“ดีนะที่เริ่มเรียนพรุ่งนี้ วันนี้มึงนอนพักเยอะ ๆ ล่ะ” อินพูดพร้อมเดินเข้าไปในตัวอาคารเพราะหลังจากนี้ทั้งคู่จะแยกย้ายกลับห้องพักตัวเอง
“โอเค” กันต์พยักหน้างึกงักตามประสา
“มีอะไ-” อินพูดไม่ทันจบก็มีเสียงอีกฝ่ายแทรกขึ้นมา
“จะโทรไป” ซึ่งคำพูดนั้นคือประโยคที่เขาจะบอก กันต์ชูมือถือและเดินขึ้นบันไดไปชั้นสาม ขณะเดียวกันอินก็เดินมาหยุดนิ่งอยู่หน้าห้องตัวเอง ไม่ยอมเปิดเข้าไปสักที คงเป็นเพราะเสียงที่ดังโครมครามมาจากด้านใน...
กึกกัก! ตึง! เคร้งงง!!
“เสียงอะไรวะ” รู้สึกว่าช่วงนี้จะมีแต่สถานการณ์ที่ทำให้คิ้วของเขาต้องขมวดเข้าหากันจนรู้สึกปวดหัวไปหมด แล้วครั้งนี้เขาต้องเจอกับเรื่องอะไรอีกล่ะเนี่ย
‘ห้องสองศูนย์ห้า...เพื่อนร่วมห้องติดต่อมาว่าจะขอย้ายของเข้าหลังจากเสร็จกิจกรรมรับน้องนะครับ’
“หรือจะย้ายเข้ามาแล้ว” เสียงของอาจารย์หอที่ดังขึ้นในหัวทำให้อินนึกถึงเรื่องของเพื่อนร่วมห้องคนนี้ได้ทันที นายภูริวัฒน์คนนั้นมาแล้วสินะ
มือหนาของอินหมุนลูกบิดประตูและชะเง้อมองสำรวจในห้องพัก เตียงฝั่งตรงข้ามที่เคยว่างเปล่า ตอนนี้กลับเต็มไปด้วยเสื้อผ้ามากมายวางกระจัดกระจายไปทั่ว ไหนจะบรรดาตุ๊กตาตัวน้อยใหญ่ที่วางเรียงรายกันอยู่ตรงหัวเตียงนั่นอีก
สองขายาวก้าวเข้าห้องและปิดประตูลงอย่างเบามือเพราะไม่อยากรบกวนอีกฝ่ายที่น่าจะกำลังจัดของอยู่ตรงโต๊ะไม้ด้านหลังเตียง ทว่าข้าวของที่เพ่นพ่านอยู่บนพื้นหน้าประตูทำให้เดินผ่านไปได้ยาก และแล้วอินก็เผลอเหยียบตุ๊กตายางลูกเป็ดเข้าเต็มแรง
แกว๊กกกก!!! กว่อยยยย~~~
อินหน้าเหยเกทันทีเมื่อรู้ว่าตัวเองทำเสียงดังซะแล้ว ก่อนจะมีเสียงทักทายดังมาจากหลังห้อง...ว่าแต่ทำไมเสียงคุ้นจังเหมือนเคยได้ยินที่ไหน
“อ้าวมาละเหรอ! ยินดีที่ไ- อะ...ไอ้ยักษ์!”
“เธอ!” อินไม่ต้องคิดหาคำตอบให้เสียเวลาเพราะอีกฝ่ายชะโงกหน้าออกมาพร้อมกับตะโกนเรียกเขาดังลั่น ทางด้านอินก็ตกใจไม่น้อยเมื่อรู้ว่าเพื่อนร่วมห้องที่เด็กหนุ่มจะต้องใช้ชีวิตอยู่ด้วยตลอดระยะเวลาสี่ปีหลังจากนี้เป็นใคร...
“โห! ตอนแรกกะว่าจะทักทายกันดี ๆ แล้วนะ ยังจะมาเรียกเธออีก เดี๋ยวพ่อก็เขกหัวซะหรอก!” ท่าทางเอะอะโวยวาย ชอบพูดเสียงดังเหมือนตะโกนอยู่ตลอดเวลา ไหนจะเบ้าหน้าที่หงุดหงิดหงิกงอนั่นอีก...ทำไมกันนะ ทั้งที่คิดไว้ว่าจะไม่พาตัวเองเข้าไปยุ่งกับคนแบบนี้ แต่...
“...ดีแล้วที่เป็นมึง...” เสียงพูดแสนเบาหวิวของอินทำให้คนตัวเล็กชักจะโมโหขึ้นมาจนอดไม่ได้ที่จะยกมือกอดอกและตะเบ็งเสียงบ่น
“พูดว่าอะไรนะ! ตัวก็ตั้งใหญ่ทำไมชอบพูดเสียงเบาจังวะ อ้าปากพูดแล้วดอกพิกุลมันจะร่วงลงมารึไง” บ่นไปพลางมือเล็กก็หยิบจัดของไปพลาง ก่อนจะขยับมาเก็บของที่เพ่นพ่านอยู่ตรงพื้นหน้าประตูห้องใส่ลัง
“เปล่า...ทำไมเพิ่งย้ายของเข้าหอล่ะ” อินย่อตัวลงและช่วยเก็บของที่อยู่รอบตัวขณะเอ่ยถามอีกฝ่าย นึกแปลกใจอยู่เหมือนกันว่าคนแบบเขาอยากรู้เรื่องของคนอื่นตั้งแต่เมื่อไหร่
“พอดีพี่ชายไม่สบายอ่ะเลยไม่อยากให้ฝืนตัวเองมาช่วยกู เมื่อวานกูนั่งแท็กซี่และขนของมาเอง แล้วมึงล่ะเมื่อคืนนอนบ้านเพื่อนเหรอ มึงไม่ได้กลับมานอนที่หอนี่” คนตัวเล็กหยุดมือและหันมานั่งขัดสมาธิมองตรงไปหาอินราวกับว่ากำลังทำการสอบสวนอยู่
“กูไปนอนบ้าน” ตอนนี้มีเพียงอินเท่านั้นที่ก้มหน้าก้มตาเก็บของเพราะอีกฝ่ายดูท่าจะไม่สนใจการเก็บของแล้ว คนตัวเล็กคิดว่าเรื่องของอินน่าสนใจกว่าตั้งเยอะ
“เอ๋~ บ้านอยู่ใกล้กันเหรอ”
“บ้านอยู่ติดกัน” อินตอบเสียงนิ่งพลางเอื้อมมือไปดึงลังเก็บของให้เข้ามาอยู่ใกล้ตัวเองมากขึ้น
“แล้วเพื่อนมึงป่วยหนักมั้ยวะ ต้องพาไปหาหมอรึเปล่า” คำถามนี้ของคนตัวเล็กทำให้เด็กหนุ่มชะงักไปเล็กน้อย
‘ไอ้กันต์ลุกไปหาหมอ! มึงป่วยหนักขนาดนี้จะไม่ไปโรงบาลไม่ได้นะ ถ้ามึงกลัวเข็มเดี๋ยวกูยืนรอข้าง ๆ เอง ลุกเลย!’
