เสิ่นหรูโจวพาเมี่ยวตงออกจากจวนอ๋องไปอย่างปราศจากความอาลัยรถม้าเคลื่อนไปราวหนึ่งชั่วยาม จึงหยุดลงหน้าเรือนที่มีบรรยากาศเงียบสงบหลังหนึ่งเมี่ยวตงหยิบกุญแจออกมาไขกลอนที่ประตู จากนั้นผลักประตูใหญ่ให้เปิดออกนี่เป็นเรือนสองส่วน ตั้งอยู่ทางทิศเหนือและหันหน้าไปทางทิศใต้ มีแสงสว่างส่องถึงอย่างเต็มที่ ในลานบ้านยังปลูกดอกไม้นานาชนิดไว้ด้วยเสิ่นหรูโจวมองไปรอบๆ ครั้งหนึ่ง จากนั้นก็ยิ้มออกมาอย่างพึงพอใจแล้วเมี่ยวตงจัดสัมภาระเข้าที่เรียบร้อย ปัดฝุ่นบนมือออก จากนั้นก็แหงนหน้ามองด้วยท่าทางรอคำชม “เป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะคุณหนู ที่นี่ไม่เลวกระมัง?”“ไม่เลว เมี่ยวตงเจ้ามีรสนิยมที่ดีมาก” เสิ่นหรูโจวตบบ่าของนางอย่างพึงพอใจ ดวงตาที่ราวสายน้ำในฤดูใบไม้ผลิเปล่งประกายรอยยิ้มออกมา จากนั้นก็ค่อยๆ แผ่กระจายไปทั่วใบหน้าเมี่ยวตงกล่าวอย่างเบิกบานว่า “บ่าวเพิ่งออกมาเสาะหา ก็ได้ยินว่าที่นี่มีเรือนว่างอยู่หลังหนึ่ง ตอนมาดู พอเห็นในลานบ้านปลูกดอกไม้ไว้มากมาย ก็รู้ว่าคุณหนูจะต้องชอบอย่างแน่นอน ที่สำคัญที่สุดคือ ที่นี่อยู่ใกล้จวนแม่ทัพมากด้วยเจ้าค่ะ” เสิ่นหรูโจวพยักหน้า เดินไปบริเวณทางเดิน แหงนหน้ามองกระดิ่งลม
สีหน้าของเสิ่นฉู่มู่ไม่เปลี่ยนแปลง ไม่เงยหน้าขึ้นมองนางแม้แต่น้อย ยิ่งมิได้รับคำฮูหยินผู้เฒ่ากับเสิ่นหรูหลันเห็นนางมาแล้ว ล้วนแย้มยิ้มอย่างเบิกบาน เห็นเสิ่นหรูโจวจ้องมองเสิ่นฉู่มู่ รอยยิ้มก็ยิ่งลึกมากขึ้น“ยายหนูจูจู เจ้ามาแล้ว รีบมานั่งเร็วเข้า รีบมานั่งเร็วเข้า” เสิ่นหรูโจวจิตใจปั่นป่วนจนเดินไม่ถูกแล้ว ถูกท่านย่าเรียกครั้งหนึ่งจึงได้สติกลับมา นางยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาที่หางตาของตน หันไปมองท่านย่าก่อน“ท่านย่า ขาของท่านยังเจ็บอยู่หรือไม่เจ้าคะ?”“ใช้ตำรับของเจ้าแล้วดีขึ้นไม่น้อยจริงๆ” ฮูหยินผู้เฒ่ากุมมือของนางไว้ ยิ้มจนรอยย่นที่หางตาขมวดรวมกัน “พี่หรูหลันของเจ้านวดให้ข้าทั้งวัน คิดจะไม่ให้ดีขึ้นก็ไม่ได้” เสิ่นหรูโจวหันศีรษะพูดกับเสิ่นหรูหลันด้วยรอยยิ้มว่า “ลำบากพี่หรูหลันแล้ว” “นี่เป็นหน้าที่ มีสิ่งใดให้ลำบากกัน” เสิ่นหรูหลันตบบ่านางเบาๆ ทีหนึ่ง เป็นสัญญาณให้นางไปชวนเสิ่นฉู่มู่คุย“ครั้งก่อนไม่ได้พบพี่ชายของเจ้า ครั้งนี้ได้เจอแล้ว ไม่รีบพูดอะไรสักหน่อยหรือ?”เสิ่นหรูโจวกัดริมฝีปากแดงแน่น จ้องมองใบหน้าที่เย็นชาดุจน้ำค้างแข็งของพี่ชายตอนที่นางเพิ่งแต่งกับเซียวเฉินเหยี่ยน คำพู
