อินไม่ให้ความสนใจกับสายตาของผู้คนรอบข้างที่มองมายังพวกเขาเลยแม้แต่น้อย เด็กหนุ่มหยิบสัมภาระจากหลังรถและเดินเข้าอาคารทันที สายตาก็คอยสอดส่องหาบุคคลที่น่าจะเป็นอาจารย์ประจำหอ ทว่าเขาเห็นเพียงกลุ่มนักศึกษาที่กำลังยืนออกันอยู่ตรงโต๊ะด้านหน้าเท่านั้น
“นักศึกษาทุกคนใจเย็น ๆ ก่อนนะครับ ถอยหลังออกไปหน่อยครับ รบกวนเว้นระยะห่างและไม่ยืนออกันหน้าโต๊ะนะครับ” เสียงผู้ชายคนหนึ่งดังขึ้นท่ามกลางความวุ่นวาย ดูจากการแต่งกายก็รู้ได้ทันทีว่าอีกฝ่ายคงเป็นอาจารย์ประจำหอแห่งนี้
“โห่จารย์ ทำไมช้าจัง ผมจะได้อยู่ห้องไหนเนี่ย” เสียงหนุ่มนักศึกษาคนหนึ่งตะโกนพร้อมแสดงความไม่พอใจ
“นั่นสิ จารย์รีบแปะเลขห้องหน่อย ตอนเย็นผมมีนัดกับสาว ๆ ค้าบ” ก่อนที่หนุ่มนักศึกษาอีกคนจะตะโกนตาม การกระทำนั้นสร้างความรำคาญต่อเพื่อนนักศึกษาท่านอื่นไม่น้อย จนกระทั่งนักศึกษาหญิงคนหนึ่งทนไม่ไหว
“นักศึกษาชายตรงนั้นเลิกทำตัวเหมือนลิงเถอะค่ะ ส่งเสียงดังเอะอะโวยวายอยู่ได้ไม่เกรงใจคนอื่นเลย” น้ำเสียงและคำพูดแสนจิกกัดของเธอกระแทกกระทั้นคนฟังเป็นอย่างมากทำให้อีกฝ่ายพูดจาเสียดแทงกลับมา
“นี่แม่คุณ อย่างเธออ่ะคงไม่มีนัดกับผู้ชายสินะ ถึงได้มีเวลารอทั้งวัน แต่ฉันมีนัด!ฉันรอไม่ได้หรอก!” ประโยคนี้ทำเอานักศึกษาหญิงเลือดขึ้นหน้ากันเลยทีเดียว ทว่าก่อนที่สงครามประสาทจะเริ่มต้นขึ้น ทุกอย่างก็จบลงเพราะถูกอาจารย์หอห้ามปรามไว้ได้ทันท่วงที
“นักศึกษาชายตรงนั้นรบกวนพูดจาให้เกียรติสถานที่ด้วยนะครับ ส่วนนักศึกษาหญิงรบกวนไม่พูดจาว่าร้ายนักศึกษาคนอื่นนะครับ...เฮ้อ ทำไมวันนี้นักศึกษาถึงมากันเยอะแบบนี้ล่ะเนี่ย” สิ้นเสียงกล่าวตักเตือนของอาจารย์ ทั่วทั้งอาคารก็กลับมาเงียบสงบอีกครั้ง ก่อนจะพากันแยกย้ายออกจากพื้นที่ตรงนั้นและไปนั่งจับกลุ่มคุยกันตามมุมห้องแทน
อาจารย์ประจำหอเห็นแบบนั้นก็โล่งใจขึ้นมาหน่อยและทำหน้าที่ของตัวเองต่อไป เขาเอื้อมมือหยิบกระดาษหลายสิบแผ่นที่วางอยู่บนโต๊ะไปแปะติดบนกระดานไม้ที่ตั้งอยู่ข้าง ๆ อินเห็นแบบนั้นก็ไม่ได้ปลีกตัวแยกย้ายตามนักศึกษาคนอื่นแต่เดินตรงไปหาอาจารย์แทน
“ให้ผมช่วยมั้ยครับอาจารย์” น้ำเสียงเรียบนิ่งที่เต็มไปด้วยใจบริสุทธิ์อยากจะช่วยเหลือถูกส่งไปหาอีกฝ่าย
“ไม่เป็นไรครับนักศึกษา ขอบคุณมาก” อาจารย์หันมาตอบรับน้ำใจด้วยรอยยิ้ม
