“อินลงมากินข้าวได้แล้วนะลูก” เสียงหญิงสาวผู้เป็นแม่ตะโกนเรียกลูกชายด้วยน้ำเสียงแสนอ่อนโยนพร้อมยกเมนูต้มยำกุ้งวางลงบนโต๊ะกินข้าว ขณะที่ผู้เป็นพ่อนั่งอยู่หัวโต๊ะ เปิดหนังสือพิมพ์รายวันอ่านอย่างสบายใจและจิบกาแฟรสชาติโปรด
เด็กหนุ่มวัยสิบเก้าเดินลงมาจากชั้นสองทันทีที่ได้ยินเสียงแม่เรียก เขาเป็นเด็กที่มีรูปร่างสูงใหญ่ กล้ามเนื้อแน่นพอประมาณถูกปกปิดไว้ภายใต้เสื้อนักศึกษาสีขาวที่รีดมาเป็นอย่างดี อีกทั้งกางเกงทรงหลวมสีดำที่สวมอยู่ก็ช่างเข้าคู่กัน แค่มองก็รู้ว่าเขาเป็นนักศึกษาวัยใส
นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มที่มองเผิน ๆ จะเห็นเป็นสีดำมองตรงไปยังโต๊ะกินข้าวที่อยู่เบื้องหน้า บนโต๊ะนั้นเต็มไปด้วยอาหารหลากหลายเมนู มือหนาเลื่อนเก้าอี้ตรงที่นั่งประจำออกเล็กน้อย ก่อนจะถอดกระเป๋าสะพายใบโปรดแขวนไว้ที่พนักพิงและตรงดิ่งไปที่หม้อข้าว
“วันนี้จะไปมหาลัยเหรอลูกให้พ่อไปส่งมั้ย” เสียงทุ้มของพ่อถามขึ้นขณะเดียวกันก็มองลูกชายกำลังตักข้าวสวยร้อน ๆ ใส่จานและวางไว้บนโต๊ะให้ครบตามจำนวนคน
“ไม่เป็นไรพ่อ วันนี้อินกะว่าจะไปทำความสะอาดห้องไว้ก่อนเฉย ๆ ไม่ได้จะขนของหรืออะไรไปนะแต่ถึงจะต้องขนของจริง ๆ พ่อก็ไม่ต้องห่วง อินคุยกับไอ้กันต์ไว้แล้ว เดี๋ยวมันมาช่วย” เด็กหนุ่มตอบกลับเสียงนิ่งโดยไม่หันไปสบตาผู้เป็นพ่อแม้แต่น้อย มือทั้งสองข้างและสายตาของเขายังคงง่วนอยู่กับการจัดเตรียมข้าวสวยอีกหนึ่งจาน
“เอางั้นเหรอ โอเค มีเจ้ากันต์มาช่วยพ่อก็อุ่นใจ” พ่อรู้ดีว่าลูกชายคนนี้มักจะพูดจาเถรตรงอยู่แล้ว เลยไม่จำเป็นต้องถามเซ้าซี้ให้มากความ เขามั่นใจว่าสิ่งที่อินเลือกทำนั้นจะไม่สร้างปัญหาอะไรให้เขาและภรรยาต้องรู้สึกเสียใจหรือผิดหวังอย่างแน่นอน
อินวางจานข้าวตรงตำแหน่งที่ทุกคนนั่งกันประจำ พ่อเห็นแบบนั้นก็จำใจต้องปิดหน้าหนังสือพิมพ์ที่อ่านค้างไว้และพับเก็บไป ก่อนจะขยับตัวนั่งให้ถนัดเพื่อเตรียมพร้อมรอกินข้าวเช้าร่วมกับครอบครัว แม่เดินมาที่โต๊ะพร้อมผักสด เมื่อทุกคนมากันพร้อมหน้าก็เริ่มจับช้อนและกินข้าวโดยไม่รีรอ
“ไอ้กันต์ก็ได้ทุนเหมือนกันนะพ่อแต่ไม่รู้มันโทรบอกน้าเกดรึยัง ความจริงวันนี้วางแผนกันไว้ว่าจะไปดูหอก่อนเพราะหอพักนี้เป็นสวัสดิการสำหรับนักศึกษาใหม่ที่เป็นนักเรียนทุน สภาพห้องอาจจะไม่น่าอยู่เท่าไหร่ อินเลยคุยกับไอ้กันต์ว่าจะติดต่อขอเข้าไปทำความสะอาดก่อนย้ายเข้า”
เด็กหนุ่มบอกรายละเอียดเรื่องหอพักและแผนการคร่าว ๆ ของวันนี้ให้พ่อแม่ฟังซึ่งทั้งสองคนก็พยักหน้ารับรู้ สาเหตุที่อินอยากไปมหาลัยฯ นั้นก็เพราะเขาไม่รู้ว่าห้องพักที่จะต้องไปใช้ชีวิตอยู่ตลอดระยะเวลาสี่ปีหลังจากนี้เป็นห้องยังไงเลยคิดว่าควรไปดูให้แน่ใจก่อน
“ดีจังที่มหาลัยฯ สมัยนี้มีห้องพักให้เด็กอยู่ฟรี โอ๊ยถ้าเป็นสมัยพ่อนะต้องไปขอแบ่งห้องอยู่รวมกันกับเพื่อน ๆ แล้วทุกคนก็ช่วยกันทำงานหาเงินมาจ่ายค่าเช่า ลำบากลำบนแท้” พ่อพูดพลางรำลึกนึกถึงความหลัง ก่อนจะส่ายหัวพร้อมแสดงสีหน้าปลงกับชีวิต
“แล้วนี่น้าเกดไปทำงานต่างประเทศอีกแล้วใช่มั้ย ทำไมอินไม่ชวนเจ้ากันต์มากินข้าวที่บ้านล่ะลูก วันนี้แม่ทำกับข้าวเยอะแยะเลย” น้ำเสียงอ่อนโยนของแม่เอ่ยถามหาเพื่อนสนิทของลูกชายเพราะเธอรู้ดีว่าวัยรุ่นชายคงไม่ใส่ใจเรื่องอาหารการกินเท่าที่ควรเลยอดเป็นห่วงไม่ได้
“ใช่แม่ ไอ้กันต์บอกอินเมื่อวานว่ารอบนี้น้าเกดไปทำงานที่เดนมาร์กแต่ไม่แน่ใจว่าไปกี่วัน คิดว่าคงไม่นานเท่าไหร่หรอกมั้ง ส่วนเรื่องกินข้าวน่ะแม่ไม่ต้องเป็นห่วง ถ้าหิวเดี๋ยวมันก็มาบ้านเราเองแหละ” ได้ยินลูกชายพูดแบบนี้ยิ่งทำให้คนเป็นแม่รู้สึกกังวล
“อินโทรหาเพื่อนสักหน่อยดีมั้ยลูก” เด็กหนุ่มขมวดคิ้วเข้มเข้าหากันเพราะไม่เข้าใจว่าทำไมแม่ถึงต้องเป็นห่วงเพื่อนของเขามากขนาดนี้
