“อินลงมากินข้าวได้แล้วนะลูก” เสียงหญิงสาวผู้เป็นแม่ตะโกนเรียกลูกชายด้วยน้ำเสียงแสนอ่อนโยนพร้อมยกเมนูต้มยำกุ้งวางลงบนโต๊ะกินข้าว ขณะที่ผู้เป็นพ่อนั่งอยู่หัวโต๊ะ เปิดหนังสือพิมพ์รายวันอ่านอย่างสบายใจและจิบกาแฟรสชาติโปรด
เด็กหนุ่มวัยสิบเก้าเดินลงมาจากชั้นสองทันทีที่ได้ยินเสียงแม่เรียก เขาเป็นเด็กที่มีรูปร่างสูงใหญ่ กล้ามเนื้อแน่นพอประมาณถูกปกปิดไว้ภายใต้เสื้อนักศึกษาสีขาวที่รีดมาเป็นอย่างดี อีกทั้งกางเกงทรงหลวมสีดำที่สวมอยู่ก็ช่างเข้าคู่กัน แค่มองก็รู้ว่าเขาเป็นนักศึกษาวัยใส
นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มที่มองเผิน ๆ จะเห็นเป็นสีดำมองตรงไปยังโต๊ะกินข้าวที่อยู่เบื้องหน้า บนโต๊ะนั้นเต็มไปด้วยอาหารหลากหลายเมนู มือหนาเลื่อนเก้าอี้ตรงที่นั่งประจำออกเล็กน้อย ก่อนจะถอดกระเป๋าสะพายใบโปรดแขวนไว้ที่พนักพิงและตรงดิ่งไปที่หม้อข้าว
“วันนี้จะไปมหาลัยเหรอลูกให้พ่อไปส่งมั้ย” เสียงทุ้มของพ่อถามขึ้นขณะเดียวกันก็มองลูกชายกำลังตักข้าวสวยร้อน ๆ ใส่จานและวางไว้บนโต๊ะให้ครบตามจำนวนคน
“ไม่เป็นไรพ่อ วันนี้อินกะว่าจะไปทำความสะอาดห้องไว้ก่อนเฉย ๆ ไม่ได้จะขนของหรืออะไรไปนะแต่ถึงจะต้องขนของจริง ๆ พ่อก็ไม่ต้องห่วง อินคุยกับไอ้กันต์ไว้แล้ว เดี๋ยวมันมาช่วย” เด็กหนุ่มตอบกลับเสียงนิ่งโดยไม่หันไปสบตาผู้เป็นพ่อแม้แต่น้อย มือทั้งสองข้างและสายตาของเขายังคงง่วนอยู่กับการจัดเตรียมข้าวสวยอีกหนึ่งจาน
“เอางั้นเหรอ โอเค มีเจ้ากันต์มาช่วยพ่อก็อุ่นใจ” พ่อรู้ดีว่าลูกชายคนนี้มักจะพูดจาเถรตรงอยู่แล้ว เลยไม่จำเป็นต้องถามเซ้าซี้ให้มากความ เขามั่นใจว่าสิ่งที่อินเลือกทำนั้นจะไม่สร้างปัญหาอะไรให้เขาและภรรยาต้องรู้สึกเสียใจหรือผิดหวังอย่างแน่นอน
อินวางจานข้าวตรงตำแหน่งที่ทุกคนนั่งกันประจำ พ่อเห็นแบบนั้นก็จำใจต้องปิดหน้าหนังสือพิมพ์ที่อ่านค้างไว้และพับเก็บไป ก่อนจะขยับตัวนั่งให้ถนัดเพื่อเตรียมพร้อมรอกินข้าวเช้าร่วมกับครอบครัว แม่เดินมาที่โต๊ะพร้อมผักสด เมื่อทุกคนมากันพร้อมหน้าก็เริ่มจับช้อนและกินข้าวโดยไม่รีรอ
