มือที่จับปลายพู่กันเริ่มฉวัดเฉวียนวนไปเวียนมาอยู่กับที่ เพราะความเมื่อยล้าที่เข้ามาคลอบคลุมร่างกาย
ไหนจะท้องที่ตึงจัดเพราะกินมากไม่ต่างกับหมูกินลำ นายหงอกหน้าตายต้องการให้เธออ้วนเป็นหมูหรืออย่างไง ถึงได้สั่งของมากินมากมายแถมสุดท้ายก็เห็นเขาเอาแต่นั่งมองเธอกินอยู่ฝ่ายเดียว แต่คนอย่างดารินธิราน่ะเหรอจะยอมรังเกียจมื้ออาหารเลิศรส เพียงเพราะอดีตที่เขาทำให้เธอเจ็บช้ำน้ำใจ
Impoosible! เป็นไปไม่ได้! กินก็ส่วนกิน เกลียดก็ส่วนเกลียด เขาจะคิดว่าเธอเป็นผู้หญิงไร้ยางอายหรือพื้นผิวหน้าโบกด้วยหินแกรนิตก็เรื่องของเขา
แต่เรื่องที่เธอหมกหมุ่นมากที่สุดคงหนีไม่พ้นเรื่อง 'ความลับของรอยสัก' นั่น ทันทีเมื่อเธอที่ได้รู้จากปากของชายชาวจีน ก็รู้สึกว่าสิ่งที่เขาบอกล้วนเหลือเชื่อ และไม่น่าเชื่อในเวลาเดียวกัน คงต้องรอว่าสักวันเขาจะเอ่ยปากพูดเรื่องรอยสักนั่นขึ้นมาเมื่อไหร่เอง น่าจะดีกว่าที่เธอจะออกปากถามเขาไปตรง ๆ เขาได้คิดว่าเธอหลงตัวเองและประสาทหลอนอยู่แหง ๆ
ดารินธิราเอามือตบแก้มซ้ายขวาของตนเพื่อเรียกสติที่เริ่มสะลืมสะลือ ตอนนี้เธอง่วงมากถึงมากที่สุด ยิ่งก้มมองดูเวลาที่นาฬิกาข้อมือเรืองแสงบอกเวลาตีสอง เป็นเวลาที่เธอไม่ควรทำงานต่อไปอีก เพราะนอกจากจะทำให้เส้นรูปไม่คมชัด สติสตังค์ก็เลอะเลือน
หญิงสาวลุกขึ้นบิดขี้เกียจไปมา สะดุดเข้ากับใบหน้าที่นอนหลับพริ้มสบายอารมณ์ ฝ่ามือกอดก่ายตัวเองใบหน้าส่ายไปมาอย่างคนที่กำลังฝันร้าย
"แม็กนัส! คุณโอเคมั้ยเนี่ย คุณ!"
เรียกชื่อเขาพลางใช้นิ้วจิ้มกดลงไปที่หัวไหล่หนา แต่เขาก็ยังไม่รู้สึกตัว และพึมพำเรียกชื่อใครบางคนออกมา แต่เพราะเธอไม่ค่อยได้ยิน จึงคุกเข่าลงกับพื้นแล้วเอียงหูฟังอีกที
"เดมี่..."
สองหูที่ได้ยินเขาเรียกชื่อของเธอ จนชัดเจนแจ่มแจ้ง แต่มันก็ทำให้เธอตกใจซะจนรีบลุกขึ้นถอยหลังไปกระแทกกับเก้าอี้นั่งวาดรูปขาสูง จนหัวไปเขกเข้ากับแท่นนั่งเข้าเต็มๆ
"โอ๊ย! เจ็บ! เจ็บ!"
เสียงร้องของเธอปลกเรียกอัจฉริยะขี้เซาสะดุ้งตื่น ลุกขึ้นมองหาที่มาของเสียงร้อง และเห็นร่างของเดมี่ผุดลุกผุดนั่งอยู่ที่พื้น ร่างกายของเขาก็พุ่งหลาวลงไปประคองอย่างไม่ให้ซุ่มให้เสียง
"คุณเป็นอะไรหรือเปล่า"
ถามขึ้นเป็นจังหวะที่เห็นหน้าผากเริ่มปูดนูนขึ้นเป็นลูกมะนาว สองมือจึงรวบตัวของคนเจ็บขึ้นมา ทว่าเธอพยายามขัดขืน
"ฉันไม่ได้เจ็บขาสักหน่อย จะพาฉันไปไหน"
"ก็คุณดื้ออ่ะ บอกให้พักก็ไม่พัก"
"นายหงอก!" แหวใส่เขาแต่สุดท้ายก็ต้องยอมเขาอีกเช่นเคย
ทำไมเธอต้องยอมเขาทุกครั้ง มีครั้งไหนที่เขาจะยอมเธอบ้างไหม
ชาตินี้คงไม่มีหวัง จนกว่าจะทำงานให้เขาเสร็จ เธอคงตกเป็นลูกจ้างถูกเขาโขลกสับไม่มีชิ้นดีแน่
ไม่ถึงครึ่งชั่วโมงรถหรูก็แล่นมาจอดที่โรงรถของคฤหาสน์อาเวนชี่ แม็กนัสเปิดประตูรถให้คนหัวเจ็บลงมา แต่พอก้าวขาเดินเองพ่อคุณก็เข้ามารวบตัวเธอขึ้นอีกเป็นครั้งที่สอง
"คุณจะมาอุ้มฉันทำไมอีกแม็กนัส" กระซิบใส่หูเขาขณะที่บอดี้การ์ดนับสิบชีวิตชายตามองตาม
