อินเป็นคนนิ่งเงียบและมักจะไม่ค่อยสุงสิงกับบุคคลอื่นที่เขาไม่สนิท นิสัยส่วนนี้ของเขาคล้ายคลึงกับกันต์เป็นอย่างมาก ทว่าเพื่อนสนิทคนนี้กลับพูดน้อยยิ่งกว่าเขาเสียอีกทำให้อินจำเป็นต้องฝึกทักษะการสื่อสาร รวมถึงทักษะการเข้าสังคมเพิ่มมากขึ้นเพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับสถานการณ์ต่าง ๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นกับพวกเขา
แต่มีอีกหนึ่งสิ่งที่น้อยคนจะได้รับรู้เกี่ยวกับอินคือเขาเป็นคนคิดมาก สมองของเขามักจะมีการประเมินสถานการณ์ คิดวิเคราะห์และประมวลผลหลายสิ่งหลายอย่างอยู่ตลอด จนกว่าจะได้ทางเลือกที่คิดว่าดีที่สุดออกมา ซึ่งอินมักจะตัดสินใจและลงมือทำตามความคิดนั้น สิ่งนี้เป็นสาเหตุที่เขาทำทุกอย่างได้ดีโดยไม่รู้ตัว
เขาทำพฤติกรรมนั้นซ้ำไปซ้ำมาจนมันกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต คนทั่วไปก็มักยกย่องให้อินเป็นบุคคลต้นแบบเพราะเขาใจเย็น สุขุมรอบคอบ น้อยครั้งที่คนอื่นจะได้เห็นความผิดพลาดจากเขา ทุกคนต่างสรรเสริญเยินยอผลลัพธ์ที่ได้ โดยไม่มีใครสนใจว่าเขาทำแบบนั้นได้อย่างไรหรือกระบวนการนั้นต้องผ่านสถานการณ์ที่น่าอึดอัดและหดหู่มากน้อยแค่ไหน
อินหยิบกระเป๋าเป้ใบใหญ่ที่ภายในเต็มไปด้วยเสื้อผ้าสะพายขึ้นบ่าพร้อมถือกระเป๋าใบใหญ่อีกใบที่เตรียมไว้สำหรับเก็บอุปกรณ์ออกกำลังกายไปด้วย สองขายาวกำลังก้าวเดินออกจากประตู ก่อนจะหยุดชะงักเล็กน้อยเหมือนนึกขึ้นได้ว่าลืมทำอะไรบางอย่าง ตอนนั้นเองที่สายตาเหลือบเห็นรูปภาพในกรอบไม้ขนาดเล็กวางอยู่บนโต๊ะใกล้ ๆ ประตู
รูปของเด็กผู้ชายสองคนที่มีใบหน้าเหมือนกันอย่างกับแกะ ยิ้มกว้างและหันมองมาทางกล้อง ร่างกายของทั้งสองมีขนาดใกล้เคียงกัน ทว่าเด็กที่ตัวเล็กกว่ามีแววตาแสนสดใสจนสัมผัสได้ถึงความร่าเริง ขณะที่อีกคนเป็นเจ้าของดวงตาแสนหมองหม่น ใครมองภาพนี้ก็คงคิดเหมือนกันว่าโลกทั้งใบที่เด็กคนนั้นเห็นจะต้องมีแต่สีเทาแน่นอน
อินมองภาพนั้นด้วยสายตาเศร้าเกินจะบรรยายแต่ก็แค่นหัวเราะออกมาเพราะคิดถึงวันที่เขาได้ถ่ายรูปใบนี้ มันน่าแปลกใจมากที่เขาดูเศร้าขนาดนั้นแล้วแต่ก็ยังคงแสร้งยิ้มกว้างจนมีภาพนี้มาใส่ไว้ในกรอบได้ในที่สุด...
