ร่างเล็กขยับพลิกตัวไล่ความขี้เกียจในยามเช้าเหมือนทุกครั้ง ก่อนจะค่อยๆ ลืมตาตื่นขึ้นพร้อมกับปรับระดับการมองเห็นของสายตาให้คุ้นชินกับความสว่างในยามเช้า เมื่อตื่นขึ้นมาเธอก็ลุกขึ้นนั่งพิงหัวเตียงโดยไม่ได้สังเกตเลยว่าตอนนี้ทุกอย่างรอบตัวของตัวเองเปลี่ยนไปแล้ว
ส่วนคนที่นอนร่วมเตียงเดียวกับหญิงสาวก็ตื่นตั้งแต่เช้าแล้ว และก็ตกใจมากเมื่อตื่นขึ้นมาก็มีหญิงสาวที่เจอในกระจกเมื่อคืนมานอนอิงแอบซุกอกตัวเอง จ้าวซ่านลู่มองสำรวจใบหน้าจิ้มลิ้มและเสื้อผ้าที่นางแต่งแล้วก็เกิดความสงสัย และที่สำคัญนางมาได้ยังไงกัน แล้วนางมาจากไหน แต่จะมาจากไหนไม่สำคัญ สิ่งสำคัญตอนนี้คือเขาชอบแม่นางคนนี้แล้วสิ ปากนิด จมูกหน่อย ผิวแก้มนวลเนียนสีระเรื่อเหมือนลูกท้อมิมีผิดเพี้ยน
“วันนี้ต้องไปเปิดร้าน” ซู่หลิงเถียนพึมพำกับตัวเองแล้วลุกก้าวลงจากเตียงโดยไม่สนใจสิ่งรอบตัวของตัวเองที่เปลี่ยนไปเลยสักนิด
“เอ๊ะ! กระจกทำไมมาตั้งตรงนี้ แล้วห้องน้ำ แล้ว...ที่นี่ที่ไหนเนี่ย” เธอเพิ่งมองไปรอบๆ ห้องที่ตัวเองตื่นมาในเช้านี้ว่ามันเปลี่ยนไป มันไม่ใช่ห้องของตัวเอง แล้วก็ต้องร้องตกใจอีกครั้งเมื่อมองไปเห็นผู้ชายอยู่บนเตียงที่ตัวเองเพิ่งตื่นนอนลุกมา
กรี๊ด!
“นะ...นายเป็นใคร” เธอกอดตัวเองวิ่งไปหลบที่หลังกระจกโบราณที่เหมือนกับที่ห้องนอนของตัวเอง
“ข้าต่างหากที่ต้องถามแม่นาง ว่าแม่นางเป็นใคร ทำไมถึงมานอนบนเตียงของข้าได้” เขายิ้มกริ่มให้นางพร้อมลุกเดินก้าวยาวๆ ไปหาคนที่ซ่อนตัวเองอยู่หลังกระจก
“ยะ...หยุดเดี๋ยวนี้นะ อย่าเข้ามานะ ไอ้โจรลักพาตัว” ซู่หลิงเถียนชี้มือให้อีกฝ่ายหยุด เธอมองสำรวจร่างสูงตรงหน้าที่แต่งตัวเหมือนคนยุคโบราณแล้วก็มองไปรอบๆ ห้องอีกครั้ง ซึ่งเตียงมันเหมือนเตียงที่เห็นก่อนนอนเมื่อวานตอนเย็นและบนเตียงก็มีเขา ใช่...เธอจำหน้าของเขาได้
“ไอ้หื่น!” เธอร้องออกมาเสียงดังแล้ววิ่งหนีออกจากหลังกระจกวิ่งไปดึงดาบออกจากฝักออกมาชี้ไปยังคนตรงหน้า
หึหึ
“เจ้าจะทำอะไรข้าได้แม่นาง ที่นี่คือจวนสิบสี่ เป็นจวนของข้า เจ้ามาของเจ้าเอง ข้าไม่ได้พาเจ้ามาสักหน่อย” จ้าวซ่านลู่เอ่ยอย่างใจเย็นพร้อมกับมืออีกข้างขัดไขว้หลัง แล้วเสียงหน้าห้องก็ดังขึ้น
“ท่านอ๋องเกิดอะไรขึ้นขอรับ”
“ไม่มีอะไรหรอกเสี่ยวถัง เจ้าจะไปไหนก็ไปเลยไป” เขาตะโกนตอบทหารคู่ใจหน้าห้องที่กำลังทุบประตูอยู่ และเสียงก็เงียบไปเมื่อจ้าวซ่านลู่บอกไปเช่นนั้น
“ท่านอ๋อง...ดะ...เดี๋ยวนะ นายเป็นใครกันแน่ไอ้หื่น” มือที่จับดาบสั่นเทาพร้อมมองจ้องคนที่กำลังก้าวเดินมาหาตัวเอง
“ข้าคืออ๋องใหญ่จวนสิบสี่ ชื่อของข้าคือจ้าวซ่านลู่ แล้วเจ้าล่ะ แม่นางมีชื่อว่าอะไรฮึ และดาบก็วางลงได้แล้ว คนสวยอย่างแม่นางไม่เหมาะกับดาบในมือหรอกเจ้า” เขาเอ่ยเสียงพร่าอย่างใจเย็นและมองชุดที่แม่นางใส่แล้วก็อดขำไม่ได้ มันคือชุดอะไร เขามิรู้ แต่มันดูเหมาะกับตัวเธอมาก
ซู่หลิงเถียนมองตามสายตาของคนที่อ้างตัวเองเป็นอ๋องใหญ่กับตัวเองแล้วก็อดขำไม่ได้ มันจะเป็นไปได้ยังไง ท่านอ๋องมันมีแต่ในซีรีส์และในยุคสมัยโบราณเท่านั้นแหละ และเธอมองตาของเขาที่จดจ้องมาทางตัวเองแล้วก็รู้สึกเขินอายเมื่อคนที่มองนั้นหน้าหล่อแบบขึ้นปกนิตยสารได้เลย ใบหน้าสวยได้รูปตอบรับกับคิ้วสวยและริมฝีปากเป็นกระจับ จมูกโด่งเป็นสัน ผิวขาวผุดผ่องยามใส่ชุดโบราณสีดำและผมที่ยาวรัดขึ้นพร้อมมีปิ่นปักผม นี่มันเหมือนฉากในละครชัดๆ แต่ความรู้สึกอีกเสียงบอกว่ามันคือเรื่องจริงไม่ใช่ฉากในละครหรือซีรีส์ที่เคยดูมา
ระหว่างที่แม่นางแปลกหน้าแสนงามกำลังขบคิดอะไรอยู่นั้น จ้าวซ่านลู่ก็อาศัยจังหวะนี้ใช้วรยุทธของตัวเองเคลื่อนไหวรวดเร็วแย่งดาบมาถือไว้ อีกมือคว้าเอวเล็กกอดรั้งเข้ามาแนบอกตัวเอง
กรี๊ด!
