เดือนแรกของการเป็นนักศึกษาชั้นปีที่หนึ่งในรั้วมหาลัยฯ ผ่านไปอย่างรวดเร็วราวกับเป็นเรื่องโกหก หมี่ที่ทำการเปิดตัวด้วยความอลังการจากสโลแกนและท่ากระตุกเป้าเขย่าไข่ในวันงานกิจกรรมรับน้องก็มีเพื่อนนักศึกษาและรุ่นพี่มากหน้าหลายตาให้ความสนใจและเข้ามาทำความรู้จักเป็นจำนวนมาก
ซึ่งปรากฎการณ์นี้เจ้าตัวก็ชอบอกชอบใจ เขาคิดไปเองว่าทุกคนเข้าหาเพราะเบ้าหน้าอันหล่อเหลาของตัวเอง แต่ความจริงคือทุกคนเข้าหาเพราะความร่าเริงแจ่มใสและความตลกเฮฮาของหมี่ต่างหาก
อีกด้านหนึ่ง อินที่อยากใช้ชีวิตด้วยความเรียบง่าย สบาย ๆ และไม่อยากเป็นดาวเด่นหรือเป็นที่สนใจของใครทั้งนั้น กลับไม่ได้อยู่อย่างสงบสุขตามที่คาดหวังไว้เพราะเหตุการณ์จากวันงานกิจกรรมรับน้องเช่นเดียวกัน
ในทุกวันเด็กหนุ่มจะตื่นนอนตั้งแต่ตีสี่เพื่อออกมายืดเส้นยืดสาย อบอุ่นร่างกายและเริ่มวิ่งเหยาะ ๆ ไปยังสวนสาธารณะที่อยู่ใกล้มหาลัยฯ เมื่อมาถึงสระน้ำกลางสวนก็พักยืดเหยียดแขนขาอีกครั้ง ก่อนจะเริ่มวิ่งกลับและแวะซื้อมื้อเช้ากลับไปกินที่ห้อง
กว่าจะถึงห้องก็ราว ๆ หกโมงกว่าเพราะต้องรอข้าวอยู่หลายนาที ร้านข้าวมันไก่เจ้านี้คนแน่นตั้งแต่ฟ้ายังไม่สว่าง อินเห็นพ่อค้าแม่ค้าหลายคนมาซื้อแบบเป็นห่อหลายสิบเจ้าคงเอาไปขายต่อเลยทำให้รอนาน ระหว่างนั้นก็นั่งพักให้หายเหนื่อยและรอให้เหงื่อแห้ง ก่อนจะลุกไปอาบน้ำ
ชีวิตในรั้วมหาลัยฯ ของอินถ้าตัดเรื่องที่สาวน้อยใหญ่มาตามกรี๊ดเขากับเรื่องของขวัญที่ใครก็ไม่รู้ชอบซื้อมาฝากออกไป ก็นับว่าเป็นชีวิตที่สงบดี ตื่นเช้าไปวิ่ง กินข้าว ไปเรียน ปีหนึ่งก็เรียนวิชาพื้นฐานทั่วไปไม่ได้เน้นเรียนทักษะกีฬาว่ายน้ำเท่าไหร่ ซึ่งก็ตรงตามที่เด็กหนุ่มคิดไว้
อินเลยทำได้เพียงฝึกตามตารางที่เขียนไว้เพื่อเตรียมพร้อมร่างกายอยู่เสมอและเขาก็ทำได้ดีมาตลอดหนึ่งเดือนเต็ม ทว่าการฝึกนี้ยังไม่ได้รวมการฝึกว่ายน้ำในสระเลย ปกติเขาก็ไปใช้บริการสระของศูนย์ฝึกแห่งหนึ่งใกล้บ้านแต่ตอนนี้มาอยู่มหาลัยฯ แล้ว คงต้องไปคุยเรื่องขอใช้สระว่ายน้ำของทางคณะฯ สักหน่อย
ส่วนเรื่องการเรียนทั่วไปในสายชั้นยิ่งไม่ต้องพูดถึง มีทั้งวิชาฟิสิกส์ เคมี ชีวะ ไหนจะวิชาสรีระหรือกายภาพนั่นอีกทำเอาเหล่านักศึกษาที่คิดว่าจะหนีมาเรียนพละสบาย ๆ ต้องถอนหายใจกันเป็นว่าเล่นเพราะพวกเขาเผลอหนีเสือปะจระเข้เข้าให้แล้ว
“อ๊ะ กลับมาแล้วเหรอ” เด็กหนุ่มเดินออกมาจากห้องน้ำก็ได้ยินเสียงทักทายจากคนตัวเล็กทันที
“อือ กูซื้อข้าวมันไก่มาให้ วันก่อนได้ยินมึงบ่นอยากกิน”
“หาววว อืมม กูไปอาบน้ำแป๊บ” อีกฝ่ายตอบรับทั้งที่ยังไม่ลืมตา ก่อนจะเดินตรงดิ่งเข้าห้องน้ำไป
ทางด้านของหมี่ซึ่งเรียนคณะคหกรรมก็ค่อนข้างหนักกว่าที่คิดเอาไว้ ดูท่าอีกฝ่ายจะเรียนรายวิชาพื้นฐาน เช่น วิทยาศาสตร์หรือคณิตศาสตร์ไม่เข้าหัวเลย กลับมาห้องทีไรมีสภาพหัวฟูทุกที ทว่าวันไหนที่เรียนคาบปฏิบัติคนตัวเล็กขอสู้ตาย ไอ้หมี่คนนี้จะเป็นเชฟอันดับหนึ่งให้ได้!!!