เสียงดุของใครบางคนดังขึ้นในความทรงจำและเขาก็จำเสียงนั้นได้ดี อินเลื่อนลังเก็บของที่ตอนนี้เต็มไปด้วยตุ๊กตายางลูกเป็ด ช้อนตวง ผ้าผืนบางหลายผืนและของอื่นอีกมากมายไปให้คนตัวเล็กที่อยู่ตรงหน้า ก่อนจะลุกขึ้น
“คิดว่าครั้งนี้ไม่หนักนะ”
“ดีแล้ว ชีวิตวัยรุ่นอ่ะนะ ต้องดูแลสุขภาพให้แข็งแรงเข้าไว้จะได้ทำสิ่งที่อยากทำต่อไป~” คนตัวเล็กพูดจบก็ลุกขึ้นตาม
“...” เมื่อไร้เสียงตอบกลับจากคนร่างยักษ์ หมี่ก็เอาลังไปวางไว้ข้างโต๊ะไม้ปลายเตียงและเก็บของที่ยังจัดค้างไว้ก่อนหน้านี้ให้เข้าที่เข้าทาง
อินนั่งลงบนเตียง มือหนาไล่ปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตที่สวมอยู่จนเหลือเพียงครึ่งเดียว สายตาคมจ้องมองการกระทำของรูมเมทอย่างเงียบเชียบพลางสำรวจข้าวของเครื่องใช้ที่อีกฝ่ายขนมา ส่วนใหญ่ก็เป็นเสื้อผ้า ตุ๊กตาแล้วก็พวกเครื่องครัว?
“นี่! ปกติมึงพูดน้อยเหรอหรือมึงแค่ทำตัวขี้เก๊กเพราะมีกูเป็นรูมเมท กูรู้นะว่าตัวเองเป็นคนที่มีออร่าความหล่อล้นเหลือแต่มึงไม่ต้องเกร็งขนาดนี้ก็ได้ ทุกวันนี้กูก็พยายามหล่อให้เท่ากับคนทั่วไปอยู่” จู่ ๆ เสียงเล็กแหลมของหมี่ก็โพล่งขึ้นมาและจิ๊ปาก
“...” คิ้วเข้มของอินผูกกันเป็นโบว์พร้อมมีคำว่า อะไรของมันอีกวะ ผุดขึ้นมาให้หัว
“หรือมึงกลัวว่าออร่าของกูจะไปบดบังเบ้าหน้าแสนตึงเครียดของมึงจนทำให้ไม่มีสาวคนไหนมาเหลียวแล ยิ่งคิดยิ่งรู้สึกแย่ว่ะ จะทำยังไงให้กูหล่อน้อยลงดีวะ” คนตัวเล็กไม่พูดเปล่าแต่ยกมือขึ้นกอดอกพลางทำท่าทางครุ่นคิดเป็นจริงเป็นจัง ตอนนี้ไม่มีคำไหนจะอธิบายคนตรงหน้าได้ดีเท่าคำว่า ‘บ้า’ อีกแล้ว
“กูแค่พูดไม่เก่ง”
“แต่กูพูดเก่ง! แถมชอบพูดไปเรื่อยด้วย ความจริงกูก็เริ่มคิดนะว่ามึงจะรำคาญกูรึเปล่า ถ้าวันไหนมึงทนไม่ไหวก็บอกนะเว้ยเพราะตอนนี้กูยังแก้นิสัยพูดมากไม่ได้” เด็กหนุ่มอดรู้สึกผิดเมื่อรับรู้ว่าตัวเองเป็นต้นเหตุที่ทำให้คนตัวเล็กคิดมาก เขาจึงตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่อ่อนนุ่มกว่าปกติ
“กูไม่ได้รำคาญ”
“แต่ดูจากท่าทางมึงตอนนี้ กูว่าไม่น่าใช่นะ”
“...” อดคิดไม่ได้ว่าตอนนี้หน้าตาของเขาเป็นแบบไหนกันนะถึงได้ทำให้อีกฝ่ายไม่เชื่อคำพูดของเขา แต่แล้วดวงตาคมของอินก็ต้องเบิกกว้างเมื่อได้ยินประโยคถัดไปจากรูมเมท
“เอางี้ดีกว่า คืนนี้กินเบียร์ฉลองกัน”
“ไม่ได้! หอในมีกฎห้ามกินแอลกอฮอล์นะ!” อินเผลอลุกขึ้นยืนพร้อมปฏิเสธเสียงแข็ง ปฏิกิริยาของเด็กหนุ่มทำให้คนตัวเล็กตกใจจนแทบสะดุ้งแต่คิดว่าเรื่องแค่นี้จะมาหยุดความต้องการของหมี่ได้เหรอ ไม่มีทางซะหรอก
“โอ๊ย! ใครมันจะมาตรวจกันล่ะ! มึงอ่ะใช้ชีวิตเครียดเกิน ระวังจะหน้าแก่เกินวัยอันควรนะ!” คราวนี้คนตัวเล็กลุกขึ้นและยกมือขึ้นเท้าสะเอว ก่อนจะตะเบ็งเสียงเถียงคอขึ้นเอ็น
“กฎระเบียบมีไว้เพื่อคอยควบคุมความประพฤติของผู้คน ถ้าคิดแต่จะทำอะไรตามอำเภอใจมีหวังได้แย่กันหมดสิ” อินยังคงยืนยันว่าไม่เห็นด้วยในการกระทำครั้งนี้พร้อมอธิบายเหตุผลให้อีกฝ่ายเข้าใจ
“โอโห อ้าปากทีก็จัดมาเป็นชุดเลยนะแต่กูไม่ยอมหรอก! กูจะกิน!” ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะไม่สนใจเลยแม้แต่น้อย อินจึงคิดหาวิธีโน้มน้าวอีกฝ่าย
“หมี่อย่าดื้อ” เด็กหนุ่มใช้น้ำเสียงนุ่มกว่าปกติเพื่อให้อีกฝ่ายล้มเลิกความคิดนี้ ในเมื่อใช้ไม้แข็งไม่ได้ผลก็ต้องใช้ไม้อ่อนสินะ ทว่าคนตัวเล็กกลับพุ่งตรงมาเกาะแขนเขาไว้พร้อมส่งเสียงอ้อน...สถานการณ์คุ้น ๆ ยังไงไม่รู้