“ไอ้หื่น นะ...นายอย่าทำอะไรฉันนะ มาคุยกันดีๆ ก่อน ใช่สิ ท่านอ๋องใช่ไหม ท่านอ๋องใหญ่ปะ...ปล่อยฉัน...ข้า...ก่อนได้ไหม” ตอนนี้ซู่หลิงเถียนคิดอย่างเดียวว่าต้องหนีรอดออกไปจากที่นี่ให้ได้ก่อน แต่แรงกอดที่เอวช่างแน่นเหลือเกิน จะขยับหนีก็ไม่ได้และมือเล็กก็ยกมือเท้าดันหน้าอกของอีกฝ่ายเพื่อไม่ให้อกตัวเองแนบถูไถไปกับอกของชายที่อ้างตัวว่าเป็นอ๋องใหญ่
“แม่นางพูดแปลกๆ แต่ก็พอเข้าใจได้ คุยกันแบบนี้แหละ เดี๋ยวปล่อยแม่นางก็หนีและหาของมาจะทำร้ายข้าอีกหรอก ว่าแต่แม่นางคนงามชื่ออะไร มาจากไหน บอกข้ามาเถิด” เขาโน้มหน้าลงมาชิดแก้มนวลที่แดงระเรื่อ และจ้าวซ่านลู่ก็มองออกว่าตอนนี้แม่นางคนงามกำลังขวยเขินตัวเอง
“คะ...คือฉัน...ข้าชื่อซู่หลิงเถียน หรือจะเรียกเถียนเถียนก็ได้ ปะ...ปล่อยได้แล้ว ส่วนมาได้ยังไง ข้าไม่รู้เหมือนกัน ข้านอนอยู่ดีๆ ตื่นมาก็มาโผล่ที่นี่ ว่าแต่ที่นี่ที่ไหน” เธอแหงนเงยหน้าขึ้นถามเขา แล้วจังหวะนั้นเองปลายจมูกของเธอก็ชนกับปลายจมูกโด่งของเขาที่ก้มโน้มลงมาพอดีทันที
อุ๊ย!
“เจ้าช่างสวยยิ่งนักแม่นาง ที่นี่แคว้นหยวน แล้วแม่นางเล่ามาจากที่ใด”
“ขะ...ข้ามาจากตุนหวง” เธอตอบเขาสั้นๆ และประมวลความคิดตามสิ่งที่ได้รับรู้มาแล้วก็เบิกตากว้างเมื่อแคว้นหยวนนั้นล่มสลายไปเมื่อสามร้อยปีที่แล้ว ‘อย่าบอกนะเถียนเถียน เธอย้อนกลับมาในอดีต’ เธอคิดในใจและดิ้นรนขัดขืนในวงแขนแข็งแรงเพื่อหาอิสระให้ตัวเอง
“ตุนหวงคือที่ใดรึ ข้ามิเคยได้ยินเลยเถียนเถียน” ยิ่งได้ฟังแม่นางคนสวยพูดยิ่งงงและคำพูดของนางช่างประหลาดนัก
“นะ...เอ้ย! ท่านชื่ออะไรนะ ข้าลืมแล้วที่บอกเมื่อกี้” เธอดิ้นยังไงก็ดิ้นไม่หลุด ยิ่งดิ้นวงแขนแข็งแรงยิ่งกอดรัดแน่น
“จ้าวซ่านลู่ ข้าชื่อจ้าวซ่านลู่” เขาบอกย้ำนางอีกครั้งพร้อมกับอีกมือที่ถือดาบอยู่ก็ยื่นไปเสียบไว้ในฝักของมันเหมือนเดิม แล้วนำมือมากอดรัดเอวเล็กบางเหมือนมืออีกข้าง
“อือ...นั่นแหละ ท่านปล่อยข้าก่อนได้ไหม เรามาคุยกันก่อนจ้าวซ่านลู่”
“โอเค ฉันรู้แล้วว่านายชื่อจ้าวซ่านลู่ งั้นปล่อยฉันก่อนได้ไหม” ซู่หลิงเถียนเผลอพูดแบบปกติออกมาอีกครั้ง และทำให้คนที่โอบกอดอยู่ด้านหลังมึนงงแม้จะเข้าใจบางคำ แต่ก็ไม่เข้าใจว่าหมายความว่าอย่างไร
“โอเคคืออะไร?” เขาถามนาง เพราะไม่เคยได้ยินมาก่อน
“คือ...ยังไงดีล่ะ หมายความว่าเข้าใจน่ะ นายปล่อยฉันก่อนได้ไหมจ้าวซ่านลู่”
“คุยกันแบบนี้แหละ ข้าชอบกลิ่นตัวเจ้าเถียนเถียน หอมไม่เหมือนหญิงใดที่ข้าเคยได้สูดดม” เขาพูดพร้อมโน้มลงมาแนบปลายจมูกกับซอกคอระหงของนาง