เรียนคหกรรมหนึ่งเดือนก็ได้รู้จักเครื่องครัวที่ไม่เคยได้เห็นมาก่อนแล้วก็มีเพื่อนใหม่สองคน รู้จักกันจากการทำงานกลุ่มในวิชาเรียน ถือเป็นบุญของหมี่แท้ ๆ ที่เพื่อนสองคนนั้นเรียนเก่งและคอยช่วยกันปลุกคนตัวเล็กที่มักจะหลับใหลในคาบเรียนให้ตื่นอยู่เสมอ
หมี่มักเป็นตัวสร้างความสุขให้กับผู้คนรอบข้างแต่ไม่ใช่กับรูมเมทเพราะหนึ่งเดือนนี้เวลาว่างของทั้งคู่แทบไม่ตรงกันเนื่องจากเรียนกันคนละคณะฯ ทำให้เจอกันแค่บางเวลา เช่น ช่วงเช้า ก่อนนอนหรือวันหยุดเสาร์อาทิตย์ และถึงแม้ว่าจะได้เจอกันบ้างแต่ทั้งคู่ก็แทบไม่ได้คุยกันเลย ทุกครั้งที่กลับถึงห้องต่างคนก็ต่างทำเรื่องของตัวเองอย่างกับอยู่ตัวคนเดียว
“มึง” ขณะที่อินกำลังแกะข้าวมันไก่ใส่จานก็ได้ยินคนตัวเล็กเรียก
“หืม”
“กูเหงา” และแล้วหมี่ก็พูดความในใจออกมาเพราะเขาไม่อยากทนกับสถานการณ์นี้อีกต่อไปแล้ว ขอฉวยโอกาสนี้เปิดหัวข้อสนทนาเลยแล้วกัน
“อะไรของมึงแต่เช้าเนี่ย” เด็กหนุ่มขมวดคิ้วมุ่นจนหน้าผากยู่เพราะงงงวยว่าอีกฝ่ายต้องการจะสื่ออะไร
“ช่วงนี้เราไม่ค่อยได้คุยกันเลยนะเว้ย กลับมาห้องทีไรกูก็รู้สึกเหมือนอยู่คนเดียวอ่ะ กูไม่ชอบอะไรแบบนี้เลย” คนฟังเริ่มประมวลผลจากคำพูดและการกระทำของอีกฝ่าย เวลาที่คนตัวเล็กเริ่มใช้น้ำเสียงงอแงคล้ายเด็กนั่นแปลว่ากำลังอยากได้อะไรบางอย่าง
“ไม่ชอบแล้วจะให้ทำยังไง” ตอนนี้อินเทน้ำซุปใส่ถ้วยเรียบร้อยแล้ว เหลือแค่รอคนกินเนี่ยแหละ
“กูเคยบอกมึงแล้วไงว่ากูชอบพูด แต่หนึ่งเดือนมานี้กูนับคำได้เลยว่าพูดกับมึงไปกี่คำ” เด็กหนุ่มยิ่งฟังก็ยิ่งไม่เข้าใจ อีกฝ่ายต้องการอะไรจากเขา ถ้าอยากคุยนักก็คุยสิ ในมหาลัยฯ มีคนให้คุยด้วยตั้งเยอะแยะ
“มึงก็พูดกับเพื่อนในห้องดิ” อินเลยตอบไปตามตรง คณะคหกรรมก็ใช่ว่าจะเด็กน้อยซะหน่อยหรือไอ้หมี่มันไม่พูดกับใครเลย คิดมาถึงตรงนี้ก็กังวลว่าอีกฝ่ายมีเพื่อนบ้างรึเปล่า นอกจากเพื่อนสองคนที่เคยเล่าให้เขาฟัง
“...มันเหมือนกันที่ไหนเล่า ไอ้บ้า...” ทางด้านของหมี่ที่ได้ยินคำตอบจากไอ้ยักษ์ตรงหน้าก็เริ่มโมโหขึ้นมาแต่เพราะอีกฝ่ายอุตส่าห์ซื้อข้าวมันไก่ที่ตัวเองอยากกินมาฝาก เลยไม่อยากโวยวายใส่
“มึงว่าไงนะ” ทว่าพอโดนอินกระตุกต่อมก็เผลอห้ามตัวเองไม่อยู่
“กูบอกว่ามันไม่เหมือนกันโว้ยยย!!!” คนตัวเล็กตะโกนตอบเสียงดังจนอินถึงกับต้องดุเสียงแข็ง มีแค่เรื่องนี้แหละที่เขาอยากให้คนตัวเล็กปรับปรุง การที่อีกฝ่ายงอแง เอาแต่ใจหรือชอบพูดมาก ไม่เป็นปัญหาเท่ากับการโวยวายเสียงดังแบบนี้เลย
“หมี่! บอกว่าอย่าตะโกนไงเกรงใจคนข้างห้องบ้าง” คนตัวเล็กได้แต่ก้มหน้างุดสำนึกในสิ่งที่ทำลงไป
“เออ ขอโทษ” พูดเสร็จก็นั่งลงตรงที่ประจำและกินข้าวมันไก่ในจาน ตักข้าวเข้าปากไปได้ไม่กี่คำ ก็เริ่มซักไซ้ต่อ
“แล้วสรุปจะเอายังไง”
“เรื่องอะไร” หมี่หน้าหงิกทันทีพลางนึกหงุดหงิดที่อีกฝ่ายยังใช้ชีวิตอยู่ได้อย่างสบายใจ แล้วทำไมตัวเองถึงต้องน้อยใจแบบนี้ด้วยนะ
“ก็เรื่องของเราไง”
“เรื่องของเรา อะไรของมึง” อินถึงกับต้องเงยหน้าขึ้นมามองเพราะกลัวว่าเขาจะเข้าใจคำพูดนั้นคนละความหมายกับที่หมี่อยากสื่อ
“ไอ้อินนี่กูไม่ได้พูดเล่นนะ กูว่าเราต้องหากิจกรรมทำร่วมกันบ้าง แบบเสาร์อาทิตย์ทำขนมกินกัน ไปเดินเล่นตลาดนัด ไม่ก็เที่ยวห้างดูหนังไรงี้ กูว่าแบบนั้นน่าสนุกดีนะ ดีกว่าอยู่ห้องแบบเฉา ๆ เหงา ๆ อ่ะ” เด็กหนุ่มคิดตามข้อเสนอของคนตัวเล็กพลางพยักหน้าเห็นด้วย แต่...