ดวงหน้าเล็กๆ อันงดงามของเสิ่นหรูโจวย่นเป็นก้อน ฝังหน้าไว้บนแขนของเขา บดบังดวงตาที่แดงระเรื่อ“พี่ชาย ตอนนั้นข้าเป็นเพราะภูตผีปีศาจบดบังจิตใจ พี่ชายกับท่านพ่อล้วนทำเพื่อข้า ข้าทำผิดอย่างใหญ่หลวง ล้วนเป็นข้าไม่ดีเอง ข้าเลอะเลือนเอง ตอนนี้ข้าสำนึกผิดแล้ว ท่านก็อย่าได้โกรธอีกเลยนะ ให้อภัยข้าเถิด ได้หรือไม่?”เสิ่นฉู่มู่กวาดตามองนางทีหนึ่ง เมื่อเห็นชัดว่านางร้องไห้สะอึกสะอื้น ท่าทางน่าสงสารอย่างยิ่ง ความโมโหในใจก็หายไปนานแล้ว ทว่าสีหน้ายังคงไม่ยอมให้อภัยคน แกะเปลือกส้มไปด้วยสีหน้าดุร้าย“เหอะ เจ้ามิใช่ปีกกล้าขาแข็งแล้วหรือ? จะต้องบินออกไปให้ได้ มุ่งมั่นจะแต่งกับเจ้าอ๋องอู่เฉิงนั่น ยามนี้ออกไปอยู่ข้างนอกเผชิญกับความทุกข์ จึงได้รู้ว่าที่บ้านดีเพียงไรแล้ว?”เขาชักสีหน้า จู่ๆ ก็บีบแก้มของนาง ยื่นส้มที่ปลอกเสร็จแล้วมาเบื้องหน้าของเสิ่นหรูโจว“กินสิ ชอบกินส้มมากที่สุดไม่ใช่หรือ?”เสิ่นหรูโจวน้ำตาคลอมองเสิ่นฉู่มู่ เห็นเขาแม้ในยามโกรธ ส้มที่ปอกก็ยังปอกให้นาง หยดน้ำตาก็ยิ่งไหลออกมามากขึ้น ความรู้สึกผิดและโทษตัวเอง กับความยินดีที่ได้คืนมาหลังสูญเสียผสมปนเปกัน จนแทบจะกลืนกินนางไป“พี่ชาย ขอโท
ก้นบึ้งดวงตาของเสิ่นหรูโจวสาดประกายเย็นชา ทว่าใบหน้ากลับยิ้มแย้ม ไม่อยากให้คนในครอบครัวต้องเป็นกังวล“ท่านหญิงเข้าใจว่าเป็นข้าที่ทำให้องครักษ์ผู้นั้นได้รับบาดเจ็บ ดังนั้นจึงได้เกิดความขัดแย้งขึ้นเล็กน้อย ยามนี้ความเข้าใจผิดได้ถูกแก้ไขแล้ว ไม่มีปัญหาอะไรแล้วเจ้าค่ะ” ฮูหยินผู้เฒ่าถามต่ออีกว่า “เช่นนั้นเหตุใดเจ้าจึงได้ย้ายออกมากะทันหันเล่า?”เสิ่นหรูโจวยิ้มและกล่าวว่า “เพราะรู้สึกว่าเรือนของจวนอ๋องไม่ดี ย้ายออกมาอยู่ด้านนอกเรือนกว้างขวาง ดูแล้วสบายตากว่าเจ้าค่ะ” นางไม่อาจให้คนที่บ้านรู้เรื่องการหย่า เพราะพึ่งแต่งงานก็จะหย่า หากให้อดีตฮ่องเต้รู้เข้า เกรงว่าจะพาลโมโหจวนแม่ทัพได้เสิ่นฉู่มู่เมื่อได้เห็นสีหน้าของนาง ก็รู้สึกว่ามีบางสิ่งไม่ถูกต้อง กล่าวด้วยสีหน้าสงสัยว่า“มิใช่เพราะอ๋องอู่เฉิงรังแกเจ้า เจ้าจึงได้ย้ายออกมาหรือ?”เสิ่นหรูโจวปฏิเสธอย่างเต็มกำลัง “ไม่ใช่” เสิ่นฉู่มู่ยังคงไม่เชื่อ จึงมองไปที่เมี่ยวตงอีกครั้งแล้วถามว่า “เมี่ยวตง คุณหนูเพราะได้รับความน้อยเนื้อต่ำใจจึงได้ย้ายออกมาใช่หรือไม่?”เมี่ยวตงที่ถูกขานชื่อตกตะลึงไปครู่หนึ่ง เงยหน้าขึ้นมา เห็นเสิ่นหรูโจวกระพริบตาให้
