เดือนแรกของการเป็นนักศึกษาชั้นปีที่หนึ่งในรั้วมหาลัยฯ ผ่านไปอย่างรวดเร็วราวกับเป็นเรื่องโกหก หมี่ที่ทำการเปิดตัวด้วยความอลังการจากสโลแกนและท่ากระตุกเป้าเขย่าไข่ในวันงานกิจกรรมรับน้องก็มีเพื่อนนักศึกษาและรุ่นพี่มากหน้าหลายตาให้ความสนใจและเข้ามาทำความรู้จักเป็นจำนวนมาก
ซึ่งปรากฎการณ์นี้เจ้าตัวก็ชอบอกชอบใจ เขาคิดไปเองว่าทุกคนเข้าหาเพราะเบ้าหน้าอันหล่อเหลาของตัวเอง แต่ความจริงคือทุกคนเข้าหาเพราะความร่าเริงแจ่มใสและความตลกเฮฮาของหมี่ต่างหาก
อีกด้านหนึ่ง อินที่อยากใช้ชีวิตด้วยความเรียบง่าย สบาย ๆ และไม่อยากเป็นดาวเด่นหรือเป็นที่สนใจของใครทั้งนั้น กลับไม่ได้อยู่อย่างสงบสุขตามที่คาดหวังไว้เพราะเหตุการณ์จากวันงานกิจกรรมรับน้องเช่นเดียวกัน
ในทุกวันเด็กหนุ่มจะตื่นนอนตั้งแต่ตีสี่เพื่อออกมายืดเส้นยืดสาย อบอุ่นร่างกายและเริ่มวิ่งเหยาะ ๆ ไปยังสวนสาธารณะที่อยู่ใกล้มหาลัยฯ เมื่อมาถึงสระน้ำกลางสวนก็พักยืดเหยียดแขนขาอีกครั้ง ก่อนจะเริ่มวิ่งกลับและแวะซื้อมื้อเช้ากลับไปกินที่ห้อง
กว่าจะถึงห้องก็ราว ๆ หกโมงกว่าเพราะต้องรอข้าวอยู่หลายนาที ร้านข้าวมันไก่เจ้านี้คนแน่นตั้งแต่ฟ้ายังไม่สว่าง อินเห็นพ่อค้าแม่ค้าหลายคนมาซื้อแบบเป็นห่อหลายสิบเจ้าคงเอาไปขายต่อเลยทำให้รอนาน ระหว่างนั้นก็นั่งพักให้หายเหนื่อยและรอให้เหงื่อแห้ง ก่อนจะลุกไปอาบน้ำ
ชีวิตในรั้วมหาลัยฯ ของอินถ้าตัดเรื่องที่สาวน้อยใหญ่มาตามกรี๊ดเขากับเรื่องของขวัญที่ใครก็ไม่รู้ชอบซื้อมาฝากออกไป ก็นับว่าเป็นชีวิตที่สงบดี ตื่นเช้าไปวิ่ง กินข้าว ไปเรียน ปีหนึ่งก็เรียนวิชาพื้นฐานทั่วไปไม่ได้เน้นเรียนทักษะกีฬาว่ายน้ำเท่าไหร่ ซึ่งก็ตรงตามที่เด็กหนุ่มคิดไว้
อินเลยทำได้เพียงฝึกตามตารางที่เขียนไว้เพื่อเตรียมพร้อมร่างกายอยู่เสมอและเขาก็ทำได้ดีมาตลอดหนึ่งเดือนเต็ม ทว่าการฝึกนี้ยังไม่ได้รวมการฝึกว่ายน้ำในสระเลย ปกติเขาก็ไปใช้บริการสระของศูนย์ฝึกแห่งหนึ่งใกล้บ้านแต่ตอนนี้มาอยู่มหาลัยฯ แล้ว คงต้องไปคุยเรื่องขอใช้สระว่ายน้ำของทางคณะฯ สักหน่อย
ส่วนเรื่องการเรียนทั่วไปในสายชั้นยิ่งไม่ต้องพูดถึง มีทั้งวิชาฟิสิกส์ เคมี ชีวะ ไหนจะวิชาสรีระหรือกายภาพนั่นอีกทำเอาเหล่านักศึกษาที่คิดว่าจะหนีมาเรียนพละสบาย ๆ ต้องถอนหายใจกันเป็นว่าเล่นเพราะพวกเขาเผลอหนีเสือปะจระเข้เข้าให้แล้ว
“อ๊ะ กลับมาแล้วเหรอ” เด็กหนุ่มเดินออกมาจากห้องน้ำก็ได้ยินเสียงทักทายจากคนตัวเล็กทันที
“อือ กูซื้อข้าวมันไก่มาให้ วันก่อนได้ยินมึงบ่นอยากกิน”
“หาววว อืมม กูไปอาบน้ำแป๊บ” อีกฝ่ายตอบรับทั้งที่ยังไม่ลืมตา ก่อนจะเดินตรงดิ่งเข้าห้องน้ำไป
ทางด้านของหมี่ซึ่งเรียนคณะคหกรรมก็ค่อนข้างหนักกว่าที่คิดเอาไว้ ดูท่าอีกฝ่ายจะเรียนรายวิชาพื้นฐาน เช่น วิทยาศาสตร์หรือคณิตศาสตร์ไม่เข้าหัวเลย กลับมาห้องทีไรมีสภาพหัวฟูทุกที ทว่าวันไหนที่เรียนคาบปฏิบัติคนตัวเล็กขอสู้ตาย ไอ้หมี่คนนี้จะเป็นเชฟอันดับหนึ่งให้ได้!!!