“อินไม่อยากโทรไปกวนเผื่อมันยังนอนอยู่ ช่วงนี้ชอบนอนใส่หูฟังเปิดเพลงเสียงดังด้วย เดี๋ยวโทรไปขัดจังหวะอารมณ์ศิลป์ของมันอีก”
บ้านของทั้งสองครอบครัวเป็นบ้านคู่ในโครงการหมู่บ้านแห่งหนึ่งจึงไม่แปลกเลยที่เด็กหนุ่มจะรู้จักและสนิทสนมกันตั้งแต่สมัยเด็ก พวกเขาได้เข้าเรียนที่โรงเรียนเดียวกัน ตั้งแต่ช่วงอนุบาล ประถมฯ มัธยมฯ และตอนนี้ก็คือมหาลัยฯ เด็ก ๆ มักมีความชอบที่คล้ายคลึงกันแถมเวลาไปไหนมาไหนก็มักจะตัวติดกันเป็นตังเม ซึ่งการมีเพื่อนที่เชื่อใจได้ตั้งแต่เด็กและเติบโตมาด้วยกัน ช่างเป็นความสัมพันธ์ที่หาได้ยากแต่พวกเขาก็สร้างสายสัมพันธ์นั้นขึ้นมาได้
ตั้งแต่ที่อินจำความได้ ครอบครัวของกันต์มีอยู่เพียงสองคนเท่านั้นคือน้าเกด หญิงสาวผู้เป็นแม่และกันต์ที่เป็นลูกชาย อินมักจะเห็นเพื่อนสนิทต้องอยู่บ้านคนเดียวเสมอซึ่งตอนนั้นเขายังเด็กและไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น จนกระทั่งวันหนึ่งพ่อแม่อินก็ยื่นมือเข้าไปช่วยและชวนให้กันต์มาเล่นที่บ้าน อีกทั้งยังคอยดูแลกันต์เหมือนเป็นส่วนหนึ่งในครอบครัว ซึ่งนั่นก็ทำให้เด็ก ๆ สนิทกันมากขึ้น...อินกินข้าวพลางนึกถึงเรื่องราวในอดีต คิดถึงเมื่อก่อนจังนะ ตอนนั้นพวกเรามีความสุขมากเลย ทว่ายิ่งเด็กหนุ่มคิดถึงอดีตมากเท่าไหร่ ดวงตาแสนเรียบนิ่งก็ยิ่งว่างเปล่า
“จริงสิ แม่จะถามเรื่องทุนนักกีฬาว่ายน้ำ สรุปว่าตอนนี้อินตัดสินใจแน่วแน่ที่เป็นนักกีฬาเต็มตัวแล้วใช่มั้ยลูก ไม่รู้ว่าทางมหาลัยฯ เค้าจะให้เด็กปีหนึ่งเข้าแข่งเลยรึเปล่าเนอะ” เมื่อถูกลูกชายปฏิเสธคำขอจากก่อนหน้านี้ ผู้เป็นแม่ตักกุ้งตัวโตวางในจานของเขาและเอ่ยถามเรื่องทุนการเป็นนักกีฬาที่เธอสงสัยใคร่รู้เพื่อหวังเปลี่ยนประเด็น...แต่เธอคิดผิด
“ตอนนี้อินได้เป็นนักเรียนทุนแล้วนะ คำถามที่ว่าอินแน่วแน่รึเปล่ามันไม่สำคัญหรอก ส่วนเรื่องได้เป็นนักกีฬาเต็มตัวตอนไหนหรือจะได้ลงแข่งเมื่อไหร่ก็คงต้องรอให้ผ่านปีหนึ่งไปก่อน คิดว่าน่าจะมีการคัดเลือกตัวแทนเหมือนสมัยมัธยมฯ เรื่องพวกนั้นแม่ไม่ต้องเป็นห่วงหรอก” น้ำเสียงเรียบนิ่งตอบกลับมา ขณะเดียวกันนัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มที่แสนว่างเปล่าของเด็กหนุ่มก็หม่นลงอย่างเห็นได้ชัด ดวงตาคู่นั้นมองตรงไปยังหญิงสาวผู้เป็นแม่พร้อมความรู้สึกที่ยากจะอธิบาย
“แม่ไม่ได้เป็นห่วงเรื่องภายนอกพวกนั้น ลูกจะได้เป็นนักกีฬาว่ายน้ำหรือไม่ได้เป็นแม่ก็ไม่ว่าอะไรแต่ที่แม่เป็นห่วงคือสภาพจิตใจของลูกมากกว่า ลูกเลือกแล้วก็ต้องอยู่กับมันไปอีกสี่ปีนะ ลูกอยากทำเรื่องนี้จริง ๆ รึเปล่าอิน...หรือทำไปเพราะลูกยังรู้สึกผิดกับเรื่องที่เกิดขึ้นในตอนนั้น” คำพูดจากแม่ทำเอาเด็กหนุ่มนิ่งงันไปชั่วขณะ เขารู้ดีว่าไม่ควรยึดติดเรื่องราวนั้นไว้ในใจแต่ก็อดไม่ได้ที่จะทำตามคำสั่งการของสมอง โดยไม่สนใจความรู้สึกตัวเอง ภายในใจก็ตั้งคำถามอยู่เสมอ ทำไมคนที่มีโอกาสได้ใช้ชีวิตต่อไปถึงเป็นเขา
“เอาล่ะ ๆ ที่แม่เค้าอยากจะพูดก็คือเราสองคนภูมิใจในตัวลูกเสมอ ลูกไม่จำเป็นต้องทำในสิ่งที่ลูกไม่ได้อยากทำนะ ส่วนเรื่องในครั้งนั้นมันผ่านมาหลายปีแล้ว พ่อกับแม่อยากให้อินรู้ว่าเราไม่เคยโทษลูกเลย” พ่ออธิบายคำพูดของแม่ให้อินเข้าใจเพราะกลัวว่าลูกชายจะไม่สบายใจ เขารู้สึกได้ว่าตั้งแต่เกิดการสูญเสียครั้งใหญ่นั้น อินก็มักจะกดดันตัวเองอยู่เสมอราวกับมีกำแพงที่มองไม่เห็นมากั้นกลางระหว่างเด็กหนุ่มกับผู้คนรอบตัว
“ส่วนแม่ก็ไม่ต้องคิดมากเรื่องนี้แล้วนะ โอเคมั้ย ตอนนี้ลูกได้เป็นนักเรียนทุนอย่างที่เขาคิดไว้แล้ว ลูกเองก็คงมีเป้าหมายที่ตั้งใจจะไปให้ถึง เรามาคอยสนับสนุนให้ลูกไปถึงฝั่งฝันกันเถอะ” พ่อพูดขึ้นอย่างใจเย็นเพื่อทำลายบรรยากาศอึดอัดที่เริ่มปกคลุมบนโต๊ะอาหาร แม่พยักหน้าเข้าใจและเอื้อมมือไปแตะไหล่ลูกชายอย่างอ่อนโยน อินพยักหน้าเล็กน้อยและก้มหน้าก้มตารีบกินข้าวในจาน
