ผู้ตรวจการอันอายุสามสิบกว่าใบหน้าหล่อเหลาสูงโปร่ง เพียงแต่เต็มไปด้วยเศร้าหมองผู้ตรวจการอันครั้งนั้นคือเพื่อนเรียนของอ๋องเจวี้ยน นั่นเป็นตอนช่วงที่อ๋องเจวี้ยนเพิ่งอายุไม่กี่ขวบ ที่บอกว่าเพื่อเรียน อันที่จริงก็เป็นคนที่จักรพรรดิองค์ที่แล้วส่งเข้ามาดูแลอ๋องเจวี้ยนนั่นเองแต่หลังจากที่อ๋องเจวี้ยนไปยังยอดเขาโยวชิงก็ไม่ได้พบอีกเลย ไม่ได้ไปมาหาสู่ครั้งนั้นที่เล่าเรียนด้วยกันก็ขึ้นดำรงตำแหน่งผู้ตรวจการ"อันเหนียนคารวะอ๋องเจวี้ยน" อันเหนียนพอเห็นอ๋องเจวี้ยนก็ทำการคารวะอย่างเป็นการเป็นงานเขาเองก็พิจารณาอ๋องเจวี้ยนผาดหนึ่งก่อนหน้านี้พระโอรสอ่อนแอมาก ตอนนี้ก็เติบโตสูงใหญ่ขึ้นมา ท่วงท่าดูเหนือล้ำ"ไม่ต้องมากพิธี"อ๋องเจวี้ยนส่งสัญญาณให้เขานั่งลง รอจนคนรับใช้นำน้ำชาเข้ามา "ดื่มชาก่อน"อันเหนียนยกชาขึ้นจิบ ตอนที่วางลงก็เอ่ยขึ้นว่า"อ๋องเจวีย้น ข้ารู้ว่าที่บุกมาหาท่านเป็นการรบกวนท่านและไม่เหมาะสม แต่ว่า..."ถ้าเขามีวิธี ก็คงไม่แบกหน้ามาหาอ๋องเจวี้ยนแล้ว"พูดเถอะ มีเรื่องอะไร"อ๋องเจวี้ยนไม่ได้เขากังวลมากเกินไป ถามขึ้นมาตรงๆ"ข้ามีน้องสาวคนหนึ่ง อายุน้อยกว่าข้าสิบกว่าปี ปีนี้เพิ่งอายุ
"ท่านอ๋อง?"หลังจากทหารถอยออกไป อ๋องเจวี้ยนก็ยังเหม่อไปครู่หนึ่งอันเหนียนเองก็ไม่รู้ว่าเขาได้ยินสิ่งที่ตนเองพูดหรือไม่ จึงเรียกเขาขึ้นมาอีกครั้งอ่องเจวี้ยนได้สติกลับมา มองไปที่เขา"ข้าจำได้มาตลอด ว่าตอนนั้นมีครั้งหนึ่งที่ข้าป่วย ปวดหัว แต่ตอนนั้นราชครูก็ยังมอบงานมา ให้ข้าเขียนบทความบทหนึ่ง"อันเหนียนรู้สึกเกินคาด อ๋องเจวี้ยนยังจำเรื่องในตอนได้หรือ?เพียงแต่ตอนนี้จู่ๆ พูดเรื่องนี้ขึ้นมาทำไมกัน?"ข้าตอนนั้นเดิมทีก็ไม่อยากทำ ถึงอย่างไรก็ป่วยอยู่ จึงพูดกับราชครูไป เขาควรจะเข้าใจ แต่เจ้าตอนนั้นบอกกับข้าว่า การเรียนรู้จะปล่อยวางด้วยอาการป่วยเล็กน้อยไม่ได้ เจ้าบอกว่าร่างกายข้าไม่ดี เดี๋ยวก็ป่วยนั่นนี่ไม่หยุด ถ้าหากทุกครั้งไม่สบายก็ปล่อยให้ตนเองสบาย เช่นนั้นอย่างไรก็ตามคนอื่นเขาไม่ทัน"อ๋องเจวี้ยนยินดีออกมาพบอันเหนียน อันที่จริงก็เพราะเรื่องในอดีต"เจ้าพูดกับข้า เพียงเพราะร่างกายข้าแข็งแกร่งสู้คนอื่นไม่ได้ เจ้าก็ห้ามแพ้ต่อสิ่งอื่นอีก"อ่องเจวี้ยนพูดถึงจุดนี้ มองไปยังอันเหนียนอันเหนียนรู้สึกละอายตอนนั้นเขายังเล็กไม่รู้ความ ถ้าเป็นตอนนี้ บางทีเขาก็ไม่แน่ว่าจะสามารถพูดตรงๆ แบบสมัย