“ไอ้กันต์ก็ได้ทุนเหมือนกันนะพ่อแต่ไม่รู้มันโทรบอกน้าเกดรึยัง ความจริงวันนี้วางแผนกันไว้ว่าจะไปดูหอก่อนเพราะหอพักนี้เป็นสวัสดิการสำหรับนักศึกษาใหม่ที่เป็นนักเรียนทุน สภาพห้องอาจจะไม่น่าอยู่เท่าไหร่ อินเลยคุยกับไอ้กันต์ว่าจะติดต่อขอเข้าไปทำความสะอาดก่อนย้ายเข้า”
เด็กหนุ่มบอกรายละเอียดเรื่องหอพักและแผนการคร่าว ๆ ของวันนี้ให้พ่อแม่ฟังซึ่งทั้งสองคนก็พยักหน้ารับรู้ สาเหตุที่อินอยากไปมหาลัยฯ นั้นก็เพราะเขาไม่รู้ว่าห้องพักที่จะต้องไปใช้ชีวิตอยู่ตลอดระยะเวลาสี่ปีหลังจากนี้เป็นห้องยังไงเลยคิดว่าควรไปดูให้แน่ใจก่อน
“ดีจังที่มหาลัยฯ สมัยนี้มีห้องพักให้เด็กอยู่ฟรี โอ๊ยถ้าเป็นสมัยพ่อนะต้องไปขอแบ่งห้องอยู่รวมกันกับเพื่อน ๆ แล้วทุกคนก็ช่วยกันทำงานหาเงินมาจ่ายค่าเช่า ลำบากลำบนแท้” พ่อพูดพลางรำลึกนึกถึงความหลัง ก่อนจะส่ายหัวพร้อมแสดงสีหน้าปลงกับชีวิต
“แล้วนี่น้าเกดไปทำงานต่างประเทศอีกแล้วใช่มั้ย ทำไมอินไม่ชวนเจ้ากันต์มากินข้าวที่บ้านล่ะลูก วันนี้แม่ทำกับข้าวเยอะแยะเลย” น้ำเสียงอ่อนโยนของแม่เอ่ยถามหาเพื่อนสนิทของลูกชายเพราะเธอรู้ดีว่าวัยรุ่นชายคงไม่ใส่ใจเรื่องอาหารการกินเท่าที่ควรเลยอดเป็นห่วงไม่ได้
“ใช่แม่ ไอ้กันต์บอกอินเมื่อวานว่ารอบนี้น้าเกดไปทำงานที่เดนมาร์กแต่ไม่แน่ใจว่าไปกี่วัน คิดว่าคงไม่นานเท่าไหร่หรอกมั้ง ส่วนเรื่องกินข้าวน่ะแม่ไม่ต้องเป็นห่วง ถ้าหิวเดี๋ยวมันก็มาบ้านเราเองแหละ” ได้ยินลูกชายพูดแบบนี้ยิ่งทำให้คนเป็นแม่รู้สึกกังวล
“อินโทรหาเพื่อนสักหน่อยดีมั้ยลูก” เด็กหนุ่มขมวดคิ้วเข้มเข้าหากันเพราะไม่เข้าใจว่าทำไมแม่ถึงต้องเป็นห่วงเพื่อนของเขามากขนาดนี้
“อินไม่อยากโทรไปกวนเผื่อมันยังนอนอยู่ ช่วงนี้ชอบนอนใส่หูฟังเปิดเพลงเสียงดังด้วย เดี๋ยวโทรไปขัดจังหวะอารมณ์ศิลป์ของมันอีก”
บ้านของทั้งสองครอบครัวเป็นบ้านคู่ในโครงการหมู่บ้านแห่งหนึ่งจึงไม่แปลกเลยที่เด็กหนุ่มจะรู้จักและสนิทสนมกันตั้งแต่สมัยเด็ก พวกเขาได้เข้าเรียนที่โรงเรียนเดียวกัน ตั้งแต่ช่วงอนุบาล ประถมฯ มัธยมฯ และตอนนี้ก็คือมหาลัยฯ เด็ก ๆ มักมีความชอบที่คล้ายคลึงกันแถมเวลาไปไหนมาไหนก็มักจะตัวติดกันเป็นตังเม ซึ่งการมีเพื่อนที่เชื่อใจได้ตั้งแต่เด็กและเติบโตมาด้วยกัน ช่างเป็นความสัมพันธ์ที่หาได้ยากแต่พวกเขาก็สร้างสายสัมพันธ์นั้นขึ้นมาได้