เรียนคหกรรมหนึ่งเดือนก็ได้รู้จักเครื่องครัวที่ไม่เคยได้เห็นมาก่อนแล้วก็มีเพื่อนใหม่สองคน รู้จักกันจากการทำงานกลุ่มในวิชาเรียน ถือเป็นบุญของหมี่แท้ ๆ ที่เพื่อนสองคนนั้นเรียนเก่งและคอยช่วยกันปลุกคนตัวเล็กที่มักจะหลับใหลในคาบเรียนให้ตื่นอยู่เสมอ
หมี่มักเป็นตัวสร้างความสุขให้กับผู้คนรอบข้างแต่ไม่ใช่กับรูมเมทเพราะหนึ่งเดือนนี้เวลาว่างของทั้งคู่แทบไม่ตรงกันเนื่องจากเรียนกันคนละคณะฯ ทำให้เจอกันแค่บางเวลา เช่น ช่วงเช้า ก่อนนอนหรือวันหยุดเสาร์อาทิตย์ และถึงแม้ว่าจะได้เจอกันบ้างแต่ทั้งคู่ก็แทบไม่ได้คุยกันเลย ทุกครั้งที่กลับถึงห้องต่างคนก็ต่างทำเรื่องของตัวเองอย่างกับอยู่ตัวคนเดียว
“มึง” ขณะที่อินกำลังแกะข้าวมันไก่ใส่จานก็ได้ยินคนตัวเล็กเรียก
“หืม”
“กูเหงา” และแล้วหมี่ก็พูดความในใจออกมาเพราะเขาไม่อยากทนกับสถานการณ์นี้อีกต่อไปแล้ว ขอฉวยโอกาสนี้เปิดหัวข้อสนทนาเลยแล้วกัน
“อะไรของมึงแต่เช้าเนี่ย” เด็กหนุ่มขมวดคิ้วมุ่นจนหน้าผากยู่เพราะงงงวยว่าอีกฝ่ายต้องการจะสื่ออะไร
“ช่วงนี้เราไม่ค่อยได้คุยกันเลยนะเว้ย กลับมาห้องทีไรกูก็รู้สึกเหมือนอยู่คนเดียวอ่ะ กูไม่ชอบอะไรแบบนี้เลย” คนฟังเริ่มประมวลผลจากคำพูดและการกระทำของอีกฝ่าย เวลาที่คนตัวเล็กเริ่มใช้น้ำเสียงงอแงคล้ายเด็กนั่นแปลว่ากำลังอยากได้อะไรบางอย่าง
“ไม่ชอบแล้วจะให้ทำยังไง” ตอนนี้อินเทน้ำซุปใส่ถ้วยเรียบร้อยแล้ว เหลือแค่รอคนกินเนี่ยแหละ
“กูเคยบอกมึงแล้วไงว่ากูชอบพูด แต่หนึ่งเดือนมานี้กูนับคำได้เลยว่าพูดกับมึงไปกี่คำ” เด็กหนุ่มยิ่งฟังก็ยิ่งไม่เข้าใจ อีกฝ่ายต้องการอะไรจากเขา ถ้าอยากคุยนักก็คุยสิ ในมหาลัยฯ มีคนให้คุยด้วยตั้งเยอะแยะ
“มึงก็พูดกับเพื่อนในห้องดิ” อินเลยตอบไปตามตรง คณะคหกรรมก็ใช่ว่าจะเด็กน้อยซะหน่อยหรือไอ้หมี่มันไม่พูดกับใครเลย คิดมาถึงตรงนี้ก็กังวลว่าอีกฝ่ายมีเพื่อนบ้างรึเปล่า นอกจากเพื่อนสองคนที่เคยเล่าให้เขาฟัง
“...มันเหมือนกันที่ไหนเล่า ไอ้บ้า...” ทางด้านของหมี่ที่ได้ยินคำตอบจากไอ้ยักษ์ตรงหน้าก็เริ่มโมโหขึ้นมาแต่เพราะอีกฝ่ายอุตส่าห์ซื้อข้าวมันไก่ที่ตัวเองอยากกินมาฝาก เลยไม่อยากโวยวายใส่
“มึงว่าไงนะ” ทว่าพอโดนอินกระตุกต่อมก็เผลอห้ามตัวเองไม่อยู่
“กูบอกว่ามันไม่เหมือนกันโว้ยยย!!!” คนตัวเล็กตะโกนตอบเสียงดังจนอินถึงกับต้องดุเสียงแข็ง มีแค่เรื่องนี้แหละที่เขาอยากให้คนตัวเล็กปรับปรุง การที่อีกฝ่ายงอแง เอาแต่ใจหรือชอบพูดมาก ไม่เป็นปัญหาเท่ากับการโวยวายเสียงดังแบบนี้เลย
“หมี่! บอกว่าอย่าตะโกนไงเกรงใจคนข้างห้องบ้าง” คนตัวเล็กได้แต่ก้มหน้างุดสำนึกในสิ่งที่ทำลงไป
“เออ ขอโทษ” พูดเสร็จก็นั่งลงตรงที่ประจำและกินข้าวมันไก่ในจาน ตักข้าวเข้าปากไปได้ไม่กี่คำ ก็เริ่มซักไซ้ต่อ
“แล้วสรุปจะเอายังไง”
“เรื่องอะไร” หมี่หน้าหงิกทันทีพลางนึกหงุดหงิดที่อีกฝ่ายยังใช้ชีวิตอยู่ได้อย่างสบายใจ แล้วทำไมตัวเองถึงต้องน้อยใจแบบนี้ด้วยนะ
“ก็เรื่องของเราไง”
“เรื่องของเรา อะไรของมึง” อินถึงกับต้องเงยหน้าขึ้นมามองเพราะกลัวว่าเขาจะเข้าใจคำพูดนั้นคนละความหมายกับที่หมี่อยากสื่อ
“ไอ้อินนี่กูไม่ได้พูดเล่นนะ กูว่าเราต้องหากิจกรรมทำร่วมกันบ้าง แบบเสาร์อาทิตย์ทำขนมกินกัน ไปเดินเล่นตลาดนัด ไม่ก็เที่ยวห้างดูหนังไรงี้ กูว่าแบบนั้นน่าสนุกดีนะ ดีกว่าอยู่ห้องแบบเฉา ๆ เหงา ๆ อ่ะ” เด็กหนุ่มคิดตามข้อเสนอของคนตัวเล็กพลางพยักหน้าเห็นด้วย แต่...