"ผมกลัวคุณหลับในตอนเดิน"
พ่ออัจฉริยะสรรหาคำมาต่อล้อต่อเถียงกับเธอได้ตลอดสิน่า เอาเถอะให้เขาอุ้มไปอยากจะทำอะไรก็เชิญ
ดีซะอีกเธอจะได้ไม่ต้องเดินขึ้นบันไดที่ชวนหวาดเสียวนั่น
ชายหนุ่มรู้ว่าดารินธิรากลัวการใช้บันไดมาก จากที่เขารู้มาจากฮัลค์ บอดี้การ์ดของตนว่า เดมี่เลือกทำงานที่ชั้นหนึ่งแล้วยกห้องทำงานที่เห็นวิวสวย ๆ ให้กับคนอื่น ถ้าไม่จำเป็นเธอก็จะใช้แต่ลิฟต์เท่านั้น ไม่ยอมใช้บันไดเด็ดขาด เพราะเหตุนี้เขาถึงได้อุ้มเธอขึ้นไปยังห้องนอนด้วยตัวเอง
ร่างกายเบาหวิวของเดมี่ถูกหย่อนลงบนเตียงนอนสีขาว กลิ่นในห้องก็หอมอบอวลไปด้วยกลิ่นของลาเวนเดอร์ พอสูดดมเข้าลึก ๆ ก็ช่วยให้สมองที่อ่อนล้ามาทั้งวันผ่อนคลายลงทันที ขณะที่เจ้าของห้องเดินเข้ามาในห้องพร้อมถังน้ำแข็งและกล่องยา"ทำไมคุณไม่พาฉันกลับบ้าน" เอ่ยถามขึ้นขณะที่เอานิ้วมือจิ้มลงบนหน้าผากที่ปูดโปน"ผมคงเหงามั้ง" ตอบลอย ๆ พร้อมกับยื่นผ้าขนหนูที่ห่อน้ำแข็งไว้ด้านในประคบลงมาที่หน้าผากบวม"แล้วพ่อคุณล่ะคะ ไม่ได้อยู่ด้วยกันเหรอ" ฝ่ามือของเขาชะงักกลางอากาศ ทำไมเธอต้องถามถึงคนพรรค์นั้น พ่อที่เอาแต่ทำงานไม่สนใจครอบครัว ไปที่ไหนก็มีเมียที่นั่น หนึ่งในนั้นก็มีน้าสาวของดารินธิราอยู่ด้วย นั่นแหละที่ทำให้เขาหงุดหงิดใจที่สุด "อย่าพูดถึงพ่อผมอีก คนอย่างเขาเห็นแก่เงินงาน อำนาจและผู้หญิงเท่านั้น" "แต่เขาก็ให้กำเนิดคุณมานะแม็กนัส ต่อให้เขาร้ายกาจแค่ไหน พ่อก็คือพ่ออยู่ดี"และแล้วโทสะของเขาก็ปะทุออกมาจนได้ ฝ่ามือที่กำผ้าขนหนูประคบหน้าผากให้เธออยู่นั้นเขวี้ยงมันลงไปที่พื้นอย่างรุนแรงดวงตาของเขาแดงก่ำ กัดฟันกรามแน่นเพื่อข่มอารมณ์ความโกรธ "น้าคุณคือหนึ่งในสมาชิกฮาเร็มของพ่อผม คุณจำไม่ได้แล้วหรือไง ทำไมคุณ
นิ้วเรียวของดารินธิราเกลี่ยหยาดน้ำตาที่ชุ่มเลอะทั่วใบหน้าของตน วาดขายาวนั่งลงด้านข้างร่างสูงที่กำลังก้มหน้าก้มตาร้องไห้ ฝ่ามือวางลงบนแผ่นหลังกว้าง ปลอบประโลมด้วยการตบเบา ๆ ใบหน้าขาวผงกขึ้นหันมอง เผยให้เห็นสภาพของอัจฉริยะหน้าตายที่เลอะเปรอะเปื้อนไปด้วยน้ำตาของลูกผู้ชายปลายจมูกโด่งคมสันที่แดงอมชมพูนั่นดูไร้เดียงสาราวกับเด็กน้อย ชวนให้มือของเธอรั้งตัวเขาเข้ามา ร่างของเขาเสียหลักลงในอ้อมกอดอุ่นของเธอช่วงเวลานี้เธอจะไม่ผลักไสเขา ขอให้เธอเป็นฝ่ายโอบกอดปลอบใจเขาสักครั้ง แม้ว่ามันอาจจะเป็นครั้งเดียวก็ตามดวงตาแดงของแม็กนัสเบิกกว้าง ยามที่กระพริบน้ำใสก็ไหลรินหยดลงอย่างไม่ขาดสาย เขาตอบรับโดยการโอบกอดแผ่นหลังเล็กแล้วกระชับกอดแน่น ดารินธิราลูบแผ่นหลังของเขาขึ้นลงไปมาดุจดั่งมารดาผู้ปลอบโยนบุตรชาย เพราะผู้ชายคนนี้ขาดความรักความอบอุ่นจากครอบครัว เขาจึงเป็นเช่นนี้ ปากร้ายใจดี แต่บางทีก็ตรงแรงแต่จริงใจ และบางครั้งก็เถรตรงจนคนฟังรับไม่ไหวคงมีแต่เธอเพียงเท่านั้นที่รับทุกการกระทำและคำพูดของเขาได้เสมอ ชายหนุ่มยอมผละออกจากอ้อมกอดของร่างบอบบาง จังหวะที่เขาเตรียมจะลุกขึ้นเธอก็รั้งข้อมือของเขาเข้ามา แล้ว