“รีบกินเถอะแม่ ต้มยำกุ้งเย็นชืดหมดแล้ว” จังหวะที่เด็กหนุ่มกำลังตักเนื้อกุ้งชิ้นโตเข้าปากก็มีเสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้น
ครืดดด ครืดดด
มือหนาล้วงหยิบโทรศัพท์ออกจากกระเป๋ากางเกงสแล็กและมองรายชื่อที่โทรเข้ามาซึ่งเด่นหราอยู่บนหน้าจอ ‘กันต์’ เพื่อนสนิทของเขาเอง เห็นชื่อนี้กางเกงยีนก็รีบกดรับสายทันที ก่อนจะเอ่ยคำทักทายแสนสั้น
“ว่า”
“มึง ป้าฝันอยู่บ้านมั้ย” เปิดมาด้วยคำถามอีหรอบนี้ โทรมาถามหาแม่ของเขาแบบนี้ มันมีไม่กี่สาเหตุหรอก ประการแรกคือมีปัญหาจริง ๆ แต่จากที่รู้จักกันมาอินคิดว่าอีกฝ่ายน่าจะเพิ่งตื่นและหิวจนท้องร้องมากกว่า
“แม่อยู่บ้าน กำลังกินข้าวกันอยู่ มึงจะมากินด้วยมั้ย” เด็กหนุ่มตอบเสียงเข้มและเอ่ยคำถามที่แสนตรงประเด็นออกไป
“อืม กูเพิ่งตื่น ตอนนี้หิวโคตร เดี๋ยวไป” สิ่งที่ปลายสายตอบกลับมาทำเอาอินกระตุกยิ้มเล็กน้อยพลางคิดว่าเพื่อนสนิทคนนี้นิสัยเหมือนเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลย กันต์ตอบกลับมาเพียงแค่นั้นแล้วก็กดตัดสายไป อินเลยหันไปบอกให้พ่อกับแม่รู้ตัวว่าพวกเขากำลังจะมีแขก
“เดี๋ยวไอ้กันต์มากินข้าวนะ” คำพูดนั้นช่างสั้นกระชับและได้ใจความ
“ดีเลย งั้นพ่อคิดว่าแม่ต้องไปตักต้มยำมาเพิ่มอีกสักถ้วยดีกว่าเพราะถ้วยนี้ดูท่าเจ้ากันต์น่าจะกินไม่อิ่มนะ” พ่อพยักหน้ารับรู้และเอ่ยปากขอให้แม่ตักเมนูโปรดของบ้านนี้มาเพิ่ม รอต้อนรับเด็กหนุ่มอีกคนที่เปรียบเสมือนลูกชายคนที่สามของพวกเขา น้ำเสียงติดเล่นและคำพูดพวกนั้นของพ่อทำให้รู้ได้เลยว่าอินเป็นคนโชคดีมากขนาดไหนที่ได้มีพ่อเป็นคนอบอุ่นขนาดนี้
“ได้จ้ะ” เสียงแม่ตอบรับคำขอพร้อมโปรยยิ้มสวย ก่อนจะลุกไปตักต้มยำกุ้งถ้วยใหม่มาวางบนโต๊ะ รอเพียงไม่นานเสียงเปิดประตูรั้วหน้าบ้านก็ดังขึ้นพร้อมกับร่างกายแสนกำยำของเด็กหนุ่มผิวแทนคนหนึ่ง
“ลุงอาร์ม ป้าฝันสวัสดีครับ” กันต์ยกมือไหว้และกล่าวทักทายผู้ใหญ่ทั้งสองที่นั่งอยู่ตรงหน้าด้วยน้ำเสียงสุภาพ วันนี้เขาสวมเสื้อนักศึกษาเช่นเดียวกันกับอินแต่เลือกใส่กางเกงยีนสีซีดขาด ๆ แทนกางเกงสแล็ก
“มา ๆ เจ้ากันต์นั่งกินข้าว นี่ลุงกับเจ้าอินกินกันจะเสร็จแล้วเนี่ย” เมื่อถูกเชื้อเชิญให้ร่วมโต๊ะอาหารก็ยากที่จะปฏิเสธ
“พอดีผมเพิ่งตื่นน่ะครับ ตอนแรกคิดว่าจะไปหาอะไรกินข้างนอกแต่ถ้าป้าฝันอยู่บ้าน ผมมากินข้าวฝีมือป้าฝันดีกว่า โอ้โห น่ากินทั้งนั้นเลย”
รอยยิ้มของกันต์เผยให้เห็นหลังจากมองกับข้าวหลากเมนูตรงหน้า เขารับจานข้าวสวยจากป้าฝันและนั่งลงพร้อมกินข้าว ทันทีที่สายตาหันไปเห็นต้มยำที่มีกุ้งตัวโตแสนน่ากินก็ไม่รอช้า เอื้อมมือตักกุ้งใส่จานและซดน้ำซุปแสนข้นคลั่กอย่างเอร็ดอร่อย กินเพลินจนเกือบลืมสิ่งที่จะบอกเพื่อนสนิทไปเลยแต่โชคดีที่ยังนึกขึ้นได้ จึงเอ่ยถามอีกฝ่ายทันที
“มึง กูว่าจะขนของไปไว้หอวันนี้เลยนะ มึงจะขนไปพร้อมกูมั้ยหรือค่อยขนวันอื่น”
“ทำไมขนวันนี้” เสียงทุ้มพูดขึ้นพร้อมขมวดคิ้วเข้มเข้าหากันเป็นปมเพราะสิ่งที่ได้ยินจากเพื่อนสนิทไม่เหมือนกับที่เคยตกลงกันไว้ก่อนหน้านี้ เด็กหนุ่มเลยเกิดความสับสนเล็กน้อย
“กูแค่อยากขนให้มันเสร็จ ๆ ไปอ่ะ” โอเครู้เรื่อง คำนี้ผุดเข้ามาในความคิดของอินทันทีเมื่อได้ยินคำตอบของอีกฝ่าย ก่อนจะส่ายหัวไปมาให้กับความไร้เหตุผลนี้
“เออตามนั้น มึงขนวันนี้ กูก็ขนวันนี้” คำตอบที่อินพูดออกไปนั้นช่างแสนเรียบง่ายต่างจากกลไกทางความคิดในสมองของเขาเป็นอย่างมากเพราะมันดูสับสนวุ่นวายเสียเหลือเกิน
“งั้นมึงไปเตรียมของเลย เดี๋ยวกูกินข้าวรอ” กันต์พูดพลางตักข้าวเข้าปากคำใหญ่ แล้วเคี้ยวจนแก้มตุ่ย
“เออ” อินเก็บจานข้าวของตัวเองไปวางไว้ในอ่างล้างจาน ก่อนจะเดินกลับขึ้นไปบนชั้นสองเพื่อหยิบของที่เตรียมไว้สำหรับย้ายเข้าหอพัก
.
.
.