“เสาร์อาทิตย์นี้ไม่ได้ กูมีนัดสายรหัส”
“มึงพากูไปด้วยได้มั้ย” ดวงตากลมสีน้ำตาลคาราเมลเปล่งประกาย
“มึงเข้าใจคำว่าสายรหัสมั้ยเนี่ย” แต่งานนี้เด็กหนุ่มขอไม่ใจอ่อนและไม่คล้อยตามการออดอ้อนของคนตัวเล็กอีกต่อไป
“ขี้งกว่ะ เลี้ยงกูเพิ่มอีกคนสายรหัสมึงไม่จนหรอก ว่าแต่พี่เค้าพาไปกินอะไรอ่ะ คดห่อกลับมาเผื่อกูด้วยดิ” หมี่พูดพลางทำหน้าบึ้งตึงแถมยู่ปากน่าเอ็นดู ขณะที่อินถึงกับต้องถอนหายใจในความไหลลื่นของคนตัวเล็กพลางคิดว่าอีกฝ่ายกะจะเอาให้ได้สักทางนึงเลยใช่มั้ย
“เหล้า” ว่าแล้วก็ตอบคำถามที่คนตัวเล็กสงสัย ซึ่งคำตอบนั้นทำให้ดวงตากลมของหมี่ต้องเบิกกว้าง
“หะ!ไหนมึงบอกว่านักกีฬาต้องรักษาสุขภาพไม่กินแอลกอฮอล์ไง”
“ปกติกูไม่กินแต่งานนี้คงต้องกิน” หมี่หน้าเหยเกขึ้นมาทันที
“บ้าอำนาจชะมัด ดีนะที่กูไม่ได้มีสายรหัสแบบนั้น” ก่อนที่มือเล็กจะเริ่มจับช้อนตักข้าวมันไก่เข้าปากอีกครั้ง
“หมี่” อินได้ยินแบบนั้นก็กดเสียงทุ้มต่ำเรียกชื่อของคนตัวเล็กเพื่อปรามไม่ให้อีกฝ่ายพูดจาอะไรเลยเถิดและไม่ให้เกียรติรุ่นพี่ไปมากกว่านี้
“อยู่กับมึงเหมือนมีพ่อคนที่สองเลยว่ะ มันหนักกว่าการมีพี่อีกนะ” เมื่อโดนดุถึงสองครั้งตั้งแต่เช้า คนตัวเล็กก็ได้แต่ขยับปากบ่นอุบอิบเสียงเบา
เด็กหนุ่มส่ายหัวให้อีกฝ่าย หมี่คงไม่รู้ตัวเลยว่าสิ่งที่ทำลงไปเมื่อครู่มันน่าเอ็นดู น่ามันเขี้ยวขนาดไหน อินก้มมองเวลาในโทรศัพท์มือถือและบอกให้คนตัวเล็กรีบกินข้าว ก่อนที่เขาจะตักข้าวมันไก่คำสุดท้ายเข้าปากไป
“มึงไม่ลืมอะไรแน่นะ กูจะปิดห้อง” เด็กหนุ่มยืนถือกุญแจจ่อลูกบิดประตูห้องไว้และหันไปถามรูมเมท ก่อนจะได้ยินเสียงเล็กแหลมตอบกลับมา
“ปิดเลย กูไม่ลืมอะไรแล้ว...แต่ถึงกูจะลืม กูก็กลับมาเอาได้ป่ะวะ” จะว่าไปก็ถูกตามที่อีกฝ่ายพูด อินเลยอดคิดไม่ได้ว่านี่เขาเผลอทำตัวจู้จี้จุกจิกจนน่ารำคาญอีกแล้วรึเปล่านะ
เมื่อเดินมาถึงชั้นล่างก็เจอกันต์ที่นั่งรออยู่ก่อนแล้ว ทั้งสามคนตรงไปขึ้นรถสวัสดิการของมหาลัยฯ เพื่อนั่งไปยังตึกคณะฯ ของตัวเอง และเพราะตึกของหมี่จะถึงก่อนตึกของอิน เจ้าตัวเลยกระชับกระเป๋าสะพายให้แน่นขึ้นเพื่อเตรียมตัวลง
“กูไปก่อนนะ ไว้เจอกันตอนเย็นนน” ขณะที่กำลังจะเดินลงจากรถก็ยังไม่วายหันมาโบกมือลาเด็กหนุ่มอีกด้วย
“อืม” อินที่เริ่มชินแล้วก็ส่งเสียงขานรับในลำคอและนั่งรถไปเรื่อย ๆ จนถึงหน้าตึกคณะฯ วิทย์กีฬา
.
.
การเรียนและการสอบย่อยในรายวิชาต่าง ๆ ค่อนข้างถาโถมรุมเร้าแต่อินและกันต์ก็ผ่านมาได้ จนกระทั่งมาถึงวันเสาร์ที่พวกรุ่นพี่ตั้งตารอคอยเพราะวันนี้เป็นวันรับน้องสายรหัสของคณะวิทยาศาสตร์การกีฬา งานนี้เป็นงานเล็ก ๆ ถูกจัดขึ้นในห้องวีไอพีของร้านเหล้า YY ซึ่งเป็นห้องคาราโอเกะที่อยู่ลึกเข้าไปในร้าน หลบเลี่ยงเสียงครื้นเครง เสียงดนตรีและกลิ่นบุหรี่ได้ดีเด็กหนุ่มสองคนเดินเข้ามาในร้านก็เจอกับผู้ชายคนหนึ่งคาดว่าน่าจะเป็นพนักงานรักษาความปลอดภัยของทางร้าน ด้วยความเป็นเด็กใหม่ที่ยังไม่เคยมาร้านนี้อินก็เข้าไปสอบถามเรื่องห้องวีไอพีที่รุ่นพี่บอกมาทันที เมื่อได้คำตอบว่าห้องอยู่ตรงไหนก็เดินตรงไปทางนั้นอย่างไม่ลังเลก๊อก! ก๊อก!!อินเคาะประตูตามมารยาท ก่อนจะมีรุ่นพี่คนหนึ่งเดินมาเปิดประตู รุ่นพี่คนนี้ชื่อโชนเป็นนักศึกษาชั้นปีที่สามและเป็นพี่สายรหัสของไอ้กันต์ มองเข้าไปในห้องก็เห็นรุ่นพี่ผู้ชายอีกคนนั่งเสียบสายลำโพงและไมโครโฟนอยู่ไม่ไกล พี่คนนั้นชื่อแต้มและนั่นคือพี่สายรหัสของอิน“มาาา นั่งกันตามสบายเลย มาเร็วเหมือนกันนะเนี่ย” พ
