“กูคิดถึงมึง ถ้าตอนนี้มีมึงอยู่...คงดีกว่านี้” การที่ใครสักคนจะพูดประโยคนี้ออกมาในช่วงที่เขากำลังขาดสติอยู่นั้น แปลว่าเขาเจ็บปวดมากแต่ไม่สามารถพูดสิ่งนี้ขณะที่ยังมีสติอยู่ได้
“กูไม่อยากโตเลย ชีวิตวัยเด็กที่มีมึง กูมีความสุขมาก” สีหน้าของอินเต็มไปด้วยความรู้สึกอัดอั้นตันใจ เขาไม่เคยได้ระบายตะกอนที่จมลึกอยู่ในก้นบึ้งหัวใจดวงนี้ให้ใครได้รับรู้
“กูจะเป็นนักกีฬาว่ายน้ำเพื่อมึงนะ...อัน...” ยิ่งฟังก็ยิ่งรู้สึกปวดหนึบไปในอกเพราะมันทำให้รู้ว่าเด็กหนุ่มไม่เคยทำเพื่อตัวเองเลย เขาใช้ชีวิตเพื่อน้องชายเสมอมา...และจะทำแบบนี้ตลอดไป
“มันยังละเมออยู่อีกเหรอวะเนี่ย” หมี่ที่เห็นว่าอินนอนขยับปากเหมือนกำลังพูดอะไรสักอย่างก็เดินเข้าไปหาอีกฝ่าย ก่อนจะยกเท้าถีบไปที่ต้นขาหนาของอิน
“เห้ย! ไอ้ยักษ์มีสติยัง ไหนบอกคอแข็งไง”
“หมี่~” คนตัวเล็กหัวใจเต้นรัวเพราะรู้สึกแปลกที่อีกฝ่ายเรียกชื่อเขาด้วยน้ำเสียงแหบพร่า ไม่แน่บางทีเขาอาจจะเมากลิ่นเหล้าที่ติดตัวไอ้ยักษ์มา...หัวใจเลยเต้นแรงแบบนี้
&ld
“แล้วสรุปเรื่องเราคุยกันวันก่อน มึงว่าไง” จู่ ๆ อินก็พูดเปิดประเด็นขึ้นมา หมี่ที่กำลังคิดเรื่องอื่นอยู่ก็ถึงกับงง“หะ?”“หะ อะไร” เด็กหนุ่มมองอีกฝ่าย นี่อย่าบอกนะว่าหมี่ลืมเรื่องวันนั้นไปแล้ว ไม่อยากเชื่อเลยว่าคนเราจะขี้ลืมได้ง่ายขนาดนี้“คุยเรื่องอะไรวะ” นั่นไง สีหน้าเหรอหรานั่นเป็นหลักฐานชั้นดีที่บอกว่าคนตัวเล็กลืมเรื่องนั้นไปแล้วจริง ๆ“เรื่องที่มึงบอกว่าเราต้องหากิจกรรมทำร่วมกันบ้าง ทำขนมกินกัน ไม่ก็ไปเดินเล่น ไปเที่ยวห้างดูหนังอะไรสักอย่าง” ลำบากอินต้องมานั่งรื้อฟื้นความทรงจำให้ใหม่อีก“อ๋อออ เรื่องนั้นเอง~”“ไม่ต้องมาอ๋อเลย เรื่องนั้นมึงเป็นคนเปิดหัวข้อมาเองนะ สรุปว่าไง” เด็กหนุ่มเฝ้ารอคำตอบจากคนต้นคิด“ก็นั่นแหละ แบบว่าเราอยู่ห้องเดียวกันแต่ตลอดอาทิตย์ที่ผ่านมาหรือช่วงก่อนหน้านี้เราไม่ค่อยได้คุยกันเลย กูรู้สึกเหมือนกูอยู่ตัวคนเดียวอ่ะ กูไม่ชอบความรู้สึกนั้น” อินรู้สึกเจ็บในอกเล็กน้อยเพราะเขาก็เคยรู้สึกแบบนี้ตอนอยู่ที่บ้
และแล้วเวลาก็ผ่านล่วงเลยมาจนถึงวันหยุดสุดสัปดาห์นี้ที่อินรอคอย หมี่บอกว่าจะสอนทำขนมจีนน้ำเงี้ยว เด็กหนุ่มที่ไม่ได้กินเมนูนี้มานานแล้วก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกตื่นเต้น พวกเขานั่งรถบัสไปห้างสรรพสินค้า AA เหมือนเดิมเพื่อเลือกซื้อวัตถุดิบสำหรับเมนูแสนอร่อย“ต้องซื้อของเยอะมั้ย”“ไม่เยอะนะ กูจดมาละ” มือบางล้วงเข้ากระเป๋ากางเกงและหยิบเศษกระดาษแสนยับยู่ยี่ขึ้นมาคลี่ออก ก่อนจะยื่นให้เด็กหนุ่มอ่าน ทันทีที่เห็นตัวอักษรขยุกขยิกราวไก่เขี่ย อินก็หันมองหน้าคนตัวเล็กพร้อมความคิดที่แทรกเข้ามาในสมองสองอย่างอย่างแรกคือลายมืออะไรของมัน อ่านไม่ออกเลยสักนิด แม้จะเพ่งสายตาก็มองไม่ออกว่าอักษรตัวนี้เป็น ก.