“อะ...อื้ออ~...เฮ้ย! เริ่มมืดแล้วนี่! กี่โมงแล้ว!” เสียงบิดขี้เกียจดังขึ้น ก่อนจะตามมาด้วยเสียงเอะอะโวยวายตามเอกลักษณ์ของเจ้าตัว
“สองทุ่มสิบสามนาที” อินที่กำลังวิดพื้นอยู่ข้างเตียงตอบกลับทันทีเพราะตอนนี้เขาจับเวลาในออกกำลังกายอยู่
“...สะ...สองทุ่ม!!!” ตะโกนอีกแล้ว ตอนเด็กกินโทรโข่งเข้าไปรึไงนะถึงได้ตะเบ็งเสียงเก่งขนาดนี้ อยากถามจริง ๆ ว่าไม่รู้สึกเจ็บคอบ้างเลยเหรอ
“มึงจะตะโกนทำไมเนี่ย มันรบกวนข้างห้อง” หมี่ลุกขึ้นจากเตียงและเดินตรงมาหาเด็กหนุ่ม
“ก็คุยกันแล้วนี่! ว่าจะไปซื้อเห-” อินรีบพุ่งตรงไปปิดปากคนตัวเล็กในเสี้ยววินาทีก่อนที่อีกฝ่ายจะพูดคำว่าเหล้าออกมาเพราะกลัวว่าข้างห้องอาจได้ยินเสียงของพวกเขา ด้วยแรงที่อินพุ่งหาหมี่บวกกับน้ำหนักตัวของอินทำให้คนตัวเล็กไม่อาจต้านทานไว้อยู่จนทั้งคู่เซล้มไปบนเตียง
“ชู่ว! อย่าพูดคำนั้นออกมานะ” โชคดีที่อินพลิกตัวทันเลยใช้ร่างกายของตัวเองรองรับแรงกระแทกแทนหมี่ มือขวาก็เผลอคว้าเอวอีกฝ้ายไว้แน่น
“อื้ออ อื้ออ” หมี่เบิกตากว้างเพราะตกใจและเริ่มดิ้นไปมาภายใต้ท่อนแขนที่โอบรัดรอบเอวบางของตัวเอง
“ไปซื้อตอนนี้ก็ยังทันน่า จะโวยวายทำไม” อาจเป็นเพราะตอนนี้ร่างกายของเด็กหนุ่มทั้งสองคนแนบชิดกันมากกว่าปกติทำให้หมี่ได้ยินเสียงทุ้มเข้มของอินดังใกล้หูมาก...มากจนคนตัวเล็กต้องยอมรับว่านอกจากจะหน้าตาหล่อแล้ว เสียงไอ้ยักษ์ก็ยังหล่อมากอีกด้วย
“อื้ออ! อื้อออ!” ทว่าสิ่งที่แย่ที่สุดในตอนนี้คือหมี่กำลังจะหมดอากาศหายใจ มือเล็ก ๆ ทั้งสองข้างจิกดึงมือหนาที่ปิดหน้าตัวเองออกอย่างสุดแรง ก่อนจะเปลี่ยนเป็นใช้กำปั้นทุบแขนของอีกฝ่าย อินที่รับรู้แล้วว่าคนตัวเล็กอยากให้ปล่อยมือก็ยื่นข้อเสนอเพื่อขอสงบศึก
“จะปล่อยมือแล้วนะ อย่าเสียงดังล่ะ”
“เฮือก! แฮ่กก แฮ่กก” หมี่สูดลมหายใจเฮือกใหญ่เมื่อได้เป็นอิสระและดีดตัวขึ้นมานั่งเพื่อให้ตัวเองกลับมาหายใจอย่างปกติ อินที่เห็นอีกฝ่ายนั่งหอบจนหน้าแดงก็อดรู้สึกผิดไม่ได้และตั้งใจว่าครั้งถัดไปเขาจะเบามือกับอีกฝ่ายให้มากกว่านี้ (?)
“กูกะว่าจะปิดแค่ปากแต่มือกูใหญ่เลยดันปิดจมูกไปด้วย โทษที” อินก้มหัวเล็กน้อยพลางยกมือเกาท้ายทอยขณะพูดขอโทษอีกฝ่าย
“ไม่ใช่แค่ปากกับจมูก...แต่มือมึงปิดทั้งหน้ากูเลย!” หมี่หันกลับไปมองอินหมายจะด่าทอต่ออีกสักหน่อยให้สาแก่ใจแต่กลับต้องหยุดชะงักทันทีเพราะตอนนี้ใบหน้าของทั้งสองคนอยู่ห่างกันเพียงไม่กี่เซนติเมตรเท่านั้น
ก่อนหน้านี้อินออกกำลังกายโดยไม่ใส่เสื้อทำให้ตอนนี้เขาอยู่ในสภาพเปลือยท่อนบน ตามเนื้อตัวก็มีเหงื่อหลงเหลืออยู่ กล้ามเนื้อแขนและช่วงอกที่สมกับเป็นนักกีฬานั้นเผยให้คนตัวเล็กได้เห็นอย่างเต็มตา ไหนจะมัดกล้ามเนื้อตรงช่วงท้องที่เป็นลอนราวกับก้อนขนมปังนั่นอีก หมี่ที่นั่งอยู่ตรงหว่างขาของอินพอดิบพอดีก็เป็นอะไรที่ล่อแหลมเกินจะรับไหว
“ขอโทษ” อีกครั้งแล้วที่อินพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนนุ่มพร้อมโน้มตัวลงมาหาคนตัวเล็กเพราะกลัวว่าอีกฝ่ายจะไม่ได้ยิน จนจมูกของทั้งสองคนเกือบจะชนกันอยู่แล้ว ซึ่งอินไม่รู้ตัวเลยว่าการกระทำของเขาในครั้งนี้เป็นสาเหตุที่ทำให้หัวใจของคนตรงหน้าเริ่มใจสั่น
ตึกตัก~ ตึกตัก~
เสียงอะไรน่ะ
อินที่ได้ยินเสียงอะไรบางอย่างดังขึ้นก็อดนึกสงสัยไม่ได้ ทว่าเขาไม่ทันจะได้เงียบฟังหรือมองหาต้นตอของเสียงก็พบว่าคนตัวเล็กเริ่มหน้าแดงอีกครั้งและขยับตัวยุกยิกไปมา จนอินเผลอเอื้อมมือออกไปเพื่อจะแตะตัวอีกฝ่าย
“คะ...คือ รีบไปซื้อเห- เอ่ออ รีบไปร้านค้ากันดีกว่า!” เสียงเล็กแหลมของหมี่ที่เอ่ยชวนไปซื้อของทำให้ทั้งคู่หลุดออกจากสถานการณ์อันตรายครั้งนี้ไปได้และเรียกสติของอินให้กลับมาด้วย
เด็กหนุ่มรีบลงจากเตียงของคนตัวเล็กทันทีพลางคิดทบทวนว่าเมื่อกี้เขาตั้งใจจะทำอะไรกับอีกฝ่ายกันแน่ วินาทีนั้นเขามองว่าใบหน้าขาวอมชมพูของอีกฝ่ายกลายเป็นสีแดงระเรื่อดูน่ารักดีเลยเผลอยื่นมือออกไปโดยไม่รู้ตัว บ้าแล้ว นี่เขาเป็นอะไรไป!
