ทางด้านอินก็หยิบเส้นขนมจีนให้เป็นกระจับจัดวางใส่จานตามด้วยเครื่องเคียง อาทิเช่น กระเทียม ต้นหอมผักชี พริกขี้หนูทอด ถั่วงอกและผักกาดดอง ก่อนจะส่งให้หมี่ตักน้ำเงี้ยวร้อน ๆ ราดลงไป หน้าตาอาหารที่มีสีสันสวยงามและกลิ่นหอม ๆ ของน้ำแกง ชวนให้น้ำลายสอเสียเหลือเกิน
“น่ากินมากเลยหมี่” อินพูดแค่นั้นและยกจานขนมจีนทั้งสองไป พวกเขานั่งกินกันไปสักพักคนตัวเล็กก็เริ่มชวนคุยตามประสาคนชอบพูด
“ปกตินักกีฬาต้องควบคุมโภชนาการหนักขนาดไหนอ่ะ”
“ถ้าจริงจังกับการเป็นนักกีฬามากก็ต้องควบคุมหนัก” ซึ่งอีกไม่นานเด็กหนุ่มก็ต้องควบคุมตัวเองเช่นกัน ทั้งเรื่องอาหารการกินและการฝึกซ้อม
“แล้วมึงจริงจังมากมั้ย” คำถามนี้ทำให้อินฉุกคิด นั่นสิ ลึก ๆ แล้วเขาจริงจังกับการเป็นนักกีฬาว่ายน้ำมากน้อยแค่ไหนกันนะ
“กูก็จะทำให้ดีที่สุด” คำตอบนี้คงเป็นกลางมากกว่าคำตอบอื่น
“งั้นขนมจีนน้ำเงี้ยวจานนี้กี่แคลอ่ะ” จบคำถามแรกก็มีคำถามที่สองโผล่มาทันทีทำเอาเด็กหนุ่มตามไม่ทันกันเลยทีเดียว
“อะไรนะ”
“พอแล้ว! ทั้งคู่เลย” อินส่งเสียงปรามเพื่อนทั้งสองคน หลังจากรอแทรกจังหวะอยู่นาน เด็กหนุ่มรู้ดีว่าเพื่อนสนิทค่อนข้างปากเสียแต่ทุกครั้งที่พูด กันต์ไม่เคยมีเจตนาร้ายแอบแฝง ซึ่งเรื่องนี้คนตัวเล็กยังไม่รับรู้“ไอ้ยักษ์! กูไม่ให้เพื่อนมึงกินขนมจีนน้ำเงี้ยวแสนอร่อยของกูแล้ว เอากลับเลย” หมี่ที่โดนอินดุก็ยอมอ่อนลงแต่ยังไม่อยากผูกมิตรกับกันต์“หึ ขี้งกจังวะ อุตส่าห์แบกมาถึงห้องกูแล้ว เรื่องไรจะให้เอากลับ” อินเผลอหลุดยกยิ้มมุมปากเมื่อได้ยินประโยคนี้จากปากกันต์ สงสัยตอนนี้เพื่อนสนิทของเขาคงเริ่มเปิดใจให้คนตัวเล็กแล้วถึงได้กล้าพูดเล่นติดตลก“มีใครเคยบอกมั้ยว่ามึงมันปากเสีย! ระวังจะไม่มีใครคบนะ!” ซึ่งอินคิดว่าหมี่ก็คงเริ่มเปิดใจแล้วเช่นกัน“กัดกันเป็นเด็กไปได้ ไอ้กันต์มึงนั่งกินขนมจีนฝั่งนั้นกูใส่จานให้แล้ว ส่วนหมี่มานั่งข้างกู” อินพูดพลางส่ายหัวและหันไปกวักมือเรียกหมี่ ในใจก็นึกสงสัยว่าทำไมไอ้สองคนนี้ถึงเขม่นเหม็นหน้ากันตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอนะ“มึงเคยเจอหมี่แล้วเหรอ”&ld
