จินซีจ่าวได้ฟังบิดาพูดกล่าวเช่นนั้น ก็ได้แต่ส่ายหน้าอย่างไม่รู้จะตอบไปว่าอย่างไรกลับไป เพราะหลายครั้งเขาเองก็มีความคิดเห็นในเรื่องนี้ไม่ต่างไปจากบิดา จริงอยู่ว่าในตอนแรกที่ฮูหยินฉือฟางอิน ได้เข้ามาอยู่ในจวนสกุลฉือ การกระทำหลายๆ อย่างของท่านแม่ทัพ บ่งบอกได้ว่าท่านแม่ทัพไม่ได้ปรารถนาและพิศวาสในตัวฮูหยินเลยแม้แต่น้อย
นั่นอาจจะด้วยเรื่องราวที่นำพาให้ทั้งสองคน ต้องมาลงเอยเป็นสามีภรรยากันนั้น เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นไม่ค่อยดีเสียเท่าไหร่ ประกอบกับเดิมทีท่านแม่ทัพเอง เพื่อที่จะได้แก้แค้นให้บิดามารดา ที่ยอมสละชีวิตเพื่อให้เขาได้มีชีวิตอยู่ ท่านแม่ทัพจึงเอาเวลาทั้งหมดของตนเอง ไปทุ่มเทให้กับการฝึกวรยุทธเพื่อให้ตนเองแข็งแกร่ง และออกตามหาผู้ที่อยู่เบื้องหลังการตายของบิดามารดา
เรื่องการแต่งงานจึงเป็นเรื่องที่อยู่อันดับสุดท้าย หรือไม่ก็ไม่เคยอยู่ในความคิดของท่านแม่ทัพเลย การที่ต้องเข้าไปพัวพันกับเรื่องในจวนสกุลชวี่ จนเป็นเหตุให้ท่านแม่ทัพต้องรับผิดชอบ ด้วยการแต่งงานกับฮูหยินอย่างไม่เต็มใจนั้น จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้ท่านแม่ทัพ กระทำการอย่างใจร้ายต่อฮูหยินเช่นนั้น มาตั้งแต่ที่ฮูหยินก้าวเท้าเข้ามาเหยียบในจวนสกุลฉือวันแรก
หากแต่ในระยะหลังมานี้ ถ้าจินซีจ่าวจำไม่ผิดก็น่าจะเป็นตอนที่ตนเองได้รับข่าวจากสหาย ที่รับใช้ท่านแม่ทัพอยู่ที่จวนสกุลฉือ ว่าเจ้านายทั้งสองตกลงที่จะแก้คำทำนาย ด้วยการมีทายาทให้กับสกุลฉือด้วยกัน จินซีจ่าวสังเกตได้ว่าการกระทำหลายๆ อย่างของท่านแม่ทัพฉื ที่มีต่อฮูหยินฉือฟางอินได้เปลี่ยนไปมากทีเดียว
จากที่แต่ก่อนหากมีเวลาว่างเว้นจากการฝึกกะบวนท่า ที่ใช้ในการต่อสู้ ท่านแม่ทัพมักจะคิดหาวิธีกลั่นแกล้งฮูหยินอยู่เสมอ แต่ทว่าหลังจากคืนที่เจ้านายทั้งสอง ได้ร่วมเรียงเคียงหมอนเป็นสามีภรรยากันแล้ว ท่าทีของท่านแม่ทัพที่มีต่อฮูหยิน ก็ดูอ่อนโยนลงกว่าแต่ก่อนอย่างเห็นได้ชัด แม้บางครั้งท่านแม่ทัพเหมือนจะรู้สึกตัว ว่าตนเองกำลังทำสิ่งที่ขัดแย้งกับอคติที่ตนเองมี แต่ทว่า ท่านแม่ทัพก็มิได้กระทำอย่างใจร้ายกับฮูหยินอย่างที่เคยทำมา
อย่างมากก็เพียงแค่ทำเฉยชาใส่ฮูหยิน แล้วหายหน้าหายตาไปหลายวันก็เท่านั้น และสถานที่ที่ท่านแม่ทัพเลือกที่จะหายตัวไปอยู่ ก็มิใช่ที่อื่นไกล แต่เป็นหมู่บ้านหั้วห่าว หมู่บ้านลับในหุบเขาที่จินซีจ่าวกับบิดา รวมไปถึงบุรุษอีกสามคนที่เหลืออาศัยอยู่ที่นั่น ซึ่งโดยปกติแล้ว การมาเยือนหมู่บ้านหั้วห่าวแต่ละครั้งของท่านแม่ทัพ จะเป็นการมาเพื่อหารือวางแผนการตามหาคนร้ายที่ลอบฆ่าบิดามารดา หรือไม่ก็วางแผนฝึกทหารในสังกัด แต่ทว่าการมาเยือนที่หมู่บ้านหั้วห่าว
ในระหว่างที่ฮูหยินกำลังตั้งครรภ์อยู่นั้น ก็ดูเหมือนว่าท่านแม่ทัพจะไม่มีสมาธิในการคิดแผนการเอาเสียเลย สุดท้ายแล้วก็ทนอยู่ที่นั่นได้ไม่เกินสองวัน ก็เป็นอันต้องกลับไปที่จวนสกุลฉือตามเดิม และล่าสุดอย่างที่บิดาของเขาสงสัยอยู่ในตอนนี้ ที่สถานการณ์บังคับให้พวกเขา ต้องบังเอิญได้เห็นฮูหยินฉือฟางอินอยู่ในสภาพที่ไม่เรียบร้อยเท่าใดนัก ท่านแม่ทัพก็ถึงกับเอ่ยคำสั่งเสียงเย็น พร้อมส่งผ่านแววตาอันน่ากลัวมาให้ ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้วในตอนนี้ ตัวของท่านแม่ทัพควรจะต้องอยู่ช่วยหั้วชินอ๋อง เข้าร่วมรบกับกำลังทหารของฮ่องเต้ ปราบกบฏที่ชายแดนทางเหนือของแคว้นอยู่แท้ๆ