ดารินธิราเดินชมบรรยากาศยามค่ำคืนของ Pier 39 ท่าเรือจำนวนมากที่จอดเทียบท่าส่องแสงสีส้มสว่างไสวยามค่ำคืนชวนให้นึกถึงกลิ่นอายของความวินเทจเก่า ๆ ที่คละคลุ้งอยู่รอบท่าเรือคลาสสิคแห่งนี้ แต่การบันทึกภาพเพื่อเป็นไอเดียก็ต้องจบลง พลันใดเมื่อหยาดฝนเทกระหน่ำลงมา พร้อมกับลมกระโชกที่พัดโบกขึ้นมาจากอ่าวซานฟรานซิสโก ทำให้เรือลำใหญ่น้อยทั้งหลายโคลงเคลงตามคลื่นที่ยกตัวขึ้นมากระทบฝั่งเม็ดฝนที่โปรยปรายลงมาเทสาดบงพื้นทางเดินบดบังทัศนียภาพตรงหน้าให้พร่ามัว ผู้คนและนักท่องเที่ยวที่เดินออกมาชมวิวทิวทัศน์แห่กันวิ่งหลบฝนจ้าละหวั่น รวมทั้งเธอด้วย ทันใดเสียงคำรามก็ดังกึกก้อง ไฟฟ้าบริเวณนี้ดับพรึ่บมืดสนิท จึงแทบมองอะไรไม่เห็นและเพราะความรีบร้อนของหญิงสาวทำให้โทรศัพท์ในมือกระเด็นหลุดจากกระเป๋ากางเกงยีนส์ดารินธิราจึงก้มลงควานหาจนทั่วแต่พอหยิบขึ้นมา แขนเสื้อกลับคล้องเกี่ยวกับร่องไม้ทางเดิน ติดแน่นจนตึงแขนไปหมด พยายามดึงเท่าไหร่ก็ดึงไม่ออกตอนนี้เธอทั้งหนาวทั้งสั่น ปากและฟันกระทบกันเสียงดังจนแทบบรรเลงเป็นเพลง ดวงตาสลดหลี่มองหาความช่วยเหลือ และสะดุดเข้ากับแหวนที่ผู้ชายเย็นชาคนนั้นมอบให้ จึงลองกดแหวนหัวลูกปัดดู
ฮัลค์ บอดี้การ์ดอาสาให้เจ้านายทั่วราชอาณาจักรขับรถมาส่งเดมี่ที่โรงแรม หญิงสาวหอบหิ้วถุงเสื้อผ้ามากมายเข้ามาแล้วกองลงตรงหน้าของกุ๊กไก่อยู่ตรงหน้าของหญิงสาว เลขาสาวเหลือบตาดูสภาพของเดมี่ที่ดูอิดโรยอยู่ในเสื้อเชิ้ตสีดำผู้ชายเพียงตัวเดียวเธอก็เผลอคิดจินตนาการไปไกลว่าบอสสาวกับแม็กนัสไปถึงแดนสวรรค์ชั้นเจ็ดเรียบร้อย"พี่กับคุณแม็ก คงไม่ได้แบบว่า" เธอพูดพลางบิดตัวไปมาแล้วทำท่านิ้วชี้ชนกันให้เจ้านายสาวดู "ไม่มีอะไรทั้งนั้นแหละ คุณแม็กนัสของเธอแค่ผ่านไปเจอพี่ตอนกำลังพายุฝนเมื่อคืนก็เลยพากลับมาพักที่โรงแรม""งั้นเหรอคะ อ้อ...แล้วพี่จะไปร่วมพิธีเปิดงานนิทรรศการวันนี้มั้ยคะ ชุดสวย ๆ ของพี่ที่เตรียมไว้ฉันก็เอามาเผื่อด้วยค่ะ" "พี่ต้องไปสิ ถ้าพี่ไม่ไปก็ไม่รู้ว่าพวกเธอจะโดนฟีโอน่าเล่นงานอะไรอีก"งานเปิดตัวนิทรรศการมองสื่อผ่านศิลปะที่ฟอร์ท เมสัน เซ็นเตอร์เปิดตัวอย่างสวยงาม ภายในงานหนับหนาฝาคั่งไปด้วยแขกเหรื่อพันธมิตรและศิลปินที่เป็นส่วนหนึ่งของการจัดแสดงผลงานร่วมกันจำนวนมาก ดารินธิรายืนไหว้และส่งยิ้มให้กับช่างภาพและสื่อหลายสำนัก พร้อมกับโพสท่าถ่ายรูปร่วมกับเหล่าแฟนคลับที่ชื่นชอบศิลปินสาวคนนี้ขณะที
"คุณกำลังจะไปไหนหรือเปล่า" เดมี่ตัดสินใจถามออกไปตรง ๆ"เอ้า....ฉลาดขึ้นมาหน่อยแล้วนิคุณ""อย่ากวนบาทาได้มั้ยคะ ตอบมาเฉย ๆ ยากนักหรือไง""ตอบคำถามคุณเนี่ยยากที่สุดในโลกเลยล่ะ ความจริงก็ไม่ได้มีอะไร อีกสองวันผมแค่จะไปโจฮัสเนสเบิรก์" "แล้วไปนานแค่ไหนคะ ไอ้ที่ฉันถามก็เพราะ... เพราะว่าจะได้สบายใจ ยิ่งคุณไปนาน ๆได้ยิ่งดี""ผมยังไม่มีกำหนดกลับ ไงล่ะนานสมใจคุณดีมั้ย"หัวใจของดารินธิราเหมือนหล่นวูบหาย