“ผมชื่ออินนะครับ เมื่อกี้ยังไม่ทันได้แนะนำตัวเลย” อินที่ไม่อยากให้บรรยากาศอึมครึมก็พูดทักทายคนที่อายุมากกว่าและก้มหัวให้เล็กน้อย“โอ๊ะ! พี่ชื่อแมนครับ นั่งก่อนเลยเดี๋ยวพี่ไปเอาน้ำมาให้”เด็กหนุ่มถือวิสาสะเข้าไปนั่งโซฟากลางห้องนั่งเล่น บ้านขนาดกลางที่ภายในตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์และของใช้แสนเรียบง่าย มีรูปครอบครัววางประดับทั่วทุกมุมห้องพร้อมแจกันดอกไม้ที่ตอนนี้เริ่มเหี่ยวเฉาแล้ว“มีแค่น้ำเปล่านะ” พี่แมนเดินกลับมาพร้อมน้ำแร่ขวดเล็กกะทัดรัด“ครับ ขอบคุณครับ” อินรับมาวางบนโต๊ะ ความจริงแล้วเขาอยากบอกอีกฝ่ายว่าไม่จำเป็นต้องเอาอะไรมาให้เขาแต่คงเลี่ยงมารยาททางสังคมไม่ได้ก็เลยรับไว้“ปกติจะมีน้ำผลไม้หรือของว่างสำหรับรับแขกติดบ้านอยู่ตลอดแต่พอหมี่ไปเรียนมหาลัยฯ พี่ก็ไม่ค่อยซื้อเสบียงมาตุนไว้น่ะ” ชายวัยทำงานนั่งลงข้างเด็กหนุ่มและชวนคุย“แค่น้ำเปล่าก็พอครับ” อินตอบแค่นั้นแล้วก็เงียบไป ก่อนจะหยิบขวดน้ำขึ้นมาเปิดหวังจิบเล็กน้อย“..เอ่อ..” ทว่าไม่ทันจะได้
วิชาแรกที่ทุกคนเลือกคือคณิตศาสตร์เพราะเป็นวิชาที่จำเป็นต้องเรียนรู้ขั้นตอนและใช้ความเข้าใจสำหรับการฝึกแก้โจทย์ตัวเลขไปตามลำดับ ซึ่งตลอดระยะเวลาที่ติววิชานี้ ทุกคนจะคอยผลัดกันช่วยสอนและดูหมี่แก้ไขโจทย์แต่ละข้ออย่างถี่ถ้วนเสร็จจากวิชาคณิตฯ ที่แสนยากเย็นแสนเข็ญก็เป็นวิชาภาษาอังกฤษที่แสนหดหู่ใจ วิชานี้มีเพียงอย่างเดียวคือการท่องจำศัพท์และใช้ความหมายของศัพท์พวกนั้นแปลโจทย์เพื่อเลือกคำตอบ ซึ่งแน่นอนว่าหมี่ผู้มีปัญหาในเรื่องความจำถึงกับต้องท่องคำจนตาลอยกันเลยทีเดียวติวไปติวมาก็เกือบสี่โมงเย็น เสียงนาฬิกาปลุกของแห้วดังขึ้นทำให้หมี่และบั๊มหันมอง ก่อนจะเริ่มเก็บของเพราะเด็กคณะฯ คหกรรมต้องไปทำงานกลุ่มส่งอาจารย์กันต่อ ถ้าจำไม่ผิดคงเป็นงานกลุ่มทำยีสต์ใส่ขนมปังหรือพวกเค้กอะไรสักอย่าง“งั้นกูไปคณะฯ ก่อนนะ” คนตัวเล็กพูดกับอินเสียงเบาราวกับไม่อยากให้ใครได้ยิน“อืม”“ข้าวกล่องที่ทำไว้ก็กินไปเลยนะ ไม่ต้องรอ เผื่อกูกลับดึก” ถึงปากจะพูดแบบนั้นแต่แววตาวูบไหวเหมือนอยากให้เด็กหนุ่มรอกินด้วย“เดี๋ยวกูรอ&rdquo
ระหว่างทางจากโรงพยาบาลถึงมหาลัยฯ ไม่มีใครพูดอะไรเพิ่มเติมในเรื่องก่อนหน้านี้ ทั้งสองคนต่างมุ่งตรงกลับห้องของตัวเอง อินเอื้อมมือหนาเปิดประตูและทิ้งร่างลงบนเตียงทั้งชุดนักศึกษา เขาคิดทบทวนเรื่องราวในอดีตวนเวียนซ้ำไปซ้ำมาจนทำให้ความรู้สึกร้อนรุ่มก่อตัวขึ้นภายในใจภายในห้องที่มืดสนิทและเงียบสงัด ดวงตาสีน้ำตาลเข้มแสนดุดันเริ่มสั่นไหว สมองคิดวิเคราะห์ไปต่าง ๆ นานา พลันนึกกังวลไปว่าถ้ามีเรื่องอะไรบางอย่างที่เขาไม่เคยรู้ แล้ววันใดวันหนึ่งเขาจะต้องรับรู้เรื่องราวนั้นหรือรับรู้ข้อมูลอะไรก็ตามเพิ่มเติม เขาจะทำยังไงต่อไป“มันมีอะไรที่กูต้องรู้รึเปล่าวะ อัน” เสียงเข้มเอ่ยขึ้นท่ามกลางความว่างเปล่าเดียวดาย ก่อนจะได้ยินเสียงเปิดประตูห้อง“เอ๊ะ?