ตอนแรกสุด รถม้าก็ขับได้มั่นคงดี แต่ค่อนข้างช้าเฉินซานกลัวมือกลัวเท้าไปหมด ยังผวาฟู่จาวหนิงอยู่อีก กลัวว่าถ้าไม่ระวังจะเอียงจนไปยั่วโมโหนางเข้าคิดไม่ถึงเลย ว่าฟู่จาวหนิงจะเป็นคุณหนูของเจ้าบ้านที่พ่อแม่ของเขาเคยทำงานอยู่!ตอนนั้นพวกเขาไม่ได้ถูกขายขาด ตอนที่ตระกูลฟู่ปล่อยคนออกมา ผู้เฒ่าฟู่ก็ให้อิสระแก่พวกเขา ตอนนั้นเขาเหมือนจะเพิ่งสองสามขวบเพียงแต่ต่อมาบิดาของเขาก็ตายไป มารดาของเขาร่างกายก็แย่ลงทุกวัน เขาจึงไม่สนใจไปศึกษาเล่าเรียนหาความสามารถ แต่ไปตะวันออกก็ทำงาน มาตะวันตก็หางานทำ หลังจากมาพบกับพวกเฮ่าจื่อก็ยิ่งแย่หนักลงไปอีกก่อนหน้านี้ฟู่จาวหนิงให้เขาขับรถม้ากลับจวนฟู่ รับป้าจงไปบ้านของเขา ป้าจงพอเจอกับมารดาของนาง พี่น้องสองสาวก็จำกันได้ขึ้นมากอดกันกลมร้องห่มร้องไห้ฟู่จาวหนิงคอยสังเกตเฉินซานอยู่ตลอด หลังจากนั้นก็ถามเขาว่าจะขายตัวเข้ามาในจวนตระกูลฟู่ไหมเฉินซานช่วงนี้เพื่อจะซื้อยามารักษาแม่ของเขาก็ติดคนคนอื่นไปไม่น้อย เกือบจะไร้ซึ่งหนทางแล้ว พอนางถาม เขาก็ไม่ลังเลเลย รีบร้อนพยักหน้าตอบรับทันทีหลังจากลงชื่อสัญญาขายตัว เขาก็กลายมาเป็นคนขับรถของฟู่จาวหนิงฟู่จาวหนิงยังฝังเข็
ผู้ตรวจการอันอายุสามสิบกว่าใบหน้าหล่อเหลาสูงโปร่ง เพียงแต่เต็มไปด้วยเศร้าหมองผู้ตรวจการอันครั้งนั้นคือเพื่อนเรียนของอ๋องเจวี้ยน นั่นเป็นตอนช่วงที่อ๋องเจวี้ยนเพิ่งอายุไม่กี่ขวบ ที่บอกว่าเพื่อเรียน อันที่จริงก็เป็นคนที่จักรพรรดิองค์ที่แล้วส่งเข้ามาดูแลอ๋องเจวี้ยนนั่นเองแต่หลังจากที่อ๋องเจวี้ยนไปยังยอดเขาโยวชิงก็ไม่ได้พบอีกเลย ไม่ได้ไปมาหาสู่ครั้งนั้นที่เล่าเรียนด้วยกันก็ขึ้นดำรงตำแหน่งผู้ตรวจการ"อันเหนียนคารวะอ๋องเจวี้ยน" อันเหนียนพอเห็นอ๋องเจวี้ยนก็ทำการคารวะอย่างเป็นการเป็นงานเขาเองก็พิจารณาอ๋องเจวี้ยนผาดหนึ่งก่อนหน้านี้พระโอรสอ่อนแอมาก ตอนนี้ก็เติบโตสูงใหญ่ขึ้นมา ท่วงท่าดูเหนือล้ำ"ไม่ต้องมากพิธี"อ๋องเจวี้ยนส่งสัญญาณให้เขานั่งลง รอจนคนรับใช้นำน้ำชาเข้ามา "ดื่มชาก่อน"อันเหนียนยกชาขึ้นจิบ ตอนที่วางลงก็เอ่ยขึ้นว่า"อ๋องเจวีย้น ข้ารู้ว่าที่บุกมาหาท่านเป็นการรบกวนท่านและไม่เหมาะสม แต่ว่า..."ถ้าเขามีวิธี ก็คงไม่แบกหน้ามาหาอ๋องเจวี้ยนแล้ว"พูดเถอะ มีเรื่องอะไร"อ๋องเจวี้ยนไม่ได้เขากังวลมากเกินไป ถามขึ้นมาตรงๆ"ข้ามีน้องสาวคนหนึ่ง อายุน้อยกว่าข้าสิบกว่าปี ปีนี้เพิ่งอายุ