“เสาร์อาทิตย์นี้ไม่ได้ กูมีนัดสายรหัส”
“มึงพากูไปด้วยได้มั้ย” ดวงตากลมสีน้ำตาลคาราเมลเปล่งประกาย
“มึงเข้าใจคำว่าสายรหัสมั้ยเนี่ย” แต่งานนี้เด็กหนุ่มขอไม่ใจอ่อนและไม่คล้อยตามการออดอ้อนของคนตัวเล็กอีกต่อไป
“ขี้งกว่ะ เลี้ยงกูเพิ่มอีกคนสายรหัสมึงไม่จนหรอก ว่าแต่พี่เค้าพาไปกินอะไรอ่ะ คดห่อกลับมาเผื่อกูด้วยดิ” หมี่พูดพลางทำหน้าบึ้งตึงแถมยู่ปากน่าเอ็นดู ขณะที่อินถึงกับต้องถอนหายใจในความไหลลื่นของคนตัวเล็กพลางคิดว่าอีกฝ่ายกะจะเอาให้ได้สักทางนึงเลยใช่มั้ย
“เหล้า” ว่าแล้วก็ตอบคำถามที่คนตัวเล็กสงสัย ซึ่งคำตอบนั้นทำให้ดวงตากลมของหมี่ต้องเบิกกว้าง
“หะ!ไหนมึงบอกว่านักกีฬาต้องรักษาสุขภาพไม่กินแอลกอฮอล์ไง”
“ปกติกูไม่กินแต่งานนี้คงต้องกิน” หมี่หน้าเหยเกขึ้นมาทันที
“บ้าอำนาจชะมัด ดีนะที่กูไม่ได้มีสายรหัสแบบนั้น” ก่อนที่มือเล็กจะเริ่มจับช้อนตักข้าวมันไก่เข้าปากอีกครั้ง
“หมี่” อินได้ยินแบบนั้นก็กดเสียงทุ้มต่ำเรียกชื่อของคนตัวเล็กเพื่อปรามไม่ให้อีกฝ่ายพูดจาอะไรเลยเถิดและไม่ให้เกียรติรุ่นพี่ไปมากกว่านี้
“อยู่กับมึงเหมือนมีพ่อคนที่สองเลยว่ะ มันหนักกว่าการมีพี่อีกนะ” เมื่อโดนดุถึงสองครั้งตั้งแต่เช้า คนตัวเล็กก็ได้แต่ขยับปากบ่นอุบอิบเสียงเบา
เด็กหนุ่มส่ายหัวให้อีกฝ่าย หมี่คงไม่รู้ตัวเลยว่าสิ่งที่ทำลงไปเมื่อครู่มันน่าเอ็นดู น่ามันเขี้ยวขนาดไหน อินก้มมองเวลาในโทรศัพท์มือถือและบอกให้คนตัวเล็กรีบกินข้าว ก่อนที่เขาจะตักข้าวมันไก่คำสุดท้ายเข้าปากไป
“มึงไม่ลืมอะไรแน่นะ กูจะปิดห้อง” เด็กหนุ่มยืนถือกุญแจจ่อลูกบิดประตูห้องไว้และหันไปถามรูมเมท ก่อนจะได้ยินเสียงเล็กแหลมตอบกลับมา
“ปิดเลย กูไม่ลืมอะไรแล้ว...แต่ถึงกูจะลืม กูก็กลับมาเอาได้ป่ะวะ” จะว่าไปก็ถูกตามที่อีกฝ่ายพูด อินเลยอดคิดไม่ได้ว่านี่เขาเผลอทำตัวจู้จี้จุกจิกจนน่ารำคาญอีกแล้วรึเปล่านะ
เมื่อเดินมาถึงชั้นล่างก็เจอกันต์ที่นั่งรออยู่ก่อนแล้ว ทั้งสามคนตรงไปขึ้นรถสวัสดิการของมหาลัยฯ เพื่อนั่งไปยังตึกคณะฯ ของตัวเอง และเพราะตึกของหมี่จะถึงก่อนตึกของอิน เจ้าตัวเลยกระชับกระเป๋าสะพายให้แน่นขึ้นเพื่อเตรียมตัวลง
“กูไปก่อนนะ ไว้เจอกันตอนเย็นนน” ขณะที่กำลังจะเดินลงจากรถก็ยังไม่วายหันมาโบกมือลาเด็กหนุ่มอีกด้วย
“อืม” อินที่เริ่มชินแล้วก็ส่งเสียงขานรับในลำคอและนั่งรถไปเรื่อย ๆ จนถึงหน้าตึกคณะฯ วิทย์กีฬา
.
.
การเรียนและการสอบย่อยในรายวิชาต่าง ๆ ค่อนข้างถาโถมรุมเร้าแต่อินและกันต์ก็ผ่านมาได้ จนกระทั่งมาถึงวันเสาร์ที่พวกรุ่นพี่ตั้งตารอคอยเพราะวันนี้เป็นวันรับน้องสายรหัสของคณะวิทยาศาสตร์การกีฬา งานนี้เป็นงานเล็ก ๆ ถูกจัดขึ้นในห้องวีไอพีของร้านเหล้า YY ซึ่งเป็นห้องคาราโอเกะที่อยู่ลึกเข้าไปในร้าน หลบเลี่ยงเสียงครื้นเครง เสียงดนตรีและกลิ่นบุหรี่ได้ดีเด็กหนุ่มสองคนเดินเข้ามาในร้านก็เจอกับผู้ชายคนหนึ่งคาดว่าน่าจะเป็นพนักงานรักษาความปลอดภัยของทางร้าน ด้วยความเป็นเด็กใหม่ที่ยังไม่เคยมาร้านนี้อินก็เข้าไปสอบถามเรื่องห้องวีไอพีที่รุ่นพี่บอกมาทันที เมื่อได้คำตอบว่าห้องอยู่ตรงไหนก็เดินตรงไปทางนั้นอย่างไม่ลังเลก๊อก! ก๊อก!!อินเคาะประตูตามมารยาท ก่อนจะมีรุ่นพี่คนหนึ่งเดินมาเปิดประตู รุ่นพี่คนนี้ชื่อโชนเป็นนักศึกษาชั้นปีที่สามและเป็นพี่สายรหัสของไอ้กันต์ มองเข้าไปในห้องก็เห็นรุ่นพี่ผู้ชายอีกคนนั่งเสียบสายลำโพงและไมโครโฟนอยู่ไม่ไกล พี่คนนั้นชื่อแต้มและนั่นคือพี่สายรหัสของอิน“มาาา นั่งกันตามสบายเลย มาเร็วเหมือนกันนะเนี่ย” พ