ราวกับว่าออกซิเจนบนโลกใบนี้ไม่มีเหลือให้เธอหายใจอีกเหตุผลสำคัญอะไรกันที่เขาต้องไปแบบไม่มีกำหนดเดินทางกลับ แล้วความรู้สึกที่เขายัดเยียดให้เธอล่ะ เขาไม่คิดจะรับผิดชอบบ้างเลยใช่มั้ยความจริงแล้วในใจของอัจฉริยะอย่างเขาที่เอาแต่คิดแต่นวัตกรรมใหม่ ๆ เพื่อผดุงความยุติธรรมให้โลก มันมีความรู้สึก 'ผูกพัน' กับผู้หญิงธรรมดาอย่างเธออยู่บ้างไหม ชายหนุ่มผมสีเงินเห็นว่าเธอนิ่งเงียบไร้การถกเถียงต่อปากต่อคำกับเขาก็อดเป็นห่วงความรู้สึกของเธอไม่ได้ แต่เธอจะรู้สึกอะไรกับคนที่ทำเรื่องเลวร้ายกระทบกระเทือนจิตใจเธอสารพัดภายในใจของดารินธิราคงกำลังกระโดดโลดเต้นอยู่เสียมากกว่าที่รู้ว่าผู้ชายน่ารำคาญอย่างเขากำลังจะจากไป
ดารินธิรานอนคว่ำเหยียดยาวอยู่บนเตียงนอนและอยู่ในชุดนอนเสื้อยืดสีขาวตัวใหญ่ที่ยาวคลุมถึงเพียงแค่ช่วงสะโพกกลมกลึง ท่อนล่างใส่ซับในแบบกางเกงเพื่อปกปิดเรียวขาเปล่งปลั่งไม่ให้ดูน่าเกลียด หลังจากที่ชำระล้างร่างกายจนสดชื่นดีแล้ว เพียงแค่หยิบสมุดโน็ตในกระเป๋าออกมาเขียนจดไอเดียอยู่ไม่ถึงยี่สิบนาทีความง่วงก็เข้ามาทำหน้าที่สั่งการให้ร่างกายได้พักผ่อนเดี๋ยวนั้นขณะที่ปาตาโกไททัน มาโยรัม นอนหลับเงียบอยู่บนฟูกของมันโดยไม่รบกวนทาสสาวแต่อย่างใด ก๊อก! ก๊อก! เสียงเคาะประตูเรียกดังถึงสองครั้งแต่เจ้าของห้องนอนก็ยังคงหลับเงียบฝันลึกจนคนด้านนอกต้องเป็นฝ่ายเปิดประตูเข้ามาแทน และเห็นว่าหญิงสาวหลับสนิทอยู่บนเตียงนอนด้วยสภาพใบหน้านอนทับอยู่กับสมุดโน๊ดมือข้างหนึ่งยังคงกำดินสอ ชายหนุ่มยกกระเป๋าเดินทางและสัมภาระที่เขาไปขนมาจากโรงแรมซึ่งทีมงานของดารินธิราพักระหว่างงานนิทรรศการที่ ฟอร์ทเมสัน เซ็นเตอร์ เขานึก ๆ แล้วก็รู้สึกตลกกับพฤติกรรมของตนเองอยู่เหมือนกัน เพราะเขาหอบหิ้วดารินธิราไป ๆ มา ๆ ทำให้เธอไม่ได้มีโอกาสนอนพักที่โรงแรมกับทีมงานของตัวเองเลยสักครั้ง ป่านนี้เธอคงคิดในใจอยู่ว่าเขาเป็นคนมักง่ายเห็นแก่ตัว
ใบหน้าที่เลอะเทอะคราบน้ำตาสะอื้นเสียงดังแข่งกับเสียงฟ้าร้องคำรามด้านนอกตัวบ้าน เป็นจังหวะเดียวกับที่กุ๊กไก่โทรเข้ามาหา เธอพยายามหยุดร้องไห้และกดรับโทรศัพท์ของเลขา"จ้ะ ว่าไงกุ๊กไก่""พี่คะ คุณแม็กโอเคไหมคะ""ทำไมคนพรรค์นั้นต้องไม่โอเคด้วยล่ะ""นี่คุณแม็กยังไม่ได้บอกพี่เหรอคะ เฮ้อ!...พ่อพระจริง ๆ ชอบปิดทองหลังพระตลอด""เธอพูดอะไรพี่ไม่เห็นเข้าใจ""ก็คุณแม็กกับมือขวาร่างยักษ์มาหาฉันที่โรงแรม บอกว่าจะมาเอาสัมภาระของพี่ แต่อยู่ดี ๆ ยัยปีศาจฟีโอน่า ก็โผล่พรวดมากับคุณเบลค อาเวนชี่เฉยเลย""เธอหมายถึงพ่อของเขาน่ะเหรอ""ใช่ค่ะ แถมคนของพ่อเขายังจับคุณแม็กลากไปแบบถูลู่ถูกัง พาเข้าไปห้อง ๆ หนึ่งในโรงแรม ฉันเห็นว่าเขาหายเงียบไป กลัวจะเกิดเรื่องไม่ดี ก็เลยโทรตามคุณฮัลค์ที่บอกว่าจะแวะไปซื้ออาหารแมว หลังจากที่คุณฮัลค์มาถึงก็รีบเข้าไปเจรจาพาตัวคุณแม็กออกมา แต่ฉันก็ยืนดูอยู่พักใหญ่กว่าพวกเขาจะกลับออกมา แถมสีหน้าคุณแม็กก็ดูไม่ค่อยดี" "ตกลงเธอรู้หรือเปล่าว่าเกิดอะไรขึ้น" "ตอนแรกก็ไม่รู้หรอกค่ะ คุณแม็กไม่ยอมเล่า แต่มันคันปาก ตะกี้ก็เลยโทรหาคุณฮัลค์เพื่อถามตรง ๆ คุณฮัลค์บอกว่าก่อนวันที่คุณแม็กจะมาฟอร์ทเม