"ท่านอ๋อง?"หลังจากทหารถอยออกไป อ๋องเจวี้ยนก็ยังเหม่อไปครู่หนึ่งอันเหนียนเองก็ไม่รู้ว่าเขาได้ยินสิ่งที่ตนเองพูดหรือไม่ จึงเรียกเขาขึ้นมาอีกครั้งอ่องเจวี้ยนได้สติกลับมา มองไปที่เขา"ข้าจำได้มาตลอด ว่าตอนนั้นมีครั้งหนึ่งที่ข้าป่วย ปวดหัว แต่ตอนนั้นราชครูก็ยังมอบงานมา ให้ข้าเขียนบทความบทหนึ่ง"อันเหนียนรู้สึกเกินคาด อ๋องเจวี้ยนยังจำเรื่องในตอนได้หรือ?เพียงแต่ตอนนี้จู่ๆ พูดเรื่องนี้ขึ้นมาทำไมกัน?"ข้าตอนนั้นเดิมทีก็ไม่อยากทำ ถึงอย่างไรก็ป่วยอยู่ จึงพูดกับราชครูไป เขาควรจะเข้าใจ แต่เจ้าตอนนั้นบอกกับข้าว่า การเรียนรู้จะปล่อยวางด้วยอาการป่วยเล็กน้อยไม่ได้ เจ้าบอกว่าร่างกายข้าไม่ดี เดี๋ยวก็ป่วยนั่นนี่ไม่หยุด ถ้าหากทุกครั้งไม่สบายก็ปล่อยให้ตนเองสบาย เช่นนั้นอย่างไรก็ตามคนอื่นเขาไม่ทัน"อ๋องเจวี้ยนยินดีออกมาพบอันเหนียน อันที่จริงก็เพราะเรื่องในอดีต"เจ้าพูดกับข้า เพียงเพราะร่างกายข้าแข็งแกร่งสู้คนอื่นไม่ได้ เจ้าก็ห้ามแพ้ต่อสิ่งอื่นอีก"อ่องเจวี้ยนพูดถึงจุดนี้ มองไปยังอันเหนียนอันเหนียนรู้สึกละอายตอนนั้นเขายังเล็กไม่รู้ความ ถ้าเป็นตอนนี้ บางทีเขาก็ไม่แน่ว่าจะสามารถพูดตรงๆ แบบสมัย
อ๋องเจวี้ยนพูดกับชิงอี ชิงอียังตั้งสติกลับมาไม่ทัน"เพื่อผู้ตรวจการอัน ข้าจะไปที่เขาเมฆอรุณสักรอบหนึ่งให้แล้วกัน" อ๋องเจวี้ยนยืนขึ้นมาอันเหนียนตกตะลึง และลุกตามขึ้นมาทันที"ท่านอ๋องจะไปเองเลยหรือ?""อืม ตระกูลอี๋มีคุณงามความดีในการคุ้มกันองค์จักรพรรดิอยู่ ตอนนี้จึงวางก้ามน่าดู คนอื่นคงจะเอาไม่อยู่ ถ้าข้าไม่ไปเอง แล้วจะปกป้องน้องสาวเจ้าได้อย่างไร?""ขอบคุณท่านอ๋อง!"อันเหนียนทั้งตกตะลึงทั้งยินดี คารวะให้กับเขายกใหญ่อ๋องเจวี้ยนออกหน้าให้ ชิงชิงคงรอดแน่รถม้าจวนอ๋องเจวี้ยนเพียงไม่นานก็ทะยานออกจาเมืองหลวงตลอดทาง อ๋องเจวี้ยนนัยงเร่งมาสองรอบว่าให้ไวหน่อย ชิงอีรู้สึกไม่เข้าใจเลยจริงๆ"ท่านอ๋อง เพื่อคุณหนูอัน ก้ไม่จำเป็นต้องเร่งขนาดนี้กระมัง?"หลักๆ คือก่อนหน้านี้ท่านอ๋องเพิ่งจะอาการป่วยกำเริบ ถ้ารีบเร่งเกินไป ร่างกายของเขาไม่รู้ว่าจะทนไหวไหม"คนจากตระกูลอี๋ทำตัวอหังการแค่ไหนเจ้าเองก็ไม่ใช่ว่าไม่รู้ ถ้าช้าไปก้าวหนึ่ง ยังไม่รู้ว่าคุณหนูอันจะเป็นอย่างไร ข้าพูดไปแล้วจะคืนคำไม่ได้"เสียงอ๋องเจวี้ยนสงบนิ่งอย่างมากชิงอีไม่รู้เลยว่าจะพูดอย่างไรดีถ้าบอกว่าโหวซุ่นหยางคนนี้ดวงดี ก่อน
