณะที่ชวี่เจียงโหลวนำทัพไปทำสงคราม ชวี่ซุนเหลียนจึงออกอุบายกับจินหู่ ว่าตัวนางนั้นอยากจะไปสงบจิตใจ จากเรื่องที่พึ่งผ่านพ้นไป ด้วยการไปไหว้พระที่อารามหวั่งสุ่ยและต้องการไ
เกิดเสียงฮือฮาไปทั่วทุกสารทิศ ว่าเหตุใดชวี่เจียงโหลวถึงได้มาขออย่าขาดกับชวี่ซุนเหลียน ต่อหน้าธารกำนัลในวันสำคัญเช่นนี้ แม้แต่กู้ชินอ๋องเองก็ต้องถึงกับลุกขึ้นจากที่นั่ง เพราะไม่ได้คาดคิดถึงการกระทำเช่นนี้ ของชวี่เจียงโหลวมาก่อน“ท่านพี่ นี่มันอะไรกันเจ้าคะ”“นั่นสิแม่ทัพชวี่ วันดีๆ แบบนี้ เหตุใดเจ้าถึงขออย่ากับนางต่อหน้าข้าและคนอื่นๆ”“นั่นก็เพราะว่าข้า มิอาจอยู่ร่วมชายคา กับสตรีชั่วช้าคนนี้ได้อีกต่อไปแล้วพะย่ะค่ะ”“เจ้าหมายความว่าอย่างไรกัน”“พระองค์คงจะไม่รู้ว่าเมื่อสามปีที่แล้ว มีสิ่งใดเกิดขึ้นในจวนของกระหม่อมบ้าง”ทันทีที่ได้ยินชวี่เจียงโหลวกล่าวเช่นนั้น กู้ชินอ๋องและชวี่ซุนเหลียนต่างก็ตาเบิกกว้าง พร้อมกับหันหน้ามาสบตากัน เรื่องเมื่อสามปีที่แล้วจะเป็นเรื่องใดได้อีก หากไม่ใช่เรื่องที่ชวี่ซุนเหลียนวางแผน แย่งคู่หมั้นของฉือฟางอินมาให้บุตรสาว และหมายจะให้คนงานหอนางโลม เข้ามาทำมิดีร้ายกับฉือฟางอินถึงในเรือนของนาง“กระหม่อมสู้อดทน สืบหาเบาะแสผู้ที่อยู่เบื้องหลังมาตลอด จนได
“แล้วเขาให้ความร่วมมือหรือไม่ขอรับ”“ย่อมต้องเป็นอย่างนั้น”หลังจากที่รู้ให้คนพาตัวหลี่เฉินมาที่ค่ายทหาร ชวี่เจียงโหลวแสดงตนต่อหน้าเขา พร้อมทั้งบอกให้เขาได้รู้ว่า คุณหนูที่สตรีชนชั้นสูงนิรนามคนนั้น จ้างวานให้เขามาทำมิดีมิร้ายคือบุตรสาวของตน เท่านั้นก็ทำให้ลี่เฉินตัวสั่นเป็นเจ้าเข้า เพราะความโง่เขลา“ท่านแม่ทัพชวี่ เรื่องนี้ ข ข้าไม่เกี่ยวนะขอรับ ป เป็น เป็นบุตรชายของข้า ที่แอบรับงานนั้นด้วยตัวเอง ข้าไม่เกี่ยวนะขอรับ”“คนตายไปแล้วจะพูดอะไรได้ หากเจ้าบอกว่าเจ้าไม่เกี่ยวกับข้องเรื่องนี้ แต่ทันทีที่พบของพวกนี้ เจ้ากลับจะนำไปทำลาย นี่หรือที่เจ้าบอกว่าไม่เกี่ยวข้อง”“ม ไม่ใช่ ไม่ใช่อย่างนั้นขอรับท่านแม่ทัพ ที่ข้าคิดจะเอาของพวกนี้ไปทิ้ง ก็เพราะว่าข้ากลัวข้า กับคนในครอบครัวที่เหลือที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ ต้องโดนหางเลขไปด้วยขอรับ”“งั้นก็แสดงว่าเจ้ารู้แล้วอย่านั้นหรือ ว่าของสองอย่างนี้เป็นของใคร”“ยังไม่ทราบแน่ชัดขอรับ แต่คนผู้นั้นน่าจะมีความเกี่ยวข้องกับสกุล