แต่ทันทีที่ได้รับข่าวสถานการณ์ไม่ดีที่เมืองอี้ ท่านแม่ทัพก็พาตนเองมาถึงจวนสกุลฉือได้ทันเวลา แต่ทว่าไม่รู้ด้วยเหตุใดที่ทำให้ยามที่ท่านแม่ทัพ พาตนเองไปถึงหน้าห้องลับที่ฮูหยินและคุณชายซ่อนตัวอยู่ในนั้นแล้ว กลับไม่ทำสัญญาณผิวปากเป็นจังหวะ เพื่อให้ฮูหยินได้รู้ว่าคนที่อยู่ด้านนอกนั้นเป็นคนที่จะช่วยเหลือ แต่กลับทุบประตูเสียงดังทำให้ฮูหยินเข้าใจผิด จนสุดท้ายก็พาคุณชายเฟิ่งเฉียนหนีออกจากห้องลับไป ดีที่ว่าฮูหยินยังจำคำที่ตนเองบอกเอาไว้ได้ ไม่เช่นนั้นก็คงไม่ได้เจอตัวฮูหยินฉือฟางอิน และคุณชายเฟิ่งเฉียนที่เขตใกล้หมู่บ้านหั้วห่าวเป็นแน่
อีกด้านหนึ่งคนที่เข้าไปหาฉือฟางอิน หมายจะไปจัดการให้นางรู้ว่า ชุดที่นางสวมใส่อยู่ในตอนนี้นั้นล่อแหลมเพียงใด ก็เกิดรู้สึกตัวขึ้นมาได้ว่าในตอนนี้ ตนเองกำลังปกปิดตัวตนไม่ให้ผู้ใดนอกเหนือจากคนในปกครองตนเองรู้ จึงได้ลดฝีเท้าตัวเองลงให้เดินอย่างปกติ เข้าไปหาฉือฟางอินที่กำลังสนใจเฉียนเอ๋อร์ ที่อยู่ในอ้อมกอดของนางอยู่
“นี่เจ้า!”
ฉือฟางอินสะดุ้งสุดตัวเมื้อเงยหน้า ก็พบว่าบุรุษในชุดอำพรางตัวนั้น ได้มายืนอยู่ตรงหน้านางแล้ว
“อ อะไรหรือ”
“ดูชุดของเจ้าเสีย คิดจะยั่วยวนผู้ใดอย่างกัน”
“ชุดของข้า…ว๊าย! จ เจ้าก็หันหน้าหนีไปสิ มายืนมองทำไมกัน!”
เมื่อเห็นว่าสภาพชุดของตนเองล่อแหลมเพียงใด ฉือฟางอินจึงรีบลนลาน พาตนเองไปหลบยังซอกรากไม้ใหญ่ แล้วจัดการสวมชุดของตนให้เรียบร้อย นางไม่ได้จะยั่วยวนผู้ใด อย่างที่บุรุษผู้นั้นกล่าวเสียหน่อย เพียงแต่ก่อนหน้านี้ นางกำลังให้นมเจ้าก้อนหมั่วโถวอยู่ต่างหาก สถานการณ์หน้าสิ่วหน้าขวานเช่นนี้ จะให้นางยั่วยวนผู้ใดกัน!
เมื่อจัดการกับชุดและทุกอย่างเสร็จ บุรุษทั้งหลายก็นำทางพาฉือฟางอินไปยังหมู่บ้านหั้วห่าว โดยมีจินซีจ่าวและบิดาของเขาเดินนำอยู่หน้าสุด ส่วนบุรุษอีกสามคนเดินคุ้มกันอยู่ด้านหลัง ฉือฟางอินจึงได้รู้สึกอุ่นใจขึ้นมาบ้าง หากแต่จะดีกว่านี้ถ้าบุรุษในชุดอำพรางตัวนั่น ไม่ได้มาเดินขนาบข้างนาง อยู่ห่างไปเพียงหนึ่งช่วงแขนเช่นนี้
แต่ถึงแม้จะไม่ชอบใจอย่างไร นางก็คงทำอะไรไม่ได้นอกเสียจากอดทนจนกว่าจะถึงหมู่บ้าน ฉือฟางอินจึงได้ส่ายหัวไล่ความคิดตนเอง เกี่ยวกับบุรุษผู้นี้ออกไปเสีย จากนั้นก็หันไปหยอกล้อเฉียนเอ๋อร์ที่อยู่ในอ้อมอกนางแทน
“อื้อ! แอ๊ คิกๆ”เสียงทารกเปร่งเสียงชอบใจ พร้อมกับเสียงหัวเราะดังไปทั่วบริเวณ ในขณะที่คนทั้งหมดกำลังเดินทางกลับหมู่บ้าน การที่ฉือฟางอินสลัดความคิดทุกอย่างทิ้ง แล้วหันไปสนใจแต่เฉียนเอ๋อร์นั้น ทำให้นางเลิกสนใจบุรุษที่เดินอยู่ข้าง ๆ ที่นางไม่รู้ว่าเขาคือฉือหย่งหลิงได้จริงๆ ฝ่ายฉือหย่งหลิงเองยามที่ได้เห็นฉือฟางอิน หยอกล้อเล่นกับเฉียนเอ๋อร์ได้เป็นอย่าง ก็นับว่าเป็นเรื่องประหลาดใจไม่น้อยสำหรับเขาเดิมทีที่ฉือหย่งหลิงต้องมาเดินอยู่ใกล้ๆ ฉือฟางอินเช่นนี้ ก็เพราะเขากลัวว่าคนเป็นแม่ ที่ไม่เคยเลี้ยงดูลูกอย่างนาง อาจจะทำอะไรที่เป็นอันตรายกับเฉียนเอ๋อร์เอาได้ ครั้นจะให้ชิงเอาตัวเฉียนเอ๋อร์มาอุ้มเสียเอง ในยามที่ตนเองอำพรางตัวอยู่นี้ ก็เกรงว่าจะผิดสังเกตจนเกินไป การที่เขาละเว้นนางเอาไว้ ไม่เปิดเผยตัวตนให้รู้เหมือนกับคนอื่นที่อยู่ที่นี้ นั่นก็เพราะว่าเขาต้องการ ที่จะสำรวจการกระทำของนางที่มีต่อบุตรชาย ว่าแม่อย่างนางที่ไม่เคยเลี้ยงดูลูกเลยสักครั้ง จะทำอย่างไรเมื่อต้องมาเลี้ยงลูกด้วยตัวเองตามลำพัง แต่อันที่จริงหากมองย้อนกลับไป การที่ฉือหย่งหลิงต้องมากังวลกลัวว่าฉือฟางอิ
แม้ฉือหย่งหลิงจะรู้สึกชอบใจเมื่อเห็นเฉียนเอ๋อร์ ที่พึ่งจะมีอายุได้เพียงสามเดือน ก็เริ่มฉายแววเฉลียวฉลาดให้ได้เห็นถึงเพียงนี้แล้ว แต่ทว่าหากเขายังเดินอยู่ตรงนี้ ก็เกรงว่าจะถูกฉือฟางอินอาจจับพิรุธเอาได้ ฉือหย่งหลิงจำต้องเดินไปยังด้านหลัง แล้วสั่งให้บุรุษสองในสามคนที่คุ้มกันอยู่ด้านหลัง สับเปลี่ยนมาเดินขนาบข้างอยู่ห่างๆ คอยคุ้มกันฉือฟางอินกับเฉียนเอ๋อร์แทนเขา“ฮูหยินขอรับ พวกเรามาถึงทางเข้าหมู่บ้านแล้วขอรับ”เมื่อมองไปตามองตามมือของจินซีจ่าว สิ่งที่ฉือฟางอินเห็นก็คือกำแพงหินธรรมชาติขนาดใหญ่ ที่มีเถาวัลย์เลื้อยพันแน่นหนาตั้งตระหง่านอยู่เบื้องหน้า โดยมีทางเข้าเล็กๆ ที่มีพื้นที่พอให้แค่มนุษย์เดินเรียงแถวกันเข้าไปเท่านั้น และทันทีที่ฉือฟางอินเห็นทางแคบๆ นั่น พลันโรคกลัวที่แคบที่เป็นโรคประจำตัวของนาง ก็เกิดกำเริบขึ้นมาซึ่งอาการกำเริบที่เกิดขึ้นนี้ เป็นผลพวงมาจากในตอนที่นางยังเล็ก ในวันหนึ่งที่นางได้เล่นซ่อนหากับคนใช้ที่จวนสกุลชวี่ในวันนั้นฉือฟางอินได้เข้าไปแอบในหีบใส่ของใบใหญ่ แต่แล้วก็เกิดเหตุไม่ดีขึ้นเมื่อมีคน แอบลอบมาลงกุญแจหีบที่นางซ่อ
ฉือฟางอินจำได้ขึ้นใจ เพราะนี่เป็นกลิ่นน้ำมันหอมระเหย ที่นางทำขึ้นมาให้กับเขา ในภายหลังที่นางได้รู้ว่าฉือหย่งหลิง แอบเข้ามาหานางในยามดึก เพื่อมาลูบท้องและนวดขาให้กับนาง นางจึงอยากตอบแทนความดีในของเขาข้อนี้ ฉือฟางอินจึงตั้งใจเตรียมน้ำผสมกับน้ำมันหอมระเหย ที่ช่วยในเรื่องขับไล่ความเหนื่อยล้า ให้ฉือหย่งหลิงได้แช่ตัวหลังจากที่ทำงานหนักมาทั้งวันสิ่งนี้เป็นหนึ่งในวิธีปรนนิบัติสามี ที่มารดาของนางได้ถ่ายทอดเคล็ดลับเอาไว้ให้ เมื่อครั้งที่มารดาและบิดาของนาง ยังมีความสัมพันธ์อันดีต่อกันอยู่ ฉือฟางอินมักจะเห็นมารดาของนาง เตรียมน้ำผสมน้ำมันหอมระเหยที่ทำมาจากสมุนไพร ไว้สำหรับให้กับบิดาของนางได้แช่ตัว ก่อนที่บิดาจะกลับมาจากการไปว่าราชการ ที่ราชสำนักในวังหลวงในทุกวันเมื่อฉือฟางอินถามมารดาอย่างใคร่รู้ มารดาของนางจึงใจสอนความรู้ให้นางอย่างละเอียดทุกขั้นตอนและยังบอกเคล็ดลับกรรมวิธี ที่จะสามารถเปลี่ยนกลิ่นกายของผู้ที่ลงไปแช่ ให้มีกลิ่นสมุนไพรอย่างที่คนทำเลือกแต่งกลิ่นขึ้นมาได้ ถ้าหากภรรยาอยากจะให้สามีมีกลิ่นกายเช่นไร ก็ให้จับคู่กลิ่นสมุนไพรที่ตนเองต้องการ นำไปทำน้ำมันหอมระเหย และผสม