“กูไปมหาลัยก่อนนะ” เสียงทุ้มเข้มของอินเปล่งออกมาเบา ๆ ขณะเอื้อมมือจับลูกบิดเปิดประตู มือหนากระชับสายสะพายเป้ให้คล่องตัวขึ้นและขนสัมภาระลงไปชั้นล่าง
ทางด้านกันต์ที่ตอนนี้นั่งกินข้าวเพื่อรออินก็คุยเล่นกับคุณลุงคุณป้าเหมือนทุกที ทว่าคุยกันได้เพียงไม่นานก็เห็นอินเดินลงมาจากชั้นบนพร้อมกระเป๋าใบใหญ่สองใบ กันต์รีบตักข้าวที่เหลือในจานเข้าปากและเอาจานไปล้างทันที ก่อนจะกล่าวลาผู้ใหญ่
“ไอ้อินลงมาละ พวกผมไปก่อนนะครับ ลุงอาร์มป้าฝันสวัสดีครับ” สองมือหนาประกบเข้าหากันและยกขึ้นไหว้ด้วยความรีบร้อน
“ไม่เห็นต้องรีบกินขนาดนั้นเลย ฮ่าฮ่าฮ่า” พ่อหัวเราะร่วนเมื่อเห็นการกระทำของเพื่อนสนิทลูกชาย สงสัยนับวันอินจะยิ่งทำตัวเหมือนคนแก่เข้าไปทุกที เพื่อนถึงได้กลายเป็นแบบนี้
“ไม่ได้หรอกครับลุงอาร์ม เดี๋ยวไอ้อินรอนานแล้วมันมาโมโหผมอีก...มึงรอหน้าบ้านเลย กูไปเอารถแป๊บ” กันต์หันไปตอบโต้คำแซวจากลุงอาร์ม ก่อนจะตะโกนบอกอินที่กำลังนั่งใส่รองเท้าอยู่ พูดเสร็จก็เดินกลับไปขับรถเพื่อมาขนของ
รอเพียงครู่เดียวเท่านั้น รถเก๋งสีแดงก็มาจอดเทียบหน้าประตูบ้าน ฝากระโปรงหลังรถเด้งขึ้นเล็กน้อยเพราะคนขับกดเปิดให้ อินเห็นแบบนั้นก็ยกสัมภาระที่มีเก็บไว้ตรงพื้นที่ว่างทันทีและปิดฝากระโปรงดังเดิม เด็กหนุ่มหันมองพ่อแม่ยืนโบกมือลาอยู่หน้าประตูและก้าวขึ้นรถ
บรรยากาศภายในรถเก๋งคันหรูเต็มไปด้วยความเงียบเชียบเพราะพื้นฐานเด็กหนุ่มทั้งสองคนก็ไม่ค่อยพูดคุยกันอยู่แล้ว อีกอย่างพวกเขาก็ไม่จำเป็นต้องสรรหาหรือหยิบยกเรื่องอะไรขึ้นมาพูดคุยกัน เพียงแค่นั่งรถและขับรถไปอย่างเงียบ ๆ ก็พอแล้ว ปล่อยให้ห้วงเวลานี้ได้ไหลผ่านไป
กว่าที่อินและกันต์จะเดินทางมาจนถึงรั้วมหาลัยฯ ก็ใช้เวลาไปเกือบครึ่งชั่วโมง นี่ขนาดรถไม่ติดนะ ถ้าวันไหนรถติดล่ะไม่อยากคิดสภาพเลยว่าจะต้องใช้เวลานานแค่ไหน
กันต์ขับรถไปจอดในลานจอดรถอย่างเรียบร้อย ขณะเดียวกันอินก็สอดส่องมองหาอาคารประชาสัมพันธ์เพราะอยากสอบถามรายละเอียดของการย้ายเข้าหอพักและดูเหมือนว่าเขาจะเจออาคารที่เป็นเป้าหมายแล้ว
“กูจะลงไปถามเรื่องหอ มึงจะไปด้วยมั้ย” อินปลดล็อกเข็มขัดนิรภัยพลางเอ่ยถามเพื่อนสนิท