ทางด้านหมี่ที่รู้ตัวว่าเผลอหวั่นไหวให้กับการกระทำของอินก็สับสนและลนลานไปหมดจนต้องรีบยกเรื่องซื้อเหล้าขึ้นมาอ้าง ในใจก็ได้แต่หวังว่าไม่ให้อีกฝ่ายได้ยินเสียงหัวใจที่เต้นระรัวของเขาเมื่อกี้นี้ นี่มันเกิดอะไรขึ้น! ทำไมไอ้ยักษ์ถึงทำให้เขาใจเต้นแรงได้ขนาดนี้!
.
.
.
กว่าที่เด็กหนุ่มทั้งสองจะเดินจากห้องพักไปถึงร้านค้าก็เสียเวลาไปหลายนาที แถมยังมีเรื่องไม่คาดฝันเกิดขึ้นอีกด้วย เรื่องแรกคือแม่ค้าขอดูบัตรประชาชนของหมี่เพราะไม่เชื่อว่าเขาอายุถึงเกณฑ์ที่ได้รับอนุญาตให้ซื้อแอลกอฮอล์แล้ว นั่นทำให้หมี่หัวเสียเล็กน้อยเพราะเกือบไม่ได้ซื้อเหล้าเบียร์แต่ก็อดรู้สึกดีใจไม่ได้ที่แม่ค้ามองว่าเขาหน้าเด็ก
อินกลัวว่าจะเสียเวลาไปมากกว่านี้ก็เดินมาเจรจาจนสำเร็จและนี่คือเรื่องไม่คาดฝันที่สอง แม่ค้ารีบหยิบเบียร์ทั้งหมดใส่ถุงพร้อมแถมกับแกล้มให้ ก่อนจะพูดตบท้ายว่า ‘ไอ้หนู เอ็งโดนพี่ชายบังคับให้มาซื้อก็ไม่บอก ส่วนเอ็งโตเป็นพี่คนแล้วทีหลังก็มาซื้อเองสิ’ ทำเอาทั้งคู่หน้าเหวอไปตาม ๆ กัน
การเดินมาซื้อเบียร์ไม่ยากเท่าการเอาเบียร์กลับห้อง อินรู้สึกขนลุกและเสียวสันหลังกับการทำผิดครั้งแรกในชีวิตจนเผลอสะดุดขาตัวเองไปบ้าง เดินชนขอบประตูทางเข้ามหาลัยฯ ไปบ้างแต่ก็ยังเก๊กขรึมไว้ได้อยู่ ต่างจากคนตัวเล็กที่เดินตัวปลิวและตอนนี้กำลังกลั้นขำจนไหล่สั่น
ถึงห้องแล้ว หมี่ไม่ลังเลที่จะล็อกประตูและรีบเดินไปนั่งจุ้มปุ๊กอยู่กลางห้อง ก่อนจะฉีกยิ้มกว้างพร้อมโยกตัวไปมาอย่างกับเด็กที่มีความสุข อินทำได้แค่นั่งตามและเปิดกระป๋องเบียร์ยื่นให้อีกฝ่าย
กินหมดไปเพียงแค่กระป๋องเดียวเท่านั้น คนตัวเล็กก็เริ่มแปรสภาพจากคนกลายเป็นงู นอนเลื้อยไปเลื้อยมา พูดจาไม่ได้สติ อินถึงกับกุมขมับและส่ายหัวให้ความดันทุรังของอีกฝ่าย
“มึงเคยกินแอลกอฮอล์มั้ยเนี่ย” อินที่เห็นสภาพของหมี่ก็ถามออกไปด้วยความเป็นห่วงเพราะตอนนี้คนตัวเล็กกินเบียร์หมดไปสองกระป๋องแล้วจากทั้งหมดสี่กระป๋อง
“กูเพิ่ง...อึก...เคยกินเบียร์...เอิ้ก...ครั้งแรกก...” น้ำเสียงปนสะอึกของคนตัวเล็กที่ตอบกลับมายิ่งทำให้เด็กหนุ่มปวดหัวเข้าไปใหญ่
“เวรละ” ก่อนจะเผลอสบถออกมาเมื่อเห็นมือเล็กเอื้อมมาหยิบเบียร์ของเขาไปและยกขึ้นดื่มอย่างเอาเป็นเอาตาย
“มึงอ่ะ...อึก...กระดกเข้...อึก...เข้าไปเซ้!” ทว่าคนตัวเล็กดูเหมือนจะไม่กังวลเลยว่าตอนนี้ตัวเองตกอยู่ในสภาพไหนแถมยังมีการเชิญชวนให้อินดื่มต่ออีกต่างหาก
“อย่าเสียงดังสิ...มึงเมาแล้วนะ” อินห้ามปรามคนตัวเล็กเสียงเบา ก่อนจะเตือนอกฝ่ายให้กลับมามีสติ
“ไม่มาวว ยังด้ายอยู่วว” คนเมาย่อมบอกว่าตัวเองไม่เมา อินเพิ่งได้เข้าใจความหมายที่แท้จริงของประโยคนี้ก็วันนี้แหละ
“พอเถอะ นี่กระป๋องที่สามแล้วนะ” พูดจบอินก็คว้าเบียร์ที่อยู่ในมืออีกฝ่ายออก เด็กหนุ่มไม่อยากให้สถานการณ์เกินความควบคุมไปมากกว่านี้
“มึง...อึก...มะ...มีน้องใช่ม้ายยย...อึก!” จู่ ๆ คนตัวเล็กก็พูดโพล่งขึ้นมา ประโยคนั้นทำให้อินหยุดชะงักไป นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มแสนดุดันเริ่มวูบไหวและหม่นหมองลง
“เงียบทำมายยย~” เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเงียบไปหมี่ก็เริ่มเลื้อยไปหา ก่อนจะคืบคลานขึ้นไปบนตักแกร่ง แต่ด้วยความมึนเมาจึงทำได้เพียงไถหัวตัวเองไปต้นขาของอีกฝ่ายเท่านั้น
อินเผลอสะดุ้งเล็กน้อยที่คนตัวเล็กเลื้อยมานอนหนุนตักเขาทำเอาไม่กล้าขยับตัวเลย เด็กหนุ่มทำได้แค่นั่งนิ่งเป็นรูปปั้นแข็งทื่ออยู่ตรงนี้ จังหวะที่อินกำลังจะก้มลงไปบอกให้อีกฝ่ายลุกขึ้น คนตัวเล็กก็เงยหน้ามามองเขาพอดีพร้อมส่งสายตาหยาดเยิ้มแถมยังยิ้มกว้างพลางหัวเราะชอบใจ
ในเมื่ออีกฝ่ายชอบทำตัวแบบนี้เป็นใครมาเห็นก็คงปฏิเสธไม่ลงหรอก เด็กหนุ่มเก็บความคิดนี้ที่ผุดขึ้นมาในสมองไว้ในใจ ตอนนี้ไม่ว่าจะเป็นคำถามหรือการนอนหนุนตัก เขาก็คงคัดค้านอะไรอีกฝ่ายไม่ได้...