“อือ ยะ...อย่ามาทำแบบนี้นะ ถ้าไม่ปล่อยจะคุยกันได้ยังไง เป็นถึงอ๋องใหญ่ ใช่ไหม อ๋องใหญ่” “อือ...ข้าเป็นอ๋องใหญ่ จวนสิบสี่ และที่นี่ก็จวนข้า และเจ้าก็มาโผล่ที่นี่ ฉะนั้นต่อไปนี้เจ้าคือของข้า เป็นสมบัติของข้า” ว้าย! “ปล่อยนะ ไอ้อ๋องใหญ่จอมหื่น” ซู่หลิงเถียนดิ้นเมื่อถูกยกอุ้มขึ้นแบบไม่ทันได้ตั้งตัว แต่ด้วยความกลัวตกก็กอดรั้งไหล่หนาของเขาไว้ หึหึ อ๋องใหญ่ทำเพียงแค่ยิ้มขำในลำคอแล้วก้าวเดินยาวๆ กลับไปยังเตียงที่นอนก่อนหน้านี้พร้อมกับเหวี่ยงร่างเล็กที่ยกอุ้มลงไปกับเตียง ตุ้บ! “โอ๊ย! ฉันเจ็บนะจ้าวซ่านลู่” เธอบอกเขาพร้อมกับดีดตัวลุกขึ้นเมื่อตั้งตัวได้ก็มองหาทางเอาตัวรอดอีก แต่พอได้มองสบสายตาดุดันเด็ดเดี่ยวของชายตรงหน้าแล้วก็ได้แต่กลืนน้ำลาย เมื่อรู้แล้วว่าตอนนี้ตัวเองข้ามมาอยู่อีกภพอีกมิติหนึ่งของโลก แต่มันจะเป็นไปได้ยังไง หรือนี่คือความฝัน เมื่อคิดได้ดังนั้นก็ลุกขึ้นแล้วเคลื่อนตัวไปหาคนที่ยืนอยู่ปลายเตียงแล้วยกมือขึ้นตวัดเต็มแรงใส่หน้าของอีกฝ่าย เผียะ! หน้าอ๋องใหญ่หันไปตามแรงตบแบบไม่ทันได้ตั้งตัว เขากัดกรามแกร่งแ
ซู่หลิงเถียนนั่งเท้าคางตัวเองที่สวนของจวนสิบสี่ ช่างเหมือนในละครโบราณเหลือเกิน ทุกอย่างสวยงาม ไม่อยากจะเชื่อว่าจะหลุดมาอยู่ในมิติอดีตได้สามสัปดาห์แล้ว ตอนนี้จะว่าไปเธอก็ปรับตัวเป็นคนโบราณไปเต็มตัวแล้วก็ว่าได้ “คุณหนู ท่านอ๋องใหญ่มาเจ้าค่ะ” นี่คือเสียงของหมิงเหนียน สาวใช้คู่ใจที่จ้าวซ่านลู่ให้มาดูแลติดตามเธอจนตอนนี้สนิทสนมกันและเป็นเพื่อนคนเดียวของเธอก็ว่าได้ “อือ...ข้ารู้แล้ว”ปากบอกรู้ แต่ก็ไม่สนใจคนที่มานั่งลงตรงข้ามตัวเองตรงหน้ากลับหยิบกล้วยที่ถาดตรงหน้ามาปอกกินไม่สนใจแล้วก็มองไปทางอื่น ก็อ๋องใหญ่ที่ทุกคนนับถือน่ะตัวดีเลย ชีวิตของเธอมันวุ่นวายเพราะเขา ตอนกลางคืนเขาก็คอยจ้องแต่จะเอาเปรียบตลอด ไหนจะสนมของเขาอีก ที่มาคอยหาเรื่องเธอแทบจะวันเว้นวัน “หมิงเหนียนบอกว่าเจ้าไม่ยอมกินข้าวเช้า” อ๋องใหญ่ถามคนที่สนใจกล้วยในมือมากกว่าตัวเองที่นั่งตรงหน้าของนาง “ก็ข้าไม่หิว” เธอตอบสั้นๆ “ไม่หิวก็ต้องกิน ช่วงนี้เจ้าซูบผอมมากเถียนเถียน” “ก็ข้าไดเอท” เธอตอบแล้ววางกล้วยที่กินยังไม่หมดลงที่เดิม “ไดเอทคืออะไร?” จ้าวซ่านลู่ถามอย่างสงสัย
“แล้วเจ้าจะไปเป็นของใครได้ถ้าไม่ใช่ของข้า เจ้ามาเพื่อเป็นของข้าเถียนเถียน” เขาพูดพร้อมกับเปิดผ้าคลุมหน้าเจ้าสาวสีแดงออกให้อีกฝ่าย “ไม่เป็นของใครทั้งนั้น ไม่ว่าของเจ้าหรือของใคร ข้าก็ไม่เป็นทั้งนั้น” หึหึ “แต่ตอนนี้เจ้าเป็นของข้าแล้วเถียนเถียน เจ้าแต่งงานกับข้าแล้ว” “ท่านบังคับ” “ถ้าเจ้าดื้อไม่ยอม ข้าก็ไม่บังคับ แต่เจ้าก็ยินยอมพร้อมใจแต่งงานเองมิใช่รึ” อ๋องใหญ่เอ่ยเมื่อนึกถึงหลายวันก่อนที่เขาบอกสาวงามที่ตรึงใจตั้งแต่แรกเห็นในกระจกจนตอนนี้มากุมหัวใจที่แข็งกระด้างของเขาไปเสียแล้ว หากนางดื้อไม่ยอม เขาก็จะไม่บังคับ แต่นางยอม แถมไม่โวยวายด้วย “ก็วันนั้นข้าคิดว่าท่านพูดเล่นกับข้า ใครจะคิดว่าวันนี้จะได้แต่งงานจริงๆ ข้ายังไม่อยากแต่งงาน” “แต่ตอนนี้ก็แต่งแล้ว และตอนนี้ก็เป็นเวลาที่เราต้องทำมันด้วยกันแล้วนะเจ้า” “ข้าไม่พร้อม” “แต่ข้าพร้อม เจ้าก็รู้มิใช่รึว่าข้าต้องการเจ้ามากแค่ไหน นอนหลับบนเตียงด้วยกันทุกค่ำคืนแต่ไม่อาจแตะต้องได้ ข้าทรมานมากแค่ไหน เจ้ารู้รึไม่”น้ำเสียงแววตาของเขาที่จดจ้องมายังซู่หลิงเถียนนั้นแสดงคว