ไก่ หรือ ท.ทหาร แล้วตัวนั้นอีกล่ะ เขาต้องอ่านเป็น น.หนู หรือ บ.ใบไม้ส่วนอย่างที่สองคือไอ้คำว่า ‘ไม่เยอะนะ’ ของอีกฝ่ายนี่หมายความว่ายังไงเพราะเท่าที่เด็กหนุ่มมองรายการส่วนผสมทั้งหมดที่เขียนไว้ในกระดาษแบบผ่านตาก็น่าจะราว ๆ เกือบสามสิบอย่างแล้ว“อันนี้คือไม่เยอะเหรอ”“ช่ายยยย เมนูอื่นที่ใช้วัต
ทางด้านอินก็หยิบเส้นขนมจีนให้เป็นกระจับจัดวางใส่จานตามด้วยเครื่องเคียง อาทิเช่น กระเทียม ต้นหอมผักชี พริกขี้หนูทอด ถั่วงอกและผักกาดดอง ก่อนจะส่งให้หมี่ตักน้ำเงี้ยวร้อน ๆ ราดลงไป หน้าตาอาหารที่มีสีสันสวยงามและกลิ่นหอม ๆ ของน้ำแกง ชวนให้น้ำลายสอเสียเหลือเกิน“น่ากินมากเลยหมี่” อินพูดแค่นั้นและยกจานขนมจีนทั้งสองไป พวกเขานั่งกินกันไปสักพักคนตัวเล็กก็เริ่มชวนคุยตามประสาคนชอบพูด“ปกตินักกีฬาต้องควบคุมโภชนาการหนักขนาดไหนอ่ะ”“ถ้าจริงจังกับการเป็นนักกีฬามากก็ต้องควบคุมหนัก” ซึ่งอีกไม่นานเด็กหนุ่มก็ต้องควบคุมตัวเองเช่นกัน ทั้งเรื่องอาหารการกินและการฝึกซ้อม“แล้วมึงจริงจังมากมั้ย” คำถามนี้ทำให้อินฉุกคิด นั่นสิ ลึก ๆ แล้วเขาจริงจังกับการเป็นนักกีฬาว่ายน้ำมากน้อยแค่ไหนกันนะ“กูก็จะทำให้ดีที่สุด” คำตอบนี้คงเป็นกลางมากกว่าคำตอบอื่น“งั้นขนมจีนน้ำเงี้ยวจานนี้กี่แคลอ่ะ” จบคำถามแรกก็มีคำถามที่สองโผล่มาทันทีทำเอาเด็กหนุ่มตามไม่ทันกันเลยทีเดียว“อะไรนะ”
“พอแล้ว! ทั้งคู่เลย” อินส่งเสียงปรามเพื่อนทั้งสองคน หลังจากรอแทรกจังหวะอยู่นาน เด็กหนุ่มรู้ดีว่าเพื่อนสนิทค่อนข้างปากเสียแต่ทุกครั้งที่พูด กันต์ไม่เคยมีเจตนาร้ายแอบแฝง ซึ่งเรื่องนี้คนตัวเล็กยังไม่รับรู้“ไอ้ยักษ์! กูไม่ให้เพื่อนมึงกินขนมจีนน้ำเงี้ยวแสนอร่อยของกูแล้ว เอากลับเลย” หมี่ที่โดนอินดุก็ยอมอ่อนลงแต่ยังไม่อยากผูกมิตรกับกันต์“หึ ขี้งกจังวะ อุตส่าห์แบกมาถึงห้องกูแล้ว เรื่องไรจะให้เอากลับ” อินเผลอหลุดยกยิ้มมุมปากเมื่อได้ยินประโยคนี้จากปากกันต์ สงสัยตอนนี้เพื่อนสนิทของเขาคงเริ่มเปิดใจให้คนตัวเล็กแล้วถึงได้กล้าพูดเล่นติดตลก“มีใครเคยบอกมั้ยว่ามึงมันปากเสีย! ระวังจะไม่มีใครคบนะ!” ซึ่งอินคิดว่าหมี่ก็คงเริ่มเปิดใจแล้วเช่นกัน“กัดกันเป็นเด็กไปได้ ไอ้กันต์มึงนั่งกินขนมจีนฝั่งนั้นกูใส่จานให้แล้ว ส่วนหมี่มานั่งข้างกู” อินพูดพลางส่ายหัวและหันไปกวักมือเรียกหมี่ ในใจก็นึกสงสัยว่าทำไมไอ้สองคนนี้ถึงเขม่นเหม็นหน้ากันตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอนะ“มึงเคยเจอหมี่แล้วเหรอ”&ld