“อืม กูมีน้องชาย”
“ว่าแล้ว! อึก...มึงอ่ะ...อึก!...ชอบทำตัวเหมือนพี่ชาย” คนตัวเล็กพูดเสียงดัง ก่อนจะชี้นิ้วใส่อินและจิ้มไปที่ต้นแขนแกร่งของเขาราวกับเด็กน้อยที่ดีใจเมื่อคาดเดาอะไรบางอย่างถูกต้อง
“เดี๋ยวกูพาไปล้างหน้าดีกว่าจะได้สร่างเมา” อินที่เริ่มรู้สึกว่าอีกฝ่ายไม่มีสติและอาจจะเผลอพูดอะไรที่ตัวเองไม่อยากพูดออกมาจึงเสนอวิธีช่วยให้อีกฝ่ายสร่างเมาเพื่อควบคุมสติไว้
“กูก็...อึก...มีพี่ชาย” แต่คงไม่ทันแล้วเพราะต่อให้พาไปคนตัวเล็กล้างหน้า อีกฝ่ายก็คงพูดในสิ่งที่ตัวเองอยากพูดออกมาอยู่ดี
“...” อินเลือกที่จะไม่ตอบอะไรเพราะเขาจะถือว่าตัวเองไม่ได้ยินและไม่ได้รับรู้เรื่องอะไรจากอีกฝ่ายทั้งนั้น แขนแกร่งของเขาพยุงร่างกายของคนตัวเล็กให้ลุกขึ้นและตรงไปห้องน้ำ
“พี่อ่ะ...ชอบทำหน้าเครียด! อึก...เหมือนแบกโลกทั้งใบไว้คนเดียว!...เหมือนมึง...เลย...” คนตัวเล็กที่อยู่ภายในวงแขนยังคงระบายเรื่องราวในใจออกมา ขณะเดียวกันก็เดินเซจนเกือบจะล้ม
“ยืนดี ๆ ใกล้ถึงห้องน้ำแล้ว” อินอดไม่ได้ที่จะเอ็ดใส่คนตัวเล็กและกระชับวงแขนที่โอบรอบเอวบางให้แน่นขึ้น พลางคิดว่าถ้าทำลูกเค้าล้มลงหัวแตกตอนนี้ตัวเองอาจจะลำบากในภายภาคหน้า
“มีอะไรในใจ...อึก...ก็ไม่เคยพูด...ใครมันจะไปเข้าใจวะ!”
“...” อินไม่รู้แล้วว่าประโยคที่คนตัวเล็กพูดออกมานั้นหมายถึงพี่ชายหรือหมายถึงเขากันแน่ ก่อนจะได้ยินเสียงพูดพึมพำจากอีกฝ่าย
“กูจะ...อุบ!...”
“อะไรนะ” อินได้ยินไม่ชัดเลยย่อตัวลงและยื่นหน้าเข้าไปฟังใกล้ ๆ
อุก อ้วกกกกก!!!!
อุก อ้วกกกกก!!!!“เฮ้ย!” ชัดเจน สิ่งที่พวยพุ่งออกมาจากปากของคนตัวเล็กถือเป็นคำตอบอย่างดีให้กับคำถามของเขาเศษอาหารที่หมี่อาเจียนออกมานั้นทำให้รู้เลยว่าก่อนหน้านี้อีกฝ่ายกินอะไรเข้าไปบ้าง แถมตอนนี้สิ่งพวกนั้นก็เปรอะเปื้อนไปทั่วเสื้อยืดแขนสั้นสีขาวตัวโปรดของเขาอีกด้วย โอ้โห กลิ่นก็สุดจะบรรยายทำเอาอินหลุดสบถออกมาอีกจนได้“ไอ้หมี่! มึงนี่มันตัววุ่นวายของจริงเลยว่ะ ทำไมกูต้องมาเจออะไรแบบนี้จากคนอื่นที่ไม่ใช่คนในครอบครัวด้วยวะ” ถึงแม้ว่าหมี่จะอ้วกใส่แต่อินก็ไม่ปล่อยมือที่โอบเอวบางไว้ เด็กหนุ่มยกมืออีกข้างขึ้นเสยผมเผยให้เห็นเส้นเลือดที่ปูดขึ้นตรงขมับท้ายที่สุดแล้วอินก็พาหมี่ไปอ้วกในห้องน้ำได้สำเร็จและรีบออกมาเช็ดอ้วกที่เลอะเทอะหน้าประตูห้องน้ำ ก่อนที่เด็กหนุ่มจะถือวิสาสะถอดเสื้อเปื้อนอ้วกของอีกฝ่ายออกและหยิบผ้าขนหนูชุบน้ำ เช็ดไปตามเนื้อตัวของคนตัวเล็ก วินาทีที่ความเย็นจากผ้าขนหนูอันเปียกชุ่มสัมผัสร่างกายสีขาวอมชมพูก็ทำเอาคนตัวเล็กสะดุ้งเล็กน้อยพร้อมขนลุกชูชันมือหนาลูบไล้ผ้าเปียกไปตามส่วนต่าง ๆ พลางสอดส
...“โอ๊ยยย ปวดหัวจัง” หมี่ตื่นขึ้นมาในเช้าที่แสนสดใสพร้อมกับร่างกายที่แสนปวดร้าว นี่เมื่อคืนเขากินเบียร์ไปมากขนาดไหนถึงได้ปวดหัวจะเป็นจะตายขนาดนี้ จังหวะที่หมี่กำลังสะลึมสะลืออยู่นั้นก็เห็นร่างใหญ่โตของรูมเมทนอนฟุบอยู่ข้างเตียง“เฮ้ย!ทำไมมึงมานั่งหลับอยู่ตรงนี้เนี่ย” เสียงเล็กแหลมอุทานขึ้นเสียงดังด้วยความตกใจ ก่อนจะยกมือขึ้นปิดปากตัวเองเพื่อเบาเสียงลง“เอ๊ะ! นั่นกระเป๋าตังไอ้อินเหรอ...” ขณะที่หมี่เริ่มมีอาการเลิ่กลั่ก สายตาดันเหลือบไปเห็นวัตถุสีดำที่หล่นอยู่ข้างตัวอีกฝ่าย ด้วยความอยากรู้อยากเห็นที่ค่อย ๆ ก่อตัวขึ้นในใจ มือเล็กก็เอื้อมไปหยิบสิ่งนั้นขึ้นมาสำรวจอย่างช้า ๆ และระวังไม่ให้อีกฝ่ายตื่นกระเป๋าสตางค์สีดำสนิทที่หมี่คิดเองเออเองว่าน่าจะเป็นหนังแท้มีตราสัญลักษณ์เป็นรูปปีกนางฟ้าสีเงินวาววับมุมขวาล่าง เปิดออกปุ๊บก็เห็นบัตรประจำตัวประชาชนของอีกฝ่ายที่เสียบไว้ในช่องขวามือ หมี่เลยถือวิสาสะหยิบบัตรออกมาดู“เกิดวันที่หนึ่งกันยายน เห้ย!ไอ้ยักษ์อายุน้อยกว่ากูอีกเหรอเนี