จ้าวซ่านลู่มัวเมากับการได้บดจูบปากของแม่นางคนงามของตัวเอง ตอนนี้เขารู้เพียงว่าไม่อาจปล่อยให้นางได้หลุดพ้นคืนนี้ไปได้ คืนนี้เขาต้องได้ครอบครองกายสาวหอมหวานของซู่หลิงเถียน ปากน้อยช่างเจรจาถูกบดจูบควานกินความหวานของโพรงปาก ก่อนจะถอนจูบร้อนออกมาแล้วยกอุ้มร่างเล็กเปราะบางไปยังเตียง “อือ...จะ...จ้าวซ่านลู่ ท่านปล่อยข้าไปได้ไหม” เมื่อถูกยกอุ้มให้นอนไปบนเตียง ตอนนี้เธอหูอื้อตาลายไปหมด และยกมือขึ้นเช็ดถูปากตัวเองแรงๆ จนไม่สนใจว่าลิปสติกสีแดงสวยจะเปื้อน เพราะตอนนี้มันเปื้อนตั้งแต่ถูกคนหื่นบังคับจูบแล้ว เพราะปากของเขาก็แดงไปด้วยสีลิปสติกของเธอเหมือนกัน “หึ! เห็นทีจะไม่ได้แล้วเถียนเถียน ข้าไม่อาจอดทนรอให้เจ้าพร้อมได้อีกแล้ว ข้าจะทำให้เจ้าพร้อมสมยอมเป็นเมียข้าเอง ชายาข้า” หากเธอไม่พร้อม เขานี่แหละอ๋องใหญ่จะทำให้นางพรั่งพร้อมโอนอ่อนร่างกายร้องเรียกหาเขาให้ได้ในคืนนี้ คืนพิเศษที่จะผูกพันเขาและเธอให้อยู่ด้วยกันตลอดกาล “ข้าถามท่านหนึ่งคำถามจะได้รึไม่จ้าวซ่านลู่” “ถามมาสิ ข้าตอบเจ้าได้ทุกคำถาม” “ทำไมถึงอยากครอบครองข้า ทั้งๆ ที่ข้าไม่ได้รักท่าน”
“อ่ะ...อื้อ เจ็บนะ” ความไม่คุ้นชินและแปลกใหม่ทำให้มือเล็กยกมือปัดตีมือใหญ่ออกจากหน้าอกของตัวเอง สองแก้มนวลแดงระเรื่อด้วยความเขินอาย แต่มือใหญ่ก็ดื้อดึงไม่ยอมผละออกกลับดึงมือเธอขึ้นมาจูบเสียด้วยซ้ำ “อือ...อย่าห้ามข้าเลยเถียนเถียน ตอนนี้ข้าไม่อาจหยุดทุกอย่างได้แล้ว เจ้าสวยเช่นนี้ ข้าจะปล่อยไปได้ยังไงกันเล่า ว่าไหมชายาข้า” กาลนี้จ้าวซ่านลู่ได้บอกกับตัวเองไว้แล้วว่าจักมีแค่เพียงนางคนเดียวเท่านั้น หญิงอื่นใดก็เทียบเท่าซู่หลิงเถียนไม่ได้ ปากหนาขบเม้มเคลื่อนไล้ซุกไซ้ซอกคอระหงไล้มายังเนินอกอวบอูม กายสาวของนางเคลื่อนไหวบิดเร่าส่ายหนี แต่กลับเป็นการตอบสนองมากกว่าเมื่อกายของซู่หลิงเถียนนั้นแอ่นเด้งเร่าขึ้นหาตัวเขา แม้ว่านางจะไม่ได้ตั้งใจ แต่ก็เป็นการตอบสนองที่ให้ความร้อนรุ่มดีเหลือเกิน “จ้าวซ่านล่ะ...ท่าน อ่า...อื้อ” เสียงครางกระเส่าหวามไปกับสัมผัสหวามแปลกใหม่ที่อ๋องใหญ่กำลังยัดเยียดให้เธอ มันทำให้ร้อนวูบไหวในอกและท้องน้อย อยากจะผลักไสเขาออกห่าง แต่ก็ยากเหลือเกิน เรี่ยวแรงที่เคยมีมันหดหายไปไหนหมดเธอก็ไม่รู้ “อ่า...เจ้าต้องการข้าแล้วคนงามของข้า อ่า...เ
เมื่อสองกายหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกัน จากความเจ็บปวดที่ท่อนเนื้อมังกรหยกของอ๋องใหญ่สอดแทรกกรีดกรายเข้าไปในกายสาวคับแน่นไร้เดียงสาของซู่หลิงเถียนเปลี่ยนเป็นความปรารถนาซ่านสุขแทนในตอนนี้ และนางก็ปล่อยตัวเองไปกับการชักนำของคนเหนือร่าง จ้าวซ่านลู่ใจเต้นแรงและหัวใจของนางในดวงใจก็เต้นแรงไม่ต่างกัน เสียงหอบหายใจดังถี่สลับกันขึ้นลงของทั้งสองพร้อมเสียงกายเนื้อดังกระทบกระทั่งกันหนักหน่วงเป็นจังหวะสอดกระแทกลึกในกายของแม่นางคนงามทำให้เขาอิ่มเอมในอกจนระบายยิ้มตลอดการเคลื่อนไหวโยกเร่าบดเอวสอบ “อ่า...