อินเป็นคนนิ่งเงียบและมักจะไม่ค่อยสุงสิงกับบุคคลอื่นที่เขาไม่สนิท นิสัยส่วนนี้ของเขาคล้ายคลึงกับกันต์เป็นอย่างมาก ทว่าเพื่อนสนิทคนนี้กลับพูดน้อยยิ่งกว่าเขาเสียอีกทำให้อินจำเป็นต้องฝึกทักษะการสื่อสาร รวมถึงทักษะการเข้าสังคมเพิ่มมากขึ้นเพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับสถานการณ์ต่าง ๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นกับพวกเขาแต่มีอีกหนึ่งสิ่งที่น้อยคนจะได้รับรู้เกี่ยวกับอินคือเขาเป็นคนคิดมาก สมองของเขามักจะมีการประเมินสถานการณ์ คิดวิเคราะห์และประมวลผลหลายสิ่งหลายอย่างอยู่ตลอด จนกว่าจะได้ทางเลือกที่คิดว่าดีที่สุดออกมา ซึ่งอินมักจะตัดสินใจและลงมือทำตามความคิดนั้น สิ่งนี้เป็นสาเหตุที่เขาทำทุกอย่างได้ดีโดยไม่รู้ตัวเขาทำพฤติกรรมนั้นซ้ำไปซ้ำมาจนมันกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต คนทั่วไปก็มักยกย่องให้อินเป็นบุคคลต้นแบบเพราะเขาใจเย็น สุขุมรอบคอบ น้อยครั้งที่คนอื่นจะได้เห็นความผิดพลาดจากเขา ทุกคนต่างสรรเสริญเยินยอผลลัพธ์ที่ได้ โดยไม่มีใครสนใจว่าเขาทำแบบนั้นได้อย่างไรหรือกระบวนการนั้นต้องผ่านสถานการณ์ที่น่าอึดอัดและหดหู่มากน้อยแค่ไหนอินหยิบกระเป๋าเป้ใบใหญ่ที่ภายในเต็มไปด้วยเสื้อผ้าสะพายขึ้นบ่าพร้อมถือกระเป๋าใบใหญ่อีกใบที่เต
อินไม่ให้ความสนใจกับสายตาของผู้คนรอบข้างที่มองมายังพวกเขาเลยแม้แต่น้อย เด็กหนุ่มหยิบสัมภาระจากหลังรถและเดินเข้าอาคารทันที สายตาก็คอยสอดส่องหาบุคคลที่น่าจะเป็นอาจารย์ประจำหอ ทว่าเขาเห็นเพียงกลุ่มนักศึกษาที่กำลังยืนออกันอยู่ตรงโต๊ะด้านหน้าเท่านั้น“นักศึกษาทุกคนใจเย็น ๆ ก่อนนะครับ ถอยหลังออกไปหน่อยครับ รบกวนเว้นระยะห่างและไม่ยืนออกันหน้าโต๊ะนะครับ” เสียงผู้ชายคนหนึ่งดังขึ้นท่ามกลางความวุ่นวาย ดูจากการแต่งกายก็รู้ได้ทันทีว่าอีกฝ่ายคงเป็นอาจารย์ประจำหอแห่งนี้“โห่จารย์ ทำไมช้าจัง ผมจะได้อยู่ห้องไหนเนี่ย” เสียงหนุ่มนักศึกษาคนหนึ่งตะโกนพร้อมแสดงความไม่พอใจ“นั่นสิ จารย์รีบแปะเลขห้องหน่อย ตอนเย็นผมมีนัดกับสาว ๆ ค้าบ” ก่อนที่หนุ่มนักศึกษาอีกคนจะตะโกนตาม การกระทำนั้นสร้างความรำคาญต่อเพื่อนนักศึกษาท่านอื่นไม่น้อย จนกระทั่งนักศึกษาหญิงคนหนึ่งทนไม่ไหว“นักศึกษาชายตรงนั้นเลิกทำตัวเหมือนลิงเถอะค่ะ ส่งเสียงดังเอะอะโวยวายอยู่ได้ไม่เกรงใจคนอื่นเลย” น้ำเสียงและคำพูดแสนจิกกัดของเธอกระแทกกระทั้นคนฟังเป็นอย่างมากทำให้อีกฝ่ายพูดจาเสียดแทงกลับมา“นี่แม่คุณ อย่างเธออ่ะคงไม่มีนัดกับผู้ชายสินะ ถึงได้มีเวลารอทั
ทั้งคู่เดินขึ้นบันไดมาอีกหลายสิบขั้นจนถึงชั้นสามในที่สุด ก่อนจะพบว่าหมายเลขห้องเรียงเหมือนกับชั้นสองเลย ทำให้การหาห้องของกันต์ง่ายกว่าครั้งแรกและไม่นานก็เจอห้องสามหนึ่งสาม ทว่าเมื่อกันต์จะใช้กุญแจไขเปิดประตูห้องก็มีนักศึกษาหนุ่มร่างบึกบึนคนหนึ่งเปิดประตูออกมาพอดี“สวัสดีครับ” เด็กหนุ่มผิวแทนกล่าวทักทาย“ดีครับ คนไหนพักห้องนี้เอ่ย” อีกฝ่ายซึ่งเป็นรุ่นพี่เห็นน้องใหม่ยืนอยู่หน้าห้องสองคนก็ถามขึ้นพร้อมรอยยิ้มที่เป็นมิตร“ผมครับ” กันต์ตอบกลับแบบไม่ค่อยเต็มเสียงนัก ก็รุ่นพี่ตรงหน้าดูน่ากลัวจะตายไป หุ่นนี่อย่างกับหมีเลย ถึงเขาจะตัวใหญ่ไม่แพ้กันแต่ก็ไม่อยากมีปัญหากับรุ่นพี่ที่หุ่นเป็นนำมวยปล้ำแบบนี้“อ่า เข้าไปจัดของได้เลย พี่จะออกไปข้างนอกหน่อย”“ผมให้เพื่อนเข้าไปด้วยได้มั้ยครับ”“...เอ่อ...” คำถามของกันต์ทำเอาอีกฝ่ายอึกอักเล็กน้อย อิ