ก๊อก! ก๊อก!ถึงแม้ว่าในวินาทีแรกกันต์จะคิดสงสัยว่าหมี่คือใครแต่ตอนนี้เขายืนอยู่หน้าห้องพักก็แปลว่าอีกฝ่ายคงเป็นรูมเมทของไอ้อินแหละ ชื่อหมี่เหรอ จะเป็นคนแบบไหนนะ ทว่าไม่ทันได้คิดอะไรต่อ คิ้วเข้มก็เริ่มย่นเข้าหากันเพราะผ่านไปหลายนาทีแล้วก็ไม่มีวี่แววว่าจะมีใครมาเปิดประตูก๊อก!!! ก๊อก!!! ก๊อก!!!กันต์ที่เริ่มหงุดหงิดเพราะเขาทั้งหนัก ทั้งเหนื่อยแถมยังมีอาการกรึ่มเมาเล็กน้อยก็ออกแรงทุบประตูหนัก ๆ ไปอีกสามทีเผื่อที่เคาะไปก่อนหน้านี้คนในห้องจะไม่ได้ยิน ในที่สุดก็มีเสียงขานรับมาจากในห้อง“กำลังไปค้าบบบ...ใครมาเคาะประตูเอาป่านนี้วะ” ขานรับไม่พอยังมีเสียงบ่นอุบอิบเล็ดลอดมาให้ได้ยินอีกต่างหาก“อ้าว ไอ้ยักษ์” ทันทีที่ประตูเปิดออกก็เห็นผู้ชายร่างเล็กคนหนึ่งชี้นิ้วมาที่ไอ้อินพร้อมชื่อเรียกที่ทำให้กันต์ได้แต่งุนงง“เปิดประตูกว้างหน่อย มันหนัก” เด็กหนุ่มผิวแทนผู้ซึ่งไม่ชอบการพูดคุยกับคนแปลกหน้าเป็นทุนเดิมอยู่แล้วก็เลือกพูดจุดประสงค์ของตัวเองให้อีกฝ่ายเข้าใจง่ายที่สุด จะได้ไม่ต้องต
“กูคิดถึงมึง ถ้าตอนนี้มีมึงอยู่...คงดีกว่านี้” การที่ใครสักคนจะพูดประโยคนี้ออกมาในช่วงที่เขากำลังขาดสติอยู่นั้น แปลว่าเขาเจ็บปวดมากแต่ไม่สามารถพูดสิ่งนี้ขณะที่ยังมีสติอยู่ได้“กูไม่อยากโตเลย ชีวิตวัยเด็กที่มีมึง กูมีความสุขมาก” สีหน้าของอินเต็มไปด้วยความรู้สึกอัดอั้นตันใจ เขาไม่เคยได้ระบายตะกอนที่จมลึกอยู่ในก้นบึ้งหัวใจดวงนี้ให้ใครได้รับรู้“กูจะเป็นนักกีฬาว่ายน้ำเพื่อมึงนะ...อัน...” ยิ่งฟังก็ยิ่งรู้สึกปวดหนึบไปในอกเพราะมันทำให้รู้ว่าเด็กหนุ่มไม่เคยทำเพื่อตัวเองเลย เขาใช้ชีวิตเพื่อน้องชายเสมอมา...และจะทำแบบนี้ตลอดไป“มันยังละเมออยู่อีกเหรอวะเนี่ย” หมี่ที่เห็นว่าอินนอนขยับปากเหมือนกำลังพูดอะไรสักอย่างก็เดินเข้าไปหาอีกฝ่าย ก่อนจะยกเท้าถีบไปที่ต้นขาหนาของอิน“เห้ย! ไอ้ยักษ์มีสติยัง ไหนบอกคอแข็งไง”“หมี่~” คนตัวเล็กหัวใจเต้นรัวเพราะรู้สึกแปลกที่อีกฝ่ายเรียกชื่อเขาด้วยน้ำเสียงแหบพร่า ไม่แน่บางทีเขาอาจจะเมากลิ่นเหล้าที่ติดตัวไอ้ยักษ์มา...หัวใจเลยเต้นแรงแบบนี้&ld
“แล้วสรุปเรื่องเราคุยกันวันก่อน มึงว่าไง” จู่ ๆ อินก็พูดเปิดประเด็นขึ้นมา หมี่ที่กำลังคิดเรื่องอื่นอยู่ก็ถึงกับงง“หะ?”“หะ อะไร” เด็กหนุ่มมองอีกฝ่าย นี่อย่าบอกนะว่าหมี่ลืมเรื่องวันนั้นไปแล้ว ไม่อยากเชื่อเลยว่าคนเราจะขี้ลืมได้ง่ายขนาดนี้“คุยเรื่องอะไรวะ” นั่นไง สีหน้าเหรอหรานั่นเป็นหลักฐานชั้นดีที่บอกว่าคนตัวเล็กลืมเรื่องนั้นไปแล้วจริง ๆ“เรื่องที่มึงบอกว่าเราต้องหากิจกรรมทำร่วมกันบ้าง ทำขนมกินกัน ไม่ก็ไปเดินเล่น ไปเที่ยวห้างดูหนังอะไรสักอย่าง” ลำบากอินต้องมานั่งรื้อฟื้นความทรงจำให้ใหม่อีก“อ๋อออ เรื่องนั้นเอง~”“ไม่ต้องมาอ๋อเลย เรื่องนั้นมึงเป็นคนเปิดหัวข้อมาเองนะ สรุปว่าไง” เด็กหนุ่มเฝ้ารอคำตอบจากคนต้นคิด“ก็นั่นแหละ แบบว่าเราอยู่ห้องเดียวกันแต่ตลอดอาทิตย์ที่ผ่านมาหรือช่วงก่อนหน้านี้เราไม่ค่อยได้คุยกันเลย กูรู้สึกเหมือนกูอยู่ตัวคนเดียวอ่ะ กูไม่ชอบความรู้สึกนั้น” อินรู้สึกเจ็บในอกเล็กน้อยเพราะเขาก็เคยรู้สึกแบบนี้ตอนอยู่ที่บ้
และแล้วเวลาก็ผ่านล่วงเลยมาจนถึงวันหยุดสุดสัปดาห์นี้ที่อินรอคอย หมี่บอกว่าจะสอนทำขนมจีนน้ำเงี้ยว เด็กหนุ่มที่ไม่ได้กินเมนูนี้มานานแล้วก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกตื่นเต้น พวกเขานั่งรถบัสไปห้างสรรพสินค้า AA เหมือนเดิมเพื่อเลือกซื้อวัตถุดิบสำหรับเมนูแสนอร่อย“ต้องซื้อของเยอะมั้ย”“ไม่เยอะนะ กูจดมาละ” มือบางล้วงเข้ากระเป๋ากางเกงและหยิบเศษกระดาษแสนยับยู่ยี่ขึ้นมาคลี่ออก ก่อนจะยื่นให้เด็กหนุ่มอ่าน ทันทีที่เห็นตัวอักษรขยุกขยิกราวไก่เขี่ย อินก็หันมองหน้าคนตัวเล็กพร้อมความคิดที่แทรกเข้ามาในสมองสองอย่างอย่างแรกคือลายมืออะไรของมัน อ่านไม่ออกเลยสักนิด แม้จะเพ่งสายตาก็มองไม่ออกว่าอักษรตัวนี้เป็น ก.ไก่ หรือ ท.ทหาร แล้วตัวนั้นอีกล่ะ เขาต้องอ่านเป็น น.หนู หรือ บ.ใบไม้ส่วนอย่างที่สองคือไอ้คำว่า ‘ไม่เยอะนะ’ ของอีกฝ่ายนี่หมายความว่ายังไงเพราะเท่าที่เด็กหนุ่มมองรายการส่วนผสมทั้งหมดที่เขียนไว้ในกระดาษแบบผ่านตาก็น่าจะราว ๆ เกือบสามสิบอย่างแล้ว“อันนี้คือไม่เยอะเหรอ”“ช่ายยยย เมนูอื่นที่ใช้วัต