ก๊อก! ก๊อก!ถึงแม้ว่าในวินาทีแรกกันต์จะคิดสงสัยว่าหมี่คือใครแต่ตอนนี้เขายืนอยู่หน้าห้องพักก็แปลว่าอีกฝ่ายคงเป็นรูมเมทของไอ้อินแหละ ชื่อหมี่เหรอ จะเป็นคนแบบไหนนะ ทว่าไม่ทันได้คิดอะไรต่อ คิ้วเข้มก็เริ่มย่นเข้าหากันเพราะผ่านไปหลายนาทีแล้วก็ไม่มีวี่แววว่าจะมีใครมาเปิดประตูก๊อก!!! ก๊อก!!! ก๊อก!!!กันต์ที่เริ่มหงุดหงิดเพราะเขาทั้งหนัก ทั้งเหนื่อยแถมยังมีอาการกรึ่มเมาเล็กน้อยก็ออกแรงทุบประตูหนัก ๆ ไปอีกสามทีเผื่อที่เคาะไปก่อนหน้านี้คนในห้องจะไม่ได้ยิน ในที่สุดก็มีเสียงขานรับมาจากในห้อง“กำลังไปค้าบบบ...ใครมาเคาะประตูเอาป่านนี้วะ” ขานรับไม่พอยังมีเสียงบ่นอุบอิบเล็ดลอดมาให้ได้ยินอีกต่างหาก“อ้าว ไอ้ยักษ์” ทันทีที่ประตูเปิดออกก็เห็นผู้ชายร่างเล็กคนหนึ่งชี้นิ้วมาที่ไอ้อินพร้อมชื่อเรียกที่ทำให้กันต์ได้แต่งุนงง“เปิดประตูกว้างหน่อย มันหนัก” เด็กหนุ่มผิวแทนผู้ซึ่งไม่ชอบการพูดคุยกับคนแปลกหน้าเป็นทุนเดิมอยู่แล้วก็เลือกพูดจุดประสงค์ของตัวเองให้อีกฝ่ายเข้าใจง่ายที่สุด จะได้ไม่ต้องต
“กูคิดถึงมึง ถ้าตอนนี้มีมึงอยู่...คงดีกว่านี้” การที่ใครสักคนจะพูดประโยคนี้ออกมาในช่วงที่เขากำลังขาดสติอยู่นั้น แปลว่าเขาเจ็บปวดมากแต่ไม่สามารถพูดสิ่งนี้ขณะที่ยังมีสติอยู่ได้“กูไม่อยากโตเลย ชีวิตวัยเด็กที่มีมึง กูมีความสุขมาก” สีหน้าของอินเต็มไปด้วยความรู้สึกอัดอั้นตันใจ เขาไม่เคยได้ระบายตะกอนที่จมลึกอยู่ในก้นบึ้งหัวใจดวงนี้ให้ใครได้รับรู้“กูจะเป็นนักกีฬาว่ายน้ำเพื่อมึงนะ...อัน...” ยิ่งฟังก็ยิ่งรู้สึกปวดหนึบไปในอกเพราะมันทำให้รู้ว่าเด็กหนุ่มไม่เคยทำเพื่อตัวเองเลย เขาใช้ชีวิตเพื่อน้องชายเสมอมา...และจะทำแบบนี้ตลอดไป“มันยังละเมออยู่อีกเหรอวะเนี่ย” หมี่ที่เห็นว่าอินนอนขยับปากเหมือนกำลังพูดอะไรสักอย่างก็เดินเข้าไปหาอีกฝ่าย ก่อนจะยกเท้าถีบไปที่ต้นขาหนาของอิน“เห้ย! ไอ้ยักษ์มีสติยัง ไหนบอกคอแข็งไง”“หมี่~” คนตัวเล็กหัวใจเต้นรัวเพราะรู้สึกแปลกที่อีกฝ่ายเรียกชื่อเขาด้วยน้ำเสียงแหบพร่า ไม่แน่บางทีเขาอาจจะเมากลิ่นเหล้าที่ติดตัวไอ้ยักษ์มา...หัวใจเลยเต้นแรงแบบนี้&ld
“แล้วสรุปเรื่องเราคุยกันวันก่อน มึงว่าไง” จู่ ๆ อินก็พูดเปิดประเด็นขึ้นมา หมี่ที่กำลังคิดเรื่องอื่นอยู่ก็ถึงกับงง“หะ?”“หะ อะไร” เด็กหนุ่มมองอีกฝ่าย นี่อย่าบอกนะว่าหมี่ลืมเรื่องวันนั้นไปแล้ว ไม่อยากเชื่อเลยว่าคนเราจะขี้ลืมได้ง่ายขนาดนี้“คุยเรื่องอะไรวะ” นั่นไง สีหน้าเหรอหรานั่นเป็นหลักฐานชั้นดีที่บอกว่าคนตัวเล็กลืมเรื่องนั้นไปแล้วจริง ๆ“เรื่องที่มึงบอกว่าเราต้องหากิจกรรมทำร่วมกันบ้าง ทำขนมกินกัน ไม่ก็ไปเดินเล่น ไปเที่ยวห้างดูหนังอะไรสักอย่าง” ลำบากอินต้องมานั่งรื้อฟื้นความทรงจำให้ใหม่อีก“อ๋อออ เรื่องนั้นเอง~”“ไม่ต้องมาอ๋อเลย เรื่องนั้นมึงเป็นคนเปิดหัวข้อมาเองนะ สรุปว่าไง” เด็กหนุ่มเฝ้ารอคำตอบจากคนต้นคิด“ก็นั่นแหละ แบบว่าเราอยู่ห้องเดียวกันแต่ตลอดอาทิตย์ที่ผ่านมาหรือช่วงก่อนหน้านี้เราไม่ค่อยได้คุยกันเลย กูรู้สึกเหมือนกูอยู่ตัวคนเดียวอ่ะ กูไม่ชอบความรู้สึกนั้น” อินรู้สึกเจ็บในอกเล็กน้อยเพราะเขาก็เคยรู้สึกแบบนี้ตอนอยู่ที่บ้