เดือนแรกของการเป็นนักศึกษาชั้นปีที่หนึ่งในรั้วมหาลัยฯ ผ่านไปอย่างรวดเร็วราวกับเป็นเรื่องโกหก หมี่ที่ทำการเปิดตัวด้วยความอลังการจากสโลแกนและท่ากระตุกเป้าเขย่าไข่ในวันงานกิจกรรมรับน้องก็มีเพื่อนนักศึกษาและรุ่นพี่มากหน้าหลายตาให้ความสนใจและเข้ามาทำความรู้จักเป็นจำนวนมากซึ่งปรากฎการณ์นี้เจ้าตัวก็ชอบอกชอบใจ เขาคิดไปเองว่าทุกคนเข้าหาเพราะเบ้าหน้าอันหล่อเหลาของตัวเอง แต่ความจริงคือทุกคนเข้าหาเพราะความร่าเริงแจ่มใสและความตลกเฮฮาของหมี่ต่างหากอีกด้านหนึ่ง อินที่อยากใช้ชีวิตด้วยความเรียบง่าย สบาย ๆ และไม่อยากเป็นดาวเด่นหรือเป็นที่สนใจของใครทั้งนั้น กลับไม่ได้อยู่อย่างสงบสุขตามที่คาดหวังไว้เพราะเหตุการณ์จากวันงานกิจกรรมรับน้องเช่นเดียวกันในทุกวันเด็กหนุ่มจะตื่นนอนตั้งแต่ตีสี่เพื่อออกมายืดเส้นยืดสาย อบอุ่นร่างกายและเริ่มวิ่งเหยาะ ๆ ไปยังสวนสาธารณะที่อยู่ใกล้มหาลัยฯ เมื่อมาถึงสระน้ำกลางสวนก็พักยืดเหยียดแขนขาอีกครั้ง ก่อนจะเริ่มวิ่งกลับและแวะซื้อมื้อเช้ากลับไปกินที่ห้องกว่าจะถึงห้องก็ราว ๆ หกโมงกว่าเพราะต้องรอข้าวอยู่หลายนาที ร้านข้าวมันไก่เจ้านี้คนแน
การเรียนและการสอบย่อยในรายวิชาต่าง ๆ ค่อนข้างถาโถมรุมเร้าแต่อินและกันต์ก็ผ่านมาได้ จนกระทั่งมาถึงวันเสาร์ที่พวกรุ่นพี่ตั้งตารอคอยเพราะวันนี้เป็นวันรับน้องสายรหัสของคณะวิทยาศาสตร์การกีฬา งานนี้เป็นงานเล็ก ๆ ถูกจัดขึ้นในห้องวีไอพีของร้านเหล้า YY ซึ่งเป็นห้องคาราโอเกะที่อยู่ลึกเข้าไปในร้าน หลบเลี่ยงเสียงครื้นเครง เสียงดนตรีและกลิ่นบุหรี่ได้ดีเด็กหนุ่มสองคนเดินเข้ามาในร้านก็เจอกับผู้ชายคนหนึ่งคาดว่าน่าจะเป็นพนักงานรักษาความปลอดภัยของทางร้าน ด้วยความเป็นเด็กใหม่ที่ยังไม่เคยมาร้านนี้อินก็เข้าไปสอบถามเรื่องห้องวีไอพีที่รุ่นพี่บอกมาทันที เมื่อได้คำตอบว่าห้องอยู่ตรงไหนก็เดินตรงไปทางนั้นอย่างไม่ลังเลก๊อก! ก๊อก!!อินเคาะประตูตามมารยาท ก่อนจะมีรุ่นพี่คนหนึ่งเดินมาเปิดประตู รุ่นพี่คนนี้ชื่อโชนเป็นนักศึกษาชั้นปีที่สามและเป็นพี่สายรหัสของไอ้กันต์ มองเข้าไปในห้องก็เห็นรุ่นพี่ผู้ชายอีกคนนั่งเสียบสายลำโพงและไมโครโฟนอยู่ไม่ไกล พี่คนนั้นชื่อแต้มและนั่นคือพี่สายรหัสของอิน“มาาา นั่งกันตามสบายเลย มาเร็วเหมือนกันนะเนี่ย” พ
ก๊อก! ก๊อก!ถึงแม้ว่าในวินาทีแรกกันต์จะคิดสงสัยว่าหมี่คือใครแต่ตอนนี้เขายืนอยู่หน้าห้องพักก็แปลว่าอีกฝ่ายคงเป็นรูมเมทของไอ้อินแหละ ชื่อหมี่เหรอ จะเป็นคนแบบไหนนะ ทว่าไม่ทันได้คิดอะไรต่อ คิ้วเข้มก็เริ่มย่นเข้าหากันเพราะผ่านไปหลายนาทีแล้วก็ไม่มีวี่แววว่าจะมีใครมาเปิดประตูก๊อก!!! ก๊อก!!! ก๊อก!!!กันต์ที่เริ่มหงุดหงิดเพราะเขาทั้งหนัก ทั้งเหนื่อยแถมยังมีอาการกรึ่มเมาเล็กน้อยก็ออกแรงทุบประตูหนัก ๆ ไปอีกสามทีเผื่อที่เคาะไปก่อนหน้านี้คนในห้องจะไม่ได้ยิน ในที่สุดก็มีเสียงขานรับมาจากในห้อง“กำลังไปค้าบบบ...ใครมาเคาะประตูเอาป่านนี้วะ” ขานรับไม่พอยังมีเสียงบ่นอุบอิบเล็ดลอดมาให้ได้ยินอีกต่างหาก“อ้าว ไอ้ยักษ์” ทันทีที่ประตูเปิดออกก็เห็นผู้ชายร่างเล็กคนหนึ่งชี้นิ้วมาที่ไอ้อินพร้อมชื่อเรียกที่ทำให้กันต์ได้แต่งุนงง“เปิดประตูกว้างหน่อย มันหนัก” เด็กหนุ่มผิวแทนผู้ซึ่งไม่ชอบการพูดคุยกับคนแปลกหน้าเป็นทุนเดิมอยู่แล้วก็เลือกพูดจุดประสงค์ของตัวเองให้อีกฝ่ายเข้าใจง่ายที่สุด จะได้ไม่ต้องต