ตั้งแต่ที่อินจำความได้ ครอบครัวของกันต์มีอยู่เพียงสองคนเท่านั้นคือน้าเกด หญิงสาวผู้เป็นแม่และกันต์ที่เป็นลูกชาย อินมักจะเห็นเพื่อนสนิทต้องอยู่บ้านคนเดียวเสมอซึ่งตอนนั้นเขายังเด็กและไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น จนกระทั่งวันหนึ่งพ่อแม่อินก็ยื่นมือเข้าไปช่วยและชวนให้กันต์มาเล่นที่บ้าน อีกทั้งยังคอยดูแลกันต์เหมือนเป็นส่วนหนึ่งในครอบครัว ซึ่งนั่นก็ทำให้เด็ก ๆ สนิทกันมากขึ้น...อินกินข้าวพลางนึกถึงเรื่องราวในอดีต คิดถึงเมื่อก่อนจังนะ ตอนนั้นพวกเรามีความสุขมากเลย ทว่ายิ่งเด็กหนุ่มคิดถึงอดีตมากเท่าไหร่ ดวงตาแสนเรียบนิ่งก็ยิ่งว่างเปล่า
“จริงสิ แม่จะถามเรื่องทุนนักกีฬาว่ายน้ำ สรุปว่าตอนนี้อินตัดสินใจแน่วแน่ที่เป็นนักกีฬาเต็มตัวแล้วใช่มั้ยลูก ไม่รู้ว่าทางมหาลัยฯ เค้าจะให้เด็กปีหนึ่งเข้าแข่งเลยรึเปล่าเนอะ” เมื่อถูกลูกชายปฏิเสธคำขอจากก่อนหน้านี้ ผู้เป็นแม่ตักกุ้งตัวโตวางในจานของเขาและเอ่ยถามเรื่องทุนการเป็นนักกีฬาที่เธอสงสัยใคร่รู้เพื่อหวังเปลี่ยนประเด็น...แต่เธอคิดผิด
“ตอนนี้อินได้เป็นนักเรียนทุนแล้วนะ คำถามที่ว่าอินแน่วแน่รึเปล่ามันไม่สำคัญหรอก ส่วนเรื่องได้เป็นนักกีฬาเต็มตัวตอนไหนหรือจะได้ลงแข่งเมื่อไหร่ก็คงต้องรอให้ผ่านปีหนึ่งไปก่อน คิดว่าน่าจะมีการคัดเลือกตัวแทนเหมือนสมัยมัธยมฯ เรื่องพวกนั้นแม่ไม่ต้องเป็นห่วงหรอก” น้ำเสียงเรียบนิ่งตอบกลับมา ขณะเดียวกันนัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มที่แสนว่างเปล่าของเด็กหนุ่มก็หม่นลงอย่างเห็นได้ชัด ดวงตาคู่นั้นมองตรงไปยังหญิงสาวผู้เป็นแม่พร้อมความรู้สึกที่ยากจะอธิบาย
“แม่ไม่ได้เป็นห่วงเรื่องภายนอกพวกนั้น ลูกจะได้เป็นนักกีฬาว่ายน้ำหรือไม่ได้เป็นแม่ก็ไม่ว่าอะไรแต่ที่แม่เป็นห่วงคือสภาพจิตใจของลูกมากกว่า ลูกเลือกแล้วก็ต้องอยู่กับมันไปอีกสี่ปีนะ ลูกอยากทำเรื่องนี้จริง ๆ รึเปล่าอิน...หรือทำไปเพราะลูกยังรู้สึกผิดกับเรื่องที่เกิดขึ้นในตอนนั้น” คำพูดจากแม่ทำเอาเด็กหนุ่มนิ่งงันไปชั่วขณะ เขารู้ดีว่าไม่ควรยึดติดเรื่องราวนั้นไว้ในใจแต่ก็อดไม่ได้ที่จะทำตามคำสั่งการของสมอง โดยไม่สนใจความรู้สึกตัวเอง ภายในใจก็ตั้งคำถามอยู่เสมอ ทำไมคนที่มีโอกาสได้ใช้ชีวิตต่อไปถึงเป็นเขา