และแล้วเวลาก็ผ่านล่วงเลยมาจนถึงวันหยุดสุดสัปดาห์นี้ที่อินรอคอย หมี่บอกว่าจะสอนทำขนมจีนน้ำเงี้ยว เด็กหนุ่มที่ไม่ได้กินเมนูนี้มานานแล้วก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกตื่นเต้น พวกเขานั่งรถบัสไปห้างสรรพสินค้า AA เหมือนเดิมเพื่อเลือกซื้อวัตถุดิบสำหรับเมนูแสนอร่อย“ต้องซื้อของเยอะมั้ย”“ไม่เยอะนะ กูจดมาละ” มือบางล้วงเข้ากระเป๋ากางเกงและหยิบเศษกระดาษแสนยับยู่ยี่ขึ้นมาคลี่ออก ก่อนจะยื่นให้เด็กหนุ่มอ่าน ทันทีที่เห็นตัวอักษรขยุกขยิกราวไก่เขี่ย อินก็หันมองหน้าคนตัวเล็กพร้อมความคิดที่แทรกเข้ามาในสมองสองอย่างอย่างแรกคือลายมืออะไรของมัน อ่านไม่ออกเลยสักนิด แม้จะเพ่งสายตาก็มองไม่ออกว่าอักษรตัวนี้เป็น ก.ไก่ หรือ ท.ทหาร แล้วตัวนั้นอีกล่ะ เขาต้องอ่านเป็น น.หนู หรือ บ.ใบไม้ส่วนอย่างที่สองคือไอ้คำว่า ‘ไม่เยอะนะ’ ของอีกฝ่ายนี่หมายความว่ายังไงเพราะเท่าที่เด็กหนุ่มมองรายการส่วนผสมทั้งหมดที่เขียนไว้ในกระดาษแบบผ่านตาก็น่าจะราว ๆ เกือบสามสิบอย่างแล้ว“อันนี้คือไม่เยอะเหรอ”“ช่ายยยย เมนูอื่นที่ใช้วัต
ทางด้านอินก็หยิบเส้นขนมจีนให้เป็นกระจับจัดวางใส่จานตามด้วยเครื่องเคียง อาทิเช่น กระเทียม ต้นหอมผักชี พริกขี้หนูทอด ถั่วงอกและผักกาดดอง ก่อนจะส่งให้หมี่ตักน้ำเงี้ยวร้อน ๆ ราดลงไป หน้าตาอาหารที่มีสีสันสวยงามและกลิ่นหอม ๆ ของน้ำแกง ชวนให้น้ำลายสอเสียเหลือเกิน“น่ากินมากเลยหมี่” อินพูดแค่นั้นและยกจานขนมจีนทั้งสองไป พวกเขานั่งกินกันไปสักพักคนตัวเล็กก็เริ่มชวนคุยตามประสาคนชอบพูด“ปกตินักกีฬาต้องควบคุมโภชนาการหนักขนาดไหนอ่ะ”“ถ้าจริงจังกับการเป็นนักกีฬามากก็ต้องควบคุมหนัก” ซึ่งอีกไม่นานเด็กหนุ่มก็ต้องควบคุมตัวเองเช่นกัน ทั้งเรื่องอาหารการกินและการฝึกซ้อม“แล้วมึงจริงจังมากมั้ย” คำถามนี้ทำให้อินฉุกคิด นั่นสิ ลึก ๆ แล้วเขาจริงจังกับการเป็นนักกีฬาว่ายน้ำมากน้อยแค่ไหนกันนะ“กูก็จะทำให้ดีที่สุด” คำตอบนี้คงเป็นกลางมากกว่าคำตอบอื่น“งั้นขนมจีนน้ำเงี้ยวจานนี้กี่แคลอ่ะ” จบคำถามแรกก็มีคำถามที่สองโผล่มาทันทีทำเอาเด็กหนุ่มตามไม่ทันกันเลยทีเดียว“อะไรนะ”
“พอแล้ว! ทั้งคู่เลย” อินส่งเสียงปรามเพื่อนทั้งสองคน หลังจากรอแทรกจังหวะอยู่นาน เด็กหนุ่มรู้ดีว่าเพื่อนสนิทค่อนข้างปากเสียแต่ทุกครั้งที่พูด กันต์ไม่เคยมีเจตนาร้ายแอบแฝง ซึ่งเรื่องนี้คนตัวเล็กยังไม่รับรู้“ไอ้ยักษ์! กูไม่ให้เพื่อนมึงกินขนมจีนน้ำเงี้ยวแสนอร่อยของกูแล้ว เอากลับเลย” หมี่ที่โดนอินดุก็ยอมอ่อนลงแต่ยังไม่อยากผูกมิตรกับกันต์“หึ ขี้งกจังวะ อุตส่าห์แบกมาถึงห้องกูแล้ว เรื่องไรจะให้เอากลับ” อินเผลอหลุดยกยิ้มมุมปากเมื่อได้ยินประโยคนี้จากปากกันต์ สงสัยตอนนี้เพื่อนสนิทของเขาคงเริ่มเปิดใจให้คนตัวเล็กแล้วถึงได้กล้าพูดเล่นติดตลก“มีใครเคยบอกมั้ยว่ามึงมันปากเสีย! ระวังจะไม่มีใครคบนะ!” ซึ่งอินคิดว่าหมี่ก็คงเริ่มเปิดใจแล้วเช่นกัน“กัดกันเป็นเด็กไปได้ ไอ้กันต์มึงนั่งกินขนมจีนฝั่งนั้นกูใส่จานให้แล้ว ส่วนหมี่มานั่งข้างกู” อินพูดพลางส่ายหัวและหันไปกวักมือเรียกหมี่ ในใจก็นึกสงสัยว่าทำไมไอ้สองคนนี้ถึงเขม่นเหม็นหน้ากันตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอนะ“มึงเคยเจอหมี่แล้วเหรอ”&ld
“ผมชื่ออินนะครับ เมื่อกี้ยังไม่ทันได้แนะนำตัวเลย” อินที่ไม่อยากให้บรรยากาศอึมครึมก็พูดทักทายคนที่อายุมากกว่าและก้มหัวให้เล็กน้อย“โอ๊ะ! พี่ชื่อแมนครับ นั่งก่อนเลยเดี๋ยวพี่ไปเอาน้ำมาให้”เด็กหนุ่มถือวิสาสะเข้าไปนั่งโซฟากลางห้องนั่งเล่น บ้านขนาดกลางที่ภายในตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์และของใช้แสนเรียบง่าย มีรูปครอบครัววางประดับทั่วทุกมุมห้องพร้อมแจกันดอกไม้ที่ตอนนี้เริ่มเหี่ยวเฉาแล้ว“มีแค่น้ำเปล่านะ” พี่แมนเดินกลับมาพร้อมน้ำแร่ขวดเล็กกะทัดรัด“ครับ ขอบคุณครับ” อินรับมาวางบนโต๊ะ ความจริงแล้วเขาอยากบอกอีกฝ่ายว่าไม่จำเป็นต้องเอาอะไรมาให้เขาแต่คงเลี่ยงมารยาททางสังคมไม่ได้ก็เลยรับไว้“ปกติจะมีน้ำผลไม้หรือของว่างสำหรับรับแขกติดบ้านอยู่ตลอดแต่พอหมี่ไปเรียนมหาลัยฯ พี่ก็ไม่ค่อยซื้อเสบียงมาตุนไว้น่ะ” ชายวัยทำงานนั่งลงข้างเด็กหนุ่มและชวนคุย“แค่น้ำเปล่าก็พอครับ” อินตอบแค่นั้นแล้วก็เงียบไป ก่อนจะหยิบขวดน้ำขึ้นมาเปิดหวังจิบเล็กน้อย“..เอ่อ..” ทว่าไม่ทันจะได้