“ไม่ไป คุยเสร็จโทรมาละกัน” และคำตอบที่ได้มาจากอีกฝ่ายก็ไม่ต่างจากที่เขาคิดไว้สักเท่าไหร่
บทสนทนาของทั้งคู่จบลงแค่นั้น อินเปิดประตูลงจากรถและเดินตรงไปที่อาคารเบื้องหน้าอย่างรวดเร็ว ก่อนจะเจอเข้ากับผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งน่าจะเป็นบุคลากรของทางมหาลัยฯ เด็กหนุ่มไม่รอช้ารีบกล่าวคำทักทายทันที
“สวัสดีครับ” อินยกมือไหว้อีกฝ่ายพร้อมน้ำเสียงนุ่มทุ้ม
“สวัสดีจ้ะ” ผู้หญิงคนนั้นขานรับแต่มือก็ยังคงทำงานเอกสารของเธอต่อไป เด็กหนุ่มเลยถามสิ่งที่เขาสงสัยออกไปตามตรงเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายเสียเวลา
“ผมเป็นนักศึกษาใหม่ครับ วันนี้จะมาติดต่อเรื่องหอพัก ไม่ทราบว่าต้องติดต่อที่ไหนครับ” คำพูดคำจาที่แสนสุภาพช่วยสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้อินอย่างไม่รู้ตัว
“นักศึกษามาติดต่อหอพักสำหรับเด็กปีหนึ่ง ซึ่งเป็นหอทั่วไปหรือติดต่อหอพักสำหรับนักเรียนทุนจ้ะ พอดีทั้งสองส่วนนี้ต้องติดต่อแยกกันจ้ะ” เธอตอบกลับด้วยน้ำเสียงสดใส ทว่ารายละเอียดที่เธอได้บอกมานั้นทำให้เด็กหนุ่มรับรู้ว่า นักศึกษาที่เข้ามาเรียนในมหาลัยฯ แห่งนี้จะได้รับสวัสดิการที่แตกต่างกันตั้งแต่เริ่มต้นเลย
“ผมเป็นนักเรียนทุนครับ” อินตอบกลับด้วยเสียงทุ้มเข้มปนขุ่นเคือง เขารู้สึกว่าการที่หอพักแยกกันแบบนี้อาจจะได้รับสิทธิพิเศษอะไรบางอย่างจากการเป็นนักเรียนทุน...ซึ่งเขาไม่ชอบใจเอาเสียเลยแต่ก็ทำอะไรไม่ได้
“นักเรียนทุนสินะ นักศึกษาขับรถไปทางนั้นนะจ้ะ ขับตรงไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะเจออาคารสีฟ้า อาคารนั้นเป็นหอพักสำหรับนักเรียนทุนจ้ะ ติดต่ออาจารย์ประจำหอที่ห้องพนักงานตรงชั้นหนึ่งได้เลยนะ” อีกฝ่ายเงยหน้าขึ้นมาจากกองเอกสารและชี้นิ้วไปยังทางที่จะต้องไป ก่อนยกยิ้มให้เล็กน้อย
“ขอบคุณมากครับ” อินก้มหัวให้อีกฝ่ายเพื่อเป็นการขอบคุณและเดินกลับไปที่รถทันที
“อ้าว ทำไมไม่โทรมา” กันต์ที่รออยู่ในรถเอ่ยถามเมื่อเห็นเพื่อนสนิทเดินขึ้นรถแทนที่จะโทรหาเขาตามที่คุยกันไว้