“เอาล่ะ ๆ ที่แม่เค้าอยากจะพูดก็คือเราสองคนภูมิใจในตัวลูกเสมอ ลูกไม่จำเป็นต้องทำในสิ่งที่ลูกไม่ได้อยากทำนะ ส่วนเรื่องในครั้งนั้นมันผ่านมาหลายปีแล้ว พ่อกับแม่อยากให้อินรู้ว่าเราไม่เคยโทษลูกเลย” พ่ออธิบายคำพูดของแม่ให้อินเข้าใจเพราะกลัวว่าลูกชายจะไม่สบายใจ เขารู้สึกได้ว่าตั้งแต่เกิดการสูญเสียครั้งใหญ่นั้น อินก็มักจะกดดันตัวเองอยู่เสมอราวกับมีกำแพงที่มองไม่เห็นมากั้นกลางระหว่างเด็กหนุ่มกับผู้คนรอบตัว
“ส่วนแม่ก็ไม่ต้องคิดมากเรื่องนี้แล้วนะ โอเคมั้ย ตอนนี้ลูกได้เป็นนักเรียนทุนอย่างที่เขาคิดไว้แล้ว ลูกเองก็คงมีเป้าหมายที่ตั้งใจจะไปให้ถึง เรามาคอยสนับสนุนให้ลูกไปถึงฝั่งฝันกันเถอะ” พ่อพูดขึ้นอย่างใจเย็นเพื่อทำลายบรรยากาศอึดอัดที่เริ่มปกคลุมบนโต๊ะอาหาร แม่พยักหน้าเข้าใจและเอื้อมมือไปแตะไหล่ลูกชายอย่างอ่อนโยน อินพยักหน้าเล็กน้อยและก้มหน้าก้มตารีบกินข้าวในจาน
“รีบกินเถอะแม่ ต้มยำกุ้งเย็นชืดหมดแล้ว” จังหวะที่เด็กหนุ่มกำลังตักเนื้อกุ้งชิ้นโตเข้าปากก็มีเสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้น
ครืดดด ครืดดด
มือหนาล้วงหยิบโทรศัพท์ออกจากกระเป๋ากางเกงสแล็กและมองรายชื่อที่โทรเข้ามาซึ่งเด่นหราอยู่บนหน้าจอ ‘กันต์’ เพื่อนสนิทของเขาเอง เห็นชื่อนี้กางเกงยีนก็รีบกดรับสายทันที ก่อนจะเอ่ยคำทักทายแสนสั้น
“ว่า”
“มึง ป้าฝันอยู่บ้านมั้ย” เปิดมาด้วยคำถามอีหรอบนี้ โทรมาถามหาแม่ของเขาแบบนี้ มันมีไม่กี่สาเหตุหรอก ประการแรกคือมีปัญหาจริง ๆ แต่จากที่รู้จักกันมาอินคิดว่าอีกฝ่ายน่าจะเพิ่งตื่นและหิวจนท้องร้องมากกว่า
“แม่อยู่บ้าน กำลังกินข้าวกันอยู่ มึงจะมากินด้วยมั้ย” เด็กหนุ่มตอบเสียงเข้มและเอ่ยคำถามที่แสนตรงประเด็นออกไป
“อืม กูเพิ่งตื่น ตอนนี้หิวโคตร เดี๋ยวไป” สิ่งที่ปลายสายตอบกลับมาทำเอาอินกระตุกยิ้มเล็กน้อยพลางคิดว่าเพื่อนสนิทคนนี้นิสัยเหมือนเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลย กันต์ตอบกลับมาเพียงแค่นั้นแล้วก็กดตัดสายไป อินเลยหันไปบอกให้พ่อกับแม่รู้ตัวว่าพวกเขากำลังจะมีแขก