“ผมชื่ออินนะครับ เมื่อกี้ยังไม่ทันได้แนะนำตัวเลย” อินที่ไม่อยากให้บรรยากาศอึมครึมก็พูดทักทายคนที่อายุมากกว่าและก้มหัวให้เล็กน้อย“โอ๊ะ! พี่ชื่อแมนครับ นั่งก่อนเลยเดี๋ยวพี่ไปเอาน้ำมาให้”เด็กหนุ่มถือวิสาสะเข้าไปนั่งโซฟากลางห้องนั่งเล่น บ้านขนาดกลางที่ภายในตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์และของใช้แสนเรียบง่าย มีรูปครอบครัววางประดับทั่วทุกมุมห้องพร้อมแจกันดอกไม้ที่ตอนนี้เริ่มเหี่ยวเฉาแล้ว“มีแค่น้ำเปล่านะ” พี่แมนเดินกลับมาพร้อมน้ำแร่ขวดเล็กกะทัดรัด“ครับ ขอบคุณครับ” อินรับมาวางบนโต๊ะ ความจริงแล้วเขาอยากบอกอีกฝ่ายว่าไม่จำเป็นต้องเอาอะไรมาให้เขาแต่คงเลี่ยงมารยาททางสังคมไม่ได้ก็เลยรับไว้“ปกติจะมีน้ำผลไม้หรือของว่างสำหรับรับแขกติดบ้านอยู่ตลอดแต่พอหมี่ไปเรียนมหาลัยฯ พี่ก็ไม่ค่อยซื้อเสบียงมาตุนไว้น่ะ” ชายวัยทำงานนั่งลงข้างเด็กหนุ่มและชวนคุย“แค่น้ำเปล่าก็พอครับ” อินตอบแค่นั้นแล้วก็เงียบไป ก่อนจะหยิบขวดน้ำขึ้นมาเปิดหวังจิบเล็กน้อย“..เอ่อ..” ทว่าไม่ทันจะได้
วิชาแรกที่ทุกคนเลือกคือคณิตศาสตร์เพราะเป็นวิชาที่จำเป็นต้องเรียนรู้ขั้นตอนและใช้ความเข้าใจสำหรับการฝึกแก้โจทย์ตัวเลขไปตามลำดับ ซึ่งตลอดระยะเวลาที่ติววิชานี้ ทุกคนจะคอยผลัดกันช่วยสอนและดูหมี่แก้ไขโจทย์แต่ละข้ออย่างถี่ถ้วนเสร็จจากวิชาคณิตฯ ที่แสนยากเย็นแสนเข็ญก็เป็นวิชาภาษาอังกฤษที่แสนหดหู่ใจ วิชานี้มีเพียงอย่างเดียวคือการท่องจำศัพท์และใช้ความหมายของศัพท์พวกนั้นแปลโจทย์เพื่อเลือกคำตอบ ซึ่งแน่นอนว่าหมี่ผู้มีปัญหาในเรื่องความจำถึงกับต้องท่องคำจนตาลอยกันเลยทีเดียวติวไปติวมาก็เกือบสี่โมงเย็น เสียงนาฬิกาปลุกของแห้วดังขึ้นทำให้หมี่และบั๊มหันมอง ก่อนจะเริ่มเก็บของเพราะเด็กคณะฯ คหกรรมต้องไปทำงานกลุ่มส่งอาจารย์กันต่อ ถ้าจำไม่ผิดคงเป็นงานกลุ่มทำยีสต์ใส่ขนมปังหรือพวกเค้กอะไรสักอย่าง“งั้นกูไปคณะฯ ก่อนนะ” คนตัวเล็กพูดกับอินเสียงเบาราวกับไม่อยากให้ใครได้ยิน“อืม”“ข้าวกล่องที่ทำไว้ก็กินไปเลยนะ ไม่ต้องรอ เผื่อกูกลับดึก” ถึงปากจะพูดแบบนั้นแต่แววตาวูบไหวเหมือนอยากให้เด็กหนุ่มรอกินด้วย“เดี๋ยวกูรอ&rdquo