สมองของคนฟังเบลอไปชั่วขณะ เมื่อได้ยินประโยคที่เสียงหวานเอ่ยถามขึ้นอย่างชัดเจนเต็มสองหูสายฟ้าที่ฟาดลงมาดังเปรี้ยงปร้างก็ไม่อาจดับความตื่นเต้นแปลกใหม่ที่ก่อตัวขึ้นในใจ ฮัลค์ทำตาลุกวาวมองเจ้านายหนุ่มพร้อมกับเกาหัวแกรก ๆ แก้อาการเขิน"ทำไมคุณเดมี่ต้องขออนุญาตผมด้วยล่ะครับ ก็ขอกับคุณแม็กเองเลยสิครับ เอ่อ...คุณแม็กครับผมขอตัวก่อนนะครับ" มือขวาคนสนิทเดินสับขาเข้าห้องนอนชั้นล่างของตนเองในพริบตาเดียว เพราะตอนนี้ไม่ใช่เรื่องที่เขาจะยื่นมือเข้ามายุ่งเกี่ยวได้ที่เหลือคงต้องให้เจ้านายหนุ่มของเขาตัดสินใจเอาเองฝ่ามือของดารินธิรายังคงยื่นค้างรอให้เขาจับ แต่ชายหนุ่มก็ยังคงหยิ่งยโส ทำเมินเฉยกับสิ่งที่เธอถาม"จะนั่งตัวเปียกอยู่ตรงนี้ไปยันเช้าเลยเหรอคะ" "คุณพูดอะไรออกมารู้ตัวไหม"หญิงสาวถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก้มลงรวบใบหน้าขาวมึนตึงของเขามากอบกุมแล้วบดจูบลงไปยังเรียวปากซีดเซียวนั่นดวงตาของคนโดนปล้นจูบถึงกับลุกวาวตื่นตะลึง กระทั่งปากอิ่มละออก กระซิบบอกข้าง ๆ กกหูร้อนผ่าวของเขา"ขอบคุณสำหรับทุกเรื่องที่คุณทำให้ฉัน หลินเย่ซี"ยิ้มกว้างสดใสและลุกเดินจากเขามาด้วยความรู้สึกกระดากอาย จังหวะที่มือน้อย ๆ กำลังผลั
เดมี่ได้ยินพวกคิสท์ โอซัลลิแวนคุยกันเรื่องแผนที่ และแผนฆ่าสามีของเธอ ซึ่งความจริงเรื่องแผนที่นั้นไม่ใช่เรื่องสำคัญอีกต่อไปพราะทุกๆ เส้นทางแทบจะปรากฏเด่นชัดอยู่ในรอยหยักสมองเรียบร้อยแล้ว เรื่องสำคัญกว่าที่เธอต้องกังวลคือจะปกป้องสามียังไงดีในสถานการณ์ที่คับขันเช่นนี้ผู้หญิงอย่างเธออาจจะไม่ได้ดีพร้อมและเก่งไปหมดทุกเรื่อง แต่บางเรื่องก็จำเป็นแม้จะไม่เก่งและพร้อมก็ตาม ก่อนที่จะตัดสินใจว่าจะขอเป็นเบี้ยตัวหนึ่งที่จะดึงความสนใจของศัตรูสามีมาเป็นเธอแทน เธอไม่ลังเลเลย แต่เลือกด้วยความเด็ดขาด ในชีวิตนี้เธอเคยสูญเสียพ่อไป และก็เคยเสียศูนย์จากการไร้พ่อมานานหลายปี รวมทั้งเสียเวลากับการไม่เข้าใจความเจ็บปวดของคนที่เธอรัก และกว่าจะเข้าใจความรู้สึกของกันและกัน ก็ต้องผ่านร้อนผ่านหนาวมานับไม่ถ้วน วินาทีที่เธอก้าวมายังจุดที่อันตรายสุดขีดแล้ว จะถอยหลังกลับไปยังจุดเริ่มต้นก็คงจะป่วยการเสียแล้ว ถ้าแม็กนัสจะโกรธเธอเพราะความบุ่มบ่ามใจร้อนและเข้ามายุ่งกับงานของเขา เธอก็จะยอมรับ เพียงแต่ว่าขอให้เธอมีโอกาสช่วยเขาบ้างก็พอ ในห้องพักหรูวีไอพีชั้นสุดของโรงแรมซึ่งห้องของเดมี่อยู่ห่างกับห้องที่แม็กนัสอยู่เพียงสองห้อ