“ขับไปทางนั้นจนเจออาคารสีฟ้า” อินเลือกจะไม่ตอบคำถามและพูดพลางชี้นิ้วไปตามทางที่เขารับรู้มา ก่อนจะเอื้อมมือคาดเข็มขัดนิรภัยโดยอัตโนมัติ กันต์พยักหน้ารับรู้และขับรถไปตามเส้นทางที่อีกฝ่ายบอก ทว่าตอนนี้เขารู้สึกได้ถึงรังสีบางอย่างจากคนข้าง ๆ
“นี่มึงหงุดหงิดอะไรรึเปล่า” เด็กหนุ่มผิวแทนถามไถ่น้ำเสียงเป็นห่วง
“นิดหน่อย” อินเผลอขมวดคิ้วหงุดหงิดพลางคิดว่าเพื่อนสนิทเขาไม่ได้ทำอะไรผิดสักหน่อย ทำไมตัวเองถึงตอบอีกฝ่ายเสียงห้วนแบบนี้
“อยากคุยมั้ยอ่ะ” แต่กันต์ที่เข้าใจก็ไม่ได้ว่าอะไรแถมยังชวนคุยต่อ อินถอนหายใจเล็กน้อยก่อนจะระบายสิ่งที่คิดออกมา
“หอพักของนักศึกษาใหม่กับหอพักนักเรียนทุน แยกอาคารกัน”
“แล้วไง” คิ้วเข้มของกันต์เลิกขึ้นและหันมองอีกฝ่าย เขาไม่เข้าใจว่าเรื่องนี้เป็นปัญหาตรงไหน ก่อนจะต้องร้องอ๋อเมื่อได้ยินคำตอบ
“แค่รู้สึกเหมือนได้รับสิทธิพิเศษ”
“คิดมากไปรึเปล่า หอนักเรียนทุนอาจจะแย่กว่าหอเด็กใหม่ก็ได้” ทันทีที่ได้ฟังคำพูดของกันต์ อินก็ปลดแอกความรู้สึกขุ่นเคืองในใจทิ้งไปและไม่คิดมากอีก ก็จริงอย่างที่ไอ้กันต์พูด อีกอย่างตอนนี้เราก็ไม่รู้ว่าหอเด็กทุนเป็นยังไง และแล้วสายตาของอินก็เห็นอาคารสีฟ้าเด่นตระหง่านอยู่ไม่ไกล
“อืม...นั่น น่าจะอาคารนั้น มึงไปจอดหน้าอาคารเลย พี่เค้าบอกว่าต้องคุยกับอาจารย์ประจำหอที่ชั้นล่าง”
“รับทราบ” กันต์ตอบรับด้วยน้ำเสียงติดเล่นเท่าที่จะทำได้เพราะความจริงแล้วเขาก็ไม่ใช่คนตลกอะไร เพียงแต่ไม่อยากให้อีกฝ่ายคิดมากกับเรื่องสิทธิพิเศษของหอพักก็เท่านั้น
รถเก๋งสีแดงจอดเทียบหน้าอาคาร ความแวววาวของรถสะท้อนแสงจนแสบตาไปหมด ทำเอาคนที่เดินผ่านไปผ่านมาถึงขั้นต้องหันกลับมามอง ซึ่งคนเหล่านั้นก็น่าจะเป็นนักศึกษาที่มาติดต่อเรื่องหอพักด้วยเหมือนกัน ขณะที่กลุ่มคนบางส่วนสวมชุดทางการน่าจะเป็นบุคลากรของทางมหาลัยฯ
เสียงฮือฮาดังขึ้นทันที เมื่อร่างสูงใหญ่ของเด็กหนุ่มทั้งสองคนก้าวขาลงจากรถ ทางฝั่งคนขับเป็นเด็กหนุ่มผิวแทนรูปร่างสมส่วนมีกล้ามเนื้อพอประมาณ กรอบหน้าชัดเจนเห็นสันกราม มองไกล ๆ ยังรู้เลยว่าหุ่นนักกีฬา