“อื้อ แอ้! คิกๆ”“ฮ่าๆ เฉียนเอ๋อร์ ขาเจ้าเล็กแค่นี้ แต่พละกำลังมากเหลือเกิน แม่เจ้าคงเลี้ยงเจ้ามาอย่างดีเลยสินะ”ชวี่เจียงโหลวกล่าวอย่างอารมณ์ดี ขณะที่กำลังให้หลานชาย ใช้ขาอวบทั้งสองข้าง ยันหน้าขากระโดดเด้งขึ้นเด้งลง ส่งเสียหัวเราะคิกคักด้วยความสนุกสนาน โดยมีฉือฟางอินและฉือหย่งหลิง นั่งอยู่ใกล้ๆ คอยมองสองตาหลาน เล่นด้วยกันด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม หลังจากทานมื้อค่ำด้วยกันแล้ว ชวี่เจียงโหลวได้ชักชวนบุตรสาวและบุตรเขย มานั่งพูดคุยถามสารทุกข์ตลอดหลายปีที่ไม่ได้พบหน้ากัน ซึ่งแน่นอนว่าการพูดคุยในครั้งนี้นั้น ไม่มีอนุเหลียนตามมาด้วย“เฉียนเอ๋อร์ เจ้าเล่นเบาๆ หน่อยเถิด เดี๋ยวท่านตาของเจ้าจะเจ็บเอาได้”“ไม่เป็นไรๆ ปล่อยให้เขาได้เล่นตามใจเถิด แรงเพียงเท่านี้ จะทำข้ากับได้อย่างไร เฉียนเอ๋อร์เจ้าเหนื่อยหรือยัง ให้ตาจับเจ้าโยนเล่นบนอากาศดีหรือไม่”“อื้อ แอ๊!”แม้จะพบหน้ากันเป็นวันแรก แต่สองตาหลานก็ดูจะเข้ากันดีจนคนเป็นแม่อย่างฉือฟางอินอดที่จะแปลกใจไม่ได้ เพราะที่ผ่านมา เฉียนเอ๋อร์ไม่ค่อยได้พบเจอคนอื่
“เชิญพวกเจ้าพักผ่อนกันให้หายเหนื่อยเถิด ขาดเหลืออะไรก็บอกคนรับใช้ เดี๋ยวสักครู่ข้าจะต้องเข้าวังไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้คงไม่ได้อยู่ถามสารทุกข์สุขดิบของพวกเจ้า เอาไว้พบกันตอนค่ำก็แล้วกัน”“เจ้าค่ะท่านพ่อ ท่านไปเตรียมตัวเถิดเจ้าค่ะ ไม่ต้องห่วงทางนี้”หลังจากที่พาบุตรสาวและบุตรเขย มาส่งยังเรือนเก่าของฉือฟางอิน ที่ชวี่เจียงโหลวยังคงให้คนรับใช้เข้ามาทำความสะอาดทุกวัน เหมือนเมื่อครั้งที่บุตรสาวอาศัยอยู่ที่นี่ เจ้าตัวก็ต้องรีบเดินทางไปยังวังหลวงเพื่อส่งรายงาน สิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างการทำศึกรวบรวมดินแดน ที่ชวี่เจียงโหลวเป็นผู้นำทัพ และสามารถคว้าชัยชนะมาได้เมื่อหลายเดือนก่อนด้านฉือฟางอินที่พึ่งจะตกปากรับคำที่บิดาไป แต่นางกลับมีความคิดจะออกไปข้างนอก แทนที่จะพักผ่อนตามที่บิดาบอก เหตุเห็นว่าไหนๆ ตนเองก็เดินทางมาถึงจวนสกุลชวี่ เร็วกว่าเวลาที่คำนวณเอาไว้มาก ประกอบกับที่นางไม่ได้รู้สึกเหนื่อยล้า จากการเดินทางที่ผ่านมาเลยสักนิด นางจึงอยากจะเดินทางไปเยี่ยมชมกิจการเลี้ยงหม่อน ที่เคยวางแผนว่าจะไปที่นั่นใน หลังจากผ่านไปแล้วสองถึงสามวัน หลังจากที่ถึงจวนสกุลชวี
“เด็กคนนี้คือเฉียนเอ๋อร์…หลานชายของท่านเจ้าค่ะ”“แอ๊!”ท่ามกลางความตกใจและไม่คาดคิดของชวี่เจียงโหลว เจ้าตัวน้อยที่จ้องหน้าท่านตาของตนเองอยู่ก่อนแล้ว ก็ส่งเสียงทักทายขึ้นมาพร้อมกับฉีกยิ้ม เห็นฟันน้อยที่มีอยู่ไม่กี่ซี่ให้กับเขา“หละ หลานชาย โอ้! เฉียนเอ๋อร์ เฉียนเอ๋อร์หลานตา มาๆ มาให้ตาดูเจ้าใกล้ๆ หน่อยเถิด”เมื่อตั้งสติและกระจ่างแจ้งแล้วว่า เด็กชายตัวน้อยที่ฉือฟางอิน บุตรสาวของตนเองอุ้มอยู่นั้น เป็นหลานชายแท้ๆ ของตน แม่ทัพใหญ่แห่งแคว้นหลู จึงได้รีบเดินเข้าไปที่รถม้าเพื่อช่วยพยุงบุตรสาวลงมา