ไอ้ยักษ์ไปไหนวะ” เสียงแหลมของหมี่เหมือนมีพลังวิเศษบางอย่างที่ทำให้อินรู้สึกโล่งใจอย่างบอกไม่ถูก“เฮ้ย! กูตกใจหมด นอนอยู่เหรอวะ”“เปล่า” อินลุกขึ้นมานั่งเพื่อให้คนตัวเล็กมองเห็นได้ชัดขึ้น“แล้วทำไมไม่เปิดไฟ” นั่นสิ ทำไมเขาถึงไม่ทำตัวให้ปกติกันนะ
เมื่อถึงวันสอบนักศึกษาทุกชั้นปีต่างก็ขมักเขม่นเพื่อให้ตัวเองผ่านช่วงเวลานี้ไปให้ได้ ผ่านวันสอบแล้วก็ไม่แคล้วต้องมาลุ้นวันประกาศผลการสอบอีก ท้ายที่สุดแล้วก็ได้รับรู้ว่าทุกคนก็ผ่านเทอมแรกมาได้อย่างปลอดภัย ถึงแม้ว่าหมี่จะเป็นเพียงคนเดียวในกลุ่มที่ผ่านมาได้อย่างฉิวเฉียดก็ตามเนื่องจากมีเรื่องน่ายินดีเกิดขึ้น คนตัวเล็กเลยชวนทุกคนแวะไปกินน้ำแข็งไสในร้านเปิดใหม่ใกล้มหาลัยฯ เพื่อเป็นการฉลองที่ทุกคนสอบผ่านซึ่งแน่นอนว่าทุกคนเห็นพ้องต้องกันอย่างเต็มใจแต่เรื่องนี้เป็นสิ่งแปลกสำหรับอินเพราะเขาไม่คิดว่ากันต์เองก็จะยอมไปกินด้วยหลังจากวันนี้ไปก็จะเข้าสู่ช่วงเวลาปิดเทอมระหว่างภาคเรียนที่ใครหลายคนรอคอย หมี่เดินทางกลับบ้านเพื่อไปความสะอาดและช่วยพี่แมนดูแลความเรียบร้อยภายในบ้าน ขณะที่อินและกันต์เลือกที่จะไม่กลับบ้านเพราะต้องเตรียมพร้อมสำหรับการคัดตัวสาขาของอิน นักศึกษาปีหนึ่งไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะได้รับการคัดตัวเพราะทางโค้ชอยากให้ทุกคนเตรียมพร้อมร่างกายเพื่อแข่งคัดตัวตอนปีสอง ทว่านักเรียนทุนจะมีสิทธิ์พิเศษให้เข้าคัดตัวตั้งแต่ปีหนึ่งเทอมสองเพื่อเป็นการเลือกนักกีฬาว่ายน้
สงครามประสาทจบลงทันทีเมื่อเด็กหนุ่มทั้งสองคนกินกันจนอิ่มท้อง ก่อนจะช่วยกันล้างจานและอุปกรณ์ทำครัวที่ใช้กันก่อนหน้านี้ ระหว่างที่ล้างจานอยู่นั้น อินก็นึกขึ้นได้ว่าลืมบอกคนตัวเล็กเรื่องที่เขาวางแผนซ้อมว่ายน้ำในวันนี้“ตอนเที่ยงมึงกินข้าวไปเลยนะ กูไม่กลับห้อง”“ไปไหน” หมี่ถึงกับเงยหน้ามองอย่างสงสัย เขาอุตส่าห์ทำต้มจืดไว้กินทั้งวันสำหรับสองคนแต่ถ้าไอ้ยักษ์ไม่กินแบบนี้ต้มจืดก็เหลืออ่ะสิ“ซ้อมว่ายน้ำ”“ว่ายน้ำยาวเลยเหรอ”“อืม” ว่าเสร็จก็เอาจานและของที่ล้างเสร็จไปคว่ำให้สะเด็ดน้ำ“ตอนเย็นกลับมากินข้าวมั้ย”“น่าจะ เดี๋ยวขากลับจะออกไปซื้อนมโปรตีนกับกล้วยสักหวีนึงด้วย มึงจะฝากซื้ออะไรมั้ย” อินพูดระหว่างเดินไปหยิบกระเป๋าใส่ชุดว่ายน้ำ โทรศัพท์มือถือและกุญแจห้อง ก่อนจะเห็นคนตัวเล็กส่ายหัวอย่างหงอย ๆ“ไม่เอาอ่ะ”“งั้นกูไปนะ มาล็อกห้องด้วย” หลังจากที่อีกคนหายไป ห้องก็ตกอยู่ในความเงียบอีกครั้ง“เหงาจัง ห