“เดี๋ยวไอ้กันต์มากินข้าวนะ” คำพูดนั้นช่างสั้นกระชับและได้ใจความ
“ดีเลย งั้นพ่อคิดว่าแม่ต้องไปตักต้มยำมาเพิ่มอีกสักถ้วยดีกว่าเพราะถ้วยนี้ดูท่าเจ้ากันต์น่าจะกินไม่อิ่มนะ” พ่อพยักหน้ารับรู้และเอ่ยปากขอให้แม่ตักเมนูโปรดของบ้านนี้มาเพิ่ม รอต้อนรับเด็กหนุ่มอีกคนที่เปรียบเสมือนลูกชายคนที่สามของพวกเขา น้ำเสียงติดเล่นและคำพูดพวกนั้นของพ่อทำให้รู้ได้เลยว่าอินเป็นคนโชคดีมากขนาดไหนที่ได้มีพ่อเป็นคนอบอุ่นขนาดนี้
“ได้จ้ะ” เสียงแม่ตอบรับคำขอพร้อมโปรยยิ้มสวย ก่อนจะลุกไปตักต้มยำกุ้งถ้วยใหม่มาวางบนโต๊ะ รอเพียงไม่นานเสียงเปิดประตูรั้วหน้าบ้านก็ดังขึ้นพร้อมกับร่างกายแสนกำยำของเด็กหนุ่มผิวแทนคนหนึ่ง
“ลุงอาร์ม ป้าฝันสวัสดีครับ” กันต์ยกมือไหว้และกล่าวทักทายผู้ใหญ่ทั้งสองที่นั่งอยู่ตรงหน้าด้วยน้ำเสียงสุภาพ วันนี้เขาสวมเสื้อนักศึกษาเช่นเดียวกันกับอินแต่เลือกใส่กางเกงยีนสีซีดขาด ๆ แทนกางเกงสแล็ก
“มา ๆ เจ้ากันต์นั่งกินข้าว นี่ลุงกับเจ้าอินกินกันจะเสร็จแล้วเนี่ย” เมื่อถูกเชื้อเชิญให้ร่วมโต๊ะอาหารก็ยากที่จะปฏิเสธ
“พอดีผมเพิ่งตื่นน่ะครับ ตอนแรกคิดว่าจะไปหาอะไรกินข้างนอกแต่ถ้าป้าฝันอยู่บ้าน ผมมากินข้าวฝีมือป้าฝันดีกว่า โอ้โห น่ากินทั้งนั้นเลย”
รอยยิ้มของกันต์เผยให้เห็นหลังจากมองกับข้าวหลากเมนูตรงหน้า เขารับจานข้าวสวยจากป้าฝันและนั่งลงพร้อมกินข้าว ทันทีที่สายตาหันไปเห็นต้มยำที่มีกุ้งตัวโตแสนน่ากินก็ไม่รอช้า เอื้อมมือตักกุ้งใส่จานและซดน้ำซุปแสนข้นคลั่กอย่างเอร็ดอร่อย กินเพลินจนเกือบลืมสิ่งที่จะบอกเพื่อนสนิทไปเลยแต่โชคดีที่ยังนึกขึ้นได้ จึงเอ่ยถามอีกฝ่ายทันที
“มึง กูว่าจะขนของไปไว้หอวันนี้เลยนะ มึงจะขนไปพร้อมกูมั้ยหรือค่อยขนวันอื่น”
“ทำไมขนวันนี้” เสียงทุ้มพูดขึ้นพร้อมขมวดคิ้วเข้มเข้าหากันเป็นปมเพราะสิ่งที่ได้ยินจากเพื่อนสนิทไม่เหมือนกับที่เคยตกลงกันไว้ก่อนหน้านี้ เด็กหนุ่มเลยเกิดความสับสนเล็กน้อย
“กูแค่อยากขนให้มันเสร็จ ๆ ไปอ่ะ” โอเครู้เรื่อง คำนี้ผุดเข้ามาในความคิดของอินทันทีเมื่อได้ยินคำตอบของอีกฝ่าย ก่อนจะส่ายหัวไปมาให้กับความไร้เหตุผลนี้