ฟู่จาวหนิงมองออกไปคนพวกนั้นนั่งอยู่บนบันไดสิบกว่าขั้น ท่าทางเกียจคร้าน คนที่นั่งอยู่หลายคนนั้นสวมเสื้อผ้าหรูหรา อายุอานามก็ประมาณสิบห้าสิบหกจนถึงยี่สิบปี ข้างๆ ยังมีคนที่ใส่ชุดของคนรับใช้อยู่ด้วย คนหนึ่งในนี้หิ้วตะกร้าไม้ไผ่เก่าๆ เอาไว้แค่คิดก็รู้ว่าตะกร้าไม้ไผ่นั้นใส่อะไรเอาไว้ไม่ใช่ขี้ม้าที่เอาไว้ขว้างใส่คนหรือไรกันด้านบนขั้นบันไดสิบกว่าขั้นนั้นเป็นประตูภูเขาแห่งหนึ่ง ด้านบนเขียนเอาไว้ว่าเขาเมฆอรุณพอเข้าประตูภูเขาก็ยังเป็นบันไดลดเลี้ยวเคี้ยวคด มองขึ้นไปทิวทัศน์ยอดเยี่ยมมาก ด้านหลังเงาต้นไม้มีกำแพงบัวเรือนอยู่ด้วย"ใครเป็นคนขว้างลงมากัน?"ฟู่จาวหนิงเอ่ยถามขึ้นคุณชายเหล่านั้นพอเห็นหน้านางชัด ดวงตาก็เป็นประกาย"เอ๋? คนที่มาดันเป็นแม่นางภูตวารีหรือ?""นี่ใครกันน่ะ?"มีคุณชายที่แต่งหน้าจัดคนหนึ่งกวักมือให้กับฟู่จาวหนิง เรียกนางขึ้นมาอย่างไม่อยู่กับร่องกับรอย "นี่ น้องสาว มานี่มานี่ มารู้จักกับพี่ชายหน่อยเถอะ"ในสภาพอากาศก่อนหน้าที่จะเปลี่ยนเป็นหนาวเย็น เขาเมฆอรุณมีงานประชันโคลงและแข่งล่าสัตว์ ทุกปีก็จะดึงดูดเอาพวกเหล่าคุณชายที่กำลังวังชาดีเข้ามาทุกครั้งจะมีคนไม่น้อยมาม
แต่มือของเขายังไม่ทันได้แตะฟู่จาวหนิง ระหว่างนิ้วฟู่จาวหนิงก็มีประกายแสง เข็มเงินเล่มหนึ่งปักลงไปบนหลังมือของเขา"อ๊า!"ฟางรุ่งกรีดร้อง หดมือกลับทันควัน"เจ้ากล้าแทงข้าหรือ?"เขายกมือข้างนั้นขึ้นดู ฉับพลันก็ถลึงตาโตรู้สึกว่าร่างทั้งร่างแย่เสียแล้วเวลาสั้นๆ แค่นี้ มือของเขากลับบวมขึ้นมา!ตอนนี้หลังมือบวมไปหมดแล้ว แต่ยังพอมองออก ว่านิ้วก็กำลังเริ่มบวม"เข็มมีพิษ!" คุณชายคนอื่นพอเห็นสภาพก็ล้วนกระโดดเหยงขึ้นมา มองฟู่จาวหนิงอย่างตกตะลึง"นังโสเภณีเอ๊ย! หาเรื่องตายหรือไรกัน? ต่อหน้าพวกเรายังกล้ากำเริบเสิบสานหรือ?""เจ้ารู้ไหมว่าพ่อของฟางรุ่ยคือใคร? ขุนนางซื่อหลางฟางเลยนะ ตอนนี้เป็นคนโปรดขององค์จักรพรรดิ! ฟางรุ่ยชอบเจ้าเจ้าก็ควรจะแอบดีใจ จนรีบเอาตัวเองไปล้างเนื้อล้างตัวให้สะอาดแล้วขึ้นเตียงกับเขาถึงจะถูก แต่นี่ยังกล้าทำร้ายคนหรือ?"คุณชายเหล่านี้ล้วนทยอยกันก่นด่าฟู่จาวหนิง"เฮอะ"ฟู่จาวหนิงขยับมือ ย่างกรายเข้าไปหาพวกเขาช้าๆ ให้พวกเขาเห็นว่าระหว่างนิ้วของตนเองยังคับเข็มเงินอยู่อีกหลายเล่ม"ลองดูว่าข้ากล้าหรือไม่กล้า ข้าสนใจที่ไหนว่าเขาจะเป็นหมาป่าหรือไม่(หลาง) จะฟางหมาป่า(ซื่อหลา
"แค่ขอโทษก็จบหรือ? แล้วเอาขี้ม้ามาป้ายหน้าเจ้าล่ะ?"สาวตาฟู่จาวหนิงกวาดไปยังตะกร้าไม้ไผ่พังๆ ข้างๆ นั้นคนเหล่านี้จะต้องขี่ม้าหรือนั่งรถม้ามาแน่ เก็บขี้ม้ามานิดหน่อยเป็นเรื่องง่ายดาย และดูเป็นความคิดแย่ๆ จากการที่พวกเขาเบื่อมากจริงๆตอนนี้ในตะกร้าไม้ไผ่พังๆ นั่นยังใส่อยู่ไมม่น้อยเลย ส่งกลิ่นเหม็นที่ทำให้คนถอยไปกันสามบ้านแปดบ้านออกมาฟางรุ่ยเกือบจะสำรอกออกมาเมื่อครู่ใช้ผ้าเก่ากำขึ้นมาก้อนหนึ่ง ยิ่งไปกว่านั้นยังเอาไปปาคนเล่น