ในที่สุดวันแข่งขันคัดตัวนักกีฬาว่ายน้ำก็ได้มาถึง อินเหยียดแข้งเหยียดขาอบอุ่นร่างกายให้ยืดหยุ่นตั้งแต่เช้า ส่วนหมี่ก็เตรียมตัวไปทำงานกลุ่มที่คณะฯ พร้อมมีสีหน้าเสียดาย จะให้ทำยังไงล่ะก็พวกเขาจำเป็นต้องแยกย้ายกันไปทำหน้าที่ของตัวเองอินและกันต์เดินทางมาถึงสระว่ายน้ำของคณะฯ ในเวลาไล่เลี่ยกับเพื่อนคนอื่น ทุกคนแยกย้ายกันทำธุระส่วนตัวและถูกเรียกรวมพล เมื่อโค้ชเห็นว่าทุกคนพร้อมกันแล้วก็ประกาศกร้าวถึงเกณฑ์การคัดเลือกนักกีฬาของเหล่านักเรียนทุนสาขานี้มีนักศึกษาปีหนึ่งที่เป็นนักเรียนทุนทั้งหมดเจ็ดคน ผู้ที่จะมีสิทธิ์เป็นตัวจริงและได้เข้าแข่งขันในปีนี้จะต้องเป็นผู้ที่คว้าชัยชนะในการแข่งคัดตัวครั้งนี้มาครอบครอง นั่นหมายความว่าใครอยากเป็นตัวจริงก็ต้องได้ที่หนึ่งเท่านั้นสิ้นสุดเสียงโค้ช บรรยากาศและแรงกดดันในบริเวณนั้นก็เปลี่ยนไป ทุกคนอยากเป็นที่หนึ่งกันทั้งนั้น อยู่ที่ได้ใครจะทำได้ตามที่ปรารถนา เสียงเริ่มการแข่งดังขึ้น ร่างกำยำของเหล่านักศึกษาชายกระโจนลงสู่สระว่ายน้ำอย่างพริ้วไหว ก่อนที่แขนขาจะถูกใช้งานในการว่ายน้ำต่อไปการแข่งขันดุเดือดกว่าที่ใครหลายคนคิด
วันเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วตอนนี้ทุกคนจบการศึกษาปีหนึ่งกันแล้ว หมี่ที่วางแผนว่าจะชวนเพื่อน ๆ ไปเที่ยวทะเลก็เริ่มปฏิบัติการ เชิญชวนประหนึ่งมัดมือชกเพื่อนสนิทให้เข้าร่วมทริปครั้งนี้ โดยแบ่งให้ทุกคนได้มีส่วนร่วมในแผนการ โดยไม่ลืมว่ากันต์เป็นบุคคลแรกที่หมี่ต้องมัดแขนมัดขาพาไปเที่ยวให้ได้ เอาล่ะ ช่วงเวลาแห่งความสนุกได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว!วันปิดเทอมใหญ่เป็นวันที่นักศึกษาทุกคนต่างรอคอยกันยิ่งกว่าการปิดเทอมย่อยระหว่างภาคเรียนซะอีก ซึ่งการปิดเทอมครั้งแรกของชีวิตในรั้วมหาลัยฯ เด็กหนุ่มวัยใสสามคนและเด็กสาวอีกหนึ่งคนกลับถูกชักชวนยุยงให้ร่วมเดินทางไปเที่ยว โดยมีเด็กหนุ่มแสนร่าเริงเป็นตัวบงการสถานที่ที่เหล่าวัยรุ่นพวกนี้กำลังมุ่งหน้าไปก็คือทะเลที่ใกล้พวกเขามากที่สุด ขับรถมาจากมหาลัยฯ แค่สองถึงสามชั่วโมงเท่านั้นก็ถึงที่หมาย ต้องขอเล่าย้อนไปถึงช่วงเวลาก่อนหน้านี้สักเล็กน้อยเพื่อให้ได้รับรู้ว่ากว่าจะมาถึงวันนี้ เหล่าวัยรุ่นต้องพบเจอเรื่องวุ่นวายมากขนาดไหนหมี่เด็กหนุ่มที่เป็นคนต้นคิดเรื่องการไปเที่ยวก็ได้ชักชวนอินรูมเมทที่แสนรู้ใจ โดยจุดประสงค์ของการไปเที่ยวคืออยากให้