อ๊ากกกกกก!!!“เป็นอะไรหมี่!” อินได้ยินเสียงคนตัวเล็กตะโกนดังแต่เช้าก็สะดุ้งตื่นด้วยความตกใจ“ผีหลอก!!!!” หมี่ยังคงส่งเสียงกรีดร้องด้วยความตกใจเพราะตื่นมาก็เห็นแขนของใครไม่รู้พาดอยู่ตรงเอวบางของตน“ผีอะไร!” อินถึงกับคิ้วขมวด เขาไม่เข้าใจว่าคนตัวเล็กกำลังพูดถึงเรื่องอะไร“ขะ...ขะ...แขนใครไม่รู้!...ฮือออ” หมี่หลับตาปี๋และชี้นิ้วไปตรงเอวของตัวเอง“แขนอะไร?” อินยิ่งงงเข้าไปใหญ่เพราะแขนแกร่งของเขาที่กอดเอวอีกฝ่ายก็ยังปกติดี“เอ๊ะ!เดี๋ยวนะ!” เสียงกรีดร้องแปรเปลี่ยนเป็นความฉงน หมี่ลืมตาขึ้นอย่างช้า ๆ และมองเจ้าของเสียงที่ตนสนทนาด้วย“ไอ้ยักษ์!” ก่อนจะยกกำปั้นและออกแรงทุบไปที่ต้นแขน ของอีกฝ่าย“โอ๊ย!ตีกูทำไมเนี่ย” เมื่อรับรู้ว่าแขนปริศนามีเจ้าของและไม่ได้โดนผีหลอก หมี่ก็ขยี้หัวระบายความหงุดหงิด“ฮืออ...กูนึกว่าผีหลอกกู!ไอ้บ้าเอ๊ย!”“ผีอะไรจะมาหลอกมึงตอนเช้าแบบนี้”
อินวางโทรศัพท์มือถือไว้ข้างหมอน ก่อนจะดึงร่นกางเกงนอนลงเพื่อให้แท่งเนื้อที่กำลังผงาดอย่างแข็งขืนได้โผล่ออกมาเจอโลกภายนอก วินาทีที่อวัยวะส่วนที่อ่อนไหวที่สุดกระทบความเย็นจากเครื่องปรับอากาศก็สร้างความเสียวซ่านขึ้นมาอย่างน่าประหลาด มือหนาเลื่อนลงไปกอบกุมแท่งเนื้อที่ตอนนี้กลายเป็นแท่งร้อนเพราะเลือดที่สูบฉีดทั่ว“อ่าาา~” เสียงแห่งความสุขสมเล็ดลอดออกมาให้ได้ยินเล็กน้อย ผ่านไปแล้วสิบนาที มือหนาก็ยังคงชักรูดแท่งนั้นขึ้นลงอย่างคล่องแคล่วและไม่ผ่อนความเร็วลงแม้แต่น้อยจนน้ำเมือกที่เป็นสารหล่อลื่นเริ่มปริ่มออกมาผ่านไปอีกสามสิบนาที ความร้อนในร่างกายก็พุ่งสูงขึ้นตามอารมณ์ความใคร่ที่กำลังปะทุอยู่ นิ้วหัวแม่มือก็ลูบวนรอบส่วนหัวแท่งเนื้อเมามันพลางขบกรามแน่นเป็นระยะ มือสากของตัวเองยังทำให้รู้สึกดีมากขนาดนี้แล้วถ้าเปลี่ยนเป็นมือนุ่มนิ่มของอีกฝ่ายจะรู้สึกดีขนาดได้“หมี่~ ฮึ่มม” เสียงเรียกชื่อคนตัวเล็กที่ออกมาจากปากของตัวเอง ทำไมฟังดูกระเส่าเย้ายวนขนาดนี้ มันยิ่งทำให้ความอยากเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวซึ่งเด็กหนุ่มก็เคลิบเคลิ้มไปในโลกที่ตัวเอ
ครืดดดด ครืดดดด“อ๊ะ! ทำยังไงดีไอ้ยักษ์โทรมา!” ดวงตากลมโตเบิกกว้างพร้อมอาการลุกลี้ลุกลนทำอะไรไม่ถูกเราสองคนไม่เคยต้องโทรหากันตอนกลางคืนเลยเพราะปกติก็นอนด้วยกันตลอด ถ้าต้องโทรคุยกันน่าจะรู้สึกแปลกใหม่ดีเหมือนกัน คนตัวเล็กนอนจับมือถือพลิกไปพลิกมาบนเตียงครู่หนึ่ง ก่อนจะตัดสินใจกดรับในที่สุด ทว่าสายตัดไปแล้ว...“อ้าว!วางไปแล้ว” หมี่ถึงกับเหวอจนนิ่งค้างไปชั่วขณะ“เอาไงดีเนี่ย โทรกลับไปดีมั้ย แล้วจะคุยอะไรล่ะ โอ๊ยยย!จะบ้า!” ด้วยความตื่นเต้นบวกกับความเขินอายเลยทำให้หมี่ไม่ได้กดโทรกลับไปหาอีกฝ่ายสักทีครืดดดด ครืดดดด“อ๊ะ!โทรกลับมาแล้ว อะแฮ่ม!” หมี่สะดุ้งเล็กน้อยเมื่อโทรศัพท์สั่นอีกครั้ง ก่อนจะกระแอมเสียงและกดรับสาย“หมี่” เมื่อได้ยินเสียงเรียกชื่อจากปลายสายหัวใจของหมี่ก็พองโตอย่างไม่มีสาเหตุ อะไรจะเสียงหล่อปานนั้นพ่อคู๊ณณณณ“โทรมามีไร” ทว่าเจ้าตัวต้องพยายามตอบกลับด้วยน้ำเสียงปกติเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายรู้ว่าตัวเองกำลังตื่นเต้นและเลิ่กลั่กมากขนาดไหน“ทำอะไรอยู่” “กำลังจะนอน” หมี่ซุกหน้าเข้าหาผ้าห่มผืนหนาก่อนตอบ“กูโทรมากวนรึเปล่า นอนเลยมั้ย” ได้ยินประโยคนี้ก็ถึงกับดีดหน้าออกจากผ้าห่มด้วยความลืมต