เข้าจึงไม่รู้สึกอะไรเลย แต่ตอนนี้ต้องคว้าขึ้นมากำนึงละเลงหน้าตนเอง เขาล้วงมือลงไปไม่ได้จริงๆ"ข้าไม่ได้มีความอดทนนักหรอกนะ" ฟู่จาวหนิงเอ่ยขึ้นทางนั้น เฉินซานล้างหน้าล้างตาด้วยน้ำในถุงหนังภายใต้การช่วยเหลือของเสี่ยวเถาแล้ว พอเห็นฟู่จาวหนิงเข้าไปงัดกับคนเหล่านี้เช่นนี้ เขาก็ตกใจจนมือทั้งสองเย็นวาบไปแล้ว"เสี่ยวเถา คุณหนูรู้ไหมว่าพวกเขาเป็นใครน่ะ?""เมื่อครู่ก็ไม่ใช่ว่ามีคนบอกมาแล้วหรือ?" เสี่ยวเถานั่งอยู่บนรถม้า คุณหนูเมื่อครู่ให้นางอย่าเพิ่งลงมา นางจึงไม่กล้าลงมาตอนนี้พอเห็นว่าฟู่จาวหนิงไม่กลัวคุณชายเหล่านี้เลย เสี่ยวเถาก็รู้สึกทั้งภูมิใจทั้งกังวลคุณหนู
ในดวงตาเขามีประกายแสงที่เหมือนสนใจในตัวนาง ราวกับหมาป่าอย่างไรอย่างนั้น ราวกับจะพุ่งออกมาขย้ำนางได้ตลอดเวลา เหมือนจะเข้ามากัดเส้นเลือดนางอย่างไรอย่างนั้นคนอื่นยังคิดจะมาห้ามฟู่จาวหนิง แต่เขายื่นมือออกเป็นสัญญาณว่าพวกเขาอย่าขยับพูดได้ว่า ตอนนี้โหวอาวุโสน้อยอี้คนนี้ขวางพวกเขาไม่ให้ล้อมฟู่จาวหนิง ปล่อยให้นางกลับไปฟุ่จาวหนิงเก็บสายตาลงมา และไม่ได้สนใจเขา พาเฉินซานเดินจากไปเฉินซานขับรถม้ามึนๆ จนวนมมาถึงจุดจอดรถม้าที่ไม่ห่างมากนัก หลังจากผูกม้าแล้ว ก็ยื่นตั๋วเงินสิบสองตำลึงไปเบื้องหน้าฟู่จาวหนิง"คุณหนู อันนี้ให้ท่านขอรับ"ฟู่จาวหนิ่งรับมาแค่ก้อนเงิน"ตั๋วเงินเจ้าเก็บไว้เถอะ ถือว่าเป็นค่าทำขวัญเจ้า"เฉินซานถลึงตาค้างหลายปีมานี้แค่สิบตำลึงเขาก็ยังหามาไม่ได้ ขายตนเอง คนกลางก็ยังรังเกียจว่าเขาชื่อเสียงไม่ดีไม่อยากรับเขาไว้เลยด้วยซ้ำ ผลลัพธ์คือติดตามฟู่จาวหนิงมาแค่วันเดียว ก็ได้มาสิบตำลึงแล้ว?"คุณหนู ข้าเก็บไว้ไม่ได้ ตั๋วเงินนี้ไม่ก็คืนให้คุณชายฟางไปเถิด คุณหนูไม่รู้หรือว่าคุณชายฟางเป็นใคร? เขาวันนี้กล้ำกลืนฝืนทนไปเสียขนาดนี้จะต้องไม่ยอมเลิกราแน่ คุณหนูจะมีอันตรายเอานะ"เฉินซานเ
และมีเหล่าขุนนางใหญ่แอบคุยกันถึงเรื่องนี้องค์จักรพรรดิโมโหจนล้มป่วยส่วนเหล่าทูตจากแคว้นหมิ่นก็ไม่ได้อยู่ในเมืองหลวง หลังจากหยวนอี้กลับมา ก็บอกกับภายนอกว่าไม่คุ้นชินกับสภาพแวดล้อม แล้วจึงอยู่แต่ในวังราชนิเวศน์ไม่ออกไปพบใครตอนนี้ยังออกไปลำบากแต่ความเป็นจริงคือเนื่องจากองค์หญิงใหญ่ฝูอวิ้นบาดเจ็บ จำเป็นต้องหลบเพื่อพักฟื้นก่อนองค์หญิงใหญ่ฝูอวิ้นเองก็แต่งตัวเป็นสาวใช้วังซ่อนอยู่ในวังราชนิเวศน์ระหว่างทางจากเมืองเจ้อกลับเมืองหลวง นางเองก็เกือบเอาชีวิตไม่รอด เฉินเซียวตายไปแล้ว องครักษ์ของนางก็ตาย เหลือแค่นางคนเดียว ตอนนี้จึงจำใจต้องพึ่งพาหยวนอี้ไปก่อนไม่ใช่แค่หยวนอี้ที่บาดเจ็บ นางเองก็บาดเจ็บด้วยก่อนหน้านี้ป่วยไปรอบหนึ่ง บวกกับการบาดเจ็บครั้งนี้ องค์หญิงใหญ่ฝูอวิ้นผอมลงไปมากเมืองเจ้อเองก็สงบไปอีกหลายวันครึ่งเดือนต่อมา ฟู่จาวหนิงในที่สุดก็ควบคุมโรคระบาดเอาไว้ได้ทั้งหมด เมืองเจ้อยกเลิกการปิดเมืองคนทั้งเมืองล้วนดีใจกันอย่างบ้าคลั่งวันที่ฟู่จาวหนิงจะออกจากเมืองเจ้อ ประชาชนทั้งเมืองก็มาล้อมส่งที่ถนนอยู่ในเมืองเจ้อนานขนาดนี้ ฟู่จาวหนิงก็รู้สึกผูกพันกับเมืองเจ้อขึ้นมาแล้ว แต่
โจวติ้งเจินถูกผลักออกไปจากเมืองเจ้อมาได้ครึ่งทางเขาก็ได้สติขึ้นมา พอรู้ว่าตนเองต้องถอนกำลังแบบนี้ ก็โมโหจนแทบจะเป็นลมไปอีกรอบแต่เขาก็ถ่ายหนักจนตัวโยน ตอนนี้แค่แรงจะด่าก็ยังไม่มีเพราะในป่าในเขา เขากระทั่งไม่มีกระดาษแล้ว ดังนั้นจึงต้องใช้ใบไม้กับกิ่งไม้มาจัดการ ตอนนี้รูทวารเองก็เต็มไปด้วยแผล ขยับทีก็เจ็บเหลือแสน"กลับ กลับไป..."รองขุนพลเห็นสภาพแบบนี้ของเขา ก็เอ่ยขึ้นอย่างลำบากใจว่า "ท่านขุนพล ครั้งนี้พวกเราช่างมันเถอะ อ๋องเจวี้ยนกับพระชายาอ๋องเจวี้ยนร่วมมือกัน วิธีการก็ชั้นต่ำมาก ไม่รู้ว่ายาพวกนั้นของพวกเขาจัดการมาอย่างไร ถ้าพวกเรายังไปอีก ไม่รู้ว่าต้องติดยากันอีกกี่รอบนะ"ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขาทางนั้นก็ไม่มีอะไรกินกันแล้ว เดิมทีคิดว่าวันสองวันก็น่าจะจัดการเรื่องนี้เสร็จแล้ว ใครจะคิดว่าอ๋องเจวี้ยนจะไร้เหตุผล ถึงกับใช้วิธีการแบบนี้แล้ววรยุทธ์ของอ๋องเจวี้ยนก็ห่างชั้นกับพวกเขา ตราบใดที่ไม่ต้องปะทะกับท่านขุนพล เขาก็แฝงเข้ามาในกลุ่มพวกเขาได้ ถ้าหากเข้ามาก็ไม่มีใครขวางอยู่หรอกพวกเขาถ้ายังอยู่ที่นี่ต่อ ยังไม่รู้ว่าจะมีจุดจบอย่างไร ต่อให้ไม่ตายชีวิตก็น่าจะหายไปซักครึ่งอยู่"ท่านขุน
โจวติ้งเจินไม่อยากจะออกไปไกลหน่อยเสียที่ไหน?แต่เขาทำไม่ไหวน่ะสิ!ท้องเสียครั้งนี้ ลากยาวไปถึงสามวัน!คืนวันที่สอง พวกทหารที่เรี่ยวแรงหายไปก็ฟื้นกลับมาพอควรแล้ว โจวติ้งเจินกลับล้มลงไปแทนเขาถ่ายออกมาจนทั้งเนื้อตัวซีดไปหมด ไม่มีแรงจะพูดจาเลยทีเดียวตอนที่เขาเตรียมจะรองขุนพลเตรียมเข้าไปตีเมือง รองขุนพลก็เริ่มท้องเสียบ้างแล้ววันที่สาม เขาออกคำสั่งอย่างอ่อนแรงให้ทหารเข้าไปโจมตีเมือง ให้รองขุนพลน้อยหลายคนนำทหารออกไป เหล่าทหารก็ไม่มีแรงกันขึ้นมาอีก!ทหารกว่าครึ่งล้มลงไปนอนระเนระนาดอีกครั้ง ลุกกันไม่ขึ้นแผนการโจมตีเมืองถูกบีบให้หยุดชะงักอีกครั้งโจวติ้งเจินโมโหจนเกือบจะเส้นเลือดในสมองแตกเขาตอนนี้ยังมองไม่ออกที่ไหนว่าเป็นฝีมือเซียวหลันยวน?แต่เขาก็คิดไม่ออกว่าอีกฝ่ายวางยามาได้อย่างไร! ยาพวกนั้นทำไมถึงไม่มีสีมีกลิ่นเลย"ต้องเป็นฟู่จาวหนิงแน่ๆ ต้องเป็นยาที่นางทำขึ้นมา..."สุดท้ายโจวติ้งเจินคิดออกถึงจุดนี้ แต่ตอนนี้เขาก็ถ่ายออกมาจนตัวโหวง ลุกไม่ขึ้นที่นี่ไม่มีอะไรที่กินได้แล้ว ต่อให้ล่าสัตว์มา ตอนนี้เขาก็กลืนไม่ลงถ้าเป็นแบบนี้ต่อไป โจวติ้งเจินรู้สึกว่าตัวเองต้องตายแน่รองขุนพ