“พวกท่านทั้งหลาย นี่คือฮูหยินฉือฟางอิน และคุณชายน้อยฉือเฟิ่งเฉียน”เมื่อจินซีจ่าวแนะนำให้ชาวบ้าน ที่ยืนเรียงรายกันอยู่ด้านหน้า ได้ทราบว่าสตรีแม่ลูกอ่อนที่เพิ่งเข้ามาในหมู่บ้านหั้วห่าวของพวกเขา คือฮูหยินและคุณชายน้อย ภรรยาเอกและบุตรชายของท่านแม่ทัพฉือหย่งหลิงเหล่าชาวบ้านที่ตั้งตารอการมาถึงของบุคคลสำคัญทั้งสอง ต่างกล่าวต้อนรับฉือฟางอินและเฉียนเอ๋อร์ด้วยท่าทางยินดีฉือฟางอินรู้สึกโล่งใจขึ้นมาทันที ที่เห็นท่าทางของพวกเขาเกือบทุกคน ต่างยินดีที่นางจะต้องมาอาศัยอยู่ที่นี่ชั่วคราวเว้นก็แต่หญิงสาววัยแรกรุ่นนางหนึ่งที่กำลังยืนทำหน้าตาบอกบุญไม่รับ อยู่ด้านหลังหญิงวัยกลางคน ที่ยืนอยู่ข้างบิดาของจินซีจ่าวท่าทางเช่นนั้น ทำให้ลางสังหรณ์บางอย่างของสตรีที่รู้กริยาท่าทางของสตรีด้วยกันเป็นอย่าดี บอกกับฉือฟางอินว่าในอนาคตอันใกล้นี้ คงจะต้องมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นเป็นแน่ฉะนั้น สิ่งที่นางอินควรจะทำ ระหว่างที่ต้องพักอยู่ที่หมู่บ้านแห่งนี้ ก็คือจะต้องอยู่ให้ห่างจากหญิงสาวนางที่ดูจะไม่ยินดี กับการมีอยู่ของนางเข้าไว้ เพื่อหลีกเลี่ยงความวุ่นวา
“ฮูหยิน ตอนนี้คุณชายน้อยก็หลับไปแล้ว ท่านไปอาบน้ำล้างเนื้อล้างตัวก่อนเถิดเจ้าค่ะ ชุดใหม่ของท่านข้าเตรียมพร้อมไว้มห้อยู่ด้านในแล้ว ส่วนตรงนี้พวกข้าจะคอยดูคุณชายให้ท่านเอง”“เช่นนั้นข้าฝากเฉียนเอ๋อร์ ไว้กับพวกท่านด้วย”ฉือฟางอินเอื้อมมือไปตบเบาๆ ที่หน้าอกของบุตรชายอีกสองสามที เพื่อให้แน่ใจว่าเจ้าก้อนหมั่นโถวหลับสนิทดีแล้ว นางถึงได้ละจากเขาเพื่อไปชำระล้างร่างกาย เรือนหลังนี้เป็นเรือนไม้ธรรมดา ที่ตั้งอยู่ด้านหลังสุดของหมู่บ้านหั้วห่าว ที่มีชาวบ้านอาศัยอยู่ประมาณสิบกว่าครอบครัวเห็นจะได้ ที่นี่แม้จะเป็นเพียงเรือนพักผ่อนชั่วคราวแต่ก็มีพื้นที่สำหรับเอาไว้ทำงาน มีเตียงเอาไว้พักผ่อนหลับนอน และห้องอาบน้ำ ที่ถูกจัดสันเอาไว้อย่างพอดี จะเว้นก็เสียแต่ไม่มีโรงครัวกับพื้นที่รอบๆ เรือนนั้นไม่ได้กว้างใหญ่ เหมือนเรือนหลังอื่นของชาวบ้าน แต่นั่นก็ไม่ได้เป็นปัญหาอะไรสำหรับฉือฟางอิน เพราะเวลานับเกือบสองปีที่ผ่านมา ที่ฉือหย่งหลิงได้ให้นางอาศัยอยู่ในเรือนไม่เก่าหลังจวนสกุลฉือ นางยังสามารถอยู่มาได้จนถึงตอนนี้ ด้วยความรู้ความสามารถ ตามที่ท่านแม่ได้สั่งสอนมา แม้ว่าก
“ปรับปรุงเรือนนี้หรือขอรับ”“ใช่แล้ว ข้าอยากจัดสรรพื้นที่ในเรือนหลังนี้ ให้ใช้สอยได้สะดวกขึ้นสักหน่อย อย่างการต้องใช้โต๊ะทำงานของท่านแม่ทัพ มาเป็นโต๊ะกินข้าวเช่นนี้ ข้าว่ามันไม่ใช่เรื่องที่เหมาะสมเท่าไหร่”“จริงด้วยขอรับ ข้าเองก็ลืมคิดถึงเรื่องนี้ไป เช่นนั้น หากท่านต้องปรับปรุงเรือนนี้ตรงส่วนไหน หรือต้องการสิ่งใดเพิ่มเติม ฮูหยินก็บอกข้ามาได้เลยนะขอรับ เดี๋ยวข้าจะเป็นธุระให้ท่านเอง”“เช่นนั้นเจ้าก็ไปรายงานเขาก่อนเถิด หากข้าทำอะไรโดยไม่บอกกล่าวเขาก่อน คนผู้นั้นจะไม่พอใจเอาได้”“รายงาน รายงานผู้ใดหรือขอรับ”“ก็ท่านแม่ทัพอย่างไรเล่า”“ถ้าเช่นนั้นท่านคงจะต้องรอ ไปอีกหลายวันเลยนะขอรับ กว่าท่านจะได้เริ่มปรับปรุงเรือนใหม่”“ทำไมถึงต้องรอหลาย ก็ในเขาเมื่ออยู่--”‘ตายจริง นี่ข้าพูดอะไรออกไปเนี่ย!’เพราะเรื่องที่นางต้องการปรับปรุงเรือน ฉือฟางอินจึงได้ลืมไปชั่วขณะ ว่านางต้องทำเป็นไม่รู้ว่าฉือหย่งหลิงอยู่ที