ตั้งแต่ใบหูลามมาถึงติ่งหูมีการเจาะรูทั้งสองข้างรวมกันแล้วหลายสิบรู แถมมีนัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มแสนดุดัน เมื่อมองรวมกับคิ้วหนาและริมฝีปากสีคล้ำตามพันธุกรรมยิ่งทำให้ดูน่าเกรงขามขึ้นทวีคูณ
ส่วนอีกคนเป็นเด็กหนุ่มผิวขาว ร่างกายมีกล้ามเนื้อที่ดูดีไม่แพ้กัน ก้าวขาลงมาจากฝั่งที่นั่งข้างคนขับ เส้นผมสีดำสนิทถูกตัดสั้นจนเผยให้เห็นใบหน้าหล่อเหลาของเด็กหนุ่ม สันจมูกโด่งสอดรับกับดวงตาคมสีน้ำตาลเข้มที่สร้างความหวาดหวั่นและน่ากลัวในเวลาเดียวกัน
อินไม่ให้ความสนใจกับสายตาของผู้คนรอบข้างที่มองมายังพวกเขาเลยแม้แต่น้อย เด็กหนุ่มหยิบสัมภาระจากหลังรถและเดินเข้าอาคารทันที สายตาก็คอยสอดส่องหาบุคคลที่น่าจะเป็นอาจารย์ประจำหอ ทว่าเขาเห็นเพียงกลุ่มนักศึกษาที่กำลังยืนออกันอยู่ตรงโต๊ะด้านหน้าเท่านั้น“นักศึกษาทุกคนใจเย็น ๆ ก่อนนะครับ ถอยหลังออกไปหน่อยครับ รบกวนเว้นระยะห่างและไม่ยืนออกันหน้าโต๊ะนะครับ” เสียงผู้ชายคนหนึ่งดังขึ้นท่ามกลางความวุ่นวาย ดูจากการแต่งกายก็รู้ได้ทันทีว่าอีกฝ่ายคงเป็นอาจารย์ประจำหอแห่งนี้“โห่จารย์ ทำไมช้าจัง ผมจะได้อยู่ห้องไหนเนี่ย” เสียงหนุ่มนักศึกษาคนหนึ่งตะโกนพร้อมแสดงความไม่พอใจ“นั่นสิ จารย์รีบแปะเลขห้องหน่อย ตอนเย็นผมมีนัดกับสาว ๆ ค้าบ” ก่อนที่หนุ่มนักศึกษาอีกคนจะตะโกนตาม การกระทำนั้นสร้างความรำคาญต่อเพื่อนนักศึกษาท่านอื่นไม่น้อย จนกระทั่งนักศึกษาหญิงคนหนึ่งทนไม่ไหว“นักศึกษาชายตรงนั้นเลิกทำตัวเหมือนลิงเถอะค่ะ ส่งเสียงดังเอะอะโวยวายอยู่ได้ไม่เกรงใจคนอื่นเลย” น้ำเสียงและคำพูดแสนจิกกัดของเธอกระแทกกระทั้นคนฟังเป็นอย่างมากทำให้อีกฝ่ายพูดจาเสียดแทงกลับมา“นี่แม่คุณ อย่างเธออ่ะคงไม่มีนัดกับผู้ชายสินะ ถึงได้มีเวลารอทั
พวกคุณเคยรู้สึกเหนื่อยกันมั้ยครับ เหนื่อยที่จะต้องใช้ชีวิตต่อไป เหนื่อยที่จะต้องคอยแบกรับหรือรับมือความรู้สึกต่าง ๆ ที่กำลังถาโถมเข้ามา เหนื่อยที่ต้องก้าวไปบนเส้นทางที่คนรอบข้างคาดหวังให้เดิน ผมเหนื่อยครับแต่ผมก็ยังเลือกที่จะอยู่บนความเหนื่อยนี้ โดยบอกตัวเองว่าเอาวะ ไม่เป็นไร ผมมีความสุขดี ผมไหว ผมทำได้เพียงภาวนาว่าโลกสีครามใบนี้คงไม่ใจร้ายกับผมเท่าไหร่...