อ๋องเจวี้ยนพูดกับชิงอี ชิงอียังตั้งสติกลับมาไม่ทัน"เพื่อผู้ตรวจการอัน ข้าจะไปที่เขาเมฆอรุณสักรอบหนึ่งให้แล้วกัน" อ๋องเจวี้ยนยืนขึ้นมาอันเหนียนตกตะลึง และลุกตามขึ้นมาทันที"ท่านอ๋องจะไปเองเลยหรือ?""อืม ตระกูลอี๋มีคุณงามความดีในการคุ้มกันองค์จักรพรรดิอยู่ ตอนนี้จึงวางก้ามน่าดู คนอื่นคงจะเอาไม่อยู่ ถ้าข้าไม่ไปเอง แล้วจะปกป้องน้องสาวเจ้าได้อย่างไร?""ขอบคุณท่านอ๋อง!"อันเหนียนทั้งตกตะลึงทั้งยินดี คารวะให้กับเขายกใหญ่อ๋องเจวี้ยนออกหน้าให้ ชิงชิงคงรอดแน่รถม้าจวนอ๋องเจวี้ยนเพียงไม่นานก็ทะยานออกจาเมืองหลวงตลอดทาง อ๋องเจวี้ยนนัยงเร่งมาสองรอบว่าให้ไวหน่อย ชิงอีรู้สึกไม่เข้าใจเลยจริงๆ"ท่านอ๋อง เพื่อคุณหนูอัน ก้ไม่จำเป็นต้องเร่งขนาดนี้กระมัง?"หลักๆ คือก่อนหน้านี้ท่านอ๋องเพิ่งจะอาการป่วยกำเริบ ถ้ารีบเร่งเกินไป ร่างกายของเขาไม่รู้ว่าจะทนไหวไหม"คนจากตระกูลอี๋ทำตัวอหังการแค่ไหนเจ้าเองก็ไม่ใช่ว่าไม่รู้ ถ้าช้าไปก้าวหนึ่ง ยังไม่รู้ว่าคุณหนูอันจะเป็นอย่างไร ข้าพูดไปแล้วจะคืนคำไม่ได้"เสียงอ๋องเจวี้ยนสงบนิ่งอย่างมากชิงอีไม่รู้เลยว่าจะพูดอย่างไรดีถ้าบอกว่าโหวซุ่นหยางคนนี้ดวงดี ก่อน
ฟู่จาวหนิงมองออกไปคนพวกนั้นนั่งอยู่บนบันไดสิบกว่าขั้น ท่าทางเกียจคร้าน คนที่นั่งอยู่หลายคนนั้นสวมเสื้อผ้าหรูหรา อายุอานามก็ประมาณสิบห้าสิบหกจนถึงยี่สิบปี ข้างๆ ยังมีคนที่ใส่ชุดของคนรับใช้อยู่ด้วย คนหนึ่งในนี้หิ้วตะกร้าไม้ไผ่เก่าๆ เอาไว้แค่คิดก็รู้ว่าตะกร้าไม้ไผ่นั้นใส่อะไรเอาไว้ไม่ใช่ขี้ม้าที่เอาไว้ขว้างใส่คนหรือไรกันด้านบนขั้นบันไดสิบกว่าขั้นนั้นเป็นประตูภูเขาแห่งหนึ่ง ด้านบนเขียนเอาไว้ว่าเขาเมฆอรุณพอเข้าประตูภูเขาก็ยังเป็นบันไดลดเลี้ยวเคี้ยวคด มองขึ้นไปทิวทัศน์ยอดเยี่ยมมาก ด้านหลังเงาต้นไม้มีกำแพงบัวเรือนอยู่ด้วย"ใครเป็นคนขว้างลงมากัน?"ฟู่จาวหนิงเอ่ยถามขึ้นคุณชายเหล่านั้นพอเห็นหน้านางชัด ดวงตาก็เป็นประกาย"เอ๋? คนที่มาดันเป็นแม่นางภูตวารีหรือ?""นี่ใครกันน่ะ?"มีคุณชายที่แต่งหน้าจัดคนหนึ่งกวักมือให้กับฟู่จาวหนิง เรียกนางขึ้นมาอย่างไม่อยู่กับร่องกับรอย "นี่ น้องสาว มานี่มานี่ มารู้จักกับพี่ชายหน่อยเถอะ"ในสภาพอากาศก่อนหน้าที่จะเปลี่ยนเป็นหนาวเย็น เขาเมฆอรุณมีงานประชันโคลงและแข่งล่าสัตว์ ทุกปีก็จะดึงดูดเอาพวกเหล่าคุณชายที่กำลังวังชาดีเข้ามาทุกครั้งจะมีคนไม่น้อยมาม