ภายในเวลาไม่กี่นาทีนักศึกษาปีหนึ่งที่มีป้ายชื่อสีเขียวก็มารวมตัวกันตรงนี้ ภาพของผู้คนดูบางตากว่าตอนแรกไปมากเพราะเด็กปีหนึ่งถูกแบ่งออกเป็นหลายกลุ่ม ซึ่งตอนนี้รุ่นพี่หลายคนก็เริ่มจัดเตรียมอุปกรณ์สำหรับการทำกิจกรรมจนพร้อม และแล้วก็มีรุ่นพี่ผู้หญิงคนหนึ่งหยิบโทรโข่งขึ้นพร้อมอธิบายรายละเอียดกิจกรรม“สวัสดีค่าาา ยินดีต้อนรับน้อง ๆ ปีหนึ่งอีกครั้งนะคะ เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลาพี่ขออธิบายกิจกรรมแรกของกลุ่มสีเขียวเลยนะ กิจกรรมนี้มีชื่อว่าเต้นแร้งเต้นกาพาเพลิน~” เมื่อรู้ชื่อกิจกรรม เสียงโห่ร้องของเหล่ารุ่นพี่และน้อง ๆ ปีหนึ่งก็ดังขึ้นด้วยความครื้นเครง“กิจกรรมนี้ง่ายมาก ทุกคนแค่เต้นไปตามจังหวะเพลงที่พี่สตาฟเปิดให้ฟังนะคะ เต้นไปเรื่อย ๆ ถ้าน้องเต้นดี!เด้งแรง!ท่าโดนใจ!กิจกรรมก็จะสิ้นสุดลงทันที ถ้าพร้อมแล้วขอเชิญพี่ทีมสันทนาการร่วมเต้นกับน้องปีหนึ่งด้วยค่าาา” สิ้นเสียงอธิบายกิจกรรมจากรุ่นพี่คนสวย อินก็ยืนแน่นิ่งพร้อมเหงื่อเม็ดใหญ่ที่เริ่มผุดขึ้นมาตรงขมับ ให้ตายสิ กิจกรรมแรกต้องเ
“วิธีอะ- ว๊ากกกก” หมี่ยังพูดคำถามไม่ทันจบก็ถูกอินอุ้มขึ้นซะก่อน คนตัวเล็กส่งเสียงหวีดร้องน่ากลัวอินเอาลูกบอลที่ได้มา วางแนบไว้ข้างแก้มตัวเองและดันบอลให้ติดกับแก้มของคนตัวเล็กที่อยู่ในอ้อมแขน ความจริงแล้วอินคิดหาวิธีชนะเกมนี้ตั้งแต่ได้ยินกติกาแล้ว และหลังจากที่เขาคิดวิเคราะห์อยู่นานก็ได้คำตอบว่าวิธีนี้น่าจะเป็นวิธีที่ดีที่สุด“หนีบบอลไว้ให้แน่น ๆ ล่ะ กูจะวิ่งไป” อินพูดจบ เสียงเป่านกหวีดเริ่มแข่งขันก็ดังขึ้น ร่างสูงวิ่งตรงไปยังโต๊ะที่มีขวดโหลวางอยู่เบื้องหน้าพร้อมกับอุ้มร่างนักศึกษาชายของหมี่ไปด้วยคนตัวเล็กที่ถูกอุ้มนั้นก้มหน้างุดเพราะรู้สึกอายจนอยากจะแทรกแผ่นดินหนี นี่เขาเป็นผู้ชายนะ!ทำไมไอ้ยักษ์อุ้มราวกับว่าเขาตัวเบาแบบนี้!แถมยังวิ่งไปอีก โอ๊ยตายแล้ว! จบกันชีวิตสุดหล่อในรั้วมหาลัยฯ ของไอ้หมี่!แต่ถึงแม้ว่าคนตัวเล็กจะเขินจนตัวแดงขนาดไหนก็ยังแนบใบหน้าหนีบลูกบอลไว้อย่างดีพร้อมกอดคออินเอาไว้แน
เสร็จจากกิจกรรมรับน้อง ทุกคนก็แยกย้ายกันเดินทางกลับหอพัก บางคนกลับบ้านเช่าใกล้ ๆ มหาลัยฯ บางคนเดินทางกลับบ้าน ซึ่งอินก็เป็นหนึ่งในนั้น ร่างสูงของเด็กหนุ่มยืนรอโบกรถโดยสารเพื่อมุ่งหน้ากลับบ้าน ก่อนจะนึกได้ว่าวันนี้แม่ไม่อยู่และนั่นแปลว่าที่บ้านไม่มีอะไรกิน เขาจึงเดินออกมาจากจุดรอรถและเดินหาร้านค้าที่อยู่ละแวกนั้นแทนครืดดด ครืดดด“ดีขึ้นยัง” ทันทีที่รับสายอินก็ถามไถ่อาการอีกฝ่ายแต่เสียงของกันต์ที่ตอบกลับมานั้นเบาหวิวจนเด็กหนุ่มเกือบไม่ได้ยิน สงสัยอีกฝ่ายน่าจะยังปวดหัวอยู่“กูหิว”“จะกินไร เดี๋ยวกูซื้อไปให้” อินถามพลางหันมองรอบข้าง เขาเองก็ไม่เคยใช้ชีวิตแถวนี้ เลยไม่แน่ใจว่ามีร้านอาหารตามสั่งหรือร้านสะดวกซื้อตรงไหนบ้าง คิดว่าวันนี้เขาคงได้รู้เพราะต้องซื้อข้าวไปให้คนในสายนี่แหละ ถือว่าเป็นการเริ่มต้นที่ดีที่จะสำรวจรอบรั้วมหาลัยฯ“อะไรก็ได้” คิ้วเข้มของอินย่นขมวดเข้าหากันเพราะเมนูอะไรก็ได้นับเป็นปัญหาโลกแตกอย่างหนึ่ง ทันใดนั้นเองสายตาคมของเขาก็หันไปเห็นร้านค้าที่น่าสนใจ
สิ่งที่ทำให้อินขมวดคิ้วแน่นคือชั้นล่างที่ตอนนี้มืดสลัวไปหมดเพราะหลอดไฟถูกปิดไว้ทั้งบ้าน อินเลยเดินไปเปิดสวิตช์ให้บ้านสว่างขึ้น ก่อนจะตะโกนเรียกเพื่อนสนิทที่น่าจะนอนอยู่ชั้นบนให้ลงมากินข้าว“ไอ้กันต์ตื่นอยู่มั้ย! ลงมากินก๋วยเตี๋ยวก่อน” และเพราะแปลนบ้านที่ใกล้เคียงกับบ้านของตัวเอง อีกทั้งอินก็เดินเข้าออกบ้านนี้ตั้งแต่เด็กจึงทำให้รู้จักทุกซอกทุกมุมของบ้านนี้เป็นอย่างดี สองขายาวตรงดิ่งเข้าไปในครัวและหยิบหม้อที่แขวนอยู่ในตู้มาอุ่นก๋วยเตี๋ยว“กำลังไป!” ผ่านไปไม่นานเสียงเพื่อนสนิทก็ตะโกนดังมาจากชั้นสองพร้อมเสียงดังตึงตังเหมือนกับอีกฝ่ายกำลังรีบวิ่งลงมา ทว่าอินไม่สนใจสักนิด เขายังคงอุ่นก๋วยเตี๋ยวต่อไปจนรู้สึกว่าอาหารร้อนได้ที่แล้วก็เทใส่ชามใบโตและยกไปวางบนโต๊ะกินข้าว“หมี่พิเศษอีกรึเปล่า” กันต์ถามทันทีที่เดินมาถึงโต๊ะ“อืม”“คงมีแต่หวยอ่ะที่กูซื้อไม่ถูก” เด็กหนุ่มผิวแทนบ่นพลางยกมือขยี้หัวด้วยความหงุดหงิด ทั้งสองนั่งลงและแกะเครื่องปรุงใส่ในก๋วยเตี๋ยว“กิน ๆ เข้าไปเถอะ” อินยื่นช้อนและตะเกียบให้อีกฝ่าย ก่อนจะคีบก๋วยเตี๋ยวที่อยู่ตรงหน้าเข้าปากไป