ฮัลค์ผู้ที่กุมความลับทุกอย่างไว้รีบวิ่งตามภรรยาของเจ้านายไปด้วยความเป็นกังวล เพราะเขากลัวว่ามันจะกลายเป็นเรื่องราวบานปลายใหญ่โต ทางที่ดีเปิดเผยความจริงกับเธอก่อนดีกว่า แล้วอย่างอื่นค่อยว่ากันอีกที“พาฉันไปร้านอาหารของแม่หน่อยได้ไหมคะ?”“คือว่า....ก่อนที่คุณเดมี่จะไป ผมขอให้คุณเดมี่ไปที่ๆ หนึ่งด้วยกันก่อนได้ไหมครับ”หญิงสาวรีบเช็ดน้ำหูน้ำตาที่เลอะเปื้อนเต็มดวงหน้า แล้วพยักหน้ารับเกือบสี่สิบนาทีบอดี้การ์ดหนุ่มจึงได้พาดารินธิรามาส่งที่บ้านทรงเอเฟรมของเธอ ดารินธิราหันไปมองหน้าเขาอย่างสับสนงุนงง“รีบเข้าบ้านก่อนเถอะครับ เพราะผมไม่รู้ว่ามีหูตาสัปปะรดที่ไหนคอยมองดูพวกเราอยู่หรือเปล่า”“ทำไมล่ะคะ?”เอ่ยถามพลางรีบร้อนลงจากรถก่อนจะยืนมองบ้านของตัวเองที่ไม่ได้กลับมาพักใหญ่ หญิงสาวหากุญแจบ้านที่ซ่อนไว้ใต้กระถางต้นไม้แล้วไขกุญแจ ทว่าไขเท่าไหร่ก็ไขไม่เข้า“เอ้…..หรือมันจะเสียแล้ว”“มันไม่ได้เสียหรอกครับ”ชายหนุ่มตัวโตยิ้มแล้วหยิบเอากุญแจอีกดอกที่อยู่ใต้กระถางต้นดอกคาเมเลียหน้าบ้านของดารินธิราออกมา แล้วหันซ้ายหันขวาดูท่าทีก่อนจะรีบไขเข้าไปในตัวบ้าน เขาก็ปลดปล่อยทุกสิ่งทุกอย่างออกมาหลังจากที่สับคัทเอ
มือที่จับปากกาสไตลัสอยู่นั้นค้างนิ่งกลางอากาศ ใบหน้าเงยขึ้นมองมายังต้นเสียงที่ขัดจังหวะศิลป์ของเธอ ดวงตากลมโตเหล่มองใบหน้าของฮัลค์อย่างคนมีคำถาม"คุณ?""พ่อสิ คุณอะไรเล่า?""อ่อ..ค่ะคุณพ่อ แล้วลมอะไรหอบคุณพ่อมาถึงที่นี่""ก็เธอเป็นลูกสะใภ้ตระกูลอาเวนชี่แล้วไม่ใช่รึไง""ค่ะ....แล้วมีธุระอะไรกับฉัน หรือว่ามาหาคุณแม็กคะ""ไอ้ลูกบ้านั่นฉันไปหามันเรียบร้อยแล้วล่ะ เพราะแบบนี้ไงถึงได้มาหาเธอ""เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่าคะ?"เบลค อาเวนชี่ ย่อตัวนั่งลงบนโซฟาตัวยาวอย่างเหนื่อยหน่ายใจต่างกับคนเดิมที่เคยเกรี้ยวกราดใส่เธอ"แม็กนัสได้รู้ความจริงเรื่องแม่ของเขา ความจริงที่ฉันปิดบังมาตลอดหลายสิบกว่าปีมานี้ ที่ว่า.....แม่ของเขาเป็นอาชญากรที่ถูกทางการจีนหมายหัว และฉันเองเป็นคนที่ถูกส่งมาให้จัดการเธอ แต่แล้วฉันก็ไม่อาจทำเรื่องแบบนั้นได้ เพราะ.....""คุณรักเธอ" ดารินธิราต่อประโยคที่ขาดช่วงไปอย่างนุ่มนวล "ใช่....ฉันรักแม่ของเขามาก จนยอมเป็นคนเลว แต่ฉันไม่อยากให้เจ้าแม็กคิดว่าฉันกับแม่ของเขาให้กำเนิดเขาเพราะเหตุผลอื่น ที่ฉันแต่งงานกับแม่ของเขาเพราะความรักจากใจจริง ไม่ใช่เพราะภารกิจลับจากองค์กรไหนทั้งนั้น ฉันแ
เสียงของเธอถูกคงส่งไปไม่ถึงเขา เพราะโทรศัพท์ถูกตัดสายทิ้งซะก่อน และเขาก็ยังคงไม่รู้ว่าเธอโทรมา แล้วผู้หญิงที่อยู่ปลายสายนี้ล่ะ เธอเป็นใครกันแน่ ทำไมสามีของเธอถึงยอมให้หล่อนมาอยู่ด้วยจนมืดค่ำขนาดนี้ ใช่ว่าเธอจะเป็นคนขี้หึงหรอกนะ แต่นี่มันมากเกินไป อยู่ดีๆ นึกจะไปก็ไปไม่บอกไม่กล่าวเมียอย่างเธอเลยสักนิด ต้องให้คนอื่นมาบอก แถมโทรมาหาสักหน่อยก็ไม่มี เอาสิ! นังจิ้งจอกคนนั้นเป็นใครเธอไม่สนหรอก แต่หากคิดจะใช้โอกาสนี้รวบหัวรวบหางสามีของเธอ คงไม่ง่ายนักหรอก ดารินธิราเดินทางมาถึงสถาบันบีเดอะไลท์ตั้งแต่ยามเพิ่งจะเดินทามาถึง แม้สถาบันของเธอจะกลับมาอยู่ในสภาพใหม่ที่ดีและสวยงามกว่าเดิมหลายเท่าเพราะฝีมือของแม็กนัส แต่นั่นกลับไม่ไช่เหตุผลที่ทำให้เธอรีบร้อนมาทำงานเพื่อมาชื่นชมตึกใหม่ แต่เป็นเพราะบทสนทนาเมื่อคืนต่างหากที่ทำให้เธอใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว"อโลฮ่า! พี่เดมี่ วันนี้เราได้งานนออกาไนซ์จัดศิลปะการแสดงประจำปี, จัดนิทรรศการ ได้เป็นเจ้าภาพจัดงาน อ้อแถมมีงานเทียบเชิญขอให้พี่เดมี่ไปโชว์เต้นเปิดตัวให้กับองค์กรการกุศลด้วยนะคะ กุ๊กไก่ดีใจมากค่ะ ไม่น่าเชื่อเลยว่าคุณโมนาจะมีอิทธิพลขนาดนี้""ที่ไหน เมื