“กูคิดถึงมึง ถ้าตอนนี้มีมึงอยู่...คงดีกว่านี้” การที่ใครสักคนจะพูดประโยคนี้ออกมาในช่วงที่เขากำลังขาดสติอยู่นั้น แปลว่าเขาเจ็บปวดมากแต่ไม่สามารถพูดสิ่งนี้ขณะที่ยังมีสติอยู่ได้“กูไม่อยากโตเลย ชีวิตวัยเด็กที่มีมึง กูมีความสุขมาก” สีหน้าของอินเต็มไปด้วยความรู้สึกอัดอั้นตันใจ เขาไม่เคยได้ระบายตะกอนที่จมลึกอยู่ในก้นบึ้งหัวใจดวงนี้ให้ใครได้รับรู้“กูจะเป็นนักกีฬาว่ายน้ำเพื่อมึงนะ...อัน...” ยิ่งฟังก็ยิ่งรู้สึกปวดหนึบไปในอกเพราะมันทำให้รู้ว่าเด็กหนุ่มไม่เคยทำเพื่อตัวเองเลย เขาใช้ชีวิตเพื่อน้องชายเสมอมา...และจะทำแบบนี้ตลอดไป“มันยังละเมออยู่อีกเหรอวะเนี่ย” หมี่ที่เห็นว่าอินนอนขยับปากเหมือนกำลังพูดอะไรสักอย่างก็เดินเข้าไปหาอีกฝ่าย ก่อนจะยกเท้าถีบไปที่ต้นขาหนาของอิน“เห้ย! ไอ้ยักษ์มีสติยัง ไหนบอกคอแข็งไง”“หมี่~” คนตัวเล็กหัวใจเต้นรัวเพราะรู้สึกแปลกที่อีกฝ่ายเรียกชื่อเขาด้วยน้ำเสียงแหบพร่า ไม่แน่บางทีเขาอาจจะเมากลิ่นเหล้าที่ติดตัวไอ้ยักษ์มา...หัวใจเลยเต้นแรงแบบนี้&ld
“แล้วสรุปเรื่องเราคุยกันวันก่อน มึงว่าไง” จู่ ๆ อินก็พูดเปิดประเด็นขึ้นมา หมี่ที่กำลังคิดเรื่องอื่นอยู่ก็ถึงกับงง“หะ?”“หะ อะไร” เด็กหนุ่มมองอีกฝ่าย นี่อย่าบอกนะว่าหมี่ลืมเรื่องวันนั้นไปแล้ว ไม่อยากเชื่อเลยว่าคนเราจะขี้ลืมได้ง่ายขนาดนี้“คุยเรื่องอะไรวะ” นั่นไง สีหน้าเหรอหรานั่นเป็นหลักฐานชั้นดีที่บอกว่าคนตัวเล็กลืมเรื่องนั้นไปแล้วจริง ๆ“เรื่องที่มึงบอกว่าเราต้องหากิจกรรมทำร่วมกันบ้าง ทำขนมกินกัน ไม่ก็ไปเดินเล่น ไปเที่ยวห้างดูหนังอะไรสักอย่าง” ลำบากอินต้องมานั่งรื้อฟื้นความทรงจำให้ใหม่อีก“อ๋อออ เรื่องนั้นเอง~”“ไม่ต้องมาอ๋อเลย เรื่องนั้นมึงเป็นคนเปิดหัวข้อมาเองนะ สรุปว่าไง” เด็กหนุ่มเฝ้ารอคำตอบจากคนต้นคิด“ก็นั่นแหละ แบบว่าเราอยู่ห้องเดียวกันแต่ตลอดอาทิตย์ที่ผ่านมาหรือช่วงก่อนหน้านี้เราไม่ค่อยได้คุยกันเลย กูรู้สึกเหมือนกูอยู่ตัวคนเดียวอ่ะ กูไม่ชอบความรู้สึกนั้น” อินรู้สึกเจ็บในอกเล็กน้อยเพราะเขาก็เคยรู้สึกแบบนี้ตอนอยู่ที่บ้
และแล้วเวลาก็ผ่านล่วงเลยมาจนถึงวันหยุดสุดสัปดาห์นี้ที่อินรอคอย หมี่บอกว่าจะสอนทำขนมจีนน้ำเงี้ยว เด็กหนุ่มที่ไม่ได้กินเมนูนี้มานานแล้วก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกตื่นเต้น พวกเขานั่งรถบัสไปห้างสรรพสินค้า AA เหมือนเดิมเพื่อเลือกซื้อวัตถุดิบสำหรับเมนูแสนอร่อย“ต้องซื้อของเยอะมั้ย”“ไม่เยอะนะ กูจดมาละ” มือบางล้วงเข้ากระเป๋ากางเกงและหยิบเศษกระดาษแสนยับยู่ยี่ขึ้นมาคลี่ออก ก่อนจะยื่นให้เด็กหนุ่มอ่าน ทันทีที่เห็นตัวอักษรขยุกขยิกราวไก่เขี่ย อินก็หันมองหน้าคนตัวเล็กพร้อมความคิดที่แทรกเข้ามาในสมองสองอย่างอย่างแรกคือลายมืออะไรของมัน อ่านไม่ออกเลยสักนิด แม้จะเพ่งสายตาก็มองไม่ออกว่าอักษรตัวนี้เป็น ก.ไก่ หรือ ท.ทหาร แล้วตัวนั้นอีกล่ะ เขาต้องอ่านเป็น น.หนู หรือ บ.ใบไม้ส่วนอย่างที่สองคือไอ้คำว่า ‘ไม่เยอะนะ’ ของอีกฝ่ายนี่หมายความว่ายังไงเพราะเท่าที่เด็กหนุ่มมองรายการส่วนผสมทั้งหมดที่เขียนไว้ในกระดาษแบบผ่านตาก็น่าจะราว ๆ เกือบสามสิบอย่างแล้ว“อันนี้คือไม่เยอะเหรอ”“ช่ายยยย เมนูอื่นที่ใช้วัต