อันเหนียนรู้สึกว่า สามีภรรยาอย่างพวกเขาทั้งสองคนถ้าอยู่ด้วยกันนานอีกหน่อย อาจจะมีอะไรใหม่ๆ ออกมาอีกก็ได้ดังนั้น พวกเขาจึงเป็นคู่สวรรค์สร้าง ใครก็แทรกกลางเข้าไปไม่ได้เซียวหลันยวนเดินเข้ามา เห็นอันเหนียนกำลังคุยอยู่กับฟู่จาวหนิงเขาชะงักไปเล็กน้อย แล้วจึงเดินเข้ามา ยืนอยู่ข้างๆ ฟู่จาวหนิง แต่มองไปทางอันเหนียน"คุยอะไรกัน?"คุยกันสนุกเชียวนะ? เหมือนจะเห็นรอยยิ้มบนใบหน้าอันเหนียนด้วยฟู่จาวหนิงเองก็สีหน้ามีชีวิตชีวาเหมือนกันเอาอีกแล้ว อันเหนียนก่นด่าในใจ เจอเข้ากับสายตาของเซียวหลันยวน "กำลังคุยกับพระชายา ว่าพวกท่านตอนนี้นิสัยคล้ายคลึงกันเรื่อยๆ แล้ว""อย่างนั้นหรือ? พวกเราเป็นสามีภรรยา จะคล้ายกันมันก็เรื่องปกตินี่" เซียวหลันยวนบีบแขนฟู่จาวหนิง"มือทำไมเย็นนักล่ะ?" ฟู่จาวหนิงโดนความเย็นของมือเขาดึงความสนใจไปทันที นางพลิกกลับมากุมมือเซียวหลันยวน มืออีกข้างก็ปลดหน้ากากของเขาลงมาพอปลดหน้ากากถึงจะเห็นสีหน้าของเขาดูแล้วยังดีอยู่"ฝนตกลงมาครู่หนึ่ง แล้วนอกเมืองก็อากาศเย็นมาก" เซียวหลันยวนเอ่ยขึ้น ดึงนางมาไว้ในอ้อมกอด "หนิงหนิงให้ข้ากอดหน่อย เดี๋ยวก็อุ่นขึ้นแล้ว"แค่กๆอันเหนียน
ยาครั้งนี้ มีประสิทธิภาพมากจริงๆพอถึงตอนฟ้าสาง มีคนป่วยหนักแต่เดิมหลายคน มีอาการดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัดเดิมทีที่ป่วยจนไม่รู้สึกตัวแล้ว วันนี้ตอนเช้าก็สามารถประคองตัวลุกขึ้นนั่งมากินข้าวต้มได้นี่ทำให้คนทั้งหมดดีใจกันมากมีผลลัพธ์เช่นนี้ ผู้บริหารท้องถิ่นโหยวรู้สึกว่าตนเองวันนี้เดินเชิดหน้ายืดหลังตรงได้เสียทีนี่อธิบายได้ว่ามีความหวังแล้วจริงๆ! ไม่สิ พูดว่าเป็นความหวังไม่ได้แล้ว มันมีผลลัพธ์ที่ดีแล้วต่างหากตอนที่ฟู่จาวหนิงวุ่นอยู่ทั้งคืน เซียวหลันยวนเองก็ออกไปทั้งคืนไม่ได้กลับมาตอนที่ฟู่จาวหนิงได้พัก ได้กินข้าวเช้า จึงเพิ่งนึกได้ว่าเซียวหลันยวนไม่รู้หายไปไหนนางถามสืออี สืออีก็ดูจะตื่นเต้นขึ้นมารางๆ"ท่านอ๋องออกเมืองไปแล้วขอรับ"ออกเมือง?เซียวหลันยวนออกจากเมือง แล้วทำไมสืออีถึงดูตื่นเต้น?"หรือจะออกไปหาโจวติ้งเจิน?" ฟู่จาวหนิงตกตะลึงถึงแม้ทหารส่วนใหญ่จะโดนพิษที่ทำให้เสียกำลังในการต่อสู้ไป แต่ก็มีส่วนน้อยที่ไม่ได้โดนพิษ หรืออาจจะมีคนที่โดนพิษไปน้อยมาก นั่นก็ยังสู้ได้อยู่นะองครักษ์ของเซียวหลันยวนส่วนใหญ่ยังอยู่ที่นี่ เพราะเมื่อคืนตอนที่นางวิ่งไปดูแลคนป่วยตรงนั้นตรงนี้ ย