...ท่ามกลางบรรยากาศที่ห้อมล้อมไปด้วยความอบอุ่น ช่วงก็เวลาล่วงเลยผ่านไปวันแล้ววันเล่า ทว่าทั้งคู่ก็ยังสามารถประคับประคองความสัมพันธ์ครั้งนี้ได้อย่างดีเยี่ยมนอกเหนือจากเรื่องความรักของอินและหมี่ ก็มีเรื่องของคนตัวเล็กและพี่ชายที่นับวันจะยิ่งเข้าใจกันมากขึ้น ตอนนี้พี่แมนเข้าถึงง่ายกว่าเมื่อก่อนเยอะมากและดูเหมือนว่าพี่จะมีแฟนด้วย ไม่คิดเลยว่าจะได้เห็นพี่ชายในมุมคลั่งรักใครสักคนทางด้านครอบครัวของอิน นับตั้งแต่มีการคุยเปิดอกกันในตอนนั้น ทุกคนก็มีความสุขตลอดมาและมีการทำกิจกรรมร่วมกันเพื่อสร้างความทรงจำที่ดีเช่น การให้พ่อและอินเป็นเชฟทำกับข้าวในช่วงวันหยุด โดยมีแม่และหมี่คอยยืนดูพร้อมทั้งเอาใจช่วยอยู่ห่าง ๆ หรือกิจกรรมไปเที่ยว ซึ่งแน่นอนว่าหมี่ก็ติดสอยห้อยตามไปทุกที่เพิ่มเติมคือตอนนี้น้าเกดกลับจากการทำงานต่างประเทศและได้มาดูแลลูกชายอย่างเต็มที่แล้ว กันต์เองก็เข้ารับการรักษาต่อเนื่องจนเรียกได้ว่าสามารถกลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติแล้ว แถมยังมาบ้านอินบ่อยขึ้นกว่าแต่ก่อนอีกด้วยและวันนี้ก็เช่นกันวันนี้เป็นวันครบรอบการจากไป
“หมี่” เสียงเรียกชื่อจากคนรักเบาบางจนเกือบไม่ได้ยิน ทว่าร่างกายของทั้งสองคนแนบชิดติดกันมากพอที่จะทำให้ทั้งคู่ได้ยินเสียงของอีกฝ่ายอย่างชัดเจน“เรามีความสุขด้วยกันได้ จริงมั้ย” รอยยิ้มสดใสถูกส่งมาให้เด็กหนุ่มเหมือนอย่างเคย“ดีจริง ๆ ที่เป็นมึง” อินขยับตัวเข้าหาเจ้าของรอยยิ้มเพื่อแบ่งปันไออุ่นจากร่างกายของกันและกันแต่มือเล็กกับดันตัวเขาไว้พร้อมเอื้อมหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมา“นี่ ๆ ลองทำอันนี้กัน”“อะไร” กำลังเข้าด้ายเข้าเข็มอยู่เลยเชียว ถึงเขาจะรู้สึกเสียดายแต่ไม่เป็นไร หลังจากนี้เขามีเวลาได้ใกล้ชิดกันอีกเยอะ“วิธีที่ทำให้รักกันยืนยาว มันเป็นคำถามอ่ะ คำถามที่จะทำให้คุณรู้จักคนรักมากขึ้น” ดวงตากลมโตแป๋วแหว๋วมองตรงที่หน้าจอและขยับปากอ่านตามตัวอักษรในนั้น“ไปหาอะไรแบบนี้ไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่”“กูก็หาไปเรื่อยอ่ะ ว่าไง สนใจลองตอบคำถามดูมั้ย”“ลองดู เผื่อเราจะได้รู้จักกันมากขึ้น”ระหว่างที่ผลัดกันถา