ทางด้านอินก็หยิบเส้นขนมจีนให้เป็นกระจับจัดวางใส่จานตามด้วยเครื่องเคียง อาทิเช่น กระเทียม ต้นหอมผักชี พริกขี้หนูทอด ถั่วงอกและผักกาดดอง ก่อนจะส่งให้หมี่ตักน้ำเงี้ยวร้อน ๆ ราดลงไป หน้าตาอาหารที่มีสีสันสวยงามและกลิ่นหอม ๆ ของน้ำแกง ชวนให้น้ำลายสอเสียเหลือเกิน“น่ากินมากเลยหมี่” อินพูดแค่นั้นและยกจานขนมจีนทั้งสองไป พวกเขานั่งกินกันไปสักพักคนตัวเล็กก็เริ่มชวนคุยตามประสาคนชอบพูด“ปกตินักกีฬาต้องควบคุมโภชนาการหนักขนาดไหนอ่ะ”“ถ้าจริงจังกับการเป็นนักกีฬามากก็ต้องควบคุมหนัก” ซึ่งอีกไม่นานเด็กหนุ่มก็ต้องควบคุมตัวเองเช่นกัน ทั้งเรื่องอาหารการกินและการฝึกซ้อม“แล้วมึงจริงจังมากมั้ย” คำถามนี้ทำให้อินฉุกคิด นั่นสิ ลึก ๆ แล้วเขาจริงจังกับการเป็นนักกีฬาว่ายน้ำมากน้อยแค่ไหนกันนะ“กูก็จะทำให้ดีที่สุด” คำตอบนี้คงเป็นกลางมากกว่าคำตอบอื่น“งั้นขนมจีนน้ำเงี้ยวจานนี้กี่แคลอ่ะ” จบคำถามแรกก็มีคำถามที่สองโผล่มาทันทีทำเอาเด็กหนุ่มตามไม่ทันกันเลยทีเดียว“อะไรนะ”
“พอแล้ว! ทั้งคู่เลย” อินส่งเสียงปรามเพื่อนทั้งสองคน หลังจากรอแทรกจังหวะอยู่นาน เด็กหนุ่มรู้ดีว่าเพื่อนสนิทค่อนข้างปากเสียแต่ทุกครั้งที่พูด กันต์ไม่เคยมีเจตนาร้ายแอบแฝง ซึ่งเรื่องนี้คนตัวเล็กยังไม่รับรู้“ไอ้ยักษ์! กูไม่ให้เพื่อนมึงกินขนมจีนน้ำเงี้ยวแสนอร่อยของกูแล้ว เอากลับเลย” หมี่ที่โดนอินดุก็ยอมอ่อนลงแต่ยังไม่อยากผูกมิตรกับกันต์“หึ ขี้งกจังวะ อุตส่าห์แบกมาถึงห้องกูแล้ว เรื่องไรจะให้เอากลับ” อินเผลอหลุดยกยิ้มมุมปากเมื่อได้ยินประโยคนี้จากปากกันต์ สงสัยตอนนี้เพื่อนสนิทของเขาคงเริ่มเปิดใจให้คนตัวเล็กแล้วถึงได้กล้าพูดเล่นติดตลก“มีใครเคยบอกมั้ยว่ามึงมันปากเสีย! ระวังจะไม่มีใครคบนะ!” ซึ่งอินคิดว่าหมี่ก็คงเริ่มเปิดใจแล้วเช่นกัน“กัดกันเป็นเด็กไปได้ ไอ้กันต์มึงนั่งกินขนมจีนฝั่งนั้นกูใส่จานให้แล้ว ส่วนหมี่มานั่งข้างกู” อินพูดพลางส่ายหัวและหันไปกวักมือเรียกหมี่ ในใจก็นึกสงสัยว่าทำไมไอ้สองคนนี้ถึงเขม่นเหม็นหน้ากันตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอนะ“มึงเคยเจอหมี่แล้วเหรอ”&ld
“ผมชื่ออินนะครับ เมื่อกี้ยังไม่ทันได้แนะนำตัวเลย” อินที่ไม่อยากให้บรรยากาศอึมครึมก็พูดทักทายคนที่อายุมากกว่าและก้มหัวให้เล็กน้อย“โอ๊ะ! พี่ชื่อแมนครับ นั่งก่อนเลยเดี๋ยวพี่ไปเอาน้ำมาให้”เด็กหนุ่มถือวิสาสะเข้าไปนั่งโซฟากลางห้องนั่งเล่น บ้านขนาดกลางที่ภายในตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์และของใช้แสนเรียบง่าย มีรูปครอบครัววางประดับทั่วทุกมุมห้องพร้อมแจกันดอกไม้ที่ตอนนี้เริ่มเหี่ยวเฉาแล้ว“มีแค่น้ำเปล่านะ” พี่แมนเดินกลับมาพร้อมน้ำแร่ขวดเล็กกะทัดรัด“ครับ ขอบคุณครับ” อินรับมาวางบนโต๊ะ ความจริงแล้วเขาอยากบอกอีกฝ่ายว่าไม่จำเป็นต้องเอาอะไรมาให้เขาแต่คงเลี่ยงมารยาททางสังคมไม่ได้ก็เลยรับไว้“ปกติจะมีน้ำผลไม้หรือของว่างสำหรับรับแขกติดบ้านอยู่ตลอดแต่พอหมี่ไปเรียนมหาลัยฯ พี่ก็ไม่ค่อยซื้อเสบียงมาตุนไว้น่ะ” ชายวัยทำงานนั่งลงข้างเด็กหนุ่มและชวนคุย“แค่น้ำเปล่าก็พอครับ” อินตอบแค่นั้นแล้วก็เงียบไป ก่อนจะหยิบขวดน้ำขึ้นมาเปิดหวังจิบเล็กน้อย“..เอ่อ..” ทว่าไม่ทันจะได้