“ดีนะที่เริ่มเรียนพรุ่งนี้ วันนี้มึงนอนพักเยอะ ๆ ล่ะ” อินพูดพร้อมเดินเข้าไปในตัวอาคารเพราะหลังจากนี้ทั้งคู่จะแยกย้ายกลับห้องพักตัวเอง“โอเค” กันต์พยักหน้างึกงักตามประสา“มีอะไ-” อินพูดไม่ทันจบก็มีเสียงอีกฝ่ายแทรกขึ้นมา“จะโทรไป” ซึ่งคำพูดนั้นคือประโยคที่เขาจะบอก กันต์ชูมือถือและเดินขึ้นบันไดไปชั้นสาม ขณะเดียวกันอินก็เดินมาหยุดนิ่งอยู่หน้าห้องตัวเอง ไม่ยอมเปิดเข้าไปสักที คงเป็นเพราะเสียงที่ดังโครมครามมาจากด้านใน...กึกกัก! ตึง!เคร้งงง!!“เสียงอะไรวะ” รู้สึกว่าช่วงนี้จะมีแต่สถานการณ์ที่ทำให้คิ้วของเขาต้องขมวดเข้าหากันจนรู้สึกปวดหัวไปหมด แล้วครั้งนี้เขาต้องเจอกับเรื่องอะไรอีกล่ะเนี่ย‘ห้องสองศูนย์ห้า...เพื่อนร่วมห้องติดต่อมาว่าจะขอย้ายของเข้าหลังจากเสร็จกิจกรรมรับน้องนะครับ’“หรือจะย้ายเข้ามาแล้ว” เสียงของอาจารย์หอที่ดังขึ้นในหัวทำให้อินนึกถึงเรื่องของเพื่อนร่วมห้องคนนี้ได้ทันที นายภูริวัฒน์คนนั้นมาแล้วสินะมือหนาของอินหมุนลูกบิดประตูและชะเง้อมองส
อ๊ากกกกกก!!!“เป็นอะไรหมี่!” อินได้ยินเสียงคนตัวเล็กตะโกนดังแต่เช้าก็สะดุ้งตื่นด้วยความตกใจ“ผีหลอก!!!!” หมี่ยังคงส่งเสียงกรีดร้องด้วยความตกใจเพราะตื่นมาก็เห็นแขนของใครไม่รู้พาดอยู่ตรงเอวบางของตน“ผีอะไร!” อินถึงกับคิ้วขมวด เขาไม่เข้าใจว่าคนตัวเล็กกำลังพูดถึงเรื่องอะไร“ขะ...ขะ...แขนใครไม่รู้!...ฮือออ” หมี่หลับตาปี๋และชี้นิ้วไปตรงเอวของตัวเอง“แขนอะไร?” อินยิ่งงงเข้าไปใหญ่เพราะแขนแกร่งของเขาที่กอดเอวอีกฝ่ายก็ยังปกติดี“เอ๊ะ!เดี๋ยวนะ!” เสียงกรีดร้องแปรเปลี่ยนเป็นความฉงน หมี่ลืมตาขึ้นอย่างช้า ๆ และมองเจ้าของเสียงที่ตนสนทนาด้วย“ไอ้ยักษ์!” ก่อนจะยกกำปั้นและออกแรงทุบไปที่ต้นแขน ของอีกฝ่าย“โอ๊ย!ตีกูทำไมเนี่ย” เมื่อรับรู้ว่าแขนปริศนามีเจ้าของและไม่ได้โดนผีหลอก หมี่ก็ขยี้หัวระบายความหงุดหงิด“ฮืออ...กูนึกว่าผีหลอกกู!ไอ้บ้าเอ๊ย!”“ผีอะไรจะมาหลอกมึงตอนเช้าแบบนี้”
อินวางโทรศัพท์มือถือไว้ข้างหมอน ก่อนจะดึงร่นกางเกงนอนลงเพื่อให้แท่งเนื้อที่กำลังผงาดอย่างแข็งขืนได้โผล่ออกมาเจอโลกภายนอก วินาทีที่อวัยวะส่วนที่อ่อนไหวที่สุดกระทบความเย็นจากเครื่องปรับอากาศก็สร้างความเสียวซ่านขึ้นมาอย่างน่าประหลาด มือหนาเลื่อนลงไปกอบกุมแท่งเนื้อที่ตอนนี้กลายเป็นแท่งร้อนเพราะเลือดที่สูบฉีดทั่ว“อ่าาา~” เสียงแห่งความสุขสมเล็ดลอดออกมาให้ได้ยินเล็กน้อย ผ่านไปแล้วสิบนาที มือหนาก็ยังคงชักรูดแท่งนั้นขึ้นลงอย่างคล่องแคล่วและไม่ผ่อนความเร็วลงแม้แต่น้อยจนน้ำเมือกที่เป็นสารหล่อลื่นเริ่มปริ่มออกมาผ่านไปอีกสามสิบนาที ความร้อนในร่างกายก็พุ่งสูงขึ้นตามอารมณ์ความใคร่ที่กำลังปะทุอยู่ นิ้วหัวแม่มือก็ลูบวนรอบส่วนหัวแท่งเนื้อเมามันพลางขบกรามแน่นเป็นระยะ มือสากของตัวเองยังทำให้รู้สึกดีมากขนาดนี้แล้วถ้าเปลี่ยนเป็นมือนุ่มนิ่มของอีกฝ่ายจะรู้สึกดีขนาดได้“หมี่~ ฮึ่มม” เสียงเรียกชื่อคนตัวเล็กที่ออกมาจากปากของตัวเอง ทำไมฟังดูกระเส่าเย้ายวนขนาดนี้ มันยิ่งทำให้ความอยากเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวซึ่งเด็กหนุ่มก็เคลิบเคลิ้มไปในโลกที่ตัวเอ
ครืดดดด ครืดดดด“อ๊ะ! ทำยังไงดีไอ้ยักษ์โทรมา!” ดวงตากลมโตเบิกกว้างพร้อมอาการลุกลี้ลุกลนทำอะไรไม่ถูกเราสองคนไม่เคยต้องโทรหากันตอนกลางคืนเลยเพราะปกติก็นอนด้วยกันตลอด ถ้าต้องโทรคุยกันน่าจะรู้สึกแปลกใหม่ดีเหมือนกัน คนตัวเล็กนอนจับมือถือพลิกไปพลิกมาบนเตียงครู่หนึ่ง ก่อนจะตัดสินใจกดรับในที่สุด ทว่าสายตัดไปแล้ว...“อ้าว!วางไปแล้ว” หมี่ถึงกับเหวอจนนิ่งค้างไปชั่วขณะ“เอาไงดีเนี่ย โทรกลับไปดีมั้ย แล้วจะคุยอะไรล่ะ โอ๊ยยย!จะบ้า!” ด้วยความตื่นเต้นบวกกับความเขินอายเลยทำให้หมี่ไม่ได้กดโทรกลับไปหาอีกฝ่ายสักทีครืดดดด ครืดดดด“อ๊ะ!