Count your age by friends, not years. Count your life by smiles, not tears.นับอายุของคุณด้วยจำนวนเพื่อน และนับชีวิตของคุณด้วยรอยยิ้มไม่ใช่หยดน้ำตา-John Lennon-ดวงตากลมโตฉายแววซุกซนไล่มองใบหน้าขาวเนียนดุจผิวทารกเพศชาย แม้ตอนนี้นาฬิกาบนผนังห้องจะบอกเวลาแค่ตีสามครึ่งเท่านั้น แต่แสงกระทบของพระจันทร์ที่ส่องสว่างเข้ามาในห้องนี้ กลับทำให้รู้สึกว่าเช้าวันใหม่ได้เดินทางมาถึงแล้วและเป็นวันแห่งการเริ่มต้นใหม่ของเธอกับเขา หลินเย่ซี สามีดีกรีมหาเศรษฐีที่จับผลัดจับพลูไปเป็นสายลับ ทำให้เธอต้องมาพัวพันกับเรื่องล่าอารยธรรมสุดขอบโลกกับเขาไปด้วยโดยไม่คาดคิด "เดมี่..........."เขาปรือตาขึ้นแล้วพลิกตัวตะแคงข้างสบตามาที่เจ้าของรอยยิ้มละมุนที่นั่งพับเพียบเรียบร้อยมองดูเขาอยู่อย่างเงียบๆ "ฉันปลุกคุณตื่นหรือเปล่าคะ?""เปล่าครับ แต่ตอนนี้.....ก็คล้ายว่าจะตาสว่างมากกกกก" เขาพูดจบก็เอาสองมือปิดตาตัวเอง หญิงสาวหลุบต่ำมองดูสภาพตัวเองที่อยู่ในชุดเสื้อยืดสีขาวตัวบางของเขาในสภาพไร้บรา คงไม่ต้องเดาแล้วล่ะว่า เขาปิดตาทำไม โมนายัยเบ๊อะเอ้ย! เดี๋ยวเขาก็หาว่าเธอจงใจอ่อยตั้งแต่ฟ้ายังไม่สางความอายแทบพลิกแผ่นดินทำให
เขาคิดว่าจะดึงแม่แมวน้อยเดมี่จอมยั่วเข้ามาบดจูบ แต่ทว่ากลับโดนอุ้งมือน้อยๆ ตะปปโน้มลำคอลงไปซะดื้อๆยามที่ริมฝีปากอวบอิ่มเคลือบลิปกลอสกลิ่นพีชอ่อนๆจรดกลีบปากของเขาเรียวปากหยักก็ตอบสนองอย่างรุนแรง บดคลึงเรียวปากนุ่มประดุจสูบพลังงานชีวิตทั้งหมดจากเรือนร่างงามนี้ มือหนาป่ายแปะลงบนสะโพกออกแรงยกขึ้นวางร่างบางลงบนโต๊ะที่วางตะกร้าผลไม้ปลอมที่ใช้ประดับตกแต่งห้อง จนแอปเปิ้ลผลปลอมกลิ้งตกลงพื้นระเกะระกะไปทั่วปลุกเรียกสติของดารินธิราที่อยู่ในวังวนแห่งความหวาบหวามนี้ให้ตื่นขึ้น ผลักเขาออกไปแรงๆ หายใจเข้าออกอย่างคนที่ขาดอากาศบริสุทธิ์"แอปเปิ้ล.....""ช่างแอปเปิ้ลเถอะครับ...."เขาบอกแล้วปล้นแกะกระดุมเสื้อตัวเองจนหมดเกลี้ยง แต่ได้นิ้วมือนุ่มของหญิงสาวช่วยแหวกสาบเสื้อสีขาวออกไม่นานชุดนอนซาตินสีดำตัวกะจ้อยร่อยก็ค่อย ๆ ถูกนิ้วเรียวยาวที่สักคำว่า 'เสี่ยว' เป็นภาษาจีนและมีความหมายชื่อเดียวกับเธอ นิ้วเรียวบรรจงเกี่ยวออกไปช้าๆ จนไม่เหลือสิ่งใดห้อหุ้มร่างแมวน้อยเดมี่ของเขาไว้อีกต่อไปฝ่ามือของหญิงสาวรีบตะปปกอดก่ายตนเองไว้เพร