เดิมทีแล้วชาวบ้านในหมู่บ้านหั้วห่าว ไม่ได้อาศัยอยู่ที่นี่มาตั้งแต่ต้น พวกเขาเป็นลูกหลานของอดีตเสนาบดี และเหล่าขุนนางที่สนับสนุนให้หั้วชินอ๋องชิงตำแหน่งรัชทายาท จากพระอนุชาที่เกิดจากครรภ์ฮองเฮา เพราะความแค้นที่หั้วชินอ๋อง ได้มารู้ความจริงภายหลังว่าฮองเฮา เป็นผู้วางแผนใส่ร้ายจี้หรงเฟยมารดาของเขา ว่าลักลอบแอบมีสัมพันธ์กับทหารองครักษ์ ทำให้ฮ่องเต้สั่งประหารมารดาของเขาแต่ทว่าบทสรุปเหตุการณ์ในครั้งนั้น ลงเอยด้วยการที่หั้วชินอ๋องเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ไป แต่ด้วยคุณงามความดีที่หั้วชินอ๋อง เคยได้ทุ่มเทมทั้งความคิดและแรงกาย ในกับการแก้ปัญหาบ้านเมือง และยังเป็นกำลังสำคัญในสงครามยุติ ความขัดแย้งต่างๆ มากมาย ที่เกิดขึ้นระหว่างแคว้นฟู่กับแคว้นอื่น ฮ่องเต้จึงเล็งเห็นว่าบุตรชายคนนี้ ยังมีประโยชน์ต่อบ้านเมืองอยู่มาก โทษหนักที่หั้วชินอ๋องได้รับจึงไม่ใช้โทษประหาร แต่เป็นการถูกสั่งให้มาพัฒนาและฟื้นฟูพื้นที่ทุรกันดาร ทางเขตตะวันออกของแคว้นฟู่ โดยมีบิดาของฉือหย่งหลิง ที่ภายหลังถูกเลื่อนให้เป็นแม่ทัพใหญ่คู่กายติดตามมาด้วยแน่นอนว่าการถูกสั่งให้มาอยู่ที่นี่ ไม่ได้เป็นปัญหากับหั้วชินอ๋องที่มีความทั้ง
ทั้งจินซีหลันและจินซีจ่าว ที่รู้เบื้องลึกเบื้องหลังการกระทำทั้งหมด ของบุตรสาวและน้องสาวของตนเองเป็นอย่างดี ต่างรู้ดีว่าเรื่องนี้คงไม่มีทางจบลงง่ายๆ เพราะดูจากการกระทำของซือจูในวันนี้ ก็ทำให้พวกขเขาได้รู้แล้วว่า ที่นางเขียนจากอารมสงบใจ บอกกับบิดาว่านางได้สำนึกผิดและหักห้ามใจ ที่มีต่อท่านแม่ทัพฉือหย่งหลิงได้แล้วนั้น แท้ที่จริงแล้วนางโกหกหลังจากวันนี้ไปเขาที่เป็นพี่ชาย จะต้องพูดคุยกับมารดาอย่างจริงจัง เพราะพวกเขาจะปล่อยให้จินซือจู ทำอะไรสิ่งใดโดยที่ไม่ให้เกียรติฮูหยินของท่านแม่ทัพ ไม่เช่นนั้นจะเสียหน้าไปถึงบิดา ที่เป็นถึงผู้นำหมู่บ้านเอาได้ มื้อค่ำในวันนั้นจึงเป็นจินซีจ่าว ที่คอยพูดสร้างบรรยากาศดีๆ ด้วยการชวนฉือฟางอินพูดคุยรวมไปถึงการบอกเล่ารายระเอียด ในแต่ละพื้นที่ของหมู่บ้านหั้วห่าว ให้ฉือฟางอินได้ทราบ โดยมีจินซีหลันผู้เป็นมารดาคอยช่วยพูดส่งเสริมอีกแรง ฉือฟางอินเองก็รับรู้ได้ถึง ความพยายามของคนทั้งสอง นางจึงพุ่งความสนใจไปที่จินซีจ่าวกับมารดา และทำเป็นไม่ใส่ใจการกระทำของเด็กสาวที่นั่งหน้าบูดอยู่ตรงหน้าไป“ฮูหยิน ท่านต้องการให้มีคนคอยเฝ้าท่าน กั
“นี่พวกเราไม่ได้จะกลับบ้านกันหรอกหรือเจ้าคะ”ฉือฟางอินเอ่ยถามขึ้นมา เพราะเห็นว่าที่ที่ฉือหย่งหลิงพาตัวนางกับเฉียนเอ๋อร์มานั้น คือท่าเรือแคว้นหลูแทนที่มุ่งหน้า เดินกลับจวนสกุลฉือตามกำหนดการ ฉือหย่งหลิงไม่ได้อธิบายในทันที แต่กลับเดินนำหน้านางไปที่เรือลำหนึ่ง ที่ตกแต่งไปด้วยผ้าสีแดงสวยงาม ราวกับมีงานมงคลอยู่บนเรือลำนั้น แล้วหันมายื่นมือรอให้นางเดินเข้าไป เพื่อที่ได้พยุงนางกับลูกขึ้นเรือ“นี่อย่างไร จะพากำลังจะพาเจ้ากลับบ้าน”ความแปลกใจของฉือฟางอินยิ่งทวีขึ้น เมื่อเดินเข้ามาด้านในเรือแล้วพบว่า ด้านในของเรือลำนี้ได้ถูกจำลอง ให้เหมือนกับงานพิธีสมรสอย่างไรอย่างนั้น“นี่มันอะไรกันเจ้าคะ ทำในนี้ถึงได้...”“ฮูหยิน เมื่อสามปีก่อนที่เราแต่งงานกัน เป็นข้าที่ปฏิบัติกับเจ้าไม่ดี ไม่ให้เกียรติ์เจ้าในฐานะภรรยา แม้แต่เกี้ยวเจ้าสาวดีดี ก็ไม่ได้หาให้เจ้า ในวันนี้ที่ข้าสำนึกผิดแล้ว จึงอยากจะขอแก้ตัวกับเจ้าใหม่ ฮูหยิน ได้โปรดแต่งงานกับข้าอีกครั้งได้หรือไม่ ครั้งนี้ข้าสัญญาด้วยชีวิต ว่าเจ้าจะไม่เสียใจที่ได้แต่งงานกับคนอย่างข้าอีก เหมือนเมื่อสามปีที่แล้วอย่างแน่นอน