แต่มือของเขายังไม่ทันได้แตะฟู่จาวหนิง ระหว่างนิ้วฟู่จาวหนิงก็มีประกายแสง เข็มเงินเล่มหนึ่งปักลงไปบนหลังมือของเขา"อ๊า!"ฟางรุ่งกรีดร้อง หดมือกลับทันควัน"เจ้ากล้าแทงข้าหรือ?"เขายกมือข้างนั้นขึ้นดู ฉับพลันก็ถลึงตาโตรู้สึกว่าร่างทั้งร่างแย่เสียแล้วเวลาสั้นๆ แค่นี้ มือของเขากลับบวมขึ้นมา!ตอนนี้หลังมือบวมไปหมดแล้ว แต่ยังพอมองออก ว่านิ้วก็กำลังเริ่มบวม"เข็มมีพิษ!" คุณชายคนอื่นพอเห็นสภาพก็ล้วนกระโดดเหยงขึ้นมา มองฟู่จาวหนิงอย่างตกตะลึง"นังโสเภณีเอ๊ย! หาเรื่องตายหรือไรกัน? ต่อหน้าพวกเรายังกล้ากำเริบเสิบสานหรือ?""เจ้ารู้ไหมว่าพ่อของฟางรุ่ยคือใคร? ขุนนางซื่อหลางฟางเลยนะ ตอนนี้เป็นคนโปรดขององค์จักรพรรดิ! ฟางรุ่ยชอบเจ้าเจ้าก็ควรจะแอบดีใจ จนรีบเอาตัวเองไปล้างเนื้อล้างตัวให้สะอาดแล้วขึ้นเตียงกับเขาถึงจะถูก แต่นี่ยังกล้าทำร้ายคนหรือ?"คุณชายเหล่านี้ล้วนทยอยกันก่นด่าฟู่จาวหนิง"เฮอะ"ฟู่จาวหนิงขยับมือ ย่างกรายเข้าไปหาพวกเขาช้าๆ ให้พวกเขาเห็นว่าระหว่างนิ้วของตนเองยังคับเข็มเงินอยู่อีกหลายเล่ม"ลองดูว่าข้ากล้าหรือไม่กล้า ข้าสนใจที่ไหนว่าเขาจะเป็นหมาป่าหรือไม่(หลาง) จะฟางหมาป่า(ซื่อหลา
"แค่ขอโทษก็จบหรือ? แล้วเอาขี้ม้ามาป้ายหน้าเจ้าล่ะ?"สาวตาฟู่จาวหนิงกวาดไปยังตะกร้าไม้ไผ่พังๆ ข้างๆ นั้นคนเหล่านี้จะต้องขี่ม้าหรือนั่งรถม้ามาแน่ เก็บขี้ม้ามานิดหน่อยเป็นเรื่องง่ายดาย และดูเป็นความคิดแย่ๆ จากการที่พวกเขาเบื่อมากจริงๆตอนนี้ในตะกร้าไม้ไผ่พังๆ นั่นยังใส่อยู่ไมม่น้อยเลย ส่งกลิ่นเหม็นที่ทำให้คนถอยไปกันสามบ้านแปดบ้านออกมาฟางรุ่ยเกือบจะสำรอกออกมาเมื่อครู่ใช้ผ้าเก่ากำขึ้นมาก้อนหนึ่ง ยิ่งไปกว่านั้นยังเอาไปปาคนเล่น เข้าจึงไม่รู้สึกอะไรเลย แต่ตอนนี้ต้องคว้าขึ้นมากำนึงละเลงหน้าตนเอง เขาล้วงมือลงไปไม่ได้จริงๆ"ข้าไม่ได้มีความอดทนนักหรอกนะ" ฟู่จาวหนิงเอ่ยขึ้นทางนั้น เฉินซานล้างหน้าล้างตาด้วยน้ำในถุงหนังภายใต้การช่วยเหลือของเสี่ยวเถาแล้ว พอเห็นฟู่จาวหนิงเข้าไปงัดกับคนเหล่านี้เช่นนี้ เขาก็ตกใจจนมือทั้งสองเย็นวาบไปแล้ว"เสี่ยวเถา คุณหนูรู้ไหมว่าพวกเขาเป็นใครน่ะ?""เมื่อครู่ก็ไม่ใช่ว่ามีคนบอกมาแล้วหรือ?" เสี่ยวเถานั่งอยู่บนรถม้า คุณหนูเมื่อครู่ให้นางอย่าเพิ่งลงมา นางจึงไม่กล้าลงมาตอนนี้พอเห็นว่าฟู่จาวหนิงไม่กลัวคุณชายเหล่านี้เลย เสี่ยวเถาก็รู้สึกทั้งภูมิใจทั้งกังวลคุณหนู