“นะ นะ นะ แค่ครั้งเดียวเอง ฉลองที่ได้เป็นรูมเมทกันไง หลังจากนี้เราสองคนต้องใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันในห้องนี้แล้วไม่ใช่เหรอ ถือว่าเป็นกิจกรรมละลายพฤติกรรมไง!” ก็เป็นซะอย่างนี้แล้วจะไม่ให้อินใจอ่อนได้ยังไง
“สัญญานะว่าจะทำผิดกฎแค่ครั้งนี้ครั้งเดียว” หมี่พยักหน้างึกงักเป็นการตกลง อินหลับตาและถอนหายใจเฮือกใหญ่ พลางคิดว่าในเมื่อต่อต้านอีกฝ่ายไม่ได้ก็มีแต่จะต้องเข้าร่วมสินะ
“แต่กูให้แค่คนละกระป๋องพอ” สิ้นเสียงอิน คนตัวเล็ดก็ดีใจยกใหญ่ ต่างจากเด็กหนุ่มที่เริ่มกังวลเพราะต้องคอยดูแลไม่ให้อีกฝ่ายก่อความวุ่นวาย
ทั้งสองคนตกลงกันว่าจะออกไปซื้อแอลกอฮอล์จากร้านค้าใกล้ ๆ ช่วงหกโมงเย็นเพราะช่วงนั้นมีนักศึกษาเข้าออกมหาลัยฯ ค่อนข้างมากทำให้ยากต่อการตรวจสอบ อินรู้สึกไม่สบายใจเลยที่ต้องทำอะไรแบบนี้แต่เขาตัดสินใจไปแล้ว...มีแต่จะต้องยอมรับผลของการกระทำนั้น
เมื่อคุยกันลงตัวแล้วต่างคนก็ต่างแยกย้ายไปทำเรื่องของตัวเองต่อ คนตัวเล็กรีบจัดของและตรงไปอาบน้ำอย่างรวดเร็ว ขณะเดียวกันอินก็นั่งเขียนตารางออกกำลังกายและตารางอาหารเพื่อเตรียมร่างกายให้พร้อมสำหรับการคัดเลือกตัวแทนนักกีฬาว่ายน้ำ
และแล้วเข็มนาฬิกาก็วนมาถึงเวลาหกโมงเย็นที่รอคอย เสียงนาฬิกาปลุกดังขึ้นเป็นระยะ อินวางปากกาลง ปิดสมุดและเอื้อมมือไปกดปิดเสียงนาฬิกา ก่อนจะหันมองคนต้นคิดเรื่องการฉลองในค่ำคืนนี้แต่สิ่งที่เขาเห็นคือร่างกายผอมบางกำลังนอนหลับตาพริ้มอยู่บนเตียง
“ต้องปลุกมั้ยเนี่ย” เด็กหนุ่มพูดกับตัวเองเสียงเบา ก่อนจะตัดสินใจว่าควรปล่อยให้อีกฝ่ายนอนพักอีกสักหน่อยเพราะคิดว่าคนตัวเล็กคงเหนื่อยจากการจัดของ...จนกระทั่งเวลาได้ล่วงเลยไป
.
.
.
“อะ...อื้ออ~...เฮ้ย!เริ่มมืดแล้วนี่!กี่โมงแล้ว!” เสียงบิดขี้เกียจดังขึ้น ก่อนจะตามมาด้วยเสียงเอะอะโวยวายตามเอกลักษณ์ของเจ้าตัว“สองทุ่มสิบสามนาที” อินที่กำลังวิดพื้นอยู่ข้างเตียงตอบกลับทันทีเพราะตอนนี้เขาจับเวลาในออกกำลังกายอยู่“...สะ...สองทุ่ม!!!” ตะโกนอีกแล้ว ตอนเด็กกินโทรโข่งเข้าไปรึไงนะถึงได้ตะเบ็งเสียงเก่งขนาดนี้ อยากถามจริง ๆ ว่าไม่รู้สึกเจ็บคอบ้างเลยเหรอ“มึงจะตะโกนทำไมเนี่ย มันรบกวนข้างห้อง” หมี่ลุกขึ้นจากเตียงและเดินตรงมาหาเด็กหนุ่ม“ก็คุยกันแล้วนี่!ว่าจะไปซื้อเห-” อินรีบพุ่งตรงไปปิดปากคนตัวเล็กในเสี้ยววินาทีก่อนที่อีกฝ่ายจะพูดคำว่าเหล้าออกมาเพราะกลัวว่าข้างห้องอาจได้ยินเสียงของพวกเขา ด้วยแรงที่อินพุ่งหาหมี่บวกกับน้ำหนักตัวของอินทำให้คนตัวเล็กไม่อาจต้านทานไว้อยู่จนทั้งคู่เซล้มไปบนเตียง“ชู่ว!อย่าพูดคำนั้นออกมานะ” โชคดีที่อินพลิกตัวทันเลยใช้ร่างกายของตัวเองรองรับแรงกระแทกแทนหมี่ มือขวาก็เผลอคว้าเอวอีกฝ้ายไว้แน่น“อื้ออ
อุก อ้วกกกกก!!!!“เฮ้ย!” ชัดเจน สิ่งที่พวยพุ่งออกมาจากปากของคนตัวเล็กถือเป็นคำตอบอย่างดีให้กับคำถามของเขาเศษอาหารที่หมี่อาเจียนออกมานั้นทำให้รู้เลยว่าก่อนหน้านี้อีกฝ่ายกินอะไรเข้าไปบ้าง แถมตอนนี้สิ่งพวกนั้นก็เปรอะเปื้อนไปทั่วเสื้อยืดแขนสั้นสีขาวตัวโปรดของเขาอีกด้วย โอ้โห กลิ่นก็สุดจะบรรยายทำเอาอินหลุดสบถออกมาอีกจนได้“ไอ้หมี่! มึงนี่มันตัววุ่นวายของจริงเลยว่ะ ทำไมกูต้องมาเจออะไรแบบนี้จากคนอื่นที่ไม่ใช่คนในครอบครัวด้วยวะ” ถึงแม้ว่าหมี่จะอ้วกใส่แต่อินก็ไม่ปล่อยมือที่โอบเอวบางไว้ เด็กหนุ่มยกมืออีกข้างขึ้นเสยผมเผยให้เห็นเส้นเลือดที่ปูดขึ้นตรงขมับท้ายที่สุดแล้วอินก็พาหมี่ไปอ้วกในห้องน้ำได้สำเร็จและรีบออกมาเช็ดอ้วกที่เลอะเทอะหน้าประตูห้องน้ำ ก่อนที่เด็กหนุ่มจะถือวิสาสะถอดเสื้อเปื้อนอ้วกของอีกฝ่ายออกและหยิบผ้าขนหนูชุบน้ำ เช็ดไปตามเนื้อตัวของคนตัวเล็ก วินาทีที่ความเย็นจากผ้าขนหนูอันเปียกชุ่มสัมผัสร่างกายสีขาวอมชมพูก็ทำเอาคนตัวเล็กสะดุ้งเล็กน้อยพร้อมขนลุกชูชันมือหนาลูบไล้ผ้าเปียกไปตามส่วนต่าง ๆ พลางสอดส