“ด้วยนิสัยเดิมของบุตรชายข้าคนนี้ ที่นอกจะไม่เอาไหนแล้ว เขามักจะชอบลักเล็กขโมยน้อย สิ่งของคนที่เขาเคยได้สนทนาด้วยเสมอพะย่ะค่ะ”พรึ่บชวี่ซุนเหลียนขาอ่อนล้มพับลงไปนั่งกับทันที เมื่อนางเห็นพู่ตราสัญลักษณ์สกุลรุ่ย ประจำตัวของนางอยู่ในมือของฮ่องเต้ พู่ตราสัญลักษณ์นี้ เป็นสิ่งที่ติดตัวนางมาตั้งแต่เด็ก ด้วยความผูกพันกับของสิ่งนี้ ทำให้แม้จะเข้ามาเป็นอนุภรรยาในสกุลชวี่แล้ว นางก็ยังคงห้อยพู่ตราสัญลักษณ์สกุลรุ่ย ไว้กับตัวอยู่ตลอดเวลา ชวี่ซุนเหลียนไม่รู้ว่าตัวเองทำมันหล่นหายไปตอนไหนจนเข้าใจไปว่านางอาจจะทำพู่นั่น ตอนที่ไปอารามหวั่งสุ่ยกับจินหู่อดีตสาวใช้ ที่ถูกนางผลักตกเขาไปเมื่อสามปีก่อน เพราะจินหู่เป็นคนเดียวที่อยู่กับนาง ทั้งตอนวางแผนและตอนที่นางไปพบกับหลี่หมิงด้วยตัวเอง ชวี่ซุนเหลียนจึงจำต้องกำจัดนาง ตามคำสั่งของกู้ชินอ๋อง เพราะไม่อยากเกิดปัญหาตามมาในอนาคต หลังจากผ่านคืนนั้นไปไม่นาน ขณะที่ชวี่เจียงโหลวนำทัพไปทำสงคราม ชวี่ซุนเหลียนจึงออกอุบายกับจินหู่ ว่าตัวนางนั้นอยากจะไปสงบจิตใจ จากเรื่องที่พึ่งผ่านพ้นไป ด้วยการไปไหว้พระที่อารามหวั่งสุ่ยและต้องการไ
เกิดเสียงฮือฮาไปทั่วทุกสารทิศ ว่าเหตุใดชวี่เจียงโหลวถึงได้มาขออย่าขาดกับชวี่ซุนเหลียน ต่อหน้าธารกำนัลในวันสำคัญเช่นนี้ แม้แต่กู้ชินอ๋องเองก็ต้องถึงกับลุกขึ้นจากที่นั่ง เพราะไม่ได้คาดคิดถึงการกระทำเช่นนี้ ของชวี่เจียงโหลวมาก่อน“ท่านพี่ นี่มันอะไรกันเจ้าคะ”“นั่นสิแม่ทัพชวี่ วันดีๆ แบบนี้ เหตุใดเจ้าถึงขออย่ากับนางต่อหน้าข้าและคนอื่นๆ”“นั่นก็เพราะว่าข้า มิอาจอยู่ร่วมชายคา กับสตรีชั่วช้าคนนี้ได้อีกต่อไปแล้วพะย่ะค่ะ”“เจ้าหมายความว่าอย่างไรกัน”“พระองค์คงจะไม่รู้ว่าเมื่อสามปีที่แล้ว มีสิ่งใดเกิดขึ้นในจวนของกระหม่อมบ้าง”ทันทีที่ได้ยินชวี่เจียงโหลวกล่าวเช่นนั้น กู้ชินอ๋องและชวี่ซุนเหลียนต่างก็ตาเบิกกว้าง พร้อมกับหันหน้ามาสบตากัน เรื่องเมื่อสามปีที่แล้วจะเป็นเรื่องใดได้อีก หากไม่ใช่เรื่องที่ชวี่ซุนเหลียนวางแผน แย่งคู่หมั้นของฉือฟางอินมาให้บุตรสาว และหมายจะให้คนงานหอนางโลม เข้ามาทำมิดีร้ายกับฉือฟางอินถึงในเรือนของนาง“กระหม่อมสู้อดทน สืบหาเบาะแสผู้ที่อยู่เบื้องหลังมาตลอด จนได