ในดวงตาเขามีประกายแสงที่เหมือนสนใจในตัวนาง ราวกับหมาป่าอย่างไรอย่างนั้น ราวกับจะพุ่งออกมาขย้ำนางได้ตลอดเวลา เหมือนจะเข้ามากัดเส้นเลือดนางอย่างไรอย่างนั้นคนอื่นยังคิดจะมาห้ามฟู่จาวหนิง แต่เขายื่นมือออกเป็นสัญญาณว่าพวกเขาอย่าขยับพูดได้ว่า ตอนนี้โหวอาวุโสน้อยอี้คนนี้ขวางพวกเขาไม่ให้ล้อมฟู่จาวหนิง ปล่อยให้นางกลับไปฟุ่จาวหนิงเก็บสายตาลงมา และไม่ได้สนใจเขา พาเฉินซานเดินจากไปเฉินซานขับรถม้ามึนๆ จนวนมมาถึงจุดจอดรถม้าที่ไม่ห่างมากนัก หลังจากผูกม้าแล้ว ก็ยื่นตั๋วเงินสิบสองตำลึงไปเบื้องหน้าฟู่จาวหนิง"คุณหนู อันนี้ให้ท่านขอรับ"ฟู่จาวหนิ่งรับมาแค่ก้อนเงิน"ตั๋วเงินเจ้าเก็บไว้เถอะ ถือว่าเป็นค่าทำขวัญเจ้า"เฉินซานถลึงตาค้างหลายปีมานี้แค่สิบตำลึงเขาก็ยังหามาไม่ได้ ขายตนเอง คนกลางก็ยังรังเกียจว่าเขาชื่อเสียงไม่ดีไม่อยากรับเขาไว้เลยด้วยซ้ำ ผลลัพธ์คือติดตามฟู่จาวหนิงมาแค่วันเดียว ก็ได้มาสิบตำลึงแล้ว?"คุณหนู ข้าเก็บไว้ไม่ได้ ตั๋วเงินนี้ไม่ก็คืนให้คุณชายฟางไปเถิด คุณหนูไม่รู้หรือว่าคุณชายฟางเป็นใคร? เขาวันนี้กล้ำกลืนฝืนทนไปเสียขนาดนี้จะต้องไม่ยอมเลิกราแน่ คุณหนูจะมีอันตรายเอานะ"เฉินซานเ
โหวอาวุโสน้อยอี้คิดขึ้นมาได้ว่าสองวันก่อนซ่งหยวนหลินส่งข้อมูลปากเปล่าให้เขาคนอื่นอาจจะไม่รู้ อันที่จริงความสัมพันธ์ของซ่งหยวนหลินกับเขานั้นดีมาก ตอนเด้กๆ ซ่งหยวนหลินช่วยเขาเก็บกวาดเจ้าพวกที่เขาไม่ชอบขี้หน้า พวกเขายังเคยร่วมมือกันอีกหลายครั้งซ่งหยวนหลินให้เขาพอกลับไปเมืองหลวงแล้วจัดการสร้างความลำบากให้คนคนหนึ่งหน่อย แล้วยังให้รูปพรรณสันฐานของคนนั้นมาด้วยที่วาดมาคือหญิงสาวคนเมื่อครู่ฟู่จาวหนิง"ท่านหญิงหยวนหลินบอกว่า ฟู่จาวหนิงผิดใจกับนาง ยิ่งไปกว่านั้นยังแย่งตัวผู้ชายที่ท่านหญิงอวิ๋นเหยาชอบไปอีก ดังนั้นจะต้องให้นางได้เห็นดี โหวอาวุโสน้อยถ้ากลับเมืองหลวงแล้ว ช่วยหาวิธีการให้หน่อย ดีที่สุดคือจัดการทำลายฟู่จาวหนิงไปเลย"ตอนนั้นลูกน้องของซ่งหยวนหลินพูดไว้เช่นนี้โหวอาวุโสอี้คิดไม่ถึงเลย ว่าตนเองยังไม่กลับเมืองหลวง ยังไม่ทันได้คิดว่าจะทำลายฟู่จาวหนิงอย่างไร นางกลับส่งตัวเองมาจนถึงที่นี่เสียแล้วเมื่อครู่พอเขาเห็นฟู่จาวหนิงก็จำนางได้แล้ว"โหวอาวุโสน้อยคงไม่ได้ต้องตานางเข้าแล้วหรอกกระมัง?"ข้างๆ มีคุณชายคนหนึ่งหัวเราะขึ้นมาด้วยเจตนาไม่ดี"ถ้าต้องตาแล้วเป็นอย่างไรหรือ?""แล้วสาว