ชีวิตของเด็กหนุ่มทั้งสองก็ดำเนินต่อไป ผ่านเรื่องราวสุขทุกข์แต่ก็ยังคงจับมือกันและฝันฝ่าทุกอย่างไปได้จนมาถึงวันนี้ วันที่ทั้งสองคนเรียนจบและเข้ารับปริญญาทุกคนต่างก็มีเป้าหมายและเดินไปตามเส้นทางที่ตัวเองเลือกกันต์เรียนจบช้ากว่าพวกเขาไปหนึ่งเทอมแต่ก็ยังโชคดีที่เด็กหนุ่มขยันและติดตามงานจนเรียนจบมาได้ซึ่งแน่นอนว่าเส้นทางที่เขาเลือกเดินคือการไปทำงานต่างประเทศร่วมกับแม่ เด็กหนุ่มตัดสินใจประกาศปล่อยขายบ้าน ตอนนั้นเองที่หมี่คุยกับพี่ชายของตัวเองว่าอยากให้ช่วยซื้อบ้านหลังนี้ จะได้ย้ายมาอยู่ใกล้ ๆ กันแมนก็กลับไปคิดทบทวนอยู่หลายวันเพราะการย้ายบ้านเป็นเรื่องใหญ่สำหรับเขา ทั้งข้าวของเครื่องใช้ ทั้งการเดินทางและเรื่องการเงิน อีกอย่างตอนนี้เขาไม่ได้เป็นโสดแล้ว ย่อมต้องปรึกษาคนรักท้ายที่สุดแล้วแมนก็ตัดสินใจซื้อบ้านหลังนั้นพร้อมพาแฟนมาอยู่ด้วยกัน หมี่มีความสุขมากที่เห็นพี่ชายมีคนรักที่ดี คนตัวเล็กรู้สึกชอบว่าที่พี่สะใภ้ตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้เห็น พี่กวางทั้งสวยทั้งน่ารัก ทำงานเก่ง นิสัยดีแถมยังชวนหมี่ทำอาหารด้วยกันบ่อยมากซึ่งแน่นอนว่าตอนนี้หมี่ก็ได้เดินตามเส้นทางของตัวเองเหมือนกัน เขาไปสมัครงานที่ร้
และแล้วช่วงเวลาก็ผ่านพ้นไปจนใกล้จะสิ้นปีอีกครั้ง ตอนนี้ทุกคนก็ใกล้จะจบการศึกษากันแล้ว ทว่ากิจกรรมที่หมี่อยากลองทำร่วมกับอินมาโดยตลอดคือการแต่งตัวในวันฮัลโลวีน“นะ มึงเบ้าหน้าดีจะตาย แต่งตัวคู่กับกูหน่อยไม่ได้เหรอ” น้ำเสียงออดอ้อนแกมเว้าวอนดังมาจากหมี่“ไม่เอา” อินที่ฟังประโยคนี้มาร่วมสัปดาห์ก็เริ่มรู้สึกท้อใจแทนคนตัวเล็กแต่เขาไม่อยากแต่งตัวแฟนตาซี จะให้ทำยังไงได้“โธ่! ปีหน้าก็เรียนจบกันแล้ว ขอแค่นี้ก็ไม่ได้!” จากการอ้อนก็เปลี่ยนเป็นประชดประชัน ซึ่งแน่นอนว่าคนอย่างอินเหรอจะยอม“เฮ้อ ก็ได้” และใช่ เขายอม“จริงนะ!” หมี่กระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจ สาเหตุที่เขาชวนอินทำกิจกรรมร่วมกันไว้วันนี้เป็นเพราะรู้สึกเบื่อ นี่ถ้าพ่ออาร์มกับแม่ฝันอยู่บ้านคนตัวเล็กคงอ้อนผู้ใหญ่มากกว่าชวนร่างสูงทำอะไรแบบนี้“แค่ครั้งนี้ครั้งเดียวนะ” อินที่ตอบตกลงก็พูดต่อ เด็กหนุ่มไม่อยากจะนับเลยว่าเขาพูดไอ้คำว่า ‘แค่ครั้งเดียว’ กับอีกฝ่ายไปกี่ล้านครั้งแล้ว ทว่าหมี่ที่เอาแต่คิดรังสรรเรื่องเครื่องแต่งกายก็ไม่ได้ฟังเลยแม้แต่น้อย“แล้วเราจะแต่งไปหลอกใครดี” ปากเล็กขยับขอความคิดเห็นจากคนรักด้วยท่าทีตื่นเต้น ต่างจากอินที่คิ้วขมว
“ไปเล่นน้ำกันนนนน” หมี่สดใสร่าเริงแต่หัววันเพราะวันนี้เป็นวันสงกรานต์และทางมหาลัยฯ ได้จัดสถานที่สำหรับสาดน้ำไว้ให้นักศึกษาและชาวบ้านในละแวกใกล้เคียง“ไปเปลี่ยนชุด” ทว่าขาของคนตัวเล็กก็ต้องหยุดชะงักทันทีเมื่อได้ยินเสียงทักท้วงเรื่องเครื่องแต่งกาย“เปลี่ยนทำไม ชุดนี้แหละได้แล้ว” คนตัวเล็กก้มมองชุดที่ตัวเองสวมอยู่ เสื้อยืดสีขาวเนื้อผ้าบางโปร่งโล่งสบาย กางเกงขาสั้นพร้อมลุยน้ำ สายคล้องคอสำหรับใส่มือถือกันเปียกน้ำ อุปกรณ์ก็พร้อมลุยแล้ว จะให้เปลี่ยนทำไม“จะไปเปลี่ยนเองหรือจะให้กูเปลี่ยนให้” แต่อินก็ยังคงยืนยันที่จะให้คนรักไปเปลี่ยนชุด เขาเป็นผู้ชายมากกว่าอีกฝ่ายและรู้ดีว่าชุดนี้มันล่อแหลม อันตรายมากขนาดไหน“กู! ไม่! เปลี่ยน!” หมี่ปฏิเสธเสียงแข็งและดึงดันที่จะใส่ชุดนี้ไปให้ได้ อินที่ทนไม่ไหวก็กำลังจะเอื้อมมือไปคว้าตัวอีกฝ่ายมาเปลี่ยนชุดก๊อก!! ก๊อก!! ก๊อก!!“ไอ้หมี่เสร็จยัง! แห้วรออยู่ข้างล่าง!” ตอนนั้นเองก็มีเสียงเคาะประตูตามมาด้วยเสียงเรียกจากบั๊มดังแทรกเข้ามา“เออ! เพื่อนมารอแล้วเห็นมั้ย รีบไปปป” คนตัวเล็กฉวยโอกาสนี้ดดันร่างสูงของอินตรงไปที่ประตู“ก็ได้” เด็กหนุ่มที่รับรู้ได้ว่าหมี่คงไม่ยอ