ชายาข้า อ่า...” พั่บ! พั่บ! พั่บ! ร่างบางขยับพลิกตัวไปมาบนเตียงขับไล่ความปวดเมื่อยของร่างกายพร้อมกับขยับตัวจะลุกขึ้น แต่แล้วก็ต้องสูดปากเจ็บตรงกลางหว่างขาของตัวเองจนต้องเบิกตากว้างตื่นเต็มตาเมื่อภาพเมื่อคืนไหลย้อนเข้ามาในหัว เธอร้องกรี๊ดลั่นตำหนักทันที กรี๊ด! “พระชายาเป็นอะไรรึเจ้าคะ” สาวใช้คนสนิทรีบวิ่งเข้ามาหาทันทีเมื่อนายของตัวเองร้องลั่นห้อง “จ้าวซ่านลู่อยู่ไหนหมิงเหนียน” เธอถามหาตัวต้นเหตุทันที “ท่านอ๋องใหญ่ไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้ในวัง
สองเดือนที่อยู่ที่นี่และอยู่ในตำแหน่งพระชายาของอ๋องใหญ่ ชีวิตเหมือนเรียบง่าย แต่ไม่เลยสักนิด ทุกวันต้องคอยรับมือกับสนมเผยเผย แม้ว่าจ้าวซ่านลู่จะไม่สนใจนาง ไม่ไปค้างกับนาง ไม่เรียกหานาง แต่ก็ยังไม่อาจไว้ใจได้ เพราะขึ้นชื่อว่าผู้ชายไม่มีทางจะรักเดียวใจเดียวได้ และเขาก็ตามติดเธอจนแทบจะหายใจไม่ออก ยามอ๋องเล็กมาก็ชอบพูดขัดตลอด แต่เธอก็ชอบที่เขาหึงหวงเธอกับน้องชายของเขา “หมิงเหนียนถูหลังให้ขาหน่อย” ซู่หลิงเถียนบอกสาวรับใช้ที่ยืนอยู่ด้านหลังให้ถูหลังให้ตัวเอง ตอนนี้เธอนั่งแช่น้ำอุ่นในอ่างอาบน้ำไม้ขนาดใหญ่ในห้องอาบน้ำที่โรยไปด้วยดอกไม้กลิ่นหอม “อือ...นั่นแหละหมิงเหนียน เจ้าดูแลข้าดีจนข้าไม่อยากกลับไปโลกของข้าแล้วนะเนี่ย” ซู่หลิงเถียนพึมพำพร้อมกับยกมือตีน้ำเล่นเมื่อเข้าใจว่าคนที่ถูหลังให้ตัวเองตอนนี้คือหมิงเหนียน “ถูแรงอีกนิดหมิงเหนียน นั่นแหละ ดีมากเลย พรุ่งนี้เราไปตลาดกันไหม ข้าอยากไป คืนนี้ข้าจะขอจ้าวซ่านลู่ให้เขาอนุญาตเราให้ออกไปข้างนอก” เธอพูดพร้อมกับแหงนหน้าเอี้ยวหันมาหาคนข้างหลัง แต่แล้วก็ต้องอ้าปากค้างตาโตเมื่อคนที่ถูหลังให้ไม่ใช่หมิงเหนียน
จวนสิบสี่เต็มไปด้วยความหวาน เมื่อเจ้าของจวนนั้นเต็มไปด้วยความรัก ตอนนี้อ๋องใหญ่นั่งเท้าคางมองดูพระชายาที่กำลังนั่งฝนหมึกให้ตัวเองอยู่ มีนางอยู่ด้วยแล้วเขาจักมีจิตใจทำงานได้อย่างไรเล่า ก็นางคอยส่งยิ้มให้ตลอดยามที่สบตากับเขา “ลู่ลู่ ท่านไม่เขียนต่อแล้วรึ” นางหยุดฝนหมึกถามพระสวามี “ข้าอยากมองเจ้านานๆ” “ก็มองทุกวัน รีบเขียนเถอะ เดี๋ยวต้องไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้แล้วไม่ใช่เหรอ” “ข้าไม่อยากไปเลยยอดดวงใจข้า” มือที่จับพู่กันอยู่ก็ปล่อยวางลงพร้อมยื่นไปจับคางมนของซู่หลิงเถียนแล้วเคลื่อนตัวไปใกล้ชิดพร้อมเชยคางมนเล็กให้เงยขึ้นแล้วโน้มลงมาจูบอ่อนโอน “อื้อ...ท่านน่ะ เดี๋ยวเสี่ยวถังกับหมิงเหนียนมาเห็นเข้าหรอก” “ข้าสั่งแล้ว ไม่มีใครกล้าเข้ามาหรอก ข้าว่า...” “อย่าคิดเชียวนะ” “ข้าคิดอะไร ข้าก็แค่จะชวนเจ้าออกไปเดินเล่นในสวน หรือว่าเจ้าคิดว่า...” “คิดว่าไปเดินเล่นนั่นแหละ ข้าถามท่านได้ไหมลู่ลู่” “เจ้าจะถามอะไรข้าเถียนเถียน” “ท่านรักข้าจริงๆ เหรอ” “ถ้าข้าไม่รักเจ้าจะให้รักใครเล่าเถียนเถียน แล้วเจ้