ฮูหยินผู้เฒ่ามองเสิ่นหรูโจวอย่างเบิกบาน ในดวงตาเปี่ยมด้วยความรักใคร่ นึกถึงบางสิ่งขึ้นมาได้ นางจึงเรียกเจิ้งหมัวมัวมาถามว่า“เรือนของยายหนูจูจู เก็บกวาดเรียบร้อยแล้วหรือไม่?”เจิ้งหมัวมัวรับคำอย่างแย้มยิ้มว่า“จัดไว้เรียบร้อยนานแล้วเจ้าค่ะ ห้องของคุณหนูทุกวันล้วนมีคนทำความสะอาด สิ่งของทั้งหมดล้วนไม่มีการแตะต้อง ยังคงเป็นเช่นเดิม คุณหนูเข้าไปอยู่จะต้องสะดวกสบายใจอย่างแน่นอนเจ้าค่ะ” เมื่อได้ยินเช่นนี้ เสิ่นหรูโจวก็ตกตะลึงไปเล็กน้อย คืนนี้ ท่านย่าจะให้นางพักที่บ้านหรือ?ความปีติสายหนึ่งวาบขึ้นมาในจิตใจ แต่ก็ดับสลายไปอย่างรวดเร็ว นางมองท่านย่าด้วยความลำบากใจ กล่าวอย่างลังเลว่า“ท่านย่า ข้าไม่อยู่ดีกว่าเจ้าค่ะ จะได้ไม่ทำให้เกิดคำนินทาขึ้นมา”ตัวนางนั้นมิได้ใส่ใจ ทว่าไม่อยากให้ตระกูลเสิ่นต้องเสียชื่อว่าไม่รู้ธรรมเนียมไปด้วยฮูหยินผู้เฒ่าสนใจเพียงการแสดงความรักต่อหลานสาว ไหนเลยจะไปสนใจรายละเอียดเล็กน้อยพวกนี้ได้ ส่ายหัวอย่างไม่ใส่ใจว่า“กลับมาค้างบ้านเดิมสักคืนเหตุใดจึงจะไม่ได้? ก็ถือว่าชดเชยเรื่องกลับบ้านเดิมหลังแต่งงานแล้ว”“นั่นสิ จะไปมีคำนินทาอะไรกัน? ใครกล้าพูดจาเหลวไหล ข้าจะไ
แม้ท่านพ่อจะเป็นทหารฝ่ายบู๊ ทว่าชื่นชมความสง่างามของเหล่าขุนนางบัณฑิต จึงมีเจตนาปล่อยให้นางได้สัมผัสกับกลิ่นอายของตำราอยู่บ้าง ให้นางตั้งใจฝึกคัดอักษรน่าเสียดายที่นางเกียจคร้านเกินไป ปล่อยที่ทับกระดาษอันล้ำค่านี้ไว้ไม่ให้ความสำคัญ ผิดต่อความตั้งใจของท่านมองดูของขวัญแต่ละชิ้นที่เต็มไปด้วยความรักที่อยู่ภายใน เสิ่นหรูโจวคิดถึงความดีที่คนในครอบครัวมีต่อนาง ในใจก็บังเกิดความเสียใจและเคียดแค้นขึ้นมาอีกครั้งชาติก่อน นางทำผิดอย่างมหันต์ไปจริงๆ คนในครอบครัวดีต่อนางถึงเพียงนี้ ถนอมนางไว้ในอุ้งมือ นางกลับต้องการจะตัดความสัมพันธ์กับคนในครอบครัว ไปแต่งงานกับเซียวเฉินเหยี่ยนตนเองได้รับความทุกข์ถูกคนทรมานก็ช่างแล้ว แต่กลับยังทำให้คนทั้งบ้านต้องเดือดร้อนไม่อาจสงบสุขได้เกิดใหม่อีกครั้ง นางมองเห็นความจริงใจเสแสร้งได้อย่างชัดเจนแล้ว ได้มีคนในครอบครัวอีกครั้ง นางไม่มีทางปล่อยให้โศกนาฏกรรมในอดีตเกิดซ้ำอีกเป็นอันขาด!ถูกภาพเบื้องหน้าทำให้สะเทือนใจ ขอบตาของนางร้อนขึ้นมา หยาดน้ำตาสองหยดร่วงหล่นลงมาอย่างไม่อาจกลั้นเมี่ยวตงที่อยู่ด้านข้างเมื่อเห็นก็ตกตะลึงไป รีบเข้าไปดู“คุณหนู เหตุใดท่านจึงได้ร้อ