เด็กหนุ่มเห็นว่าอีกฝ่ายปฏิเสธและไม่ต้องการความช่วยเหลือก็เลยเดินกลับไปที่กองสัมภาระของตัวเอง เห็นไอ้กันต์นั่งยอง ๆ อยู่ไม่ไกลพร้อมใส่หูฟังทั้งสองข้างประหนึ่งตัดขาดออกจากสังคมก็เผลอส่ายหัวให้
ทว่าอินไม่ได้เอ่ยทักท้วงอะไรอีกฝ่าย เขาปล่อยให้เพื่อนสนิทดำดิ่งไปในโลกส่วนตัว ส่วนตัวเองก็ยืนรอพลางมองสำรวจอาคารสถานที่รอบข้าง เวลาผ่านไปได้ไม่กี่นาทีก็ได้ยินเสียงอาจารย์ประจำหอดังขึ้น
“เอาล่ะครับ ตอนนี้อาจารย์ติดเลขห้องพร้อมระบุรายชื่อนักศึกษาไว้เรียบร้อยแล้วนะครับ นักศึกษาชายอยู่กระดานฝั่งนี้ ส่วนนักศึกษาหญิงอยู่ที่กระดานฝั่งนั้นครับ” ได้ยินแบบนั้นเหล่านักศึกษาก็พากันทยอยเดินไปเพื่อจะดูชื่อของตัวเอง ทว่าทุกคนกลับต้องหยุดชะงักฝีเท้าเพราะ...
“แต่ก่อนที่นักศึกษาจะเข้าไปตรวจสอบรายชื่อ รบกวนฟังอาจารย์อีกสักนิดนะครับ” สิ้นสุดปะโยคนี้ นักศึกษาบางคนก็แสดงท่าทีหงุดหงิด ขณะที่บางคนแสดงสีหน้าเบื่อระคนเอือมระอา
“ห้องพักหนึ่งห้อง จะมีรายชื่อนักศึกษาแค่สองคนเท่านั้นนะครับ หากมีการตรวจเจอว่านักศึกษาที่อยู่ในห้องไม่ตรงกับรายชื่อที่กำหนดไว้หรือมีนักศึกษาคนอื่นเข้ามาอยู่จนทำให้มีนักศึกษาเกินสองคน อาจารย์จะถือว่าผิดระเบียบของทางมหาลัยฯ ทันทีนะครับ” เมื่ออาจารย์ประจำหอพูดจบก็มีนักศึกษาคนหนึ่งยกมือขึ้นพร้อมคำถาม
“ถ้ามาอยู่เป็นครั้งคราวได้มั้ยครับ”
“มาอยู่เป็นครั้งคราวหมายความว่ายังไงครับ”
“...เอ่อ...ผมหมายถึงกรณีที่มีการติวหนังสือหรือทำงานกันเป็นกลุ่มน่ะครับ เผื่อจำเป็นจะต้องชวนเพื่อนมาอยู่ที่หอ อันนี้ผิดระเบียบมั้ยครับ” คำถามนี้ได้รับความสนใจจากนักศึกษาหลายคนเลยทีเดียว
“หากมีการรวมตัวกันติวหนังสือ อาจารย์แนะนำให้ใช้บริการห้องสมุดของทางมหาลัยฯ นะครับ ส่วนกรณีที่มีการทำงานกลุ่ม นักศึกษาสามารถเลือกสรรสถานที่นอกหอพักได้ตามสะดวกครับ อาจารย์ไม่เล็งเห็นถึงความสำคัญของทั้งสองกรณีที่นักศึกษากล่าวอ้างมา หวังว่านักศึกษาจะได้ข้อสรุปของคำถามนี้นะครับ” นักศึกษาหลายคนต่างส่ายหัวให้คำตอบของอาจารย์ประจำหอ ก่อนจะส่งเสียงฮือฮาอีกครั้งเพราะเรื่องถัดไป
“รายชื่อในแต่ละห้องจะเป็นการสุ่มนะครับ นักศึกษาอาจจะได้อยู่ร่วมกับเพื่อนที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน เพื่อนจากต่างคณะหรือแม้กระทั่งเพื่อนต่างชั้นปี รายชื่อที่กำหนดออกมาแล้วจะไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ฉะนั้นขอให้ทุกคนเตรียมใจในส่วนนี้ไว้เลยครับ”
โห่!
เสียงโห่ร้องของเหล่านักศึกษาทั้งชายและหญิงดังขึ้นอย่างห้ามไม่ได้ หลายคนต่างมีความคิดไปในทิศทางเดียวกันคือนักเรียนทุนสามารถอยู่ที่หอพักในหมาลัยฯ ได้จนกว่าจะเรียนจบแต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าจะให้แต่ละคนอยู่ร่วมห้องกับใครก็ได้ อย่างน้อยควรจะให้นักศึกษชั้นปีเดียวกันหรือคณะเดียวกันได้อยู่ร่วมห้องกันก็ยังดี
“เป็นไงล่ะ สิทธิพิเศษที่มึงกังวลอ่ะ” กันต์ถอดหูฟังออกทันเวลาและได้ยินสิ่งที่อาจารย์หอพูดพอดี เลยอดไม่ได้ที่จะเอ่ยปากแซะเพื่อนสนิท
“เป็นแบบนี้ก็ดีแล้ว สมเหตุสมผลดี” ทว่าอินไม่เล่นด้วยเลยสักนิด กลับกันเขารู้สึกสบายใจเป็นอย่างมากที่รู้ว่าหอพักแห่งนี้ไม่ได้มีความพิเศษอะไรอย่างที่คิดไว้
“สบายใจแล้วสิ” กันต์พูดพลางยกยิ้มมุมปากเพราะรู้ดีว่าอีกฝ่ายเป็นคนคิดมากและคิดเล็กคิดน้อยแค่ไหน
“อืม” ก่อนจะต้องส่ายหัวด้วยอารมณ์ปลงเมื่อได้รับคำตอบจากอิน ทว่าจังหวะที่ทั้งคู่กำลังจะไปตรวจสอบรายชื่อนั้น...
“ลดเสียงโห่ลงด้วยครับ จากที่อาจารย์แจ้งไปไม่ได้แปลว่านักศึกษาจะไม่มีโอกาสได้อยู่ร่วมห้องกับเพื่อนที่ตัวเองรู้จัก เพื่อนจากคณะเดียวกันหรือเพื่อนในชั้นปีเดียวกันเลย ฉะนั้นทุกคนอย่าตกใจกันจนเกินเหตุครับ” อินอยากจะบอกว่าคำพูดนี้ของอาจารย์ไม่ได้ช่วยให้ใครรู้สึกดีขึ้นเลย
“ทั้งนี้หากนักศึกษาอยากย้ายไปอยู่หอพักทั่วไป สามารถแจ้งความประสงค์ขอย้ายหอพักได้ตลอดเวลา” ทว่าเมื่อมีข้อเสนอเรื่องย้ายหอถูกเอ่ยขึ้นมาก็เริ่มทำให้นักศึกษาหลายคนเกิดความลังเล
“ซึ่งการขอย้ายออกจากหอพักนักเรียนทุนก็แปลว่าจะต้องถอนตัวออกจากการเป็นนักเรียนทุนนะครับ กว่าจะได้ทุนมาเรียนที่มหาลัยฯ แห่งนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย อาจารย์ขอให้นักศึกษาพึงระวังในการตัดสินใจของตัวเองและอย่าลืมนะครับว่าหอพักทั่วไปมีไว้สำหรับปีหนึ่งเท่านั้น” เสียงโห่ร้องแสดงความไม่พอใจของนักศึกษาเริ่มเงียบลงเพราะคนส่วนใหญ่ตระหนักได้แล้วว่ากว่าที่ตัวเองจะได้รับทุนมาเรียนที่นี่นั้นยากเย็นแสนเข็ญขนาดไหน
“หากเข้าใจแล้วก็ขอให้ทุกคนเดินมาตรวจสอบหมายเลขห้องพักและรายชื่อด้วยความเป็นระเบียบ มีคำถามอะไรเพิ่มเติมก็มาคุยกับอาจารย์ได้ตลอดเวลาทำการครับ” เมื่ออาจารย์บอกเงื่อนไขทั้งหมดของหอพัก อินและกันต์ก็หยิบสัมภาระของตัวเองและเดินไปดูรายชื่อทันที