เมื่อบ้านเมืองสงบ หน้าด่านนอกก็สงบ ตอนนี้ชู่เอ๋อก็ตั้งครรภ์ได้สามเดือน และท่านหญิงหมิงเทียนก็เช่นกัน ทั้งสองเป็นเพื่อนสนิทกันนับตั้งแต่นั้นมา ท่านหญิงหมิงเทียนก็แวะเวียนมาที่จวนอ๋องตู้บ่อยๆ “ท่านอ๋องตู้” ชู่เอ๋อเอ่ยเรียกพระสวามีที่เพิ่งกลับมาจากด่านหน้าเมือง และคล้อยหลังตู้เหลียงเฉิงก็คือบิดาของนาง “ท่านพ่อ” “ชู่เอ๋อเป็นอย่างไรบ้าง ท่านอ๋องตู้บอกว่าเจ้าแพ้ท้องยังมิหาย” ชู่เว่ยเอ่ยถามบุตรสาวที่ตอนนี้อวบอิ่มกว่าแต่ก่อนเพราะเจ้าตัวเล็กในครรภ์ “ก็เพลียเจ้าค่ะท่านพ่อ กินอะไรก็อาเจียน” นางเอ่ยตอบบิดาของนางที่เดินมานั่งเก้าอี้ข้างๆ นาง “ก็อย่างที่ท่านอาจารย์เห็นนั่นแหละ ข้าล่ะสงสารชู่เอ๋อที่ต้องมาลำบากเพราะลูกของข้า หากเป็นไปได้ข้าอยากแพ้ท้องแทนนาง” ตู้เหลียงเฉิงเอ่ย “ท่านอ๋องตู้ก็...มิลำบากหรอกเพคะ หม่อมฉันทนได้
“ชู่เอ๋อ”ตู้เหลียงเฉิงรีบวิ่งไปหาพระชายาที่นั่งคุกเข่ากับพื้นทันที พร้อมกับผลักทหารสองนายที่ยืนขนาบข้างนางออก “ชู่เอ๋อ ข้าขอโทษที่ทำให้เจ้าตกอยู่ในอันตรายเช่นนี้” อ๋องหนุ่มรีบแก้มัดที่มือและผ้าที่ปิดปากนางออกอย่างรวดเร็ว “ข้าจะไม่ทำโทษพวกเจ้า เพราะพวกเจ้าทำตามคำสั่งของท่านหญิง ไสหัวไปซะ ก่อนที่ข้าจะตัดหัวพวกเจ้า” เมื่อให้อิสระแม่ยอดดวงใจแล้วเขาก็หันมาตวาดเสียงแข็งใส่ทหาร และทหารทั้งสองก็รีบไปอย่างรวดเร็วด้วยรู้ดีว่าท่านอ๋องตู้เป็นคนเลือดเย็น “ท่านอ๋องตู้” ชู่เอ๋อโอบกอดชายคนรักแน่น “ปลอดภัยแล้ว ต่อจากนี้เราจะอยู่ด้วยกัน จักไม่มีใครทำร้ายเจ้าได้อีกชู่เอ๋อของพี่” เขาดันนางออกห่างพร้อมพรมจูบดวงหน้างามแล้วมาหยุดที่แก้มนวลเนียนที่ฟกช้ำ “ใครทำเจ้าชายาข้า” “หม่อมฉันโดนท่านหญิงหมิงเทียนตบเพคะ” นางตอบเสีย
ภาพที่ตู้เหลียงเฉิงตวัดดาบตัดหัวของมู่เหลียงเฉิงทำให้หลิงหลิงสาวใช้ของท่านหญิงหมิงเทียนแทบก้าวขาไม่ออก ความโหดเหี้ยมของท่านอ๋องตู้นั้นสังหารพี่ชายเพียงดาบเดียว หลิงหลิงก้าวเท้าออกมาจากที่ซ่อนของตัวเองเดินเข้าไปหาท่านอ๋องตู้ที่กำลังจะเดินไปทางม้าของท่านอ๋อง “เจ้าหลิงหลิง คนของท่านหญิงหมิงเทียนนี่” เขามองไปทางคนที่เดินตัวสั่นมาทางตนเองพร้อมเอ่ยถาม “เพคะท่านอ๋องตู้ หม่อมฉันมาส่งข่าวเพคะ” “ข่าวอะไรของเจ้า” “ท่านหญิงหมิงเทียนให้หม่อมฉันมาทูลท่านอ๋องตู้ว่าตอนนี้พระชายาชู่เอ๋อนั้นอยู่กับท่านหญิงที่ตำหนักเพคะ” นางเอ่ยเสียงสั่นเบาในลำคอ “ขอบใจเจ้าที่มาบอกข้า หากเจ้าไม่มาบอก ข้าคงตามหาพระชายาแบบไร้จุดหมาย” น้ำเสียงเข้มห้าวเอ่ยพร้อมกับเหวี่ยงตัวโหนขึ้นหลังม้า “ฟ่านตง เจ้าเข้าไปในวังหลวงก่อน เราจะไปหาพ