...“โอ๊ยยย ปวดหัวจัง” หมี่ตื่นขึ้นมาในเช้าที่แสนสดใสพร้อมกับร่างกายที่แสนปวดร้าว นี่เมื่อคืนเขากินเบียร์ไปมากขนาดไหนถึงได้ปวดหัวจะเป็นจะตายขนาดนี้ จังหวะที่หมี่กำลังสะลึมสะลืออยู่นั้นก็เห็นร่างใหญ่โตของรูมเมทนอนฟุบอยู่ข้างเตียง“เฮ้ย!ทำไมมึงมานั่งหลับอยู่ตรงนี้เนี่ย” เสียงเล็กแหลมอุทานขึ้นเสียงดังด้วยความตกใจ ก่อนจะยกมือขึ้นปิดปากตัวเองเพื่อเบาเสียงลง“เอ๊ะ! นั่นกระเป๋าตังไอ้อินเหรอ...” ขณะที่หมี่เริ่มมีอาการเลิ่กลั่ก สายตาดันเหลือบไปเห็นวัตถุสีดำที่หล่นอยู่ข้างตัวอีกฝ่าย ด้วยความอยากรู้อยากเห็นที่ค่อย ๆ ก่อตัวขึ้นในใจ มือเล็กก็เอื้อมไปหยิบสิ่งนั้นขึ้นมาสำรวจอย่างช้า ๆ และระวังไม่ให้อีกฝ่ายตื่นกระเป๋าสตางค์สีดำสนิทที่หมี่คิดเองเออเองว่าน่าจะเป็นหนังแท้มีตราสัญลักษณ์เป็นรูปปีกนางฟ้าสีเงินวาววับมุมขวาล่าง เปิดออกปุ๊บก็เห็นบัตรประจำตัวประชาชนของอีกฝ่ายที่เสียบไว้ในช่องขวามือ หมี่เลยถือวิสาสะหยิบบัตรออกมาดู“เกิดวันที่หนึ่งกันยายน เห้ย!ไอ้ยักษ์อายุน้อยกว่ากูอีกเหรอเนี
เดือนแรกของการเป็นนักศึกษาชั้นปีที่หนึ่งในรั้วมหาลัยฯ ผ่านไปอย่างรวดเร็วราวกับเป็นเรื่องโกหก หมี่ที่ทำการเปิดตัวด้วยความอลังการจากสโลแกนและท่ากระตุกเป้าเขย่าไข่ในวันงานกิจกรรมรับน้องก็มีเพื่อนนักศึกษาและรุ่นพี่มากหน้าหลายตาให้ความสนใจและเข้ามาทำความรู้จักเป็นจำนวนมากซึ่งปรากฎการณ์นี้เจ้าตัวก็ชอบอกชอบใจ เขาคิดไปเองว่าทุกคนเข้าหาเพราะเบ้าหน้าอันหล่อเหลาของตัวเอง แต่ความจริงคือทุกคนเข้าหาเพราะความร่าเริงแจ่มใสและความตลกเฮฮาของหมี่ต่างหากอีกด้านหนึ่ง อินที่อยากใช้ชีวิตด้วยความเรียบง่าย สบาย ๆ และไม่อยากเป็นดาวเด่นหรือเป็นที่สนใจของใครทั้งนั้น กลับไม่ได้อยู่อย่างสงบสุขตามที่คาดหวังไว้เพราะเหตุการณ์จากวันงานกิจกรรมรับน้องเช่นเดียวกันในทุกวันเด็กหนุ่มจะตื่นนอนตั้งแต่ตีสี่เพื่อออกมายืดเส้นยืดสาย อบอุ่นร่างกายและเริ่มวิ่งเหยาะ ๆ ไปยังสวนสาธารณะที่อยู่ใกล้มหาลัยฯ เมื่อมาถึงสระน้ำกลางสวนก็พักยืดเหยียดแขนขาอีกครั้ง ก่อนจะเริ่มวิ่งกลับและแวะซื้อมื้อเช้ากลับไปกินที่ห้องกว่าจะถึงห้องก็ราว ๆ หกโมงกว่าเพราะต้องรอข้าวอยู่หลายนาที ร้านข้าวมันไก่เจ้านี้คนแน
การเรียนและการสอบย่อยในรายวิชาต่าง ๆ ค่อนข้างถาโถมรุมเร้าแต่อินและกันต์ก็ผ่านมาได้ จนกระทั่งมาถึงวันเสาร์ที่พวกรุ่นพี่ตั้งตารอคอยเพราะวันนี้เป็นวันรับน้องสายรหัสของคณะวิทยาศาสตร์การกีฬา งานนี้เป็นงานเล็ก ๆ ถูกจัดขึ้นในห้องวีไอพีของร้านเหล้า YY ซึ่งเป็นห้องคาราโอเกะที่อยู่ลึกเข้าไปในร้าน หลบเลี่ยงเสียงครื้นเครง เสียงดนตรีและกลิ่นบุหรี่ได้ดีเด็กหนุ่มสองคนเดินเข้ามาในร้านก็เจอกับผู้ชายคนหนึ่งคาดว่าน่าจะเป็นพนักงานรักษาความปลอดภัยของทางร้าน ด้วยความเป็นเด็กใหม่ที่ยังไม่เคยมาร้านนี้อินก็เข้าไปสอบถามเรื่องห้องวีไอพีที่รุ่นพี่บอกมาทันที เมื่อได้คำตอบว่าห้องอยู่ตรงไหนก็เดินตรงไปทางนั้นอย่างไม่ลังเลก๊อก! ก๊อก!!อินเคาะประตูตามมารยาท ก่อนจะมีรุ่นพี่คนหนึ่งเดินมาเปิดประตู รุ่นพี่คนนี้ชื่อโชนเป็นนักศึกษาชั้นปีที่สามและเป็นพี่สายรหัสของไอ้กันต์ มองเข้าไปในห้องก็เห็นรุ่นพี่ผู้ชายอีกคนนั่งเสียบสายลำโพงและไมโครโฟนอยู่ไม่ไกล พี่คนนั้นชื่อแต้มและนั่นคือพี่สายรหัสของอิน“มาาา นั่งกันตามสบายเลย มาเร็วเหมือนกันนะเนี่ย” พ