ระหว่างทางจากโรงพยาบาลถึงมหาลัยฯ ไม่มีใครพูดอะไรเพิ่มเติมในเรื่องก่อนหน้านี้ ทั้งสองคนต่างมุ่งตรงกลับห้องของตัวเอง อินเอื้อมมือหนาเปิดประตูและทิ้งร่างลงบนเตียงทั้งชุดนักศึกษา เขาคิดทบทวนเรื่องราวในอดีตวนเวียนซ้ำไปซ้ำมาจนทำให้ความรู้สึกร้อนรุ่มก่อตัวขึ้นภายในใจภายในห้องที่มืดสนิทและเงียบสงัด ดวงตาสีน้ำตาลเข้มแสนดุดันเริ่มสั่นไหว สมองคิดวิเคราะห์ไปต่าง ๆ นานา พลันนึกกังวลไปว่าถ้ามีเรื่องอะไรบางอย่างที่เขาไม่เคยรู้ แล้ววันใดวันหนึ่งเขาจะต้องรับรู้เรื่องราวนั้นหรือรับรู้ข้อมูลอะไรก็ตามเพิ่มเติม เขาจะทำยังไงต่อไป“มันมีอะไรที่กูต้องรู้รึเปล่าวะ อัน” เสียงเข้มเอ่ยขึ้นท่ามกลางความว่างเปล่าเดียวดาย ก่อนจะได้ยินเสียงเปิดประตูห้อง“เอ๊ะ?ไอ้ยักษ์ไปไหนวะ” เสียงแหลมของหมี่เหมือนมีพลังวิเศษบางอย่างที่ทำให้อินรู้สึกโล่งใจอย่างบอกไม่ถูก“เฮ้ย! กูตกใจหมด นอนอยู่เหรอวะ”“เปล่า” อินลุกขึ้นมานั่งเพื่อให้คนตัวเล็กมองเห็นได้ชัดขึ้น“แล้วทำไมไม่เปิดไฟ” นั่นสิ ทำไมเขาถึงไม่ทำตัวให้ปกติกันนะ
เมื่อถึงวันสอบนักศึกษาทุกชั้นปีต่างก็ขมักเขม่นเพื่อให้ตัวเองผ่านช่วงเวลานี้ไปให้ได้ ผ่านวันสอบแล้วก็ไม่แคล้วต้องมาลุ้นวันประกาศผลการสอบอีก ท้ายที่สุดแล้วก็ได้รับรู้ว่าทุกคนก็ผ่านเทอมแรกมาได้อย่างปลอดภัย ถึงแม้ว่าหมี่จะเป็นเพียงคนเดียวในกลุ่มที่ผ่านมาได้อย่างฉิวเฉียดก็ตามเนื่องจากมีเรื่องน่ายินดีเกิดขึ้น คนตัวเล็กเลยชวนทุกคนแวะไปกินน้ำแข็งไสในร้านเปิดใหม่ใกล้มหาลัยฯ เพื่อเป็นการฉลองที่ทุกคนสอบผ่านซึ่งแน่นอนว่าทุกคนเห็นพ้องต้องกันอย่างเต็มใจแต่เรื่องนี้เป็นสิ่งแปลกสำหรับอินเพราะเขาไม่คิดว่ากันต์เองก็จะยอมไปกินด้วยหลังจากวันนี้ไปก็จะเข้าสู่ช่วงเวลาปิดเทอมระหว่างภาคเรียนที่ใครหลายคนรอคอย หมี่เดินทางกลับบ้านเพื่อไปความสะอาดและช่วยพี่แมนดูแลความเรียบร้อยภายในบ้าน ขณะที่อินและกันต์เลือกที่จะไม่กลับบ้านเพราะต้องเตรียมพร้อมสำหรับการคัดตัวสาขาของอิน นักศึกษาปีหนึ่งไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะได้รับการคัดตัวเพราะทางโค้ชอยากให้ทุกคนเตรียมพร้อมร่างกายเพื่อแข่งคัดตัวตอนปีสอง ทว่านักเรียนทุนจะมีสิทธิ์พิเศษให้เข้าคัดตัวตั้งแต่ปีหนึ่งเทอมสองเพื่อเป็นการเลือกนักกีฬาว่ายน้