หลังจากที่ไปส่งอินขึ้นรถหน้ามหาลัยฯ หมี่ก็เริ่มคิดอย่างจริงจังเรื่องการไปเจอพ่อแม่ของอีกฝ่าย ครอบครัวอินดูแลลูกชายให้เติบโตมาเป็นคนดีขนาดนี้ เด็กน้อยแบบเขาาจะคู่ควรกับอีกฝ่ายจริง ๆ เหรอคิดไปคิดมาก็เริ่มหดหู่ใจ เมื่อสมองถูกใช้งานมากเกินไปก็ชักจะหิวหมี่เลยขอหยุดนึกถึงเรื่องนี้ก่อนและเดินลงไปชั้นล่างเพื่อจะซื้อของที่ร้านค้าสวัสดิการของหอพัก จังหวะนั้นเองก็บังเอิญเจอเข้ากับอาจารย์หอพอดี“สวัสดีครับอาจารย์” คนตัวเล็กเอ่ยทักอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงสดใส“อ๊ะ สวัสดีครับ ไม่เจอกันนานเลย เป็นยังไงบ้าง” อาจารย์พิทักษ์มีท่าทีตกใจเล็กน้อยแต่ก็ทักทายกลับมา“ทำไมเรียนทำอาหารถึงเหนื่อยแบบนี้ครับ ผมล่ะอยากจะร้องไห้” พูดพลางปั้นหน้ามู่ทู่น่าเอ็นดูจนคนมองอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา“ฮ่าฮ่าฮ่า!นั่นสินะ การเรียนก็เหนื่อยทั้งนั้นแหละแต่ผลตอบรับที่ได้กลับมาย่อมคุ้มค่า” คนเป็นอาจารย์ก็ทำได้เพียงปลอบใจเหล่านักศึกษาที่กำลังท้อแท้แบบนี้แหละและคอยเฝ้ามองลูกศิษย์ค่อย ๆ เติบโต“ครับ...ว่าแต่อาจารย์ไปทำอะไรในห้องนั้นครับ มันดูอับมากเลย” หมี่ถามด้วยความอยากรู้เพราะเท่าที่เห็นคือห้องด้านหลังร้านค้าสวัสดิการเป็นห้องที่ไม่น่
หลังจากได้เคลียร์ปมปัญหาที่ติดแน่นอยู่ในส่วนลึกของจิตใจออกไปและได้กินข้าวร่วมกับพ่อแม่ด้วยอารมณ์ความรู้สึกที่เขาไม่เคยสัมผัสมาก่อนก็ทำให้อินเริ่มยิ้มมากขึ้น พูดคุยมากขึ้นและเป็นตัวเองมากขึ้นเด็กหนุ่มจัดเก็บจานชามและโต๊ะกินข้าวเสร็จเรียบร้อยก็มานั่งคุยกับพ่อแม่ต่อที่ห้องนั่งเล่น ก่อนจะมีเสียงหยอกล้อของคนในบ้านและตามมาด้วยเสียงหัวเราะเป็นระยะ ตอนนี้บรรยากาศในบ้านไม่อึมครึมอีกต่อไปแล้ว“เอ่อ...พ่อครับ แม่ครับ” อินที่คิดว่าเวลานี้คงเหมาะที่จะคุยถึงเรื่องสำคัญอีกเรื่องก็เอ่ยขึ้น“หืมม มีอะไรลูก” พ่อตอบรับอย่างอารมณ์ดี“พ่อกับแม่รักกันได้ยังไงครับ” เมื่อได้ยินคำถามแบบนี้จากลูกชาย คนเป็นพ่อแม่ก็ถึงกับหันมองหน้ากันทันที“จู่ ๆ มาถามเรื่องแบบนี้ มีอะไรรึเปล่าลูก” แม่ถามไถ่ลูกชายด้วยความเป็นห่วง ขณะที่พ่อส่งเสียงแซวดังลั่น“จะมีอะไรอีกล่ะคุณ ลูกชายเรากำลังจะเป็นหนุ่มเต็มตัวแล้วน่ะสิ ฮ่าฮ่าฮ่า!” ไม่ว่าเปล่าแต่กลับหัวเราะจนท้องเข็ดท้องแข็งอีกด้วย“โธ่พ่อ! อย่าแซว” เด็กหนุ่มเขินอายเล็กน้อยแต่ยังไงเขาก็ต้องคุยกับทั้งคู่ให้รู้เรื่องเลยพยายามเก๊กขรึมไว้“สมัยนั้นพ่อไปฉุดแม่มาน่ะ ก็อย่างว่าพ่อมันคนร้
เช้าวันรุ่งขึ้นทั้งคู่ก็เดินทางกลับหอพักและใช้ชีวิตตามปกติ หลังจากค่ำคืนนั้นอินก็พยายามหาวิธีหลอกล่อคนตัวเล็กให้ติดกับ แต่ดูเหมือนเขาจะทำไม่ได้เลยเพราะโกหกไม่เป็นและอีกฝ่ายก็รู้ทันตลอดครืดดดด ครืดดดด“ครับแม่” เด็กหนุ่มกดรับสายเมื่อเห็นว่าเบอร์ที่โทรเข้ามาคือ ‘แม่’ จะว่าไปช่วงนี้เขาไม่ได้โทรหาคนที่บ้านเลย สงสัยพ่อแม่คงอยากให้กลับไปเยี่ยมบ้านบ้างแล้ว“อิน วันก่อนที่ลูกแข่งขันว่ายน้ำได้เหรียญเงินมา พวกเรายังไม่ได้ฉลองกันเลยนะลูก” จริงสิ ช่วงนั้นมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นมากมายจนลืมเรื่องนี้ไปเลย ไหนจะยุ่งวุ่นวายเกี่ยวกับความรักความสัมพันธ์ที่กำลังเริ่มต้นขึ้นอีก ตอนนี้คงถึงเวลาที่เขาต้องให้ความสำคัญกับครอบครัวแล้วสินะ“ครับ”“จริง ๆ แม่ว่าจะโทรถามเรื่องนี้ตั้งหลายครั้งแล้ว แต่ไม่รู้ว่าอินว่างช่วงไหนบ้างเลยไม่อยากโทรไปกวน” เด็กหนุ่มอดรู้สึกผิดไม่ได้ที่เขาละเลยหน้าที่ของการเป็นลูก“ขอโทษครับแม่ ช่วงนั้นอินมีเรื่องให้ต้องจัดการเยอะแยะเลยไม่ค่อยมีเวลาว่างเพื่อกลับบ้านสักเท่าไหร่ แถมยังไม่ได้โทรหาพ่อกับแม่ด้วย” น้ำเสียงหดหู่ปนเศร้าใจถูกส่งผ่านไปยังผู้เป็นแม่“ไม่เป็นไรจ้ะ แม่คิดว่าตอนนี้ทุกอย่างค