“เออตามนั้น มึงขนวันนี้ กูก็ขนวันนี้” คำตอบที่อินพูดออกไปนั้นช่างแสนเรียบง่ายต่างจากกลไกทางความคิดในสมองของเขาเป็นอย่างมากเพราะมันดูสับสนวุ่นวายเสียเหลือเกิน
“งั้นมึงไปเตรียมของเลย เดี๋ยวกูกินข้าวรอ” กันต์พูดพลางตักข้าวเข้าปากคำใหญ่ แล้วเคี้ยวจนแก้มตุ่ย
“เออ” อินเก็บจานข้าวของตัวเองไปวางไว้ในอ่างล้างจาน ก่อนจะเดินกลับขึ้นไปบนชั้นสองเพื่อหยิบของที่เตรียมไว้สำหรับย้ายเข้าหอพัก
.
.
.
อินเป็นคนนิ่งเงียบและมักจะไม่ค่อยสุงสิงกับบุคคลอื่นที่เขาไม่สนิท นิสัยส่วนนี้ของเขาคล้ายคลึงกับกันต์เป็นอย่างมาก ทว่าเพื่อนสนิทคนนี้กลับพูดน้อยยิ่งกว่าเขาเสียอีกทำให้อินจำเป็นต้องฝึกทักษะการสื่อสาร รวมถึงทักษะการเข้าสังคมเพิ่มมากขึ้นเพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับสถานการณ์ต่าง ๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นกับพวกเขาแต่มีอีกหนึ่งสิ่งที่น้อยคนจะได้รับรู้เกี่ยวกับอินคือเขาเป็นคนคิดมาก สมองของเขามักจะมีการประเมินสถานการณ์ คิดวิเคราะห์และประมวลผลหลายสิ่งหลายอย่างอยู่ตลอด จนกว่าจะได้ทางเลือกที่คิดว่าดีที่สุดออกมา ซึ่งอินมักจะตัดสินใจและลงมือทำตามความคิดนั้น สิ่งนี้เป็นสาเหตุที่เขาทำทุกอย่างได้ดีโดยไม่รู้ตัวเขาทำพฤติกรรมนั้นซ้ำไปซ้ำมาจนมันกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต คนทั่วไปก็มักยกย่องให้อินเป็นบุคคลต้นแบบเพราะเขาใจเย็น สุขุมรอบคอบ น้อยครั้งที่คนอื่นจะได้เห็นความผิดพลาดจากเขา ทุกคนต่างสรรเสริญเยินยอผลลัพธ์ที่ได้ โดยไม่มีใครสนใจว่าเขาทำแบบนั้นได้อย่างไรหรือกระบวนการนั้นต้องผ่านสถานการณ์ที่น่าอึดอัดและหดหู่มากน้อยแค่ไหนอินหยิบกระเป๋าเป้ใบใหญ่ที่ภายในเต็มไปด้วยเสื้อผ้าสะพายขึ้นบ่าพร้อมถือกระเป๋าใบใหญ่อีกใบที่เต