โทรกลับมาแล้ว อะแฮ่ม!” หมี่สะดุ้งเล็กน้อยเมื่อโทรศัพท์สั่นอีกครั้ง ก่อนจะกระแอมเสียงและกดรับสาย“หมี่” เมื่อได้ยินเสียงเรียกชื่อจากปลายสายหัวใจของหมี่ก็พองโตอย่างไม่มีสาเหตุ อะไรจะเสียงหล่อปานนั้นพ่อคู๊ณณณณ“โทรมามีไร” ทว่าเจ้าตัวต้องพยายามตอบกลับด้วยน้ำเสียงปกติเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายรู้ว่าตัวเองกำลังตื่นเต้นและเลิ่กลั่กมากขนาดไหน“ทำอะไรอยู่” “กำลังจะนอน” หมี่ซุกหน้าเข้าหาผ้าห่มผืนหนาก่อนตอบ“กูโทรมากวนรึเปล่า นอนเลยมั้ย” ได้ยินประโยคนี้ก็ถึงกับดีดหน้าออกจากผ้าห่มด้วยความลืมต
หลังจากที่ไปส่งอินขึ้นรถหน้ามหาลัยฯ หมี่ก็เริ่มคิดอย่างจริงจังเรื่องการไปเจอพ่อแม่ของอีกฝ่าย ครอบครัวอินดูแลลูกชายให้เติบโตมาเป็นคนดีขนาดนี้ เด็กน้อยแบบเขาาจะคู่ควรกับอีกฝ่ายจริง ๆ เหรอคิดไปคิดมาก็เริ่มหดหู่ใจ เมื่อสมองถูกใช้งานมากเกินไปก็ชักจะหิวหมี่เลยขอหยุดนึกถึงเรื่องนี้ก่อนและเดินลงไปชั้นล่างเพื่อจะซื้อของที่ร้านค้าสวัสดิการของหอพัก จังหวะนั้นเองก็บังเอิญเจอเข้ากับอาจารย์หอพอดี“สวัสดีครับอาจารย์” คนตัวเล็กเอ่ยทักอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงสดใส“อ๊ะ สวัสดีครับ ไม่เจอกันนานเลย เป็นยังไงบ้าง” อาจารย์พิทักษ์มีท่าทีตกใจเล็กน้อยแต่ก็ทักทายกลับมา“ทำไมเรียนทำอาหารถึงเหนื่อยแบบนี้ครับ ผมล่ะอยากจะร้องไห้” พูดพลางปั้นหน้ามู่ทู่น่าเอ็นดูจนคนมองอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา“ฮ่าฮ่าฮ่า!นั่นสินะ การเรียนก็เหนื่อยทั้งนั้นแหละแต่ผลตอบรับที่ได้กลับมาย่อมคุ้มค่า” คนเป็นอาจารย์ก็ทำได้เพียงปลอบใจเหล่านักศึกษาที่กำลังท้อแท้แบบนี้แหละและคอยเฝ้ามองลูกศิษย์ค่อย ๆ เติบโต“ครับ...ว่าแต่อาจารย์ไปทำอะไรในห้องนั้นครับ มันดูอับมากเลย” หมี่ถามด้วยความอยากรู้เพราะเท่าที่เห็นคือห้องด้านหลังร้านค้าสวัสดิการเป็นห้องที่ไม่น่
หลังจากได้เคลียร์ปมปัญหาที่ติดแน่นอยู่ในส่วนลึกของจิตใจออกไปและได้กินข้าวร่วมกับพ่อแม่ด้วยอารมณ์ความรู้สึกที่เขาไม่เคยสัมผัสมาก่อนก็ทำให้อินเริ่มยิ้มมากขึ้น พูดคุยมากขึ้นและเป็นตัวเองมากขึ้นเด็กหนุ่มจัดเก็บจานชามและโต๊ะกินข้าวเสร็จเรียบร้อยก็มานั่งคุยกับพ่อแม่ต่อที่ห้องนั่งเล่น ก่อนจะมีเสียงหยอกล้อของคนในบ้านและตามมาด้วยเสียงหัวเราะเป็นระยะ ตอนนี้บรรยากาศในบ้านไม่อึมครึมอีกต่อไปแล้ว“เอ่อ...พ่อครับ แม่ครับ” อินที่คิดว่าเวลานี้คงเหมาะที่จะคุยถึงเรื่องสำคัญอีกเรื่องก็เอ่ยขึ้น“หืมม มีอะไรลูก” พ่อตอบรับอย่างอารมณ์ดี“พ่อกับแม่รักกันได้ยังไงครับ” เมื่อได้ยินคำถามแบบนี้จากลูกชาย คนเป็นพ่อแม่ก็ถึงกับหันมองหน้ากันทันที“จู่ ๆ มาถามเรื่องแบบนี้ มีอะไรรึเปล่าลูก” แม่ถามไถ่ลูกชายด้วยความเป็นห่วง ขณะที่พ่อส่งเสียงแซวดังลั่น“จะมีอะไรอีกล่ะคุณ ลูกชายเรากำลังจะเป็นหนุ่มเต็มตัวแล้วน่ะสิ ฮ่าฮ่าฮ่า!” ไม่ว่าเปล่าแต่กลับหัวเราะจนท้องเข็ดท้องแข็งอีกด้วย“โธ่พ่อ! อย่าแซว” เด็กหนุ่มเขินอายเล็กน้อยแต่ยังไงเขาก็ต้องคุยกับทั้งคู่ให้รู้เรื่องเลยพยายามเก๊กขรึมไว้“สมัยนั้นพ่อไปฉุดแม่มาน่ะ ก็อย่างว่าพ่อมันคนร้
เช้าวันรุ่งขึ้นทั้งคู่ก็เดินทางกลับหอพักและใช้ชีวิตตามปกติ หลังจากค่ำคืนนั้นอินก็พยายามหาวิธีหลอกล่อคนตัวเล็กให้ติดกับ แต่ดูเหมือนเขาจะทำไม่ได้เลยเพราะโกหกไม่เป็นและอีกฝ่ายก็รู้ทันตลอดครืดดดด ครืดดดด“ครับแม่” เด็กหนุ่มกดรับสายเมื่อเห็นว่าเบอร์ที่โทรเข้ามาคือ ‘แม่’ จะว่าไปช่วงนี้เขาไม่ได้โทรหาคนที่บ้านเลย สงสัยพ่อแม่คงอยากให้กลับไปเยี่ยมบ้านบ้างแล้ว“อิน วันก่อนที่ลูกแข่งขันว่ายน้ำได้เหรียญเงินมา พวกเรายังไม่ได้ฉลองกันเลยนะลูก” จริงสิ ช่วงนั้นมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นมากมายจนลืมเรื่องนี้ไปเลย ไหนจะยุ่งวุ่นวายเกี่ยวกับความรักความสัมพันธ์ที่กำลังเริ่มต้นขึ้นอีก ตอนนี้คงถึงเวลาที่เขาต้องให้ความสำคัญกับครอบครัวแล้วสินะ“ครับ”“จริง ๆ แม่ว่าจะโทรถามเรื่องนี้ตั้งหลายครั้งแล้ว แต่ไม่รู้ว่าอินว่างช่วงไหนบ้างเลยไม่อยากโทรไปกวน” เด็กหนุ่มอดรู้สึกผิดไม่ได้ที่เขาละเลยหน้าที่ของการเป็นลูก“ขอโทษครับแม่ ช่วงนั้นอินมีเรื่องให้ต้องจัดการเยอะแยะเลยไม่ค่อยมีเวลาว่างเพื่อกลับบ้านสักเท่าไหร่ แถมยังไม่ได้โทรหาพ่อกับแม่ด้วย” น้ำเสียงหดหู่ปนเศร้าใจถูกส่งผ่านไปยังผู้เป็นแม่“ไม่เป็นไรจ้ะ แม่คิดว่าตอนนี้ทุกอย่างค