ฮือ!เสียงหอบเหนื่อยของทั้งสองดังขึ้นพร้อมกับสองเท้าหยุดวิ่งเมื่อคิดว่าหนีมาไกลจนปลอดภัยแล้ว แต่แล้วก็ต้องสะดุ้งตัวเกร็งเมื่อมีดาบยื่นมาจากด้านหลังจ่อที่ลำคอของนาง“คิดเหรอว่าจะหนีรอด หากไม่มีเจ้า ท่านพี่อ๋องตู้ก็คงเลือกข้าเป็นพระชายา” เสียงเล็กแหลมดังขึ้นจากด้านหลังพร้อมกับเจ้าของต้นเสียงเดินมาหยุดตรงหน้านาง ชู่เอ๋อมองเจ้าของน้ำเสียงเล็กแหลมน่าเกลียดด้วยความเดือดดาล แต่ทำอะไรไม่ได้เมื่อที่คอมีดาบจ่ออยู่“ทหารจับตัวมันไป” ท่านหญิงหมิงเทียนเอ่ยสั่งทหารของตนเองให้จับชู่เอ๋อและหลันหลงพร้อมสั่งมัดมือมัดปากของทั้งสองก่อนจะพาขึ้นรถม้าตัวเอง“อือ...ยัยท่านหญิง อ่ะ...อื้อ” แล้วเสียงชู่เอ๋อก็หลุดหายไปในลำคอเมื่อมีผ้าปิดปากเผียะ!“ตอนนี้ชีวิตของเจ้าอยู่ในกำมือข้า นังชู่เอ๋อ” มือเล็กตวัดตบหน้าของชู่เอ๋อก่อนจะเดินขึ้นรถม้าตัวเองไปแล้วชู่เอ๋อและสาวใช้ก็ถูกทหารของนางลากดึงขึ้นรถม้าตามหลังไป และทันทีที่ทุกคนขึ้นมาบนรถม้าแล้ว รถม้าก็เคลื่อนตัวไปทันที“หลิงหลิง เจ้าไปดักรอที่หน้าจวนอ๋องตู้เพื่อส่งข่
“ลุย!” ตู้เหลียงเฉิงร้องสั่งทหารของตัวเองและเหล่าแม่ทัพของตัวเองให้บุกโจมตีกบฏในยามเช้ามืดเฮ!เสียงทหารและเสียงม้าศึกได้วิ่งควบบุกเข้าโจมตีค่ายของกบฏด้วยความห้าวหาญ เสียงดาบดังกระทบกันหนักหน่วงพร้อมเสียงร้องโหยหวนของกบฏและทหารที่พลาดพลั้งเสียท่าเพล้ง! ฉัวะ! เพล้ง! ฉัวะ! เสียงคมดาบกระทบกระทั่งกันพร้อมเสียงร้องทรมานของผู้เสียท่า“ท่านอ๋องตู้มิต้องห่วงทางนี้ ท่านนำทหารของเราไปในเมืองจับกุมท่านอ๋องมู่เถอะพ่ะย่ะค่ะ” เสียงเข้มทุ้มของแม่ทัพใหญ่ชู่เว่ยเอ่ยดังขึ้น“งั้นทางนี้ข้าฝากท่านอาจารย์ด้วย ข้ากับฟ่านตงจักไปจับท่านอ๋องมู่ก่อนที่ทางนั้นจะไหวตัวทัน”“พ่ะย่ะค่ะ” ชู่เว่ยรับคำแล้วควบม้าไปร่วมต่อสู้กับทหารคนอื่น“ตามข้ามาฟ่านตง และพวกเจ้าด้วย” เสียงเข้มเอ่ยเหี้ยมพร้อมควบม้าวิ่งไปอีกทางทันที โดยมีฟ่านตงและเหล่าทหารศึกควบม้าวิ่งตามเขาไปกุก กุดุดุก กุดุมู่เหลียงเฉิงไม่รู้เลยว่าตอนนี้ค่ายลับของตัวเองได้ถูกตู้เหลียงเฉิงปราบ
ปึก! เสียงประตูปิดแนบสนิทพร้อมกับเพลิงกามสวาทได้เริ่มบรรเลงขึ้น เมื่อเสื้อผ้าอาภรณ์ของชู่เอ๋อถูกปลดเปลื้องออกด้วยมือของพระสวามี ตู้เหลียงเฉิงปลดเปลื้องอาภรณ์ของนางยอดรักและของตนออกทิ้งแล้วอุ้มนางไปยังเตียงนอนนุ่มที่อยู่ห่างจากหน้าประตูมิไกลนัก “อ่ะ...อื้อ ท่านอ๋องตู้ ท่าน...อ่า...ท่านกำลังแกล้งหม่อมฉันใช่รึไม่เพคะ” ตอนนี้ชู่เอ๋อรู้แล้วว่าแท้จริงแล้วพระสวามีหาได้เกรี้ยวโกรธตัวเองไม่ “หึหึ...ข้าแกล้งอันใดเจ้ายอดรักของข้า” ปากหนาที่เคลื่อนไล้จูบขบเม้มลำคอระหงผละออกมาเอ่ยถามนางในดวงใจ “ก่อนหน้านี้ท่านมิได้โกรธหม่อมฉันใช่รึไม่เพคะ” หึหึ เขาทำเพียงขำตอบ และนั่นก็ยิ่งทำให้ชู่เอ๋อรู้สึกขุ่นเคืองเมื่อโดนอ๋องตู้ร้อยเล่ห์หลอกอีกครั้ง “ท่านมันคนร้อยเล่ห์”&nbs