อ๊ากกกกกก!!!“เป็นอะไรหมี่!” อินได้ยินเสียงคนตัวเล็กตะโกนดังแต่เช้าก็สะดุ้งตื่นด้วยความตกใจ“ผีหลอก!!!!” หมี่ยังคงส่งเสียงกรีดร้องด้วยความตกใจเพราะตื่นมาก็เห็นแขนของใครไม่รู้พาดอยู่ตรงเอวบางของตน“ผีอะไร!” อินถึงกับคิ้วขมวด เขาไม่เข้าใจว่าคนตัวเล็กกำลังพูดถึงเรื่องอะไร“ขะ...ขะ...แขนใครไม่รู้!...ฮือออ” หมี่หลับตาปี๋และชี้นิ้วไปตรงเอวของตัวเอง“แขนอะไร?” อินยิ่งงงเข้าไปใหญ่เพราะแขนแกร่งของเขาที่กอดเอวอีกฝ่ายก็ยังปกติดี“เอ๊ะ!เดี๋ยวนะ!” เสียงกรีดร้องแปรเปลี่ยนเป็นความฉงน หมี่ลืมตาขึ้นอย่างช้า ๆ และมองเจ้าของเสียงที่ตนสนทนาด้วย“ไอ้ยักษ์!” ก่อนจะยกกำปั้นและออกแรงทุบไปที่ต้นแขน ของอีกฝ่าย“โอ๊ย!ตีกูทำไมเนี่ย” เมื่อรับรู้ว่าแขนปริศนามีเจ้าของและไม่ได้โดนผีหลอก หมี่ก็ขยี้หัวระบายความหงุดหงิด“ฮืออ...กูนึกว่าผีหลอกกู!ไอ้บ้าเอ๊ย!”“ผีอะไรจะมาหลอกมึงตอนเช้าแบบนี้”
อินวางโทรศัพท์มือถือไว้ข้างหมอน ก่อนจะดึงร่นกางเกงนอนลงเพื่อให้แท่งเนื้อที่กำลังผงาดอย่างแข็งขืนได้โผล่ออกมาเจอโลกภายนอก วินาทีที่อวัยวะส่วนที่อ่อนไหวที่สุดกระทบความเย็นจากเครื่องปรับอากาศก็สร้างความเสียวซ่านขึ้นมาอย่างน่าประหลาด มือหนาเลื่อนลงไปกอบกุมแท่งเนื้อที่ตอนนี้กลายเป็นแท่งร้อนเพราะเลือดที่สูบฉีดทั่ว“อ่าาา~” เสียงแห่งความสุขสมเล็ดลอดออกมาให้ได้ยินเล็กน้อย ผ่านไปแล้วสิบนาที มือหนาก็ยังคงชักรูดแท่งนั้นขึ้นลงอย่างคล่องแคล่วและไม่ผ่อนความเร็วลงแม้แต่น้อยจนน้ำเมือกที่เป็นสารหล่อลื่นเริ่มปริ่มออกมาผ่านไปอีกสามสิบนาที ความร้อนในร่างกายก็พุ่งสูงขึ้นตามอารมณ์ความใคร่ที่กำลังปะทุอยู่ นิ้วหัวแม่มือก็ลูบวนรอบส่วนหัวแท่งเนื้อเมามันพลางขบกรามแน่นเป็นระยะ มือสากของตัวเองยังทำให้รู้สึกดีมากขนาดนี้แล้วถ้าเปลี่ยนเป็นมือนุ่มนิ่มของอีกฝ่ายจะรู้สึกดีขนาดได้“หมี่~ ฮึ่มม” เสียงเรียกชื่อคนตัวเล็กที่ออกมาจากปากของตัวเอง ทำไมฟังดูกระเส่าเย้ายวนขนาดนี้ มันยิ่งทำให้ความอยากเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวซึ่งเด็กหนุ่มก็เคลิบเคลิ้มไปในโลกที่ตัวเอ
ครืดดดด ครืดดดด“อ๊ะ! ทำยังไงดีไอ้ยักษ์โทรมา!” ดวงตากลมโตเบิกกว้างพร้อมอาการลุกลี้ลุกลนทำอะไรไม่ถูกเราสองคนไม่เคยต้องโทรหากันตอนกลางคืนเลยเพราะปกติก็นอนด้วยกันตลอด ถ้าต้องโทรคุยกันน่าจะรู้สึกแปลกใหม่ดีเหมือนกัน คนตัวเล็กนอนจับมือถือพลิกไปพลิกมาบนเตียงครู่หนึ่ง ก่อนจะตัดสินใจกดรับในที่สุด ทว่าสายตัดไปแล้ว...“อ้าว!วางไปแล้ว” หมี่ถึงกับเหวอจนนิ่งค้างไปชั่วขณะ“เอาไงดีเนี่ย โทรกลับไปดีมั้ย แล้วจะคุยอะไรล่ะ โอ๊ยยย!จะบ้า!” ด้วยความตื่นเต้นบวกกับความเขินอายเลยทำให้หมี่ไม่ได้กดโทรกลับไปหาอีกฝ่ายสักทีครืดดดด ครืดดดด“อ๊ะ!