เห็นนางมีปฏิกิริยาตอบสนองอย่างรุนแรงเช่นนี้ เจิ้งหมัวมัวยังคิดว่านางตื่นเต้นเพราะจะต้องไปเจอแม่สามี จึงปิดปากหัวเราะ เดินไปดึงนางขึ้นมาพาไปกดลงนั่งหน้าโต๊ะเครื่องแป้ง“คุณหนูอย่างเพิ่งร้อนใจ ให้เมี่ยวตงเกล้าผมให้ท่านก่อนเจ้าค่ะ” เมี่ยวตงรีบล้างมือ จากนั้นมาจัดแต่งทรงผมให้นาง เสิ่นหรูโจวใจลอยอยู่บ้าง ความคิดลอยกลับไปที่ชาติก่อนอีกครั้งชาติก่อนที่นางแต่งกับเซียวเฉินเหยี่ยนนั้น เหตุผลส่วนใหญ่ก็เป็นเพราะเต๋อเฟย ยังมีมู่หว่านชิงที่คอยยุยงส่งเสริมพวกนางบอกนางว่า เซียวเฉินเหยี่ยนชอบนางมากเพียงใด ทำให้นางคิดว่าเซียวเฉินเหยี่ยนปักใจรักนาง จริงใจต่อนางนางเชื่อว่าเป็นความจริง จึงไปขอราชโองการแต่งกับเซียวเฉินเหยี่ยนอย่างโง่งม คิดไม่ถึงว่า หลังจากเซียวเฉินเหยี่ยนแต่งกับนางแล้ว จะแค้นนางเข้ากระดูก…การแต่งงานครั้งนี้ นับแต่เริ่มต้นก็เป็นแผนการหลอกลวงแผนหนึ่ง ที่จริงแล้วเซียวเฉินเหยี่ยนมิได้ชอบนางแม้แต่น้อย และที่เต๋อเฟยแสร้งทำเป็นชอบนาง ก็เพียงเพื่ออำนาจของจวนแม่ทัพเท่านั้น ในความเป็นจริงเต๋อเฟยไม่ถูกใจนางแม้แต่น้อย สะใภ้ที่นางถูกใจมีเพียงมู่หว่านชิงเท่านั้นครั้งนี้ที่เรียกนางเข้าวัง
แม่สามีเหนื่อยแล้วก็ทุบขานวดไหล่ให้แม่สามี ทำตัวเป็นคนแสดงงิ้วสร้างความขำขันให้นางสิ่งที่สะใภ้ทั่วไปทำได้ นางล้วนทำได้ ที่ทำไม่ได้ นางก็ทำไปแล้ว คิดว่าใจคนสามารถแลกใจได้ ทว่าสิ่งที่นางแลกกลับมาได้กลับมีแต่ความเดียดฉันท์แววตาของเต๋อเฟยสั่นไหว ถอนใจคราหนึ่ง “เหตุใดต้องทำเช่นนี้ ล้วนเป็นครอบครัวเดียวกัน” “เต๋อเฟยยกย่องนางไปแล้ว ข้าเห็นว่า นางไม่คิดว่าตัวเองเป็นสะใภ้ของท่านแม้แต่น้อย” สายตาเย็นชาของเซียวจิ่นซีทิ่มแทงมาที่เสิ่นหรูโจว “เพิ่งแต่งงานได้ไม่กี่วัน เจ้าก่อให้เกิดคำซุบซิบนินทามากเพียงใด? ตอนนี้ยิ่งดี ยังย้ายออกจากจวนอ๋องไปอยู่เองอีก เจ้ายังเห็นตนเองเป็นพระชายาของจวนอ๋องอู่เฉิงอยู่หรือไม่?”แค่เริ่มต้นก็จะข่มนางก่อนแล้ว?แววตาของเสิ่นหรูโจวแข็งกร้าวขึ้นมา เงยหน้าขึ้น มองไปยังองค์หญิงเจาหยาง บนใบหน้าอันงดงามปรากฏความหยิ่งทระนงออกมา“เรื่องที่ข้าย้ายออกจากจวนอ๋อง ได้แจ้งให้ท่านอ๋องทราบแล้ว เขาก็พูดด้วยตัวเองว่าให้ข้าไป ราชสำนักของเราไม่มีกฎหมายข้อใดที่ไม่อนุญาตให้พระชายาไปอยู่ที่อื่น ไม่ทราบว่าองค์หญิงกังวลสิ่งใด?“ยังกล้าเถียงอีก!” เซียวจิ่นซีเลิกคิ้ว ชี้หน้าขึ้นเสียงใส่