ตอนนี้บรรดานักศึกษาต่างก็ยอมจำนนต่อสิ่งที่อาจารย์ชี้แจงมาและเริ่มทยอยเดินเข้าไปตรวจสอบรายชื่อของตัวเองบนกระดาน พวกเขาคิดได้แล้วว่าการได้ห้องพักฟรีตลอดระยะเวลาการศึกษาทั้งสี่ปี โดยต้องแลกมากับการสุ่มเพื่อนร่วมห้องในครั้งนี้อาจเป็นข้อแลกเปลี่ยนที่สมเหตุสมผลแล้ว
“กูสองศูนย์ห้า” อินเจอรายชื่อของตัวเองแล้วเลยเดินออกมาจากหน้ากระดาน ซึ่งกันต์ก็เดินตามออกมาติด ๆ แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะหน้าซีดเล็กน้อยเมื่อรู้ว่าไม่ได้อยู่ห้องเดียวกับเพื่อนสนิท
“กูสามหนึ่งสาม” ทั้งคู่รู้หมายเลขห้องแล้วก็ไปรับกุญแจห้องพักจากอาจารย์ประจำหอ
“ผมชื่อนายอินพักห้องสองศูนย์ห้าครับ ส่วนคนนี้ชื่อนายกันต์พักห้องสามหนึ่งสามครับ” อินบอกชื่อพร้อมทั้งระบุหมายเลขห้องของพวกเขาให้อาจารย์ประจำหอทราบและรับกุญแจห้องมา
“อาจารย์ชื่อพิทักษ์นะครับ นี่กุญแจห้อง ส่วนนี่เบอร์ของอาจารย์” เมื่อมองใกล้ ๆ ก็พบว่าอาจารย์พิทักษ์ตัวเล็กกว่าพวกเขามาก ส่วนสูงแทบจะเท่ากับนักศึกษาหญิงทั่วไปเลย แถมร่างกายยังผอมบางอีกด้วย
“พวกผมขนของไปไว้ในห้องได้เลยใช่มั้ยครับ”
“ใช่ครับ...จริงสิ ห้องสองศูนย์ห้าเพื่อนร่วมห้องติดต่อมาว่าจะขอย้ายเข้าหลังจากเสร็จกิจกรรมรับน้องนะครับ ยังไงก็รักษาความเป็นส่วนตัวของห้องพักอีกส่วนหนึ่งไว้ให้เพื่อนด้วยนะครับ”
“ครับ” สิ้นเสียงอาจารย์หอ คิ้วเข้มของเด็กหนุ่มก็ขมวดเข้าหากัน ทว่าปากกลับตอบรับคำพูดจากอีกฝ่ายไปซะแล้ว
“งั้นเดี๋ยวไปห้องกูก่อนละกัน” เดินออกมาจากอาจารย์หอได้ไม่ไกลอินก็พูดขึ้น กันพยักหน้าเล็กน้อยและตอบตกลง
“โอเค”
เด็กหนุ่มทั้งสองคนแบกกระเป๋าขึ้นบันไดไปชั้นสอง สายตาก็ไล่เรียงหาห้องหมายเลขสองศูนย์ห้า ก่อนจะเจอในที่สุด มือหนาของอินใช้กุญแจที่เพิ่งได้รับมาไขเปิดประตูและวางของไว้ปลายเตียงนอนที่อยู่ประตู
“มึงเก็บของเลยก็ได้ เดี๋ยวกูขึ้นไปห้องเอง” อินหันมองกันต์ทันทีพลางเลิกคิ้วสงสัย
“อารมณ์ไหนของมึง”
“กูก็โตขึ้นแล้วมั้ยวะ จะปล่อยให้ตัวเองขี้กลัวตลอดไปไม่ได้หรอก” เหตุผลที่อีกฝ่ายตอบกลับมาทำเอาอินรู้สึกใจหายเล็กน้อยเพราะที่ผ่านมาเขาคอยดูแลเพื่อนสนิทคนนี้เสมอ
“แน่ใจนะ” ถามอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ ถึงแม้จะใจหายแต่เขาก็ดีใจที่อีกฝ่ายเริ่มเติบโตขึ้นแล้ว ต่างจากเขาที่ไม่กล้าแม้แต่จะเปลี่ยนแปลงตัวเอง
“...”