ทางด้านของอินที่กำลังเดินหิ้วถุงขยะในบ้านออกมาทิ้งหลังจากกินข้าวเสร็จก็เห็นพ่อเดินตามหลังมาเลยอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามด้วยความสงสัยเพราะปกติเวลากินข้าวเสร็จ พ่อจะชอบนั่งดูรายการข่าวทางโทรทัศน์“วันนี้พ่อไม่ดูข่าวเหรอครับ ถ้าจะทิ้งขยะก็ฝากมากับอินได้นะ เดี๋ยวอินเอามาทิ้งให้” ทว่าคำถามนี้กลับไม่ได้รับคำตอบใด ๆ เพราะคนเป็นพ่อเดินมากอดคอเขาแทน“พ่อออกมาเพราะอยากปล่อยให้สองคนนั้นเค้าคุยกันน่ะ” พูดพลางบุ้ยคางไปในบ้าน ซึ่งสองคนที่ว่าก็คือแม่กับหมี่สินะ“ครับ”“ส่วนเราเองอ่ะ จริงจังกับคนนี้มากถึงขั้นพามาให้พ่อแม่รู้จักแล้วก็อย่าเปลี่ยนคนซะล่ะ พ่อขี้เกียจมานั่งทำความรู้จักกับคนใหม่อีก” อินยิ้มเล็กน้อยและทิ้งขยะลงถังหน้าบ้าน“อินก็ไม่รู้ว่าจะเดินร่วมทางกับหมี่ไปได้ไกลขนาดไหนแต่จะพยายามประคับประคองความสัมพันธ์ไปเรื่อย ๆ ครับพ่อ” ก่อนจะเอ่ยปากรับคำคนเป็นพ่อ“ดีแล้ว เห็นอินได้เริ่มต้นชีวิตใหม่ไปพร้อมกับใครสักคน พ่อก็ดีใจ” พ่อยิ้มแป้นยกมือกอดอก“อินก็ดีใจท
เมื่อทุกคนก็กินข้าวกันเสร็จเรียบร้อยก็ได้เวลาทำความสะอาดโต๊ะอาหารและจานชาม อินลุกขึ้นเก็บรวบรวมจานไปไว้ในอ่างล้างจานอย่างที่เคยทำ ส่วนหมี่ก็ช่วยคุณป้าเก็บเมนูกับข้าวที่เหลือใส่ในตู้กับข้าวจนกระทั่งเห็นว่าอินไม่ได้ล้างจานแต่กลับเดินไปที่ถังขยะและยกถุงขยะออกมาเพื่อจะเอาไปทิ้งหน้าบ้าน หมี่เลยอาสาเดินไปจัดการให้เอง เรื่องนี้หมี่ถนัด! ระหว่างที่กำลังเทเศษอาหารในจานใส่ถุงใหม่ก็ได้ยินเสียงคุณป้าดังขึ้นมา“ขอบคุณมากนะ สงสัยต้องเป็นเพราะลูกหมี่แน่ ๆ เลย ช่วงนี้พี่อินดูมีชีวิตชีวาขึ้นกว่าแต่ก่อนอย่างเห็นได้ชัด”“เหรอครับ ผมว่าตอนนี้อินก็ยังชอบปั้นหน้ายักษ์อยู่นะ” หมี่พูดจากใจจริงเลยนะเนี่ย เขาไม่รู้หรอกว่าในสายตาของผู้ใหญ่มองไอ้อินเป็นยังไงแต่สำหรับเขา มันคือไอ้ยักษ์!“ฮ่าฮ่าฮ่า!อันนั้นคือปกติของเขาแหละแต่แม่ที่จะบอกคือตอนนี้พี่อินยิ้มเยอะขึ้นจริง ๆ”“เรื่องนั้นผมก็รู้สึกได้ครับ เมื่อก่อนนะมันชอบปั้นหน้าเป็นตูดลิงจนไม่มีใครกล้าคุยด้วยเลยครับ” หมี่อดไม่ไหวที่จะพูดถึงเรื่องนี้พลางนึกถึงวันแรก
รูปเด็กผู้ชายแสนธรรมดาที่กำลังยิ้มแย้มแจ่มใสราวกับโลกทั้งใบของเขาเต็มไปด้วยความสนุกสนาน เสียงหัวเราะและ ความสุขพลางคิดว่านี่สินะดวงใจของบ้านหลังนี้ วินาทีนั้นเอง หมี่ก็รู้สึกปวดหนึบตรงหัวใจขึ้นมา...เพราะหมี่รู้ดีว่ากว่าจะผ่านช่วงเวลาแห่งความเศร้าโศกมันเป็นยังไง“อัน คนนี้เป็นเพื่อนพี่อินนะลูก เขาชื่อหมี่ เขาอยากมาทักทายอันน่ะ” แม่พูดแนะนำแขกให้คนในรูปได้รู้จักและยิ้มอ่อน“อะ...เอ่อ...