ชีวิตของเด็กหนุ่มทั้งสองก็ดำเนินต่อไป ผ่านเรื่องราวสุขทุกข์แต่ก็ยังคงจับมือกันและฝันฝ่าทุกอย่างไปได้จนมาถึงวันนี้ วันที่ทั้งสองคนเรียนจบและเข้ารับปริญญาทุกคนต่างก็มีเป้าหมายและเดินไปตามเส้นทางที่ตัวเองเลือกกันต์เรียนจบช้ากว่าพวกเขาไปหนึ่งเทอมแต่ก็ยังโชคดีที่เด็กหนุ่มขยันและติดตามงานจนเรียนจบมาได้ซึ่งแน่นอนว่าเส้นทางที่เขาเลือกเดินคือการไปทำงานต่างประเทศร่วมกับแม่ เด็กหนุ่มตัดสินใจประกาศปล่อยขายบ้าน ตอนนั้นเองที่หมี่คุยกับพี่ชายของตัวเองว่าอยากให้ช่วยซื้อบ้านหลังนี้ จะได้ย้ายมาอยู่ใกล้ ๆ กันแมนก็กลับไปคิดทบทวนอยู่หลายวันเพราะการย้ายบ้านเป็นเรื่องใหญ่สำหรับเขา ทั้งข้าวของเครื่องใช้ ทั้งการเดินทางและเรื่องการเงิน อีกอย่างตอนนี้เขาไม่ได้เป็นโสดแล้ว ย่อมต้องปรึกษาคนรักท้ายที่สุดแล้วแมนก็ตัดสินใจซื้อบ้านหลังนั้นพร้อมพาแฟนมาอยู่ด้วยกัน หมี่มีความสุขมากที่เห็นพี่ชายมีคนรักที่ดี คนตัวเล็กรู้สึกชอบว่าที่พี่สะใภ้ตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้เห็น พี่กวางทั้งสวยทั้งน่ารัก ทำงานเก่ง นิสัยดีแถมยังชวนหมี่ทำอาหารด้วยกันบ่อยมากซึ่งแน่นอนว่าตอนนี้หมี่ก็ได้เดินตามเส้นทางของตัวเองเหมือนกัน เขาไปสมัครงานที่ร้
และแล้วช่วงเวลาก็ผ่านพ้นไปจนใกล้จะสิ้นปีอีกครั้ง ตอนนี้ทุกคนก็ใกล้จะจบการศึกษากันแล้ว ทว่ากิจกรรมที่หมี่อยากลองทำร่วมกับอินมาโดยตลอดคือการแต่งตัวในวันฮัลโลวีน“นะ มึงเบ้าหน้าดีจะตาย แต่งตัวคู่กับกูหน่อยไม่ได้เหรอ” น้ำเสียงออดอ้อนแกมเว้าวอนดังมาจากหมี่“ไม่เอา” อินที่ฟังประโยคนี้มาร่วมสัปดาห์ก็เริ่มรู้สึกท้อใจแทนคนตัวเล็กแต่เขาไม่อยากแต่งตัวแฟนตาซี จะให้ทำยังไงได้“โธ่! ปีหน้าก็เรียนจบกันแล้ว ขอแค่นี้ก็ไม่ได้!” จากการอ้อนก็เปลี่ยนเป็นประชดประชัน ซึ่งแน่นอนว่าคนอย่างอินเหรอจะยอม“เฮ้อ ก็ได้” และใช่ เขายอม“จริงนะ!” หมี่กระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจ สาเหตุที่เขาชวนอินทำกิจกรรมร่วมกันไว้วันนี้เป็นเพราะรู้สึกเบื่อ นี่ถ้าพ่ออาร์มกับแม่ฝันอยู่บ้านคนตัวเล็กคงอ้อนผู้ใหญ่มากกว่าชวนร่างสูงทำอะไรแบบนี้“แค่ครั้งนี้ครั้งเดียวนะ” อินที่ตอบตกลงก็พูดต่อ เด็กหนุ่มไม่อยากจะนับเลยว่าเขาพูดไอ้คำว่า ‘แค่ครั้งเดียว’ กับอีกฝ่ายไปกี่ล้านครั้งแล้ว ทว่าหมี่ที่เอาแต่คิดรังสรรเรื่องเครื่องแต่งกายก็ไม่ได้ฟังเลยแม้แต่น้อย“แล้วเราจะแต่งไปหลอกใครดี” ปากเล็กขยับขอความคิดเห็นจากคนรักด้วยท่าทีตื่นเต้น ต่างจากอินที่คิ้วขมว
“ไปเล่นน้ำกันนนนน” หมี่สดใสร่าเริงแต่หัววันเพราะวันนี้เป็นวันสงกรานต์และทางมหาลัยฯ ได้จัดสถานที่สำหรับสาดน้ำไว้ให้นักศึกษาและชาวบ้านในละแวกใกล้เคียง“ไปเปลี่ยนชุด” ทว่าขาของคนตัวเล็กก็ต้องหยุดชะงักทันทีเมื่อได้ยินเสียงทักท้วงเรื่องเครื่องแต่งกาย“เปลี่ยนทำไม ชุดนี้แหละได้แล้ว” คนตัวเล็กก้มมองชุดที่ตัวเองสวมอยู่ เสื้อยืดสีขาวเนื้อผ้าบางโปร่งโล่งสบาย กางเกงขาสั้นพร้อมลุยน้ำ สายคล้องคอสำหรับใส่มือถือกันเปียกน้ำ อุปกรณ์ก็พร้อมลุยแล้ว จะให้เปลี่ยนทำไม“จะไปเปลี่ยนเองหรือจะให้กูเปลี่ยนให้” แต่อินก็ยังคงยืนยันที่จะให้คนรักไปเปลี่ยนชุด เขาเป็นผู้ชายมากกว่าอีกฝ่ายและรู้ดีว่าชุดนี้มันล่อแหลม อันตรายมากขนาดไหน“กู! ไม่! เปลี่ยน!” หมี่ปฏิเสธเสียงแข็งและดึงดันที่จะใส่ชุดนี้ไปให้ได้ อินที่ทนไม่ไหวก็กำลังจะเอื้อมมือไปคว้าตัวอีกฝ่ายมาเปลี่ยนชุดก๊อก!! ก๊อก!! ก๊อก!!“ไอ้หมี่เสร็จยัง! แห้วรออยู่ข้างล่าง!” ตอนนั้นเองก็มีเสียงเคาะประตูตามมาด้วยเสียงเรียกจากบั๊มดังแทรกเข้ามา“เออ! เพื่อนมารอแล้วเห็นมั้ย รีบไปปป” คนตัวเล็กฉวยโอกาสนี้ดดันร่างสูงของอินตรงไปที่ประตู“ก็ได้” เด็กหนุ่มที่รับรู้ได้ว่าหมี่คงไม่ยอ