“เอางี้ ให้กูขึ้นไปด้วย อย่างน้อยกูก็จะได้รู้ว่ามึงอยู่กับใคร ยังไงซะหลังจากนี้มึงก็ได้ใช้ชีวิตคนเดียวในห้องพักอยู่แล้ว ไว้มึงค่อย ๆ เรียนรู้ไป” เมื่อเห็นว่ากันต์ไม่ตอบกลับมาอินก็เข้าใจทันที การเริ่มต้นที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเองไม่ใช่เรื่องง่ายแต่กันต์ก็กล้าตัดสินใจ ฉะนั้นเขาจะคอยสนับสนุนอีกแรงอย่างค่อยเป็นค่อยไป
“อืม ตามนั้น”
พวกคุณเคยรู้สึกเหนื่อยกันมั้ยครับ เหนื่อยที่จะต้องใช้ชีวิตต่อไป เหนื่อยที่จะต้องคอยแบกรับหรือรับมือความรู้สึกต่าง ๆ ที่กำลังถาโถมเข้ามา เหนื่อยที่ต้องก้าวไปบนเส้นทางที่คนรอบข้างคาดหวังให้เดิน ผมเหนื่อยครับแต่ผมก็ยังเลือกที่จะอยู่บนความเหนื่อยนี้ โดยบอกตัวเองว่าเอาวะ ไม่เป็นไร ผมมีความสุขดี ผมไหว ผมทำได้เพียงภาวนาว่าโลกสีครามใบนี้คงไม่ใจร้ายกับผมเท่าไหร่...แล้วผมก็ใช้ชีวิตแบบนั้นเรื่อยมา...จนกระทั่งมีเหตุการณ์หนึ่งเกิดขึ้นกับผม นับเป็นวันแห่งการสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ ความรู้สึกเสียใจจู่โจมเข้ามาราวกับคลื่นสึนามิที่สาดซัดเข้าฝั่ง ผมสูญเสียตัวตนมากขึ้นเรื่อย ๆ หัวใจก็แสนบอบช้ำเกินทน แสงสว่างที่กำลังเปล่งประกายและต่อชีวิตให้ผม พังทลายลงในพริบตา หลงเหลือไว้เพียงความมืดมิดและความว่างเปล่าอีกครั้งความเศร้าโศก ความหม่นหมองคอยกัดกินจิตใจของผมไปทีละน้อยแต่ผมคงเก็บอาการได้ดีมากเกินไปจนทำให้ใครหลายคนมองว่าผมเข้มแข็ง น่าขำที่ความจริง ผมไม่เคยฉีกยิ้มกว้างเพราะมีความสุขจากก้นบึ้งหัวใจเลย ทุกวันนี้ผมยังคงหอบหิ้วความรู้สึกสีเทาพวกนั้นไว้ แบกขึ้นบ่าและพยายามใช้ชีวิตต่อไปท่ามกลางความสุขและตัวตนจอมปลอมที
“อินลงมากินข้าวได้แล้วนะลูก” เสียงหญิงสาวผู้เป็นแม่ตะโกนเรียกลูกชายด้วยน้ำเสียงแสนอ่อนโยนพร้อมยกเมนูต้มยำกุ้งวางลงบนโต๊ะกินข้าว ขณะที่ผู้เป็นพ่อนั่งอยู่หัวโต๊ะ เปิดหนังสือพิมพ์รายวันอ่านอย่างสบายใจและจิบกาแฟรสชาติโปรดเด็กหนุ่มวัยสิบเก้าเดินลงมาจากชั้นสองทันทีที่ได้ยินเสียงแม่เรียก เขาเป็นเด็กที่มีรูปร่างสูงใหญ่ กล้ามเนื้อแน่นพอประมาณถูกปกปิดไว้ภายใต้เสื้อนักศึกษาสีขาวที่รีดมาเป็นอย่างดี