หมี่พาอินไปยังห้องนอนของตัวเองด้วยท่าทีเขินอาย คือถ้าเป็นการค้างแรมแบบเพื่อนคนตัวเล็กคงไม่เขินขนาดนี้ แต่ครั้งนี้อีกฝ่ายเป็นคนที่กำลังดูใจกันอยู่เลยรู้สึกใจเต้นแรงแปลก ๆทางด้านของอินเมื่อได้ก้าวเข้ามาในห้องของคนตัวเล็กก็ต้องกัดฟันยับยั้งชั่งใจให้อยู่หมัด ห้องอะไรหอมชะมัด ก่อนจะได้ยินหมี่บอกให้อาบน้ำในห้องนี้ได้เลย ส่วนตัวเองจะไปอาบน้ำที่ห้องพี่จะได้ไม่ต้องมานั่งรอกันทันทีที่คนตัวเล็กออกไป อินก็เดินสำรวจรอบห้อง เตียงนอนขนาดกลางเต็มไปด้วยตุ๊กตาเยอะแยะมากมาย มองดูก็รู้ว่าตู้เสื้อผ้า โต๊ะหรือแม้กระทั่งสิ่งของเครื่องใช้ภายในห้องถูกดูแลเป็นอย่างดีและจัดวางอย่างเป็นระเบียบ ถึงแม้ว่าของจะเยอะแต่ก็จัดเก็บไว้ได้อย่างลงตัวมือหนาหยิบผ้าขนหนูที่อีกฝ่ายเตรียมไว้ให้ขึ้นมาดู ลายบนผ้าผืนนี้ก็น่ารักสมกับเจ้าของห้อง แต่เมื่อเด็กหนุ่มเดินเข้าห้องน้ำก็แทบจะเสียสติเพราะกลิ่นหอมอ่อน ๆ ของสบู่เหลวที่หมี่ใช้ประจำตลบอบอวลอยู่ภายในห้องนี้อินรีบปิดน้ำจากฝักบัวรดหัวให้หายฟุ้งซ่าน ทว่าสีหน้าและแววตาของพี่แมนก็ผุดขึ้นมาอีกครั้ง...หรือพี่แมนต้องการให้เขาและหมี่ได้ใกล้ช
“ไหนใครบอกว่าจะไปซื้อน้ำผลไม้” อินเห็นคนตัวเล็กนั่งอยู่ตรงโต๊ะหินอ่อนข้างอาคารผู้ป่วยก็พูดทัก“อ๊ะ! มาไม่ให้ซุ่มให้เสียงตกใจหมด” เมื่ออีกฝ่ายหันมา อินก็เห็นว่ามีสีหน้าไม่ค่อยสู้ดี“เป็นอะไรรึเปล่า หน้าตาไม่ค่อยดีเลย” เด็กหนุ่มนั่งลงข้าง ๆ และสอดส่องใบหน้าของคนตัวเล็ก“เปล่า” เปล่าอะไรหน้าหงอยขนาดนั้น“จะบอกดี ๆ มั้ย” เมื่อโดนอินดุก็จำยอมต้องบอกความในใจ“เมื่อกี้จู่ ๆ กูก็รู้สึกแปลกแยกอ่ะ กูเลยอยากออกมาอยู่ข้างนอก” เด็กหนุ่มคิดตามอีกฝ่าย หรือความจริงแล้วหมี่ไม่สบายใจเพราะยังไม่ได้รู้จักพ่อแม่ของเขากันนะ“งั้นบอกพ่อกับแม่ดีมั้ย” คนตัวเล็กตาโต ไม่คิดว่าอินจะพูดแบบนี้“บอกเรื่องอะไร” ปากสวยได้รูปขยับถามอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ“เรื่องของเราไง” อินเอื้อมไปจับมือหมี่และลูบเบา ๆ“แต่เรายังไม่ได้เป็นอะไรกันเลยนะ...กูหมายถึงตอนนี้เราแค่ทดลองดูใจกันอยู่รึเปล่า” หมี่พูดออกมาตามตรง ซึ่งนั่นก็ทำให้ทั้งคู่รับ
อินอาบน้ำแล้วทิ้งตัวลงบนเตียงก่อนจะผล็อยหลับไปด้วยความเหนื่อยล้า หมี่เห็นแบบนั้นก็พิมพ์ข้อความส่งไปหากันต์ที่ยังอยู่โรงพยาบาลว่าอินได้ที่สอง ซึ่งอีกฝ่ายตอบกลับมาเป็นสติกเกอร์รูปนิ้วมือแบบธรรมดา การเป็นคนป่วยไม่ได้ทำให้กันต์กวนบาทาน้อยลงเลยคนตัวเล็กหันมองรูมเมทที่นอนหลับตาพริ้มด้วยสายตายินดีพลางคิดว่าหลังจากนี้ก็ขอให้มีแต่เรื่องดี ๆ เกิดขึ้นกับพวกเขานะ ก่อนจะเริ่มเตรียมแผนการสำหรับฉลองที่อินได้เหรียญเงินในการแข่งขันว่ายน้ำครั้งแรกคิดไปคิดมา เขียนไปเขียนมาก็ผ่านไปหลายชั่วโมงจนตะวันตกดิน หมี่ที่เป็นกังวลว่าอินยังไม่ตื่นก็เดินไปปลุกเพราะถึงเวลาต้องหาอะไรกินแล้ว เด็กหนุ่มที่ถูกปลุกก็ลุกขึ้นมานั่งด้วยหน้าตาสะลึมสะลือ ก่อนจะตรงไปอาบน้ำเพื่อสลัดความง่วงทิ้ง“ครั้งนี้ฉลองด้วยอะไรดี” เสียงเล็กของหมี่ถามขึ้นอย่างตื่นเต้นทันทีที่อินเดินออกมาจากห้องน้ำ“ตามใจมึงเลย” เขากินอะไรก็ได้ทั้งนั้นแหละ ความจริงแล้วตอนนี้ยงไม่อยากตื่นเลยด้วยซ้ำ“อืมม งั้นทำอะไรอร่อย ๆ กินกันดีมั้ย” เมื่อเห็นคนตัวเล็กทำหน้าครุ่นคิดว่าจะฉ