โรงพยาบาล"ฮัดชิ้ว!"เสียงจามของหญิงสาวทำให้ใบหน้าคมขาวตวัดมองด้วยความตกใจและดีใจในเวลาเดียวกัน"เดมี่.....นี่คุณฟื้นแล้ว"ชายหนุ่มพรวดพราดเข้ามาประคองดวงหน้าสดใสด้วยความดีใจ แล้วประทับริมฝีปากสีแดงฉ่ำลงบนหน้าผากมนด้วยความคิดถึงขนาดหนัก"สบายดีหรือเปล่าคะ"เสียงแหบแห้งเอ่ยถามขึ้น แล้วฉีกยิ้มสดใสให้เขาเหมือนอย่างทุกครั้ง"ผมจะสบายดีได้ยังไง หืม ก็คุณเอาแต่หลับ ผมเหงานะรู้ไหม""ฉันเป็นของเล่นของคุณหรือไงคะ""คุณเป็นทุกอย่างของผมเดมี่"เขาบอกแล้วดึงเธอขึ้นมากอดบรรจงหอมแก้มซ้ำแล้วซ้ำอีกไม่รู้จักเบื่อณ รีสอร์ทหรูอันเงียบสงบในบิ๊กเซอร์ แคลิฟอร์เนีย บ้านพักที่ชายหนุ่มเลือกให้เธอมาพักฟื้นนั้นสวยราวกับภาพวาด เพราะตัวบ้านสไตล์โมเดริน์ที่ยื่นออกไปเห็นทิวทัศน์ของมหาสมุทรของแปซิฟิกแต่ตอนที่เธอเดินยืนอยู่บนลานชมวิวของรีสอร์ทสวยแห่งนี้ ก็สังเกตุเห็นผู้หญิงใส่หมวกสีเหลืองใบใหญ่กับคุณป้าคนหนึ่งที่ดูคล้ายกับยัยกุ๊กไก่และแม่ของเธอผลุบหายเข้าไปในบ้านพักอีกหลัง
"อยู่เฉยๆในนี้ จะได้ไม่ต้องตายอย่างทรมาน"หัวหน้าแม่บ้านตวาดเสียงดัง แล้วผลักตัวของเจ้าของสถาบันเข้าข้างในห้องอัดเสียง โดโรธีเดินไปเอาวัตถุไวไฟทั้งหลายในห้องทำความสะอาดออกมา รีบร้อนเปิดแกลลอนแล้วราดเทจนทั่วพื้น"กลิ่นน้ำมัน......ไม่นะคะ คุณอย่าทำแบบนี้เลยขอร้อง สถาบันแห่งนี้ฉันสร้างมากับมือ คุณอย่าทำลายมันทิ้งเลยนะคะ ฉันขอร้องล่ะ ได้โปรด"ดารินธิราตะโกนด้วยน้ำเสียงอ้อนวอน และมองลอดออกมาจากช่องกระจกของห้องสตูดิโอด้วยใบขอความเมตตาป้าง! ป้าง!กระสุนสองนัดถูกยิงลงที่พื้นหน้าห้องสตูดิโอด้วยความรำคาญ หญิงสาวแน่นิ่งและเงียบไปอัตโนมัติกระทั่งไม้ขีดไฟถูกโยนลงบนคราบน้ำมันไหลเยิ้ม ไฟสีส้มก็ลุกโชนขึ้นในพริบตาเดียว หยาดน้ำตาของเธอมันก็พรั่งพรูออกมาราวกับเขื่อนแตกเรื่องแรกที่ทำให้เธอเสียใจคือเรื่องของแม็กนัส อาเวนชี่ ส่วนเรื่องที่สองก็คงเป็นสถาบันแห่งนี้ สถาบันที่ของเธอกำลังพังพินาศลงในค่ำคืนเดียวและวันนี้เธอคงจะตายอยู่ในกองเพลิงอย่างเดียวดาย แต่อย่างน้อยก็จะได้ตายไปพร้อมกับสิ่งที่เธอสร้างมากับมือคิดดูแล้วทำไมเธอต้องยอมแล
ดารินธิราอยู่เป็นเพื่อนคนรักที่คฤหาสน์อาเวนชี่จนฟ้าเริ่มมืด ชายหนุ่มยังคงนั่งจิ้มโน้ตบุ็ตอยู่หลายชั่วโมงราวกับว่ากำลังแฮคหาข้อมูลลับบางอย่างครู่หนึ่งเธอเห็นเขาทำหน้าช็อคราวกับได้ข้อมูลที่ว่า แล้วลุกพรวดเดินไปเปิดขวดวิสกี้รินใส่แก้ว กระดกใส่คอพรวด ๆ อย่างเอาเป็นเอาตายแต่พอเห็นเขาเตรียมรินวิสกี้แก้วที่สามก็รู้สึกว่าคงต้องลุกไปห้าม ก่อนจะน็อคไม่ได้สติไปอีก"พอแล้วค่ะ"ดวงตาขุ่นเขียวแย่งแก้วมาจากมือของอีกฝ่าย"ผมจะกินอีก""ถ้าคุณจะกิน กินฉันแทนได้ไหมล่ะ"เขาตวัดสายตามองอย่างไม่อยากเชื่อที่แม่แมวน้อยจะเสนอด้วยประโยคซาบซ่านใจทว่าตอนนี้เขามึนจนแทบจะยืนไม่อยู่ จะให้ทำอะไร ๆ ที่ร้อนรุ่มเวลานี้กับเธอก็เกรงว่าจะไม่ถึงพริกถึงขิงนัก"ผมปวดหัวไปหมด""มา...ฉันจะพยุงคุณไปนอน"เรียวแขนบางพยุงร่างสูงโปร่งที่เดินตุปั๊ดตุเป๊ พอขายาวแตะขอบตียงได้ไม่ทันไร ใบหน้าแดงจัดก็ปักคว่ำกับหมอนใบโตทันที แล้วก็หลับไม่รู้เรื่อง"โถป๋าของมี่....คออ่อนซะจริงเชียว"รุ่งเช้าเจ้าของ