โทรกลับมาแล้ว อะแฮ่ม!” หมี่สะดุ้งเล็กน้อยเมื่อโทรศัพท์สั่นอีกครั้ง ก่อนจะกระแอมเสียงและกดรับสาย“หมี่” เมื่อได้ยินเสียงเรียกชื่อจากปลายสายหัวใจของหมี่ก็พองโตอย่างไม่มีสาเหตุ อะไรจะเสียงหล่อปานนั้นพ่อคู๊ณณณณ“โทรมามีไร” ทว่าเจ้าตัวต้องพยายามตอบกลับด้วยน้ำเสียงปกติเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายรู้ว่าตัวเองกำลังตื่นเต้นและเลิ่กลั่กมากขนาดไหน“ทำอะไรอยู่” “กำลังจะนอน” หมี่ซุกหน้าเข้าหาผ้าห่มผืนหนาก่อนตอบ“กูโทรมากวนรึเปล่า นอนเลยมั้ย” ได้ยินประโยคนี้ก็ถึงกับดีดหน้าออกจากผ้าห่มด้วยความลืมต
หลังจากที่ไปส่งอินขึ้นรถหน้ามหาลัยฯ หมี่ก็เริ่มคิดอย่างจริงจังเรื่องการไปเจอพ่อแม่ของอีกฝ่าย ครอบครัวอินดูแลลูกชายให้เติบโตมาเป็นคนดีขนาดนี้ เด็กน้อยแบบเขาาจะคู่ควรกับอีกฝ่ายจริง ๆ เหรอคิดไปคิดมาก็เริ่มหดหู่ใจ เมื่อสมองถูกใช้งานมากเกินไปก็ชักจะหิวหมี่เลยขอหยุดนึกถึงเรื่องนี้ก่อนและเดินลงไปชั้นล่างเพื่อจะซื้อของที่ร้านค้าสวัสดิการของหอพัก จังหวะนั้นเองก็บังเอิญเจอเข้ากับอาจารย์หอพอดี“สวัสดีครับอาจารย์” คนตัวเล็กเอ่ยทักอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงสดใส“อ๊ะ สวัสดีครับ ไม่เจอกันนานเลย เป็นยังไงบ้าง” อาจารย์พิทักษ์มีท่าทีตกใจเล็กน้อยแต่ก็ทักทายกลับมา“ทำไมเรียนทำอาหารถึงเหนื่อยแบบนี้ครับ ผมล่ะอยากจะร้องไห้” พูดพลางปั้นหน้ามู่ทู่น่าเอ็นดูจนคนมองอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา“ฮ่าฮ่าฮ่า!นั่นสินะ การเรียนก็เหนื่อยทั้งนั้นแหละแต่ผลตอบรับที่ได้กลับมาย่อมคุ้มค่า” คนเป็นอาจารย์ก็ทำได้เพียงปลอบใจเหล่านักศึกษาที่กำลังท้อแท้แบบนี้แหละและคอยเฝ้ามองลูกศิษย์ค่อย ๆ เติบโต“ครับ...ว่าแต่อาจารย์ไปทำอะไรในห้องนั้นครับ มันดูอับมากเลย” หมี่ถามด้วยความอยากรู้เพราะเท่าที่เห็นคือห้องด้านหลังร้านค้าสวัสดิการเป็นห้องที่ไม่น่
หลังจากได้เคลียร์ปมปัญหาที่ติดแน่นอยู่ในส่วนลึกของจิตใจออกไปและได้กินข้าวร่วมกับพ่อแม่ด้วยอารมณ์ความรู้สึกที่เขาไม่เคยสัมผัสมาก่อนก็ทำให้อินเริ่มยิ้มมากขึ้น พูดคุยมากขึ้นและเป็นตัวเองมากขึ้นเด็กหนุ่มจัดเก็บจานชามและโต๊ะกินข้าวเสร็จเรียบร้อยก็มานั่งคุยกับพ่อแม่ต่อที่ห้องนั่งเล่น ก่อนจะมีเสียงหยอกล้อของคนในบ้านและตามมาด้วยเสียงหัวเราะเป็นระยะ ตอนนี้บรรยากาศในบ้านไม่อึมครึมอีกต่อไปแล้ว“เอ่อ...