ก๊อก! ก๊อก!ถึงแม้ว่าในวินาทีแรกกันต์จะคิดสงสัยว่าหมี่คือใครแต่ตอนนี้เขายืนอยู่หน้าห้องพักก็แปลว่าอีกฝ่ายคงเป็นรูมเมทของไอ้อินแหละ ชื่อหมี่เหรอ จะเป็นคนแบบไหนนะ ทว่าไม่ทันได้คิดอะไรต่อ คิ้วเข้มก็เริ่มย่นเข้าหากันเพราะผ่านไปหลายนาทีแล้วก็ไม่มีวี่แววว่าจะมีใครมาเปิดประตูก๊อก!!! ก๊อก!!! ก๊อก!!!กันต์ที่เริ่มหงุดหงิดเพราะเขาทั้งหนัก ทั้งเหนื่อยแถมยังมีอาการกรึ่มเมาเล็กน้อยก็ออกแรงทุบประตูหนัก ๆ ไปอีกสามทีเผื่อที่เคาะไปก่อนหน้านี้คนในห้องจะไม่ได้ยิน ในที่สุดก็มีเสียงขานรับมาจากในห้อง“กำลังไปค้าบบบ...ใครมาเคาะประตูเอาป่านนี้วะ” ขานรับไม่พอยังมีเสียงบ่นอุบอิบเล็ดลอดมาให้ได้ยินอีกต่างหาก“อ้าว ไอ้ยักษ์” ทันทีที่ประตูเปิดออกก็เห็นผู้ชายร่างเล็กคนหนึ่งชี้นิ้วมาที่ไอ้อินพร้อมชื่อเรียกที่ทำให้กันต์ได้แต่งุนงง“เปิดประตูกว้างหน่อย มันหนัก” เด็กหนุ่มผิวแทนผู้ซึ่งไม่ชอบการพูดคุยกับคนแปลกหน้าเป็นทุนเดิมอยู่แล้วก็เลือกพูดจุดประสงค์ของตัวเองให้อีกฝ่ายเข้าใจง่ายที่สุด จะได้ไม่ต้องต
“กูคิดถึงมึง ถ้าตอนนี้มีมึงอยู่...คงดีกว่านี้” การที่ใครสักคนจะพูดประโยคนี้ออกมาในช่วงที่เขากำลังขาดสติอยู่นั้น แปลว่าเขาเจ็บปวดมากแต่ไม่สามารถพูดสิ่งนี้ขณะที่ยังมีสติอยู่ได้“กูไม่อยากโตเลย ชีวิตวัยเด็กที่มีมึง กูมีความสุขมาก” สีหน้าของอินเต็มไปด้วยความรู้สึกอัดอั้นตันใจ เขาไม่เคยได้ระบายตะกอนที่จมลึกอยู่ในก้นบึ้งหัวใจดวงนี้ให้ใครได้รับรู้“กูจะเป็นนักกีฬาว่ายน้ำเพื่อมึงนะ...อัน...” ยิ่งฟังก็ยิ่งรู้สึกปวดหนึบไปในอกเพราะมันทำให้รู้ว่าเด็กหนุ่มไม่เคยทำเพื่อตัวเองเลย เขาใช้ชีวิตเพื่อน้องชายเสมอมา...และจะทำแบบนี้ตลอดไป“มันยังละเมออยู่อีกเหรอวะเนี่ย” หมี่ที่เห็นว่าอินนอนขยับปากเหมือนกำลังพูดอะไรสักอย่างก็เดินเข้าไปหาอีกฝ่าย ก่อนจะยกเท้าถีบไปที่ต้นขาหนาของอิน“เห้ย! ไอ้ยักษ์มีสติยัง ไหนบอกคอแข็งไง”“หมี่~” คนตัวเล็กหัวใจเต้นรัวเพราะรู้สึกแปลกที่อีกฝ่ายเรียกชื่อเขาด้วยน้ำเสียงแหบพร่า ไม่แน่บางทีเขาอาจจะเมากลิ่นเหล้าที่ติดตัวไอ้ยักษ์มา...หัวใจเลยเต้นแรงแบบนี้&ld
“แล้วสรุปเรื่องเราคุยกันวันก่อน มึงว่าไง” จู่ ๆ อินก็พูดเปิดประเด็นขึ้นมา หมี่ที่กำลังคิดเรื่องอื่นอยู่ก็ถึงกับงง“หะ?”“หะ อะไร” เด็กหนุ่มมองอีกฝ่าย นี่อย่าบอกนะว่าหมี่ลืมเรื่องวันนั้นไปแล้ว ไม่อยากเชื่อเลยว่าคนเราจะขี้ลืมได้ง่ายขนาดนี้“คุยเรื่องอะไรวะ” นั่นไง สีหน้าเหรอหรานั่นเป็นหลักฐานชั้นดีที่บอกว่าคนตัวเล็กลืมเรื่องนั้นไปแล้วจริง ๆ“เรื่องที่มึงบอกว่าเราต้องหากิจกรรมทำร่วมกันบ้าง ทำขนมกินกัน ไม่ก็ไปเดินเล่น ไปเที่ยวห้างดูหนังอะไรสักอย่าง” ลำบากอินต้องมานั่งรื้อฟื้นความทรงจำให้ใหม่อีก“อ๋อออ เรื่องนั้นเอง~”“ไม่ต้องมาอ๋อเลย เรื่องนั้นมึงเป็นคนเปิดหัวข้อมาเองนะ สรุปว่าไง” เด็กหนุ่มเฝ้ารอคำตอบจากคนต้นคิด“ก็นั่นแหละ แบบว่าเราอยู่ห้องเดียวกันแต่ตลอดอาทิตย์ที่ผ่านมาหรือช่วงก่อนหน้านี้เราไม่ค่อยได้คุยกันเลย กูรู้สึกเหมือนกูอยู่ตัวคนเดียวอ่ะ กูไม่ชอบความรู้สึกนั้น” อินรู้สึกเจ็บในอกเล็กน้อยเพราะเขาก็เคยรู้สึกแบบนี้ตอนอยู่ที่บ้