“แล้วเขาให้ความร่วมมือหรือไม่ขอรับ”“ย่อมต้องเป็นอย่างนั้น”หลังจากที่รู้ให้คนพาตัวหลี่เฉินมาที่ค่ายทหาร ชวี่เจียงโหลวแสดงตนต่อหน้าเขา พร้อมทั้งบอกให้เขาได้รู้ว่า คุณหนูที่สตรีชนชั้นสูงนิรนามคนนั้น จ้างวานให้เขามาทำมิดีมิร้ายคือบุตรสาวของตน เท่านั้นก็ทำให้ลี่เฉินตัวสั่นเป็นเจ้าเข้า เพราะความโง่เขลา“ท่านแม่ทัพชวี่ เรื่องนี้ ข ข้าไม่เกี่ยวนะขอรับ ป เป็น เป็นบุตรชายของข้า ที่แอบรับงานนั้นด้วยตัวเอง ข้าไม่เกี่ยวนะขอรับ”“คนตายไปแล้วจะพูดอะไรได้ หากเจ้าบอกว่าเจ้าไม่เกี่ยวกับข้องเรื่องนี้ แต่ทันทีที่พบของพวกนี้ เจ้ากลับจะนำไปทำลาย นี่หรือที่เจ้าบอกว่าไม่เกี่ยวข้อง”“ม ไม่ใช่ ไม่ใช่อย่างนั้นขอรับท่านแม่ทัพ ที่ข้าคิดจะเอาของพวกนี้ไปทิ้ง ก็เพราะว่าข้ากลัวข้า กับคนในครอบครัวที่เหลือที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ ต้องโดนหางเลขไปด้วยขอรับ”“งั้นก็แสดงว่าเจ้ารู้แล้วอย่านั้นหรือ ว่าของสองอย่างนี้เป็นของใคร”“ยังไม่ทราบแน่ชัดขอรับ แต่คนผู้นั้นน่าจะมีความเกี่ยวข้องกับสกุล
“อื้อ แอ้! คิกๆ”“ฮ่าๆ เฉียนเอ๋อร์ ขาเจ้าเล็กแค่นี้ แต่พละกำลังมากเหลือเกิน แม่เจ้าคงเลี้ยงเจ้ามาอย่างดีเลยสินะ”ชวี่เจียงโหลวกล่าวอย่างอารมณ์ดี ขณะที่กำลังให้หลานชาย ใช้ขาอวบทั้งสองข้าง ยันหน้าขากระโดดเด้งขึ้นเด้งลง ส่งเสียหัวเราะคิกคักด้วยความสนุกสนาน โดยมีฉือฟางอินและฉือหย่งหลิง นั่งอยู่ใกล้ๆ คอยมองสองตาหลาน เล่นด้วยกันด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม หลังจากทานมื้อค่ำด้วยกันแล้ว ชวี่เจียงโหลวได้ชักชวนบุตรสาวและบุตรเขย มานั่งพูดคุยถามสารทุกข์ตลอดหลายปีที่ไม่ได้พบหน้ากัน ซึ่งแน่นอนว่าการพูดคุยในครั้งนี้นั้น ไม่มีอนุเหลียนตามมาด้วย“เฉียนเอ๋อร์ เจ้าเล่นเบาๆ หน่อยเถิด เดี๋ยวท่านตาของเจ้าจะเจ็บเอาได้”“ไม่เป็นไรๆ ปล่อยให้เขาได้เล่นตามใจเถิด แรงเพียงเท่านี้ จะทำข้ากับได้อย่างไร เฉียนเอ๋อร์เจ้าเหนื่อยหรือยัง ให้ตาจับเจ้าโยนเล่นบนอากาศดีหรือไม่”“อื้อ แอ๊!”แม้จะพบหน้ากันเป็นวันแรก แต่สองตาหลานก็ดูจะเข้ากันดีจนคนเป็นแม่อย่างฉือฟางอินอดที่จะแปลกใจไม่ได้ เพราะที่ผ่านมา เฉียนเอ๋อร์ไม่ค่อยได้พบเจอคนอื่
“เชิญพวกเจ้าพักผ่อนกันให้หายเหนื่อยเถิด ขาดเหลืออะไรก็บอกคนรับใช้ เดี๋ยวสักครู่ข้าจะต้องเข้าวังไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้คงไม่ได้อยู่ถามสารทุกข์สุขดิบของพวกเจ้า เอาไว้พบกันตอนค่ำก็แล้วกัน”“เจ้าค่ะท่านพ่อ ท่านไปเตรียมตัวเถิดเจ้าค่ะ ไม่ต้องห่วงทางนี้”หลังจากที่พาบุตรสาวและบุตรเขย มาส่งยังเรือนเก่าของฉือฟางอิน ที่ชวี่เจียงโหลวยังคงให้คนรับใช้เข้ามาทำความสะอาดทุกวัน เหมือนเมื่อครั้งที่บุตรสาวอาศัยอยู่ที่นี่ เจ้าตัวก็ต้องรีบเดินทางไปยังวังหลวงเพื่อส่งรายงาน สิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างการทำศึกรวบรวมดินแดน ที่ชวี่เจียงโหลวเป็นผู้นำทัพ และสามารถคว้าชัยชนะมาได้เมื่อหลายเดือนก่อนด้านฉือฟางอินที่พึ่งจะตกปากรับคำที่บิดาไป แต่นางกลับมีความคิดจะออกไปข้างนอก แทนที่จะพักผ่อนตามที่บิดาบอก เหตุเห็นว่าไหนๆ ตนเองก็เดินทางมาถึงจวนสกุลชวี่ เร็วกว่าเวลาที่คำนวณเอาไว้มาก ประกอบกับที่นางไม่ได้รู้สึกเหนื่อยล้า จากการเดินทางที่ผ่านมาเลยสักนิด นางจึงอยากจะเดินทางไปเยี่ยมชมกิจการเลี้ยงหม่อน ที่เคยวางแผนว่าจะไปที่นั่นใน หลังจากผ่านไปแล้วสองถึงสามวัน หลังจากที่ถึงจวนสกุลชวี