พ่อครับ แม่ครับ” อินที่คิดว่าเวลานี้คงเหมาะที่จะคุยถึงเรื่องสำคัญอีกเรื่องก็เอ่ยขึ้น“หืมม มีอะไรลูก” พ่อตอบรับอย่างอารมณ์ดี“พ่อกับแม่รักกันได้ยังไงครับ” เมื่อได้ยินคำถามแบบนี้จากลูกชาย คนเป็นพ่อแม่ก็ถึงกับหันมองหน้ากันทันที“จู่ ๆ มาถามเรื่องแบบนี้ มีอะไรรึเปล่าลูก” แม่ถามไถ่ลูกชายด้วยความเป็นห่วง ขณะที่พ่อส่งเสียงแซวดังลั่น“จะมีอะไรอีกล่ะคุณ ลูกชายเรากำลังจะเป็นหนุ่มเต็มตัวแล้วน่ะสิ ฮ่าฮ่าฮ่า!” ไม่ว่าเปล่าแต่กลับหัวเราะจนท้องเข็ดท้องแข็งอีกด้วย“โธ่พ่อ! อย่าแซว” เด็กหนุ่มเขินอายเล็กน้อยแต่ยังไงเขาก็ต้องคุยกับทั้งคู่ให้รู้เรื่องเลยพยายามเก๊กขรึมไว้“สมัยนั้นพ่อไปฉุดแม่มาน่ะ ก็อย่างว่าพ่อมันคนร้
เช้าวันรุ่งขึ้นทั้งคู่ก็เดินทางกลับหอพักและใช้ชีวิตตามปกติ หลังจากค่ำคืนนั้นอินก็พยายามหาวิธีหลอกล่อคนตัวเล็กให้ติดกับ แต่ดูเหมือนเขาจะทำไม่ได้เลยเพราะโกหกไม่เป็นและอีกฝ่ายก็รู้ทันตลอดครืดดดด ครืดดดด“ครับแม่” เด็กหนุ่มกดรับสายเมื่อเห็นว่าเบอร์ที่โทรเข้ามาคือ ‘แม่’ จะว่าไปช่วงนี้เขาไม่ได้โทรหาคนที่บ้านเลย สงสัยพ่อแม่คงอยากให้กลับไปเยี่ยมบ้านบ้างแล้ว“อิน วันก่อนที่ลูกแข่งขันว่ายน้ำได้เหรียญเงินมา พวกเรายังไม่ได้ฉลองกันเลยนะลูก” จริงสิ ช่วงนั้นมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นมากมายจนลืมเรื่องนี้ไปเลย ไหนจะยุ่งวุ่นวายเกี่ยวกับความรักความสัมพันธ์ที่กำลังเริ่มต้นขึ้นอีก ตอนนี้คงถึงเวลาที่เขาต้องให้ความสำคัญกับครอบครัวแล้วสินะ“ครับ”“จริง ๆ แม่ว่าจะโทรถามเรื่องนี้ตั้งหลายครั้งแล้ว แต่ไม่รู้ว่าอินว่างช่วงไหนบ้างเลยไม่อยากโทรไปกวน” เด็กหนุ่มอดรู้สึกผิดไม่ได้ที่เขาละเลยหน้าที่ของการเป็นลูก“ขอโทษครับแม่ ช่วงนั้นอินมีเรื่องให้ต้องจัดการเยอะแยะเลยไม่ค่อยมีเวลาว่างเพื่อกลับบ้านสักเท่าไหร่ แถมยังไม่ได้โทรหาพ่อกับแม่ด้วย” น้ำเสียงหดหู่ปนเศร้าใจถูกส่งผ่านไปยังผู้เป็นแม่“ไม่เป็นไรจ้ะ แม่คิดว่าตอนนี้ทุกอย่างค
หมี่พาอินไปยังห้องนอนของตัวเองด้วยท่าทีเขินอาย คือถ้าเป็นการค้างแรมแบบเพื่อนคนตัวเล็กคงไม่เขินขนาดนี้ แต่ครั้งนี้อีกฝ่ายเป็นคนที่กำลังดูใจกันอยู่เลยรู้สึกใจเต้นแรงแปลก ๆทางด้านของอินเมื่อได้ก้าวเข้ามาในห้องของคนตัวเล็กก็ต้องกัดฟันยับยั้งชั่งใจให้อยู่หมัด ห้องอะไรหอมชะมัด ก่อนจะได้ยินหมี่บอกให้อาบน้ำในห้องนี้ได้เลย ส่วนตัวเองจะไปอาบน้ำที่ห้องพี่จะได้ไม่ต้องมานั่งรอกันทันทีที่คนตัวเล็กออกไป อินก็เดินสำรวจรอบห้อง เตียงนอนขนาดกลางเต็มไปด้วยตุ๊กตาเยอะแยะมากมาย มองดูก็รู้ว่าตู้เสื้อผ้า โต๊ะหรือแม้กระทั่งสิ่งของเครื่องใช้ภายในห้องถูกดูแลเป็นอย่างดีและจัดวางอย่างเป็นระเบียบ ถึงแม้ว่าของจะเยอะแต่ก็จัดเก็บไว้ได้อย่างลงตัวมือหนาหยิบผ้าขนหนูที่อีกฝ่ายเตรียมไว้ให้ขึ้นมาดู ลายบนผ้าผืนนี้ก็น่ารักสมกับเจ้าของห้อง แต่เมื่อเด็กหนุ่มเดินเข้าห้องน้ำก็แทบจะเสียสติเพราะกลิ่นหอมอ่อน ๆ ของสบู่เหลวที่หมี่ใช้ประจำตลบอบอวลอยู่ภายในห้องนี้อินรีบปิดน้ำจากฝักบัวรดหัวให้หายฟุ้งซ่าน ทว่าสีหน้าและแววตาของพี่แมนก็ผุดขึ้นมาอีกครั้ง...