อินไม่ให้ความสนใจกับสายตาของผู้คนรอบข้างที่มองมายังพวกเขาเลยแม้แต่น้อย เด็กหนุ่มหยิบสัมภาระจากหลังรถและเดินเข้าอาคารทันที สายตาก็คอยสอดส่องหาบุคคลที่น่าจะเป็นอาจารย์ประจำหอ ทว่าเขาเห็นเพียงกลุ่มนักศึกษาที่กำลังยืนออกันอยู่ตรงโต๊ะด้านหน้าเท่านั้น“นักศึกษาทุกคนใจเย็น ๆ ก่อนนะครับ ถอยหลังออกไปหน่อยครับ รบกวนเว้นระยะห่างและไม่ยืนออกันหน้าโต๊ะนะครับ” เสียงผู้ชายคนหนึ่งดังขึ้นท่ามกลางความวุ่นวาย ดูจากการแต่งกายก็รู้ได้ทันทีว่าอีกฝ่ายคงเป็นอาจารย์ประจำหอแห่งนี้“โห่จารย์ ทำไมช้าจัง ผมจะได้อยู่ห้องไหนเนี่ย” เสียงหนุ่มนักศึกษาคนหนึ่งตะโกนพร้อมแสดงความไม่พอใจ“นั่นสิ จารย์รีบแปะเลขห้องหน่อย ตอนเย็นผมมีนัดกับสาว ๆ ค้าบ” ก่อนที่หนุ่มนักศึกษาอีกคนจะตะโกนตาม การกระทำนั้นสร้างความรำคาญต่อเพื่อนนักศึกษาท่านอื่นไม่น้อย จนกระทั่งนักศึกษาหญิงคนหนึ่งทนไม่ไหว“นักศึกษาชายตรงนั้นเลิกทำตัวเหมือนลิงเถอะค่ะ ส่งเสียงดังเอะอะโวยวายอยู่ได้ไม่เกรงใจคนอื่นเลย” น้ำเสียงและคำพูดแสนจิกกัดของเธอกระแทกกระทั้นคนฟังเป็นอย่างมากทำให้อีกฝ่ายพูดจาเสียดแทงกลับมา“นี่แม่คุณ อย่างเธออ่ะคงไม่มีนัดกับผู้ชายสินะ ถึงได้มีเวลารอทั
พวกคุณเคยรู้สึกเหนื่อยกันมั้ยครับ เหนื่อยที่จะต้องใช้ชีวิตต่อไป เหนื่อยที่จะต้องคอยแบกรับหรือรับมือความรู้สึกต่าง ๆ ที่กำลังถาโถมเข้ามา เหนื่อยที่ต้องก้าวไปบนเส้นทางที่คนรอบข้างคาดหวังให้เดิน ผมเหนื่อยครับแต่ผมก็ยังเลือกที่จะอยู่บนความเหนื่อยนี้ โดยบอกตัวเองว่าเอาวะ ไม่เป็นไร ผมมีความสุขดี ผมไหว ผมทำได้เพียงภาวนาว่าโลกสีครามใบนี้คงไม่ใจร้ายกับผมเท่าไหร่...แล้วผมก็ใช้ชีวิตแบบนั้นเรื่อยมา...จนกระทั่งมีเหตุการณ์หนึ่งเกิดขึ้นกับผม นับเป็นวันแห่งการสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ ความรู้สึกเสียใจจู่โจมเข้ามาราวกับคลื่นสึนามิที่สาดซัดเข้าฝั่ง ผมสูญเสียตัวตนมากขึ้นเรื่อย ๆ หัวใจก็แสนบอบช้ำเกินทน แสงสว่างที่กำลังเปล่งประกายและต่อชีวิตให้ผม พังทลายลงในพริบตา หลงเหลือไว้เพียงความมืดมิดและความว่างเปล่าอีกครั้งความเศร้าโศก ความหม่นหมองคอยกัดกินจิตใจของผมไปทีละน้อยแต่ผมคงเก็บอาการได้ดีมากเกินไปจนทำให้ใครหลายคนมองว่าผมเข้มแข็ง น่าขำที่ความจริง ผมไม่เคยฉีกยิ้มกว้างเพราะมีความสุขจากก้นบึ้งหัวใจเลย ทุกวันนี้ผมยังคงหอบหิ้วความรู้สึกสีเทาพวกนั้นไว้ แบกขึ้นบ่าและพยายามใช้ชีวิตต่อไปท่ามกลางความสุขและตัวตนจอมปลอมที