แต่ว่านางเองก็เห็นว่าฝนเองก็ตกอย่างที่ฟู่จิ้นเชินคำนวณไว้จริงๆตอนนี้พอเห็นสีหน้าของฟู่จิ้นเชินกับอันเหนียน ก็รู้ว่าน่าจะเรียบร้อยดี"ให้ใต้เท้าอันเล่าเถอะ เขาเล่านิทานเก่งกว่าข้า" เซียวหลันยวนไม่ค่อยชินที่ต้องพูดอะไรยาวๆ สถานการณ์แบบนี้ให้อันเหนียนพูดดีที่สุดอันเหนียนเองก็ดูจนใจ นี่มองเขาเป็นพวกนักเล่านิทานหรือไรกัน?ปกติเขากับพูดกับพระชายามากหน่อย อ๋องเจวี้ยนก็จะหึงหวงขึ้นมา แล้วมาใช้เขาแบบนี้ ไม่หึงแล้วเรอะ?ถึงแม้จะไม่ค่อยพอใจ แต่ตอนที่สายตาคาดหวังของฟู่จาวหนิงหันมา อันเหนียนก็เล่าฉากเมื่อครู่ออกมาอย่างมีชีวิตชีวาฟู่จาวหนิงหลังจากฟังก็อดขำขึ้นมาไม่ได้"ดูท่าขุนพลโจวคืนนี้คงจะน่าเวทนาเอาเรื่อง ฤทธิ์ของผงยานั่น ก็ทำให้พวกเขากระทั่งแรงจะตั้งค่ายก็ยังไม่มีจริงๆ นั่นล่ะ"ยิ่งไปกว่นั้นพวกเขายังไม่มีแรงจะเดินไปไหนไกลได้ด้วยถ้าหากฝนตกทั้งคืน เช่นนั้นพวกเขาก็อาจจะต้องตากฝนกันทั้งคืนและคืนนี้ โจวติ้งเจินก็ซมซานจนต้องด่าพ่อล่อแม่ออกมาเลยทีเดียวแต่ว่าคนมากมายแค่แรงจะด่าก็ยังไม่มียังดีที่ฝนห่านี้ไม่ได้มีฟ้าผ่า พวกเขาถอยลงไปตีนเขากันอย่างยากลำบาก ที่นั่นมีต้นกล้วยอยู่ผืนใหญ่ แล
เหล่าทหารถ้าให้บอกว่าตัวเองไม่สบายตรงไหน แล้วยังไม่มีอาการคลื่นไส้อาเจียน หรือปวดท้องปวดบิดปวดหัวหรืออยากถ่ายอะไรทำนองนั้นเลยพวกเขาแค่รู้สึกไม่มีเรี่ยวแรงอย่างเดียวเท่านั้น!"แม่งเอ๊ยจู่ๆ ก็มาอ่อนแรงเป็นผู้หญิงได้ยังไงกัน!" มีคนอดก่นด่าตัวเองขึ้นมาไม่ได้ คิดจะยกมือขึ้นทุบตัวเองก็ยังไม่มีแรงเลยตอนนี้จู่ๆ ก็สัมผัสได้ว่าอะไรคืออ่อนแอดั่งหลิวต้องลม ปวกเปียกจนดูแลตัวเองไม่ได้มีคนลงไปนอนบนพื้นขนาดแค่จะปีนขึ้นมาก็ยังไม่มีแรง"ลุกขึ้นมา!""บอกให้พวกเจ้าลุกขึ้นมา ไม่ได้ยินรึ? อย่าบีบให้ข้าต้องซัดพวกเจ้านะ!"โจวติ้งเจินโมโหจนมึนงง ตะโกนขึ้นดังลั่น กระโจนลงมาจากม้า สาวเท้าเดินเข้าไปข้างตัวทหารที่อยู่ใกล้เขาที่สุด ยกเท้าขึ้นเตะคนที่นอนอยู่บนพื้น"ลุกขึ้นมาได้ยินไหม? พวกเจ้าดูซิพวกเหมือนตัวอะไรกันไปแล้ว?"มาตีเมืองกันแท้ๆ แต่ตอนนี้ดันมานอนบนพื้น! มานอนกันจนทำให้คนบนหอเมืองหัวเราะเยาะ! ดูแล้วยังเป็นเขาด้วยที่กลายเป็นเรื่องตลก!"พวกเจ้าสภาพแบบนี้ ขุนพลอย่างข้าก็เหมือนเข้ามาเป็นตัวตลกให้เขาดูแล้ว!"เข้ามาเป็นตัวตลกให้เซียวหลันยวน!และตอนนี้ บนหอเมืองก็มีเสียงของเซียวหลันยวนลอดเข้ามา"ข