ชู่เอ๋อที่กำลังนั่งอ่านจดหมายฉบับเก่าๆ วนไปวนมาด้วยความคิดถึงเจ้าของจดหมาย และวันนี้นางก็เฝ้ารอม้าเร็วมาส่งจดหมายของพระสวามี แต่ชะเง้อคอมองประตูของจวน มองแล้วมองอีกก็ยังคงเงียบไม่มีวี่แววว่าจะมีผู้ใดมาเยือนจวนสักคน“คุณหนูไปกินข้าวกันเถอะเจ้าค่ะ หลันหลงเตรียมมื้อเช้าเสร็จแล้วเจ้าค่ะ” หลันหลงเห็นคุณหนูตัวเองตื่นเช้ามารอจดหมายรักจากท่านอ๋องตู้ก็นึกสงสาร เพราะนี่ก็เริ่มสายแล้ว แต่ม้าเร็วยังมินำจดหมายมาส่งสักที“เราไม่หิวหลันหลง เจ้าไปกินเถอะ ไม่ต้องห่วงข้า”“แต่...”“ไม่มีแต่ ไปเถอะหลันหลง ข้าจะนั่งอยู่ที่นี่ไม่ไปไหน”“เจ้าค่ะ งั้นหลันหลงไปนำขนมและน้ำชามาให้คุณหนูนะเจ้าคะ”“อือ...ไปเถอะหลันหลง”นางตอบโดยมิสนใจจะมองสาวใช้ นางหยิบจดหมายฉบับเมื่อวานขึ้นมาอ่านวนซ้ำอีก และตั้งแต่เช้าก็อ่านหลายรอบแล้ว อ่านจนจำเนื้อความในจดหมายได้ขึ้นใจ ด้านหลันหลงมองคุณหนูของตัวเองแล้วก็เดินไปจัดเตรียมขนมน้ำชามาให้คุณหนูเฮ้อ!ผ่านไปนานจนแน่ใจแล้วว่าวันนี้ไม่มีจดหมายจากตู้เหลียงเฉิงแน่นอน นางก็ลุ
“เจ้ามาหาข้าเองชายาข้า จะวันนี้หรือวันพรุ่งนี้ เจ้าก็เป็นของข้าอยู่ดีท่านหญิง มิมีใครมาแย่งเจ้าไปจากข้าได้หรอกทูนหัว อ่ะ...อื้อ” พูดจบเขาก็รั้งท้ายทอยเล็กให้แหงนเงยขึ้นพร้อมทาบทับประกบริมฝีปากหนาบดจูบคลอเคลียกลีบปากอวบฉ่ำสีระเรื่อ“อ่ะ...อื้อ” ริมฝีปากหนาบดเร่าดูดกลืนกลีบปากอ่อนนุ่มของท่านหญิง พร้อมกับมือใหญ่สากกร้านจากการทำศึกจับดาบก็ลูบไล้ไปตามแผ่นหลังของหญิงงามในดวงใจไปด้วย“อ่ะ...อ่อย” แข้งขาของท่านหญิงอ่อนระทวยแทบจะยืนทรงตัวอยู่มิไหวจนต้องจับไหล่หนารั้งร่างตัวเองไว้ เพลานี้นางไม่อาจต่อต้านได้เลย นางทำตัวไม่ถูก และนางก็เกลียดตัวเองยิ่งนักที่เผลอแอ่นเด้งตัวเสียดสีไปกับร่างใหญ่ของมู่เหลียงเฉิง และร้องครางเผลอไผลไปกับจูบน่ารังเกียจ“อ่า...เห็นรึไม่ว่าเจ้าตอบสนองข้าดีแค่ไหนท่านหญิง” ปากหนาผละจูบออกมาเอ่ยเย้ยหยันพร้อมกับช้อนอุ้มนางเดินไปยังเก้าอี้ตัวที่นั่งก่อนหน้านี้แล้วดันร่างน้อยเพรียวระหงของท่านหญิงให้นั่งไปกับเก้าอี้“หม่อมฉันเกลียดท่านอ๋องมู่”“ข้ารู้ว่าในใจเจ้ามีเพียงไอ้อ๋องตู้ แต่เพลานี้ร่างกายของเจ้าเป็นของพี่คนเดียวท่านหญิง” เขาตอบสวนกลับพ
ไม่เคยต้องแยกห่างกันเช่นนี้มาก่อน นี่เป็นครั้งแรกที่ตู้เหลียงเฉิงต้องแยกห่างจากพระชายายอดรักของตนเอง เพราะหน้าที่และความปลอดภัยของนางและของทุกคนในแคว้นเฉิง เขาจึงจำเป็นต้องไปอยู่ที่ค่ายทหาร จนกว่าจะปราบกลุ่มกบฏของมู่เหลียงเฉิงได้ “คิดถึงข้าบ้างนะดวงใจข้า” มือใหญ่สากกร้านลูบไล้แก้มนวลเนียนของพระชายาคนงามที่เดินมาส่งตนเองหน้าจวนอย่างอ้อยอิ่ง “หม่อมฉันจะคิดถึงท่านอ๋องตู้เพคะ” นางตอบอย่างใสซื่อพร้อมแหงนเงยหน้าขึ้นสบตาร่างสูงที่ยืนอยู่ตรงหน้า และตู้เหลียงเฉิงก็อดจะโน้มหน้าลงมาทาบทับริมฝีปากหนากับริมฝีปากอวบอิ่มแสนหวานของนางในดวงใจเสียมิได้ “อ่ะ...อื้อ” เหล่าทหาร สาวใช้ต่างพากันก้มหน้ามองเท้าตัวเองเมื่อนายกำลังสั่งลากันด้วยจูบดูดดื่ม “ท่านอ๋องตู้” นางทุบตีอกของพระสวามีไม่จริงจังนักเมื่ออีกฝ่ายผละจูบออกห่าง “ก็ข้าคิดถึงเจ้านี่ชู่เอ๋อ ไม่รู้ว่าไปคราวนี้จะได้