อ๊ากกกกกก!!!“เป็นอะไรหมี่!” อินได้ยินเสียงคนตัวเล็กตะโกนดังแต่เช้าก็สะดุ้งตื่นด้วยความตกใจ“ผีหลอก!!!!” หมี่ยังคงส่งเสียงกรีดร้องด้วยความตกใจเพราะตื่นมาก็เห็นแขนของใครไม่รู้พาดอยู่ตรงเอวบางของตน“ผีอะไร!” อินถึงกับคิ้วขมวด เขาไม่เข้าใจว่าคนตัวเล็กกำลังพูดถึงเรื่องอะไร“ขะ...ขะ...แขนใครไม่รู้!...ฮือออ” หมี่หลับตาปี๋และชี้นิ้วไปตรงเอวของตัวเอง“แขนอะไร?” อินยิ่งงงเข้าไปใหญ่เพราะแขนแกร่งของเขาที่กอดเอวอีกฝ่ายก็ยังปกติดี“เอ๊ะ!เดี๋ยวนะ!” เสียงกรีดร้องแปรเปลี่ยนเป็นความฉงน หมี่ลืมตาขึ้นอย่างช้า ๆ และมองเจ้าของเสียงที่ตนสนทนาด้วย“ไอ้ยักษ์!” ก่อนจะยกกำปั้นและออกแรงทุบไปที่ต้นแขน ของอีกฝ่าย“โอ๊ย!ตีกูทำไมเนี่ย” เมื่อรับรู้ว่าแขนปริศนามีเจ้าของและไม่ได้โดนผีหลอก หมี่ก็ขยี้หัวระบายความหงุดหงิด“ฮืออ...กูนึกว่าผีหลอกกู!ไอ้บ้าเอ๊ย!”“ผีอะไรจะมาหลอกมึงตอนเช้าแบบนี้”
อินวางโทรศัพท์มือถือไว้ข้างหมอน ก่อนจะดึงร่นกางเกงนอนลงเพื่อให้แท่งเนื้อที่กำลังผงาดอย่างแข็งขืนได้โผล่ออกมาเจอโลกภายนอก วินาทีที่อวัยวะส่วนที่อ่อนไหวที่สุดกระทบความเย็นจากเครื่องปรับอากาศก็สร้างความเสียวซ่านขึ้นมาอย่างน่าประหลาด มือหนาเลื่อนลงไปกอบกุมแท่งเนื้อที่ตอนนี้กลายเป็นแท่งร้อนเพราะเลือดที่สูบฉีดทั่ว“อ่าาา~” เสียงแห่งความสุขสมเล็ดลอดออกมาให้ได้ยินเล็กน้อย ผ่านไปแล้วสิบนาที มือหนาก็ยังคงชักรูดแท่งนั้นขึ้นลงอย่างคล่องแคล่วและไม่ผ่อนความเร็วลงแม้แต่น้อยจนน้ำเมือกที่เป็นสารหล่อลื่นเริ่มปริ่มออกมาผ่านไปอีกสามสิบนาที ความร้อนในร่างกายก็พุ่งสูงขึ้นตามอารมณ์ความใคร่ที่กำลังปะทุอยู่ นิ้วหัวแม่มือก็ลูบวนรอบส่วนหัวแท่งเนื้อเมามันพลางขบกรามแน่นเป็นระยะ มือสากของตัวเองยังทำให้รู้สึกดีมากขนาดนี้แล้วถ้าเปลี่ยนเป็นมือนุ่มนิ่มของอีกฝ่ายจะรู้สึกดีขนาดได้“หมี่~ ฮึ่มม” เสียงเรียกชื่อคนตัวเล็กที่ออกมาจากปากของตัวเอง ทำไมฟังดูกระเส่าเย้ายวนขนาดนี้ มันยิ่งทำให้ความอยากเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวซึ่งเด็กหนุ่มก็เคลิบเคลิ้มไปในโลกที่ตัวเอ
ครืดดดด ครืดดดด“อ๊ะ! ทำยังไงดีไอ้ยักษ์โทรมา!” ดวงตากลมโตเบิกกว้างพร้อมอาการลุกลี้ลุกลนทำอะไรไม่ถูกเราสองคนไม่เคยต้องโทรหากันตอนกลางคืนเลยเพราะปกติก็นอนด้วยกันตลอด ถ้าต้องโทรคุยกันน่าจะรู้สึกแปลกใหม่ดีเหมือนกัน คนตัวเล็กนอนจับมือถือพลิกไปพลิกมาบนเตียงครู่หนึ่ง ก่อนจะตัดสินใจกดรับในที่สุด ทว่าสายตัดไปแล้ว...“อ้าว!วางไปแล้ว” หมี่ถึงกับเหวอจนนิ่งค้างไปชั่วขณะ“เอาไงดีเนี่ย โทรกลับไปดีมั้ย แล้วจะคุยอะไรล่ะ โอ๊ยยย!จะบ้า!” ด้วยความตื่นเต้นบวกกับความเขินอายเลยทำให้หมี่ไม่ได้กดโทรกลับไปหาอีกฝ่ายสักทีครืดดดด ครืดดดด“อ๊ะ!โทรกลับมาแล้ว อะแฮ่ม!” หมี่สะดุ้งเล็กน้อยเมื่อโทรศัพท์สั่นอีกครั้ง ก่อนจะกระแอมเสียงและกดรับสาย“หมี่” เมื่อได้ยินเสียงเรียกชื่อจากปลายสายหัวใจของหมี่ก็พองโตอย่างไม่มีสาเหตุ อะไรจะเสียงหล่อปานนั้นพ่อคู๊ณณณณ“โทรมามีไร” ทว่าเจ้าตัวต้องพยายามตอบกลับด้วยน้ำเสียงปกติเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายรู้ว่าตัวเองกำลังตื่นเต้นและเลิ่กลั่กมากขนาดไหน“ทำอะไรอยู่” “กำลังจะนอน” หมี่ซุกหน้าเข้าหาผ้าห่มผืนหนาก่อนตอบ“กูโทรมากวนรึเปล่า นอนเลยมั้ย” ได้ยินประโยคนี้ก็ถึงกับดีดหน้าออกจากผ้าห่มด้วยความลืมต