แต่ทว่าขณะที่กำลังยื่นมือออกไป หมายจะอุ้มหลานชายของตนเองนั้น ชวี่เจียงโหลวกลับชะงักมือของเขาเอาไว้ เพราะคิดขึ้นมาได้ว่าบุตรสาวของตนเองนั้น จะยินดีให้เขาอุ้มลูกของนางหรือไม่ด้านฉือฟางอินเองหลังจากที่เห็นท่าทีลังเลของบิดา นางจึงเป็นฝ่ายส่งลูกน้อย สู่อ้อมอกท่านตาของเขา โดยที่ไม่มีท่าทีไม่พอใจแต่อย่างใด ชวี่เจียงโหลวถึงได้กล้ารับเจ้าตัวน้อยมาอุ้มเอาไว้ หญิงสาวมองภาพตรงหน้าด้วยอารมณ์ที่หลากหลาย แต่ถึงอย่างนั้นนางก็รู้สึ
“เชิญท่านแม่ทัพกับฮูหยินทางนี้ขอรับ”เจียงเถาที่เร่งเดินทางมาให้ถึงเมืองลิ่ง ก่อนหน้าที่คนที่เหลือที่ขบวนจะเดินมาถึง เพื่อมาจัดการหาที่พักให้กับทุกคน เมื่อเห็นว่าเจ้านายและคนอื่นๆ เดินทางมาถึงแล้ว ชายหนุ่มจึงรีบเดินเข้ามาเพื่อนำทางไปยังโรงเตี๊ยมชั้นดี ที่เขาจัดการจ่ายเงินที่เจ้านายมอบให้ สำหรับสถานที่พักค้างแรมในคืนนี้ระหว่างทางที่กำลังเดินไปยังโรงเตี๊ยม ฉือฟางอินที่เคยได้ยินชื่อและได้มาเยือนเป็นครั้งแรก ก็อดที่จะตื่นตาตื่นใจกับการสัมผัสบรรยากาศในสถานที่ใหม่ไม่ได้ เพราะแม้ว่าเวลานี้จะเป็นเวลาพลบค่ำแล้ว แต่บรรยากาศในเมืองลิ่งก็ยังคงคึกคัก คลาคลั่งไปด้วยผู้คนมากมาย ไม่เหมือนกับเมืองอื่นๆ ที่ชาวบ้านส่วนใหญ่จะทำกิจวัตรอยู่ในบ้านของตนเอง หลังจากพระอาทิตย์ตกดินไปแล้ว นั่นก็เพราะทุกพื้นที่ในเมืองลิ่งนั้น ล้วนเต็มไปด้วยโรงเตี๊ยมกิจการร้านค้าและร้านอาหารน้อยใหญ่ จนไปถึงภัตตาคารเรียงรายไปทั่วทั้งเมือง“ถึงแล้วขอรับ”“อ้าว นายของเจ้ามาแล้วรึ เชิญๆ ท่านแม่ทัพฮูหยิน เชิญเข้ามาได้เลย ข้าให้เด็กเตรียมที่พักไว้ตามที่ท่านต้องการแล้ว เด็กๆ มา
“กลับแคว้นหลูอย่างนั้นหรือฮูหยิน”ทันทีที่ได้เห็นท่าทางของฉือหย่งหลิง หลังจากที่เขาได้รู้ว่าตัวนางนั้นกำลังจะเดินกลับแคว้นหลู ฉือฟางอินก็ได้แต่ถอนหายใจออกมา นางไม่ได้คิดที่จะปิดบังเขาแต่อย่างใด เพียงแต่ต้องการเวลาให้ตัวนางได้เรียบเรียงคำพูดมาอธิบายให้กับฉือหย่งหลิงอนุญาตให้นาง ได้กลับไปยังแคว้นบ้านเกิด แต่เนื่องจากช่วงนี้การงานที่รัดตัว จึงทำให้นางลืมบอกเรื่องนี้กับเขา“ใช่ ข้าจะกลับบ้าน”“แล้วเหตุใดข้าถึงไม่รู้เรื่องนี้ ข้าทำอะไรให้เจ้าไม่พอใจอย่างนั้นหรือ”“เปล่า ท่านไม่ได้ทำอะไร”“ไม่จริง ไม่เช่นนั้นเจ้าจะวางแผนหนีข้าไปเช่นนี้หรือ”“ไปกันใหญ่แล้ว ข้าแค่จะกลับไปเยี่ยมท่านพ่อ”“เยี่ยมบิดาของเจ้าหรือ”“ก็ใช่น่ะสิ ท่านคิดไปถึงไหนกัน”เพราะนับตั้งแต่ที่ได้มาอยู่ที่นี่ มีเรื่องราวมากมายเกิดขึ้นที่หญิงสาวไม่ทันได้ตั้งตัว จึงเป็นเวลากว่าสามปีแล้วที่หญิงสาว ยังไม่ได้มีโอกาสกลับไปเยี่ยมบ้านเกิดตามธรรมเนียม เวลานี้ที่ตัวนางกำลังขยายร้