“แห้ว เรามีเรื่องจะปรึกษา” หมี่นั่งลงข้าง ๆ เพื่อนสาวเพียงคนเดียวที่เขามีพลางกระซิบกระซาบเสียงเบาเพราะตอนนี้พวกเขาอยู่ในห้องสมุดของทางมหาลัยฯ“เรื่องอะไรเหรอหมี่” หญิงสาวหันมองเพื่อนแสนแสบด้วยสายตาสงสัย“ปกติวันวาเลนไทน์ต้องซื้ออะไรให้คนรักเหรอ ไม่เอาพวกชอกโกแลตหรือของกินนะ” ได้ยินคำถามแล้วแห้วก็ยิ้มอ่อนทันที“ก็ของขวัญทั่วไปแหละ หมี่จะซื้อของให้อินเหรอ”“ใช่ คราวก่อนซื้อกำไลข้อมือไปให้ตอนปีใหม่อ่ะ” คนตัวเล็กพยักหน้างึกงัก ก่อนจะหน้าแดงเมื่อพูดถึงเรื่องนั้น“ซื้อกำไลให้...แล้วทำไมต้องหน้าแดงด้วยล่ะ” นั่นยิ่งสร้างความฉงนให้กับเพื่อนสาว“ก็...ช่างเถอะ แห้วล่ะ วันวาเลนไทน์นี้จะซื้อของให้บั๊มมั้ย” ในเมื่อเขาไม่อยากนึกถึงเรื่องค่ำคืนแลกของขวัญวันปีใหม่ก็มีแต่จะต้องเบี่ยงประเด็นเท่านั้น“เราทำเค้กให้น่ะ” แห้วตอบกลับแกมเขินอายพลางอมยิ้มเล็กน้อย ต่างจากหมี่ที่หน้าซีดหน้าเซียวเป็นไก่ต้ม“เค้กเหรอ ไม่เอาเค้ก!”“หมี่จะตะโกนทำไมเนี่ย เราตกใจหมดเลย” เพื่อนสาวถึงกับสะดุ้งโหยงเพราะจู่ ๆ คนตัวเล็กก็ตะโกนออกมาเสียงดังลั่น“ขะ ขอโทษ คือเรา...เราไม่อยากทำเค้กน่ะ” โอ๊ย! ให้ตายสิ สมองน้อย ๆ ของไอ้หมี่ อย่
“หมี่ ปีใหม่นี้ไปเที่ยวกันมั้ย” เสียงทุ้มของอินเอ่ยถามคนรักอย่างแผ่วเบา ตอนนี้พวกเขากำลังจัดตกแต่งบ้านเพื่อเตรียมต้อนรับช่วงเทศกาลปีใหม่ที่จะมาถึงในอีกไม่กี่วันนี้“เที่ยวที่ไหน” คนตัวเล็กตอบพลางแปะแผ่น ‘สวัสดีปีใหม่’ ตรงขอบประตูหน้าบ้าน“ไม่รู้ อยากไปไหนรึเปล่า” เด็กหนุ่มตอบแบบขอไปทีเพราะเขาไม่ได้วางแผนอะไรไว้เลย...แค่อยากลองชวนหมี่ไปเที่ยวเท่านั้น“ขี้เกียจอ่ะ” ตอบเสร็จ คนตัวเล็กก็เท้าสะเอวยืนชื่นชมผลงานของตัวเอง ก่อนจะค่อย ๆ ก้าวลงจากเก้าอี้ที่อินช่วยจับไว้ให้“ไปสวนสนุกมั้ย กูเห็นคนไปกันเยอะเลย”“ร้อนจะตาย ไม่ไป” หมี่หน้ายู่เมื่อคิดถึงสภาพอากาศที่ร้อนระอุขนาดนี้ในพื้นที่ที่มีผู้คนแออัด“แต่กูอยากทำกิจกรรมร่วมกับมึงไง” ดวงตาสีคาราเมลของคนตัวเล็กเบิกกว้าง ไม่คิดเลยว่าจะมีวันที่อีกฝ่ายพูดกับตนแบบนี้“เอ๊ะ? เมื่อก่อนกูเป็นคนพูดคำนี้นะ ทำไมเดี๋ยวนี้กลายเป็นมึงพูดแทนล่ะ” แค่คิดว่าทุกวันนี้ไอ้ยักษ์หลงตัวเองหัวปักหัวปำก็เขินจนตัวบิดเป็นเกลียว“เออน่า สรุปไปมั้ย” อินถามย้ำอีกครั้ง เขารู้ดีว่าตัวเองติดอีกฝ่ายงอมแงมมากแค่ไหนก็ยังใจแข็งไม่พูดออกไป“ไม่ไป” เมื่อได้ยินคนรักปฏิเสธเสียงแข็งก็ทำอะ
งานวันเกิดของหมี่เพิ่งผ่านไปไม่ถึงเดือน ก็ถึงงานวันเกิดของแฝดอย่างอินและอันต่อ ซึ่งหลายคนเห็นพ้องตรงกันว่าอยากจัดงานเล็ก ๆ แบบเดิม โดยงานนี้จะมัดรวมวันเกิดของกันต์ไว้ด้วยเด็กหนุ่มผิวแทนก็ไม่บ่นอะไรเพราะวันเกิดของเขาถัดไปอีกแค่สามวันเท่านั้น ดีซะอีกที่เขาไม่ต้องทำอะไรเยอะ แค่มาช่วยงานที่บ้านลุงอาร์มป้าฝันก็พอและถึงแม้ว่างานนี้จะไม่มีอันแล้วแต่ทกุคนก็ยังคงคิดถึงเขาอยู่เสมอ อินรู้สึกดีที่ได้งานวันเกิดปีนี้เขามีคนรักเพิ่มเติมมาด้วยและเขาก็รับรู้ว่าตัวเองมีความสุขมากกว่าทุกปีที่ผ่านมา เด็กหนุ่มยิ้มให้ภาพของแฝดน้องที่ติดอยู่บนฝาผนัง ก่อนจะเดินไปหาหมี่ในครัว“สอนกูทำเค้กหน่อย” เสียงทุ้มของอินขอความช่วยเหลือจากคนรักเด็กหนุ่มคิดมาตั้งแต่งานวันเกิดหมี่แล้วว่าเขาอยากทำเค้กให้คนสำคัญได้กิน แต่ตอนนั้นถ้าบอกให้คนตัวเล็กสอนมีหวังความลับรั่วไหลกันพอดี เลยต้องอุบเงียบเอาไว้ก่อน ทว่าตอนนี้ถือเป็นโอกาสเหมาะที่จะได้ลองแล้ว“หะ? อารมณ์ไหนของมึงเนี่ย” คนตัวเล็กที่กำลังล้างจานอยู่ ถึงกับหันควับมามองหน้าแฟนหนุ่มของตน“กูอยากลองทำเค้กให้พ่อกับแม่กิน” อินตอบอย่างที่ใจคิด ถึงแม้ว่าลึก ๆ แล้วเขาเพียงแค่อยากใช