หลังจากที่ไปส่งอินขึ้นรถหน้ามหาลัยฯ หมี่ก็เริ่มคิดอย่างจริงจังเรื่องการไปเจอพ่อแม่ของอีกฝ่าย ครอบครัวอินดูแลลูกชายให้เติบโตมาเป็นคนดีขนาดนี้ เด็กน้อยแบบเขาาจะคู่ควรกับอีกฝ่ายจริง ๆ เหรอคิดไปคิดมาก็เริ่มหดหู่ใจ เมื่อสมองถูกใช้งานมากเกินไปก็ชักจะหิวหมี่เลยขอหยุดนึกถึงเรื่องนี้ก่อนและเดินลงไปชั้นล่างเพื่อจะซื้อของที่ร้านค้าสวัสดิการของหอพัก จังหวะนั้นเองก็บังเอิญเจอเข้ากับอาจารย์หอพอดี“สวัสดีครับอาจารย์” คนตัวเล็กเอ่ยทักอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงสดใส“อ๊ะ สวัสดีครับ ไม่เจอกันนานเลย เป็นยังไงบ้าง” อาจารย์พิทักษ์มีท่าทีตกใจเล็กน้อยแต่ก็ทักทายกลับมา“ทำไมเรียนทำอาหารถึงเหนื่อยแบบนี้ครับ ผมล่ะอยากจะร้องไห้” พูดพลางปั้นหน้ามู่ทู่น่าเอ็นดูจนคนมองอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา“ฮ่าฮ่าฮ่า!นั่นสินะ การเรียนก็เหนื่อยทั้งนั้นแหละแต่ผลตอบรับที่ได้กลับมาย่อมคุ้มค่า” คนเป็นอาจารย์ก็ทำได้เพียงปลอบใจเหล่านักศึกษาที่กำลังท้อแท้แบบนี้แหละและคอยเฝ้ามองลูกศิษย์ค่อย ๆ เติบโต“ครับ...ว่าแต่อาจารย์ไปทำอะไรในห้องนั้นครับ มันดูอับมากเลย” หมี่ถามด้วยความอยากรู้เพราะเท่าที่เห็นคือห้องด้านหลังร้านค้าสวัสดิการเป็นห้องที่ไม่น่
หลังจากได้เคลียร์ปมปัญหาที่ติดแน่นอยู่ในส่วนลึกของจิตใจออกไปและได้กินข้าวร่วมกับพ่อแม่ด้วยอารมณ์ความรู้สึกที่เขาไม่เคยสัมผัสมาก่อนก็ทำให้อินเริ่มยิ้มมากขึ้น พูดคุยมากขึ้นและเป็นตัวเองมากขึ้นเด็กหนุ่มจัดเก็บจานชามและโต๊ะกินข้าวเสร็จเรียบร้อยก็มานั่งคุยกับพ่อแม่ต่อที่ห้องนั่งเล่น ก่อนจะมีเสียงหยอกล้อของคนในบ้านและตามมาด้วยเสียงหัวเราะเป็นระยะ ตอนนี้บรรยากาศในบ้านไม่อึมครึมอีกต่อไปแล้ว“เอ่อ...พ่อครับ แม่ครับ” อินที่คิดว่าเวลานี้คงเหมาะที่จะคุยถึงเรื่องสำคัญอีกเรื่องก็เอ่ยขึ้น“หืมม มีอะไรลูก” พ่อตอบรับอย่างอารมณ์ดี“พ่อกับแม่รักกันได้ยังไงครับ” เมื่อได้ยินคำถามแบบนี้จากลูกชาย คนเป็นพ่อแม่ก็ถึงกับหันมองหน้ากันทันที“จู่ ๆ มาถามเรื่องแบบนี้ มีอะไรรึเปล่าลูก” แม่ถามไถ่ลูกชายด้วยความเป็นห่วง ขณะที่พ่อส่งเสียงแซวดังลั่น“จะมีอะไรอีกล่ะคุณ ลูกชายเรากำลังจะเป็นหนุ่มเต็มตัวแล้วน่ะสิ ฮ่าฮ่าฮ่า!” ไม่ว่าเปล่าแต่กลับหัวเราะจนท้องเข็ดท้องแข็งอีกด้วย“โธ่พ่อ! อย่าแซว” เด็กหนุ่มเขินอายเล็กน้อยแต่ยังไงเขาก็ต้องคุยกับทั้งคู่ให้รู้เรื่องเลยพยายามเก๊กขรึมไว้“สมัยนั้นพ่อไปฉุดแม่มาน่ะ ก็อย่างว่าพ่อมันคนร้
เช้าวันรุ่งขึ้นทั้งคู่ก็เดินทางกลับหอพักและใช้ชีวิตตามปกติ หลังจากค่ำคืนนั้นอินก็พยายามหาวิธีหลอกล่อคนตัวเล็กให้ติดกับ แต่ดูเหมือนเขาจะทำไม่ได้เลยเพราะโกหกไม่เป็นและอีกฝ่ายก็รู้ทันตลอดครืดดดด ครืดดดด“ครับแม่” เด็กหนุ่มกดรับสายเมื่อเห็นว่าเบอร์ที่โทรเข้ามาคือ ‘แม่’ จะว่าไปช่วงนี้เขาไม่ได้โทรหาคนที่บ้านเลย สงสัยพ่อแม่คงอยากให้กลับไปเยี่ยมบ้านบ้างแล้ว“อิน วันก่อนที่ลูกแข่งขันว่ายน้ำได้เหรียญเงินมา พวกเรายังไม่ได้ฉลองกันเลยนะลูก” จริงสิ ช่วงนั้นมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นมากมายจนลืมเรื่องนี้ไปเลย ไหนจะยุ่งวุ่นวายเกี่ยวกับความรักความสัมพันธ์ที่กำลังเริ่มต้นขึ้นอีก ตอนนี้คงถึงเวลาที่เขาต้องให้ความสำคัญกับครอบครัวแล้วสินะ“ครับ”“จริง ๆ แม่ว่าจะโทรถามเรื่องนี้ตั้งหลายครั้งแล้ว แต่ไม่รู้ว่าอินว่างช่วงไหนบ้างเลยไม่อยากโทรไปกวน” เด็กหนุ่มอดรู้สึกผิดไม่ได้ที่เขาละเลยหน้าที่ของการเป็นลูก“ขอโทษครับแม่ ช่วงนั้นอินมีเรื่องให้ต้องจัดการเยอะแยะเลยไม่ค่อยมีเวลาว่างเพื่อกลับบ้านสักเท่าไหร่ แถมยังไม่ได้โทรหาพ่อกับแม่ด้วย” น้ำเสียงหดหู่ปนเศร้าใจถูกส่งผ่านไปยังผู้เป็นแม่“ไม่เป็นไรจ้ะ แม่คิดว่าตอนนี้ทุกอย่างค