หวัดดี ได้ยินเรื่องของมึงจากไอ้อินเยอะเลย หวังว่าอยู่ทางนั้นจะสบายดีนะ” หมี่เลยเอ่ยคำทักทายตามปกติ ทว่าตัวเขาไม่ค่อยได้คุยกับคนที่จากไปแล้วสักเท่าไหร่เลยพูดแบบติด ๆ ขัด ๆ ไปบ้างแต่ก็พยายามพูดคุยตามปกติ“กูเป็นรูมเมทไอ้อินนะ ตอนแรกที่ได้เจอกัน หน้าตามันตึงเครียดสุด ๆ กูกลัวมากเลย...แต่ตอนนี้ทุกอย่างโอเคขึ้นแล้ว” พูดไปพลางยกมือยกไม้ทำหน้าท่าทางเลียนแบบบุคคลที่ถูกพาดพิงอย่างอินได้แบบออกรส“มันพูดเยอะขึ้น ไม่คิ้วขมวดปั้นหน้าเป็นยักษ์แถมยังใช้ชีวิตไร้สาระมากขึ้นด้วย ฮ่าฮ่าฮ่า ถึงกูจะรู้สึกไม่ดีที่ชวนมันทำเรื่องเหลวไหลก็เถอะแต
“ขนอะไรไปเยอะแยะ” เมื่อถึงวันเสาร์อาทิตย์ที่นัดกันไว้ อินก็พาหมี่ไปแนะนำตัวกับพ่อแม่แต่ตอนนี้ยังไม่ได้ขึ้นรถกันเลยเพราะคนตัวเล็กมัวแต่เตรียมของฝาก กว่าจะได้ออกจากห้องพักก็กินเวลาไปนานทีเดียว“ของฝากติดไม้ติดมือไง” ริมฝีปากบางขยับตอบยุกยิก ขณะที่มือทั้งสองข้างถือถุงผ้าที่เต็มไปด้วยของกินมากมาย“หืม เมนูมัดใจอะไรนั่นเหรอ” อินเลิกคิ้วถามและเอื้อมมือไปช่วยถือ“ใช่แล้ว มีขนม นมและผลไม้ด้วยนะ” หมี่หันมายิ้มแป้นแบบภาคภูมิใจสุด ๆ ที่ได้ซื้อของดีไปฝากผู้หลักผู้ใหญ่ กลับกันอินที่เห็นของทั้งหมดก็เผลอขมวดคิ้ว“เยอะเกินไปรึเปล่า แค่ทำกับข้าวไปฝากก็พอแล้ว”“คือจู่ ๆ กูก็กลัวว่าเมนูมัดใจจะไม่อร่อยอ่ะ เลยคิดว่าซื้อของฝากอย่างอื่นติดมือไปด้วยดีกว่า” คนตัวเล็กตอบเสียงเบาพลางหลบตาและเม้มปากอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ“อย่าคิดมาก ยังไงแม่กูก็ทำกับข้าวไว้ให้อยู่แล้ว”“หมายความว่ายังไง! นี่จะบอกว่ากับข้าวกูไม่อร่อยเหรอ” เสียงโวยวายจากเจ้าของอาหารดังขึ
อ๊ากกกกกก!!!“เป็นอะไรหมี่!” อินได้ยินเสียงคนตัวเล็กตะโกนดังแต่เช้าก็สะดุ้งตื่นด้วยความตกใจ“ผีหลอก!!!!” หมี่ยังคงส่งเสียงกรีดร้องด้วยความตกใจเพราะตื่นมาก็เห็นแขนของใครไม่รู้พาดอยู่ตรงเอวบางของตน“ผีอะไร!” อินถึงกับคิ้วขมวด เขาไม่เข้าใจว่าคนตัวเล็กกำลังพูดถึงเรื่องอะไร“ขะ...ขะ...แขนใครไม่รู้!...ฮือออ” หมี่หลับตาปี๋และชี้นิ้วไปตรงเอวของตัวเอง“แขนอะไร?” อินยิ่งงงเข้าไปใหญ่เพราะแขนแกร่งของเขาที่กอดเอวอีกฝ่ายก็ยังปกติดี“เอ๊ะ!เดี๋ยวนะ!” เสียงกรีดร้องแปรเปลี่ยนเป็นความฉงน หมี่ลืมตาขึ้นอย่างช้า ๆ และมองเจ้าของเสียงที่ตนสนทนาด้วย“ไอ้ยักษ์!” ก่อนจะยกกำปั้นและออกแรงทุบไปที่ต้นแขน ของอีกฝ่าย“โอ๊ย!ตีกูทำไมเนี่ย” เมื่อรับรู้ว่าแขนปริศนามีเจ้าของและไม่ได้โดนผีหลอก หมี่ก็ขยี้หัวระบายความหงุดหงิด“ฮืออ...กูนึกว่าผีหลอกกู!ไอ้บ้าเอ๊ย!”“ผีอะไรจะมาหลอกมึงตอนเช้าแบบนี้”