มีคนตกใจมีคนร้องโหยหวนมีคนมีคนที่กระโดดโลดเต้นและมีคนที่จะกระโดดก็ยังกระโดดไม่ขึ้น หลังจากล้มลงบนพื้นก็ถูกคนข้างๆ ล้มทับกันเข้ามาอีกชั่วขณะหนึ่ง ท่วงท่าที่องอาจน่าเกรงขามแต่เดิมของทหาร ก็ดูสับสนโกลาหลเหมือนสุนัขเหมือนไก่ขึ้นมาแม้เอาทหารมากมายไปเทียบกับสุนัขกับไก่จะไม่ค่อยเหมาะสม แต่สภาพเช่นนี้ก็ค่อนข้างใกล้เคียงกัน เพราะเดิมทีเหล่าทหารก็เตรียมพร้อมจะโจมตี จัดกระบวนกันเรียบร้อยแล้ว จู่ๆ ก็หมดเรี่ยวแรงกัน จึงควบคุมไว้ไม่อยู่โจวติ้งเจินพอเห็นสถานการณ์ก็ยิ่งโกรธยิ่งร้อนรนชั่วขณะหนึ่งก็ไม่แน่ใจว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ยิ่งไปกว่านั้นฤทธิ์ยาของคนเหล่านี้ก็ไม่เหมือนกันด้วย มีพวกที่อยู่ใกล้หน่อยสูดกันเข้าไปก่อน มีบางส่วนสูดเข้าไปช้าหน่อย บางคนก็สูดเข้าไปมาก บางคนก็สูดเข้าไปน้อยแล้วยังต้องดูกำลังภายในคุณสมบัติร่างกายของแต่ละคนด้วยอย่างโจวติ้งเจิน วรยุทธ์ของเขาแข็งแกร่งที่สุด กำลังภายในลึกล้ำ ดังนั้นเขาตอนนี้ยังไม่รู้สึกไม่สบายเท่าไรนักและเพราะเขาที่อยู่ตรงนี้ ตัวเขาไม่สังเกตเห็นความผิดปกติในร่างกาย จึงยิ่งไม่เข้าใจว่าเหล่าทหารเกิดอะไรกันขึ้น"วันนี้กินอะไรกันเข้าไป? โดนพิษอะไรเข้าหร
ฟู่จาวหนิงมั่นใจอย่างมากต่อยาที่ตนเองสกัดขอแค่องครักษ์เหล่านั้นสามารถสาดยาออกไปตามทิศทางลมได้ อย่างน้อยก็ต้องทำลายพลังต่อสู้ของทหารได้ครึ่งหนึ่งยิ่งไปกว่านั้นประสิทธิภาพของยานี้ก็อยู่ได้ถึงเกือบหนึ่งวันเต็มจึงจะอ่อนกำลัง เวลาหนึ่งวัน เพียงพอจะให้โจวติ้งเจินลนลานจนทำอะไรไม่ถูกอยู่ทหารจำนวนมากขนาดนี้ล้อมเมืองอยู่ อยู่ดีดีก็ไม่มีเรี่ยวแรง แค่ไปหาสาเหตุก็แทบแย่แล้วโจวติ้งเจินตอนนี้ยังไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น แต่เขาเห็นว่าหนึ่งชั่วยามที่กำหนดให้กับโหยวจางเหวิน อีกฝ่ายกลับไม่ยอมเปิดประตูเมืองส่งคนป่วยออกมา ก็รู้ว่าโหยวจางเหวินต้องคิดจะปกป้องคนป่วยเหล่านั้นแน่นอน"โง่เขลาเสียจริง โหยวจางเหวินคิดว่าตัวเองเป็ฯคนใจบุญมากนักหรือไรกัน? เขาคิดว่าตัวเองจะปกป้องคนมากขนาดนี้ในเมืองเจ้อได้เรอะ? ยังคิดว่าอ๋องเจวี้ยนกับพระชายาอ๋องเจวี้ยนจะมาคอยหนุนเขาได้หรือไรกัน?"โจวติ้งเจินกัดฟัน เรียกรองขุนพลออกมา "เตรียมโจมตีด้วยไฟ แล้วก็เตรียมบุกประตูเมือง"พวกเขาเดิมทียังมีแผนสำรองแบบนี้ไว้ด้วยต่อให้ไม่คิดจะโจมตีเข้าเมืองจริงๆ แต่ก็ยังจะทำท่าทีแบบนั้น ใช้ไม้ซุงทลายประตูโจมตีเข้ามาที่ประตูเมือง ทำให้เกิ