หรือพี่แมนต้องการให้เขาและหมี่ได้ใกล้ช
“ไหนใครบอกว่าจะไปซื้อน้ำผลไม้” อินเห็นคนตัวเล็กนั่งอยู่ตรงโต๊ะหินอ่อนข้างอาคารผู้ป่วยก็พูดทัก“อ๊ะ! มาไม่ให้ซุ่มให้เสียงตกใจหมด” เมื่ออีกฝ่ายหันมา อินก็เห็นว่ามีสีหน้าไม่ค่อยสู้ดี“เป็นอะไรรึเปล่า หน้าตาไม่ค่อยดีเลย” เด็กหนุ่มนั่งลงข้าง ๆ และสอดส่องใบหน้าของคนตัวเล็ก“เปล่า” เปล่าอะไรหน้าหงอยขนาดนั้น“จะบอกดี ๆ มั้ย” เมื่อโดนอินดุก็จำยอมต้องบอกความในใจ“เมื่อกี้จู่ ๆ กูก็รู้สึกแปลกแยกอ่ะ กูเลยอยากออกมาอยู่ข้างนอก” เด็กหนุ่มคิดตามอีกฝ่าย หรือความจริงแล้วหมี่ไม่สบายใจเพราะยังไม่ได้รู้จักพ่อแม่ของเขากันนะ“งั้นบอกพ่อกับแม่ดีมั้ย” คนตัวเล็กตาโต ไม่คิดว่าอินจะพูดแบบนี้“บอกเรื่องอะไร” ปากสวยได้รูปขยับถามอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ“เรื่องของเราไง” อินเอื้อมไปจับมือหมี่และลูบเบา ๆ“แต่เรายังไม่ได้เป็นอะไรกันเลยนะ...กูหมายถึงตอนนี้เราแค่ทดลองดูใจกันอยู่รึเปล่า” หมี่พูดออกมาตามตรง ซึ่งนั่นก็ทำให้ทั้งคู่รับ
อินอาบน้ำแล้วทิ้งตัวลงบนเตียงก่อนจะผล็อยหลับไปด้วยความเหนื่อยล้า หมี่เห็นแบบนั้นก็พิมพ์ข้อความส่งไปหากันต์ที่ยังอยู่โรงพยาบาลว่าอินได้ที่สอง ซึ่งอีกฝ่ายตอบกลับมาเป็นสติกเกอร์รูปนิ้วมือแบบธรรมดา การเป็นคนป่วยไม่ได้ทำให้กันต์กวนบาทาน้อยลงเลยคนตัวเล็กหันมองรูมเมทที่นอนหลับตาพริ้มด้วยสายตายินดีพลางคิดว่าหลังจากนี้ก็ขอให้มีแต่เรื่องดี ๆ เกิดขึ้นกับพวกเขานะ ก่อนจะเริ่มเตรียมแผนการสำหรับฉลองที่อินได้เหรียญเงินในการแข่งขันว่ายน้ำครั้งแรกคิดไปคิดมา เขียนไปเขียนมาก็ผ่านไปหลายชั่วโมงจนตะวันตกดิน หมี่ที่เป็นกังวลว่าอินยังไม่ตื่นก็เดินไปปลุกเพราะถึงเวลาต้องหาอะไรกินแล้ว เด็กหนุ่มที่ถูกปลุกก็ลุกขึ้นมานั่งด้วยหน้าตาสะลึมสะลือ ก่อนจะตรงไปอาบน้ำเพื่อสลัดความง่วงทิ้ง“ครั้งนี้ฉลองด้วยอะไรดี” เสียงเล็กของหมี่ถามขึ้นอย่างตื่นเต้นทันทีที่อินเดินออกมาจากห้องน้ำ“ตามใจมึงเลย” เขากินอะไรก็ได้ทั้งนั้นแหละ ความจริงแล้วตอนนี้ยงไม่อยากตื่นเลยด้วยซ้ำ“อืมม งั้นทำอะไรอร่อย ๆ กินกันดีมั้ย” เมื่อเห็นคนตัวเล็กทำหน้าครุ่นคิดว่าจะฉ