อินวางโทรศัพท์มือถือไว้ข้างหมอน ก่อนจะดึงร่นกางเกงนอนลงเพื่อให้แท่งเนื้อที่กำลังผงาดอย่างแข็งขืนได้โผล่ออกมาเจอโลกภายนอก วินาทีที่อวัยวะส่วนที่อ่อนไหวที่สุดกระทบความเย็นจากเครื่องปรับอากาศก็สร้างความเสียวซ่านขึ้นมาอย่างน่าประหลาด มือหนาเลื่อนลงไปกอบกุมแท่งเนื้อที่ตอนนี้กลายเป็นแท่งร้อนเพราะเลือดที่สูบฉีดทั่ว“อ่าาา~” เสียงแห่งความสุขสมเล็ดลอดออกมาให้ได้ยินเล็กน้อย ผ่านไปแล้วสิบนาที มือหนาก็ยังคงชักรูดแท่งนั้นขึ้นลงอย่างคล่องแคล่วและไม่ผ่อนความเร็วลงแม้แต่น้อยจนน้ำเมือกที่เป็นสารหล่อลื่นเริ่มปริ่มออกมาผ่านไปอีกสามสิบนาที ความร้อนในร่างกายก็พุ่งสูงขึ้นตามอารมณ์ความใคร่ที่กำลังปะทุอยู่ นิ้วหัวแม่มือก็ลูบวนรอบส่วนหัวแท่งเนื้อเมามันพลางขบกรามแน่นเป็นระยะ มือสากของตัวเองยังทำให้รู้สึกดีมากขนาดนี้แล้วถ้าเปลี่ยนเป็นมือนุ่มนิ่มของอีกฝ่ายจะรู้สึกดีขนาดได้“หมี่~ ฮึ่มม” เสียงเรียกชื่อคนตัวเล็กที่ออกมาจากปากของตัวเอง ทำไมฟังดูกระเส่าเย้ายวนขนาดนี้ มันยิ่งทำให้ความอยากเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวซึ่งเด็กหนุ่มก็เคลิบเคลิ้มไปในโลกที่ตัวเอ
ครืดดดด ครืดดดด“อ๊ะ! ทำยังไงดีไอ้ยักษ์โทรมา!” ดวงตากลมโตเบิกกว้างพร้อมอาการลุกลี้ลุกลนทำอะไรไม่ถูกเราสองคนไม่เคยต้องโทรหากันตอนกลางคืนเลยเพราะปกติก็นอนด้วยกันตลอด ถ้าต้องโทรคุยกันน่าจะรู้สึกแปลกใหม่ดีเหมือนกัน คนตัวเล็กนอนจับมือถือพลิกไปพลิกมาบนเตียงครู่หนึ่ง ก่อนจะตัดสินใจกดรับในที่สุด ทว่าสายตัดไปแล้ว...“อ้าว!วางไปแล้ว” หมี่ถึงกับเหวอจนนิ่งค้างไปชั่วขณะ“เอาไงดีเนี่ย โทรกลับไปดีมั้ย แล้วจะคุยอะไรล่ะ โอ๊ยยย!จะบ้า!” ด้วยความตื่นเต้นบวกกับความเขินอายเลยทำให้หมี่ไม่ได้กดโทรกลับไปหาอีกฝ่ายสักทีครืดดดด ครืดดดด“อ๊ะ!โทรกลับมาแล้ว อะแฮ่ม!” หมี่สะดุ้งเล็กน้อยเมื่อโทรศัพท์สั่นอีกครั้ง ก่อนจะกระแอมเสียงและกดรับสาย“หมี่” เมื่อได้ยินเสียงเรียกชื่อจากปลายสายหัวใจของหมี่ก็พองโตอย่างไม่มีสาเหตุ อะไรจะเสียงหล่อปานนั้นพ่อคู๊ณณณณ“โทรมามีไร” ทว่าเจ้าตัวต้องพยายามตอบกลับด้วยน้ำเสียงปกติเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายรู้ว่าตัวเองกำลังตื่นเต้นและเลิ่กลั่กมากขนาดไหน“ทำอะไรอยู่” “กำลังจะนอน” หมี่ซุกหน้าเข้าหาผ้าห่มผืนหนาก่อนตอบ“กูโทรมากวนรึเปล่า นอนเลยมั้ย” ได้ยินประโยคนี้ก็ถึงกับดีดหน้าออกจากผ้าห่มด้วยความลืมต