“แห้ว เรามีเรื่องจะปรึกษา” หมี่นั่งลงข้าง ๆ เพื่อนสาวเพียงคนเดียวที่เขามีพลางกระซิบกระซาบเสียงเบาเพราะตอนนี้พวกเขาอยู่ในห้องสมุดของทางมหาลัยฯ“เรื่องอะไรเหรอหมี่” หญิงสาวหันมองเพื่อนแสนแสบด้วยสายตาสงสัย“ปกติวันวาเลนไทน์ต้องซื้ออะไรให้คนรักเหรอ ไม่เอาพวกชอกโกแลตหรือของกินนะ” ได้ยินคำถามแล้วแห้วก็ยิ้มอ่อนทันที“ก็ของขวัญทั่วไปแหละ หมี่จะซื้อของให้อินเหรอ”“ใช่ คราวก่อนซื้อกำไลข้อมือไปให้ตอนปีใหม่อ่ะ” คนตัวเล็กพยักหน้างึกงัก ก่อนจะหน้าแดงเมื่อพูดถึงเรื่องนั้น“ซื้อกำไลให้...แล้วทำไมต้องหน้าแดงด้วยล่ะ” นั่นยิ่งสร้างความฉงนให้กับเพื่อนสาว“ก็...ช่างเถอะ แห้วล่ะ วันวาเลนไทน์นี้จะซื้อของให้บั๊มมั้ย” ในเมื่อเขาไม่อยากนึกถึงเรื่องค่ำคืนแลกของขวัญวันปีใหม่ก็มีแต่จะต้องเบี่ยงประเด็นเท่านั้น“เราทำเค้กให้น่ะ” แห้วตอบกลับแกมเขินอายพลางอมยิ้มเล็กน้อย ต่างจากหมี่ที่หน้าซีดหน้าเซียวเป็นไก่ต้ม“เค้กเหรอ ไม่เอาเค้ก!”“หมี่จะตะโกนทำไมเนี่ย เราตกใจหมดเลย” เพื่อนสาวถึงกับสะดุ้งโหยงเพราะจู่ ๆ คนตัวเล็กก็ตะโกนออกมาเสียงดังลั่น“ขะ ขอโทษ คือเรา...เราไม่อยากทำเค้กน่ะ” โอ๊ย! ให้ตายสิ สมองน้อย ๆ ของไอ้หมี่ อย่
“หมี่ ปีใหม่นี้ไปเที่ยวกันมั้ย” เสียงทุ้มของอินเอ่ยถามคนรักอย่างแผ่วเบา ตอนนี้พวกเขากำลังจัดตกแต่งบ้านเพื่อเตรียมต้อนรับช่วงเทศกาลปีใหม่ที่จะมาถึงในอีกไม่กี่วันนี้“เที่ยวที่ไหน” คนตัวเล็กตอบพลางแปะแผ่น ‘สวัสดีปีใหม่’ ตรงขอบประตูหน้าบ้าน“ไม่รู้ อยากไปไหนรึเปล่า” เด็กหนุ่มตอบแบบขอไปทีเพราะเขาไม่ได้วางแผนอะไรไว้เลย...แค่อยากลองชวนหมี่ไปเที่ยวเท่านั้น“ขี้เกียจอ่ะ” ตอบเสร็จ คนตัวเล็กก็เท้าสะเอวยืนชื่นชมผลงานของตัวเอง ก่อนจะค่อย ๆ ก้าวลงจากเก้าอี้ที่อินช่วยจับไว้ให้“ไปสวนสนุกมั้ย กูเห็นคนไปกันเยอะเลย”“ร้อนจะตาย ไม่ไป” หมี่หน้ายู่เมื่อคิดถึงสภาพอากาศที่ร้อนระอุขนาดนี้ในพื้นที่ที่มีผู้คนแออัด“แต่กูอยากทำกิจกรรมร่วมกับมึงไง” ดวงตาสีคาราเมลของคนตัวเล็กเบิกกว้าง ไม่คิดเลยว่าจะมีวันที่อีกฝ่ายพูดกับตนแบบนี้“เอ๊ะ? เมื่อก่อนกูเป็นคนพูดคำนี้นะ ทำไมเดี๋ยวนี้กลายเป็นมึงพูดแทนล่ะ” แค่คิดว่าทุกวันนี้ไอ้ยักษ์หลงตัวเองหัวปักหัวปำก็เขินจนตัวบิดเป็นเกลียว“เออน่า สรุปไปมั้ย” อินถามย้ำอีกครั้ง เขารู้ดีว่าตัวเองติดอีกฝ่ายงอมแงมมากแค่ไหนก็ยังใจแข็งไม่พูดออกไป“ไม่ไป” เมื่อได้ยินคนรักปฏิเสธเสียงแข็งก็ทำอะ
งานวันเกิดของหมี่เพิ่งผ่านไปไม่ถึงเดือน ก็ถึงงานวันเกิดของแฝดอย่างอินและอันต่อ ซึ่งหลายคนเห็นพ้องตรงกันว่าอยากจัดงานเล็ก ๆ แบบเดิม โดยงานนี้จะมัดรวมวันเกิดของกันต์ไว้ด้วยเด็กหนุ่มผิวแทนก็ไม่บ่นอะไรเพราะวันเกิดของเขาถัดไปอีกแค่สามวันเท่านั้น ดีซะอีกที่เขาไม่ต้องทำอะไรเยอะ แค่มาช่วยงานที่บ้านลุงอาร์มป้าฝันก็พอและถึงแม้ว่างานนี้จะไม่มีอันแล้วแต่ทกุคนก็ยังคงคิดถึงเขาอยู่เสมอ อินรู้สึกดีที่ได้งานวันเกิดปีนี้เขามีคนรักเพิ่มเติมมาด้วยและเขาก็รับรู้ว่าตัวเองมีความสุขมากกว่าทุกปีที่ผ่านมา เด็กหนุ่มยิ้มให้ภาพของแฝดน้องที่ติดอยู่บนฝาผนัง ก่อนจะเดินไปหาหมี่ในครัว“สอนกูทำเค้กหน่อย” เสียงทุ้มของอินขอความช่วยเหลือจากคนรักเด็กหนุ่มคิดมาตั้งแต่งานวันเกิดหมี่แล้วว่าเขาอยากทำเค้กให้คนสำคัญได้กิน แต่ตอนนั้นถ้าบอกให้คนตัวเล็กสอนมีหวังความลับรั่วไหลกันพอดี เลยต้องอุบเงียบเอาไว้ก่อน ทว่าตอนนี้ถือเป็นโอกาสเหมาะที่จะได้ลองแล้ว“หะ? อารมณ์ไหนของมึงเนี่ย” คนตัวเล็กที่กำลังล้างจานอยู่ ถึงกับหันควับมามองหน้าแฟนหนุ่มของตน“กูอยากลองทำเค้กให้พ่อกับแม่กิน” อินตอบอย่างที่ใจคิด ถึงแม้ว่าลึก ๆ แล้วเขาเพียงแค่อยากใช