“พี่แมนเสร็จรึยังง” เสียงเจื้อยแจ้วของหมี่ตะโกนเรียกพี่ชายที่ยังไม่ออกมาจากตัวบ้านและปล่อยให้เขายืนรออยู่ที่รถ“เสร็จแล้ว ๆ เร่งจังเลยนะเรา” พี่ชายก็โผล่ออกมาด้วยท่าทีลุกลี้ลุกลนเพราะน้องชายเรียกหาทุก ๆ ห้านาที“ก็หมี่ไม่อยากให้พ่ออาร์มกับแม่ฝันรอนานนี่นา ถึงหมี่จะเป็นเจ้าของงานวันเกิดแต่หมี่เองก็ต้องไปช่วยแม่เตรียมของกินนะ” ว่าพลางยกมือขึ้นเท้าสะเอวและเบ้ปากไม่พอใจ“จ้าาา ขึ้นแท่นเป็นลูกรักคนโปรดเขารึยังอ่ะ” แมนเห็นน้องชายเป็นแบบนี้ก็ขอแซวแซะไปหนึ่งกรุบ“พี่แมนพูดอะไรเนี่ย! แม่ฝันยกให้หมี่เป็นลูกรักแค่คนเดียว! ไม่ต้องแข่งกับใคร! ส่วนไอ้อันอ่ะขึ้นแท่นไปแล้วเราไม่พูดถึง” เรื่องนี้หมี่ขอมั่นหน้า หมี่จะไม่ยอมให้ใครได้เป็นลูกรักของพ่อแม่อีกต่อไปพี่ชายก็ได้แต่ส่ายหัวให้กับความคิดแสนเด็กน้อยนั้น“น้องชายใครเนี่ยน่าหมั่นไส้จริง ๆ” ว่าแล้วทั้งคู่ก็ขึ้นรถและมุ่งหน้าไปยังบ้านของอินความจริงแล้ววันนี้ยังไม่ถึงวันเกิดของหมี่ ทว่าเจ้าตัวเสนอจัดงานวันเกิดล่วงหน้าที่บ้านนั้นเพราะวันจริงเขาต้องไปเที่ยวกับอิน อีกทั้งยังได้โอกาสเหมาะชวนพี่แมน พี่ชายสุดที่รัก ผู้ซึ่งเป็นทั้งพ่อ แม่และพี่ชายของเขาไปบ้านอ
...ท่ามกลางบรรยากาศที่ห้อมล้อมไปด้วยความอบอุ่น ช่วงก็เวลาล่วงเลยผ่านไปวันแล้ววันเล่า ทว่าทั้งคู่ก็ยังสามารถประคับประคองความสัมพันธ์ครั้งนี้ได้อย่างดีเยี่ยมนอกเหนือจากเรื่องความรักของอินและหมี่ ก็มีเรื่องของคนตัวเล็กและพี่ชายที่นับวันจะยิ่งเข้าใจกันมากขึ้น ตอนนี้พี่แมนเข้าถึงง่ายกว่าเมื่อก่อนเยอะมากและดูเหมือนว่าพี่จะมีแฟนด้วย ไม่คิดเลยว่าจะได้เห็นพี่ชายในมุมคลั่งรักใครสักคนทางด้านครอบครัวของอิน นับตั้งแต่มีการคุยเปิดอกกันในตอนนั้น ทุกคนก็มีความสุขตลอดมาและมีการทำกิจกรรมร่วมกันเพื่อสร้างความทรงจำที่ดีเช่น การให้พ่อและอินเป็นเชฟทำกับข้าวในช่วงวันหยุด โดยมีแม่และหมี่คอยยืนดูพร้อมทั้งเอาใจช่วยอยู่ห่าง ๆ หรือกิจกรรมไปเที่ยว ซึ่งแน่นอนว่าหมี่ก็ติดสอยห้อยตามไปทุกที่เพิ่มเติมคือตอนนี้น้าเกดกลับจากการทำงานต่างประเทศและได้มาดูแลลูกชายอย่างเต็มที่แล้ว กันต์เองก็เข้ารับการรักษาต่อเนื่องจนเรียกได้ว่าสามารถกลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติแล้ว แถมยังมาบ้านอินบ่อยขึ้นกว่าแต่ก่อนอีกด้วยและวันนี้ก็เช่นกันวันนี้เป็นวันครบรอบการจากไป
“หมี่” เสียงเรียกชื่อจากคนรักเบาบางจนเกือบไม่ได้ยิน ทว่าร่างกายของทั้งสองคนแนบชิดติดกันมากพอที่จะทำให้ทั้งคู่ได้ยินเสียงของอีกฝ่ายอย่างชัดเจน“เรามีความสุขด้วยกันได้ จริงมั้ย” รอยยิ้มสดใสถูกส่งมาให้เด็กหนุ่มเหมือนอย่างเคย“ดีจริง ๆ ที่เป็นมึง” อินขยับตัวเข้าหาเจ้าของรอยยิ้มเพื่อแบ่งปันไออุ่นจากร่างกายของกันและกันแต่มือเล็กกับดันตัวเขาไว้พร้อมเอื้อมหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมา“นี่ ๆ ลองทำอันนี้กัน”“อะไร” กำลังเข้าด้ายเข้าเข็มอยู่เลยเชียว ถึงเขาจะรู้สึกเสียดายแต่ไม่เป็นไร หลังจากนี้เขามีเวลาได้ใกล้ชิดกันอีกเยอะ“วิธีที่ทำให้รักกันยืนยาว มันเป็นคำถามอ่ะ คำถามที่จะทำให้คุณรู้จักคนรักมากขึ้น” ดวงตากลมโตแป๋วแหว๋วมองตรงที่หน้าจอและขยับปากอ่านตามตัวอักษรในนั้น“ไปหาอะไรแบบนี้ไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่”“กูก็หาไปเรื่อยอ่ะ ว่าไง สนใจลองตอบคำถามดูมั้ย”“ลองดู เผื่อเราจะได้รู้จักกันมากขึ้น”ระหว่างที่ผลัดกันถา