แล้วผมก็ใช้ชีวิตแบบนั้นเรื่อยมา...จนกระทั่งมีเหตุการณ์หนึ่งเกิดขึ้นกับผม นับเป็นวันแห่งการสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ ความรู้สึกเสียใจจู่โจมเข้ามาราวกับคลื่นสึนามิที่สาดซัดเข้าฝั่ง ผมสูญเสียตัวตนมากขึ้นเรื่อย ๆ หัวใจก็แสนบอบช้ำเกินทน แสงสว่างที่กำลังเปล่งประกายและต่อชีวิตให้ผม พังทลายลงในพริบตา หลงเหลือไว้เพียงความมืดมิดและความว่างเปล่าอีกครั้งความเศร้าโศก ความหม่นหมองคอยกัดกินจิตใจของผมไปทีละน้อยแต่ผมคงเก็บอาการได้ดีมากเกินไปจนทำให้ใครหลายคนมองว่าผมเข้มแข็ง น่าขำที่ความจริง ผมไม่เคยฉีกยิ้มกว้างเพราะมีความสุขจากก้นบึ้งหัวใจเลย ทุกวันนี้ผมยังคงหอบหิ้วความรู้สึกสีเทาพวกนั้นไว้ แบกขึ้นบ่าและพยายามใช้ชีวิตต่อไปท่ามกลางความสุขและตัวตนจอมปลอมที
“อินลงมากินข้าวได้แล้วนะลูก” เสียงหญิงสาวผู้เป็นแม่ตะโกนเรียกลูกชายด้วยน้ำเสียงแสนอ่อนโยนพร้อมยกเมนูต้มยำกุ้งวางลงบนโต๊ะกินข้าว ขณะที่ผู้เป็นพ่อนั่งอยู่หัวโต๊ะ เปิดหนังสือพิมพ์รายวันอ่านอย่างสบายใจและจิบกาแฟรสชาติโปรดเด็กหนุ่มวัยสิบเก้าเดินลงมาจากชั้นสองทันทีที่ได้ยินเสียงแม่เรียก เขาเป็นเด็กที่มีรูปร่างสูงใหญ่ กล้ามเนื้อแน่นพอประมาณถูกปกปิดไว้ภายใต้เสื้อนักศึกษาสีขาวที่รีดมาเป็นอย่างดี อีกทั้งกางเกงทรงหลวมสีดำที่สวมอยู่ก็ช่างเข้าคู่กัน แค่มองก็รู้ว่าเขาเป็นนักศึกษาวัยใสนัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มที่มองเผิน ๆ จะเห็นเป็นสีดำมองตรงไปยังโต๊ะกินข้าวที่อยู่เบื้องหน้า บนโต๊ะนั้นเต็มไปด้วยอาหารหลากหลายเมนู มือหนาเลื่อนเก้าอี้ตรงที่นั่งประจำออกเล็กน้อย ก่อนจะถอดกระเป๋าสะพายใบโปรดแขวนไว้ที่พนักพิงและตรงดิ่งไปที่หม้อข้าว“วันนี้จะไปมหาลัยเหรอลูกให้พ่อไปส่งมั้ย” เสียงทุ้มของพ่อถามขึ้นขณะเดียวกันก็มองลูกชายกำลังตักข้าวสวยร้อน ๆ ใส่จานและวางไว้บนโต๊ะให้ครบตามจำนวนคน“ไม่เป็นไรพ่อ วันนี้อินกะว่าจะไปทำความสะอาดห้องไว้ก่อนเฉย ๆ ไม่ได้จะขนของหรืออะไรไปนะแต่ถึงจะต้องขนของจริง ๆ พ่อก็ไม่ต้องห่วง อินคุยกับไอ้ก