หมี่พาอินไปยังห้องนอนของตัวเองด้วยท่าทีเขินอาย คือถ้าเป็นการค้างแรมแบบเพื่อนคนตัวเล็กคงไม่เขินขนาดนี้ แต่ครั้งนี้อีกฝ่ายเป็นคนที่กำลังดูใจกันอยู่เลยรู้สึกใจเต้นแรงแปลก ๆทางด้านของอินเมื่อได้ก้าวเข้ามาในห้องของคนตัวเล็กก็ต้องกัดฟันยับยั้งชั่งใจให้อยู่หมัด ห้องอะไรหอมชะมัด ก่อนจะได้ยินหมี่บอกให้อาบน้ำในห้องนี้ได้เลย ส่วนตัวเองจะไปอาบน้ำที่ห้องพี่จะได้ไม่ต้องมานั่งรอกันทันทีที่คนตัวเล็กออกไป อินก็เดินสำรวจรอบห้อง เตียงนอนขนาดกลางเต็มไปด้วยตุ๊กตาเยอะแยะมากมาย มองดูก็รู้ว่าตู้เสื้อผ้า โต๊ะหรือแม้กระทั่งสิ่งของเครื่องใช้ภายในห้องถูกดูแลเป็นอย่างดีและจัดวางอย่างเป็นระเบียบ ถึงแม้ว่าของจะเยอะแต่ก็จัดเก็บไว้ได้อย่างลงตัวมือหนาหยิบผ้าขนหนูที่อีกฝ่ายเตรียมไว้ให้ขึ้นมาดู ลายบนผ้าผืนนี้ก็น่ารักสมกับเจ้าของห้อง แต่เมื่อเด็กหนุ่มเดินเข้าห้องน้ำก็แทบจะเสียสติเพราะกลิ่นหอมอ่อน ๆ ของสบู่เหลวที่หมี่ใช้ประจำตลบอบอวลอยู่ภายในห้องนี้อินรีบปิดน้ำจากฝักบัวรดหัวให้หายฟุ้งซ่าน ทว่าสีหน้าและแววตาของพี่แมนก็ผุดขึ้นมาอีกครั้ง...หรือพี่แมนต้องการให้เขาและหมี่ได้ใกล้ช
“ไหนใครบอกว่าจะไปซื้อน้ำผลไม้” อินเห็นคนตัวเล็กนั่งอยู่ตรงโต๊ะหินอ่อนข้างอาคารผู้ป่วยก็พูดทัก“อ๊ะ! มาไม่ให้ซุ่มให้เสียงตกใจหมด” เมื่ออีกฝ่ายหันมา อินก็เห็นว่ามีสีหน้าไม่ค่อยสู้ดี“เป็นอะไรรึเปล่า หน้าตาไม่ค่อยดีเลย” เด็กหนุ่มนั่งลงข้าง ๆ และสอดส่องใบหน้าของคนตัวเล็ก“เปล่า” เปล่าอะไรหน้าหงอยขนาดนั้น“จะบอกดี ๆ มั้ย” เมื่อโดนอินดุก็จำยอมต้องบอกความในใจ“เมื่อกี้จู่ ๆ กูก็รู้สึกแปลกแยกอ่ะ กูเลยอยากออกมาอยู่ข้างนอก” เด็กหนุ่มคิดตามอีกฝ่าย หรือความจริงแล้วหมี่ไม่สบายใจเพราะยังไม่ได้รู้จักพ่อแม่ของเขากันนะ“งั้นบอกพ่อกับแม่ดีมั้ย” คนตัวเล็กตาโต ไม่คิดว่าอินจะพูดแบบนี้“บอกเรื่องอะไร” ปากสวยได้รูปขยับถามอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ“เรื่องของเราไง” อินเอื้อมไปจับมือหมี่และลูบเบา ๆ“แต่เรายังไม่ได้เป็นอะไรกันเลยนะ...กูหมายถึงตอนนี้เราแค่ทดลองดูใจกันอยู่รึเปล่า” หมี่พูดออกมาตามตรง ซึ่งนั่นก็ทำให้ทั้งคู่รับ
อินอาบน้ำแล้วทิ้งตัวลงบนเตียงก่อนจะผล็อยหลับไปด้วยความเหนื่อยล้า หมี่เห็นแบบนั้นก็พิมพ์ข้อความส่งไปหากันต์ที่ยังอยู่โรงพยาบาลว่าอินได้ที่สอง ซึ่งอีกฝ่ายตอบกลับมาเป็นสติกเกอร์รูปนิ้วมือแบบธรรมดา การเป็นคนป่วยไม่ได้ทำให้กันต์กวนบาทาน้อยลงเลยคนตัวเล็กหันมองรูมเมทที่นอนหลับตาพริ้มด้วยสายตายินดีพลางคิดว่าหลังจากนี้ก็ขอให้มีแต่เรื่องดี ๆ เกิดขึ้นกับพวกเขานะ ก่อนจะเริ่มเตรียมแผนการสำหรับฉลองที่อินได้เหรียญเงินในการแข่งขันว่ายน้ำครั้งแรกคิดไปคิดมา เขียนไปเขียนมาก็ผ่านไปหลายชั่วโมงจนตะวันตกดิน หมี่ที่เป็นกังวลว่าอินยังไม่ตื่นก็เดินไปปลุกเพราะถึงเวลาต้องหาอะไรกินแล้ว เด็กหนุ่มที่ถูกปลุกก็ลุกขึ้นมานั่งด้วยหน้าตาสะลึมสะลือ ก่อนจะตรงไปอาบน้ำเพื่อสลัดความง่วงทิ้ง“ครั้งนี้ฉลองด้วยอะไรดี” เสียงเล็กของหมี่ถามขึ้นอย่างตื่นเต้นทันทีที่อินเดินออกมาจากห้องน้ำ“ตามใจมึงเลย” เขากินอะไรก็ได้ทั้งนั้นแหละ ความจริงแล้วตอนนี้ยงไม่อยากตื่นเลยด้วยซ้ำ“อืมม งั้นทำอะไรอร่อย ๆ กินกันดีมั้ย” เมื่อเห็นคนตัวเล็กทำหน้าครุ่นคิดว่าจะฉ