“เด็กคนนี้คือเฉียนเอ๋อร์…หลานชายของท่านเจ้าค่ะ”“แอ๊!”ท่ามกลางความตกใจและไม่คาดคิดของชวี่เจียงโหลว เจ้าตัวน้อยที่จ้องหน้าท่านตาของตนเองอยู่ก่อนแล้ว ก็ส่งเสียงทักทายขึ้นมาพร้อมกับฉีกยิ้ม เห็นฟันน้อยที่มีอยู่ไม่กี่ซี่ให้กับเขา“หละ หลานชาย โอ้! เฉียนเอ๋อร์ เฉียนเอ๋อร์หลานตา มาๆ มาให้ตาดูเจ้าใกล้ๆ หน่อยเถิด”เมื่อตั้งสติและกระจ่างแจ้งแล้วว่า เด็กชายตัวน้อยที่ฉือฟางอิน บุตรสาวของตนเองอุ้มอยู่นั้น เป็นหลานชายแท้ๆ ของตน แม่ทัพใหญ่แห่งแคว้นหลู จึงได้รีบเดินเข้าไปที่รถม้าเพื่อช่วยพยุงบุตรสาวลงมา แต่ทว่าขณะที่กำลังยื่นมือออกไป หมายจะอุ้มหลานชายของตนเองนั้น ชวี่เจียงโหลวกลับชะงักมือของเขาเอาไว้ เพราะคิดขึ้นมาได้ว่าบุตรสาวของตนเองนั้น จะยินดีให้เขาอุ้มลูกของนางหรือไม่ด้านฉือฟางอินเองหลังจากที่เห็นท่าทีลังเลของบิดา นางจึงเป็นฝ่ายส่งลูกน้อย สู่อ้อมอกท่านตาของเขา โดยที่ไม่มีท่าทีไม่พอใจแต่อย่างใด ชวี่เจียงโหลวถึงได้กล้ารับเจ้าตัวน้อยมาอุ้มเอาไว้ หญิงสาวมองภาพตรงหน้าด้วยอารมณ์ที่หลากหลาย แต่ถึงอย่างนั้นนางก็รู้สึ
“เชิญท่านแม่ทัพกับฮูหยินทางนี้ขอรับ”เจียงเถาที่เร่งเดินทางมาให้ถึงเมืองลิ่ง ก่อนหน้าที่คนที่เหลือที่ขบวนจะเดินมาถึง เพื่อมาจัดการหาที่พักให้กับทุกคน เมื่อเห็นว่าเจ้านายและคนอื่นๆ เดินทางมาถึงแล้ว ชายหนุ่มจึงรีบเดินเข้ามาเพื่อนำทางไปยังโรงเตี๊ยมชั้นดี ที่เขาจัดการจ่ายเงินที่เจ้านายมอบให้ สำหรับสถานที่พักค้างแรมในคืนนี้ระหว่างทางที่กำลังเดินไปยังโรงเตี๊ยม ฉือฟางอินที่เคยได้ยินชื่อและได้มาเยือนเป็นครั้งแรก ก็อดที่จะตื่นตาตื่นใจกับการสัมผัสบรรยากาศในสถานที่ใหม่ไม่ได้ เพราะแม้ว่าเวลานี้จะเป็นเวลาพลบค่ำแล้ว แต่บรรยากาศในเมืองลิ่งก็ยังคงคึกคัก คลาคลั่งไปด้วยผู้คนมากมาย ไม่เหมือนกับเมืองอื่นๆ ที่ชาวบ้านส่วนใหญ่จะทำกิจวัตรอยู่ในบ้านของตนเอง หลังจากพระอาทิตย์ตกดินไปแล้ว นั่นก็เพราะทุกพื้นที่ในเมืองลิ่งนั้น ล้วนเต็มไปด้วยโรงเตี๊ยมกิจการร้านค้าและร้านอาหารน้อยใหญ่ จนไปถึงภัตตาคารเรียงรายไปทั่วทั้งเมือง“ถึงแล้วขอรับ”“อ้าว นายของเจ้ามาแล้วรึ เชิญๆ ท่านแม่ทัพฮูหยิน เชิญเข้ามาได้เลย ข้าให้เด็กเตรียมที่พักไว้ตามที่ท่านต้องการแล้ว เด็กๆ มา
“กลับแคว้นหลูอย่างนั้นหรือฮูหยิน”ทันทีที่ได้เห็นท่าทางของฉือหย่งหลิง หลังจากที่เขาได้รู้ว่าตัวนางนั้นกำลังจะเดินกลับแคว้นหลู ฉือฟางอินก็ได้แต่ถอนหายใจออกมา นางไม่ได้คิดที่จะปิดบังเขาแต่อย่างใด เพียงแต่ต้องการเวลาให้ตัวนางได้เรียบเรียงคำพูดมาอธิบายให้กับฉือหย่งหลิงอนุญาตให้นาง ได้กลับไปยังแคว้นบ้านเกิด แต่เนื่องจากช่วงนี้การงานที่รัดตัว จึงทำให้นางลืมบอกเรื่องนี้กับเขา“ใช่ ข้าจะกลับบ้าน”“แล้วเหตุใดข้าถึงไม่รู้เรื่องนี้ ข้าทำอะไรให้เจ้าไม่พอใจอย่างนั้นหรือ”“เปล่า ท่านไม่ได้ทำอะไร”“ไม่จริง ไม่เช่นนั้นเจ้าจะวางแผนหนีข้าไปเช่นนี้หรือ”“ไปกันใหญ่แล้ว ข้าแค่จะกลับไปเยี่ยมท่านพ่อ”“เยี่ยมบิดาของเจ้าหรือ”“ก็ใช่น่ะสิ ท่านคิดไปถึงไหนกัน”เพราะนับตั้งแต่ที่ได้มาอยู่ที่นี่ มีเรื่องราวมากมายเกิดขึ้นที่หญิงสาวไม่ทันได้ตั้งตัว จึงเป็นเวลากว่าสามปีแล้วที่หญิงสาว ยังไม่ได้มีโอกาสกลับไปเยี่ยมบ้านเกิดตามธรรมเนียม เวลานี้ที่ตัวนางกำลังขยายร้