หมี่พาอินไปยังห้องนอนของตัวเองด้วยท่าทีเขินอาย คือถ้าเป็นการค้างแรมแบบเพื่อนคนตัวเล็กคงไม่เขินขนาดนี้ แต่ครั้งนี้อีกฝ่ายเป็นคนที่กำลังดูใจกันอยู่เลยรู้สึกใจเต้นแรงแปลก ๆทางด้านของอินเมื่อได้ก้าวเข้ามาในห้องของคนตัวเล็กก็ต้องกัดฟันยับยั้งชั่งใจให้อยู่หมัด ห้องอะไรหอมชะมัด ก่อนจะได้ยินหมี่บอกให้อาบน้ำในห้องนี้ได้เลย ส่วนตัวเองจะไปอาบน้ำที่ห้องพี่จะได้ไม่ต้องมานั่งรอกันทันทีที่คนตัวเล็กออกไป อินก็เดินสำรวจรอบห้อง เตียงนอนขนาดกลางเต็มไปด้วยตุ๊กตาเยอะแยะมากมาย มองดูก็รู้ว่าตู้เสื้อผ้า โต๊ะหรือแม้กระทั่งสิ่งของเครื่องใช้ภายในห้องถูกดูแลเป็นอย่างดีและจัดวางอย่างเป็นระเบียบ ถึงแม้ว่าของจะเยอะแต่ก็จัดเก็บไว้ได้อย่างลงตัวมือหนาหยิบผ้าขนหนูที่อีกฝ่ายเตรียมไว้ให้ขึ้นมาดู ลายบนผ้าผืนนี้ก็น่ารักสมกับเจ้าของห้อง แต่เมื่อเด็กหนุ่มเดินเข้าห้องน้ำก็แทบจะเสียสติเพราะกลิ่นหอมอ่อน ๆ ของสบู่เหลวที่หมี่ใช้ประจำตลบอบอวลอยู่ภายในห้องนี้อินรีบปิดน้ำจากฝักบัวรดหัวให้หายฟุ้งซ่าน ทว่าสีหน้าและแววตาของพี่แมนก็ผุดขึ้นมาอีกครั้ง...หรือพี่แมนต้องการให้เขาและหมี่ได้ใกล้ช
“ไหนใครบอกว่าจะไปซื้อน้ำผลไม้” อินเห็นคนตัวเล็กนั่งอยู่ตรงโต๊ะหินอ่อนข้างอาคารผู้ป่วยก็พูดทัก“อ๊ะ! มาไม่ให้ซุ่มให้เสียงตกใจหมด” เมื่ออีกฝ่ายหันมา อินก็เห็นว่ามีสีหน้าไม่ค่อยสู้ดี“เป็นอะไรรึเปล่า หน้าตาไม่ค่อยดีเลย” เด็กหนุ่มนั่งลงข้าง ๆ และสอดส่องใบหน้าของคนตัวเล็ก“เปล่า” เปล่าอะไรหน้าหงอยขนาดนั้น“จะบอกดี ๆ มั้ย” เมื่อโดนอินดุก็จำยอมต้องบอกความในใจ“เมื่อกี้จู่ ๆ กูก็รู้สึกแปลกแยกอ่ะ กูเลยอยากออกมาอยู่ข้างนอก” เด็กหนุ่มคิดตามอีกฝ่าย หรือความจริงแล้วหมี่ไม่สบายใจเพราะยังไม่ได้รู้จักพ่อแม่ของเขากันนะ“งั้นบอกพ่อกับแม่ดีมั้ย” คนตัวเล็กตาโต ไม่คิดว่าอินจะพูดแบบนี้“บอกเรื่องอะไร” ปากสวยได้รูปขยับถามอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ“เรื่องของเราไง” อินเอื้อมไปจับมือหมี่และลูบเบา ๆ“แต่เรายังไม่ได้เป็นอะไรกันเลยนะ...กูหมายถึงตอนนี้เราแค่ทดลองดูใจกันอยู่รึเปล่า” หมี่พูดออกมาตามตรง ซึ่งนั่นก็ทำให้ทั้งคู่รับ
อินอาบน้ำแล้วทิ้งตัวลงบนเตียงก่อนจะผล็อยหลับไปด้วยความเหนื่อยล้า หมี่เห็นแบบนั้นก็พิมพ์ข้อความส่งไปหากันต์ที่ยังอยู่โรงพยาบาลว่าอินได้ที่สอง ซึ่งอีกฝ่ายตอบกลับมาเป็นสติกเกอร์รูปนิ้วมือแบบธรรมดา การเป็นคนป่วยไม่ได้ทำให้กันต์กวนบาทาน้อยลงเลยคนตัวเล็กหันมองรูมเมทที่นอนหลับตาพริ้มด้วยสายตายินดีพลางคิดว่าหลังจากนี้ก็ขอให้มีแต่เรื่องดี ๆ เกิดขึ้นกับพวกเขานะ ก่อนจะเริ่มเตรียมแผนการสำหรับฉลองที่อินได้เหรียญเงินในการแข่งขันว่ายน้ำครั้งแรกคิดไปคิดมา เขียนไปเขียนมาก็ผ่านไปหลายชั่วโมงจนตะวันตกดิน หมี่ที่เป็นกังวลว่าอินยังไม่ตื่นก็เดินไปปลุกเพราะถึงเวลาต้องหาอะไรกินแล้ว เด็กหนุ่มที่ถูกปลุกก็ลุกขึ้นมานั่งด้วยหน้าตาสะลึมสะลือ ก่อนจะตรงไปอาบน้ำเพื่อสลัดความง่วงทิ้ง“ครั้งนี้ฉลองด้วยอะไรดี” เสียงเล็กของหมี่ถามขึ้นอย่างตื่นเต้นทันทีที่อินเดินออกมาจากห้องน้ำ“ตามใจมึงเลย” เขากินอะไรก็ได้ทั้งนั้นแหละ ความจริงแล้วตอนนี้ยงไม่อยากตื่นเลยด้วยซ้ำ“อืมม งั้นทำอะไรอร่อย ๆ กินกันดีมั้ย” เมื่อเห็นคนตัวเล็กทำหน้าครุ่นคิดว่าจะฉ