อีกทั้งกางเกงทรงหลวมสีดำที่สวมอยู่ก็ช่างเข้าคู่กัน แค่มองก็รู้ว่าเขาเป็นนักศึกษาวัยใสนัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มที่มองเผิน ๆ จะเห็นเป็นสีดำมองตรงไปยังโต๊ะกินข้าวที่อยู่เบื้องหน้า บนโต๊ะนั้นเต็มไปด้วยอาหารหลากหลายเมนู มือหนาเลื่อนเก้าอี้ตรงที่นั่งประจำออกเล็กน้อย ก่อนจะถอดกระเป๋าสะพายใบโปรดแขวนไว้ที่พนักพิงและตรงดิ่งไปที่หม้อข้าว“วันนี้จะไปมหาลัยเหรอลูกให้พ่อไปส่งมั้ย” เสียงทุ้มของพ่อถามขึ้นขณะเดียวกันก็มองลูกชายกำลังตักข้าวสวยร้อน ๆ ใส่จานและวางไว้บนโต๊ะให้ครบตามจำนวนคน“ไม่เป็นไรพ่อ วันนี้อินกะว่าจะไปทำความสะอาดห้องไว้ก่อนเฉย ๆ ไม่ได้จะขนของหรืออะไรไปนะแต่ถึงจะต้องขนของจริง ๆ พ่อก็ไม่ต้องห่วง อินคุยกับไอ้ก
อินเป็นคนนิ่งเงียบและมักจะไม่ค่อยสุงสิงกับบุคคลอื่นที่เขาไม่สนิท นิสัยส่วนนี้ของเขาคล้ายคลึงกับกันต์เป็นอย่างมาก ทว่าเพื่อนสนิทคนนี้กลับพูดน้อยยิ่งกว่าเขาเสียอีกทำให้อินจำเป็นต้องฝึกทักษะการสื่อสาร รวมถึงทักษะการเข้าสังคมเพิ่มมากขึ้นเพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับสถานการณ์ต่าง ๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นกับพวกเขาแต่มีอีกหนึ่งสิ่งที่น้อยคนจะได้รับรู้เกี่ยวกับอินคือเขาเป็นคนคิดมาก สมองของเขามักจะมีการประเมินสถานการณ์ คิดวิเคราะห์และประมวลผลหลายสิ่งหลายอย่างอยู่ตลอด จนกว่าจะได้ทางเลือกที่คิดว่าดีที่สุดออกมา ซึ่งอินมักจะตัดสินใจและลงมือทำตามความคิดนั้น สิ่งนี้เป็นสาเหตุที่เขาทำทุกอย่างได้ดีโดยไม่รู้ตัวเขาทำพฤติกรรมนั้นซ้ำไปซ้ำมาจนมันกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต คนทั่วไปก็มักยกย่องให้อินเป็นบุคคลต้นแบบเพราะเขาใจเย็น สุขุมรอบคอบ น้อยครั้งที่คนอื่นจะได้เห็นความผิดพลาดจากเขา ทุกคนต่างสรรเสริญเยินยอผลลัพธ์ที่ได้ โดยไม่มีใครสนใจว่าเขาทำแบบนั้นได้อย่างไรหรือกระบวนการนั้นต้องผ่านสถานการณ์ที่น่าอึดอัดและหดหู่มากน้อยแค่ไหนอินหยิบกระเป๋าเป้ใบใหญ่ที่ภายในเต็มไปด้วยเสื้อผ้าสะพายขึ้นบ่าพร้อมถือกระเป๋าใบใหญ่อีกใบที่เต