“พี่แมนเสร็จรึยังง” เสียงเจื้อยแจ้วของหมี่ตะโกนเรียกพี่ชายที่ยังไม่ออกมาจากตัวบ้านและปล่อยให้เขายืนรออยู่ที่รถ“เสร็จแล้ว ๆ เร่งจังเลยนะเรา” พี่ชายก็โผล่ออกมาด้วยท่าทีลุกลี้ลุกลนเพราะน้องชายเรียกหาทุก ๆ ห้านาที“ก็หมี่ไม่อยากให้พ่ออาร์มกับแม่ฝันรอนานนี่นา ถึงหมี่จะเป็นเจ้าของงานวันเกิดแต่หมี่เองก็ต้องไปช่วยแม่เตรียมของกินนะ” ว่าพลางยกมือขึ้นเท้าสะเอวและเบ้ปากไม่พอใจ“จ้าาา ขึ้นแท่นเป็นลูกรักคนโปรดเขารึยังอ่ะ” แมนเห็นน้องชายเป็นแบบนี้ก็ขอแซวแซะไปหนึ่งกรุบ“พี่แมนพูดอะไรเนี่ย! แม่ฝันยกให้หมี่เป็นลูกรักแค่คนเดียว! ไม่ต้องแข่งกับใคร! ส่วนไอ้อันอ่ะขึ้นแท่นไปแล้วเราไม่พูดถึง” เรื่องนี้หมี่ขอมั่นหน้า หมี่จะไม่ยอมให้ใครได้เป็นลูกรักของพ่อแม่อีกต่อไปพี่ชายก็ได้แต่ส่ายหัวให้กับความคิดแสนเด็กน้อยนั้น“น้องชายใครเนี่ยน่าหมั่นไส้จริง ๆ” ว่าแล้วทั้งคู่ก็ขึ้นรถและมุ่งหน้าไปยังบ้านของอินความจริงแล้ววันนี้ยังไม่ถึงวันเกิดของหมี่ ทว่าเจ้าตัวเสนอจัดงานวันเกิดล่วงหน้าที่บ้านนั้นเพราะวันจริงเขาต้องไปเที่ยวกับอิน อีกทั้งยังได้โอกาสเหมาะชวนพี่แมน พี่ชายสุดที่รัก ผู้ซึ่งเป็นทั้งพ่อ แม่และพี่ชายของเขาไปบ้านอ
...ท่ามกลางบรรยากาศที่ห้อมล้อมไปด้วยความอบอุ่น ช่วงก็เวลาล่วงเลยผ่านไปวันแล้ววันเล่า ทว่าทั้งคู่ก็ยังสามารถประคับประคองความสัมพันธ์ครั้งนี้ได้อย่างดีเยี่ยมนอกเหนือจากเรื่องความรักของอินและหมี่ ก็มีเรื่องของคนตัวเล็กและพี่ชายที่นับวันจะยิ่งเข้าใจกันมากขึ้น ตอนนี้พี่แมนเข้าถึงง่ายกว่าเมื่อก่อนเยอะมากและดูเหมือนว่าพี่จะมีแฟนด้วย ไม่คิดเลยว่าจะได้เห็นพี่ชายในมุมคลั่งรักใครสักคนทางด้านครอบครัวของอิน นับตั้งแต่มีการคุยเปิดอกกันในตอนนั้น ทุกคนก็มีความสุขตลอดมาและมีการทำกิจกรรมร่วมกันเพื่อสร้างความทรงจำที่ดีเช่น การให้พ่อและอินเป็นเชฟทำกับข้าวในช่วงวันหยุด โดยมีแม่และหมี่คอยยืนดูพร้อมทั้งเอาใจช่วยอยู่ห่าง ๆ หรือกิจกรรมไปเที่ยว ซึ่งแน่นอนว่าหมี่ก็ติดสอยห้อยตามไปทุกที่เพิ่มเติมคือตอนนี้น้าเกดกลับจากการทำงานต่างประเทศและได้มาดูแลลูกชายอย่างเต็มที่แล้ว กันต์เองก็เข้ารับการรักษาต่อเนื่องจนเรียกได้ว่าสามารถกลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติแล้ว แถมยังมาบ้านอินบ่อยขึ้นกว่าแต่ก่อนอีกด้วยและวันนี้ก็เช่นกันวันนี้เป็นวันครบรอบการจากไป
“หมี่” เสียงเรียกชื่อจากคนรักเบาบางจนเกือบไม่ได้ยิน ทว่าร่างกายของทั้งสองคนแนบชิดติดกันมากพอที่จะทำให้ทั้งคู่ได้ยินเสียงของอีกฝ่ายอย่างชัดเจน“เรามีความสุขด้วยกันได้ จริงมั้ย” รอยยิ้มสดใสถูกส่งมาให้เด็กหนุ่มเหมือนอย่างเคย“ดีจริง ๆ ที่เป็นมึง” อินขยับตัวเข้าหาเจ้าของรอยยิ้มเพื่อแบ่งปันไออุ่นจากร่างกายของกันและกันแต่มือเล็กกับดันตัวเขาไว้พร้อมเอื้อมหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมา“นี่ ๆ ลองทำอันนี้กัน”“อะไร” กำลังเข้าด้ายเข้าเข็มอยู่เลยเชียว ถึงเขาจะรู้สึกเสียดายแต่ไม่เป็นไร หลังจากนี้เขามีเวลาได้ใกล้ชิดกันอีกเยอะ“วิธีที่ทำให้รักกันยืนยาว มันเป็นคำถามอ่ะ คำถามที่จะทำให้คุณรู้จักคนรักมากขึ้น” ดวงตากลมโตแป๋วแหว๋วมองตรงที่หน้าจอและขยับปากอ่านตามตัวอักษรในนั้น“ไปหาอะไรแบบนี้ไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่”“กูก็หาไปเรื่อยอ่ะ ว่าไง สนใจลองตอบคำถามดูมั้ย”“ลองดู เผื่อเราจะได้รู้จักกันมากขึ้น”ระหว่างที่ผลัดกันถา