อินไม่ให้ความสนใจกับสายตาของผู้คนรอบข้างที่มองมายังพวกเขาเลยแม้แต่น้อย เด็กหนุ่มหยิบสัมภาระจากหลังรถและเดินเข้าอาคารทันที สายตาก็คอยสอดส่องหาบุคคลที่น่าจะเป็นอาจารย์ประจำหอ ทว่าเขาเห็นเพียงกลุ่มนักศึกษาที่กำลังยืนออกันอยู่ตรงโต๊ะด้านหน้าเท่านั้น
“นักศึกษาทุกคนใจเย็น ๆ ก่อนนะครับ ถอยหลังออกไปหน่อยครับ รบกวนเว้นระยะห่างและไม่ยืนออกันหน้าโต๊ะนะครับ” เสียงผู้ชายคนหนึ่งดังขึ้นท่ามกลางความวุ่นวาย ดูจากการแต่งกายก็รู้ได้ทันทีว่าอีกฝ่ายคงเป็นอาจารย์ประจำหอแห่งนี้
“โห่จารย์ ทำไมช้าจัง ผมจะได้อยู่ห้องไหนเนี่ย” เสียงหนุ่มนักศึกษาคนหนึ่งตะโกนพร้อมแสดงความไม่พอใจ
“นั่นสิ จารย์รีบแปะเลขห้องหน่อย ตอนเย็นผมมีนัดกับสาว ๆ ค้าบ” ก่อนที่หนุ่มนักศึกษาอีกคนจะตะโกนตาม การกระทำนั้นสร้างความรำคาญต่อเพื่อนนักศึกษาท่านอื่นไม่น้อย จนกระทั่งนักศึกษาหญิงคนหนึ่งทนไม่ไหว
“นักศึกษาชายตรงนั้นเลิกทำตัวเหมือนลิงเถอะค่ะ ส่งเสียงดังเอะอะโวยวายอยู่ได้ไม่เกรงใจคนอื่นเลย” น้ำเสียงและคำพูดแสนจิกกัดของเธอกระแทกกระทั้นคนฟังเป็นอย่างมากทำให้อีกฝ่ายพูดจาเสียดแทงกลับมา
“นี่แม่คุณ อย่างเธออ่ะคงไม่มีนัดกับผู้ชายสินะ ถึงได้มีเวลารอทั้งวัน แต่ฉันมีนัด!ฉันรอไม่ได้หรอก!” ประโยคนี้ทำเอานักศึกษาหญิงเลือดขึ้นหน้ากันเลยทีเดียว ทว่าก่อนที่สงครามประสาทจะเริ่มต้นขึ้น ทุกอย่างก็จบลงเพราะถูกอาจารย์หอห้ามปรามไว้ได้ทันท่วงที
“นักศึกษาชายตรงนั้นรบกวนพูดจาให้เกียรติสถานที่ด้วยนะครับ ส่วนนักศึกษาหญิงรบกวนไม่พูดจาว่าร้ายนักศึกษาคนอื่นนะครับ...เฮ้อ ทำไมวันนี้นักศึกษาถึงมากันเยอะแบบนี้ล่ะเนี่ย” สิ้นเสียงกล่าวตักเตือนของอาจารย์ ทั่วทั้งอาคารก็กลับมาเงียบสงบอีกครั้ง ก่อนจะพากันแยกย้ายออกจากพื้นที่ตรงนั้นและไปนั่งจับกลุ่มคุยกันตามมุมห้องแทน
อาจารย์ประจำหอเห็นแบบนั้นก็โล่งใจขึ้นมาหน่อยและทำหน้าที่ของตัวเองต่อไป เขาเอื้อมมือหยิบกระดาษหลายสิบแผ่นที่วางอยู่บนโต๊ะไปแปะติดบนกระดานไม้ที่ตั้งอยู่ข้าง ๆ อินเห็นแบบนั้นก็ไม่ได้ปลีกตัวแยกย้ายตามนักศึกษาคนอื่นแต่เดินตรงไปหาอาจารย์แทน
“ให้ผมช่วยมั้ยครับอาจารย์” น้ำเสียงเรียบนิ่งที่เต็มไปด้วยใจบริสุทธิ์อยากจะช่วยเหลือถูกส่งไปหาอีกฝ่าย
“ไม่เป็นไรครับนักศึกษา ขอบคุณมาก” อาจารย์หันมาตอบรับน้ำใจด้วยรอยยิ้ม
เด็กหนุ่มเห็นว่าอีกฝ่ายปฏิเสธและไม่ต้องการความช่วยเหลือก็เลยเดินกลับไปที่กองสัมภาระของตัวเอง เห็นไอ้กันต์นั่งยอง ๆ อยู่ไม่ไกลพร้อมใส่หูฟังทั้งสองข้างประหนึ่งตัดขาดออกจากสังคมก็เผลอส่ายหัวให้
ทว่าอินไม่ได้เอ่ยทักท้วงอะไรอีกฝ่าย เขาปล่อยให้เพื่อนสนิทดำดิ่งไปในโลกส่วนตัว ส่วนตัวเองก็ยืนรอพลางมองสำรวจอาคารสถานที่รอบข้าง เวลาผ่านไปได้ไม่กี่นาทีก็ได้ยินเสียงอาจารย์ประจำหอดังขึ้น
“เอาล่ะครับ ตอนนี้อาจารย์ติดเลขห้องพร้อมระบุรายชื่อนักศึกษาไว้เรียบร้อยแล้วนะครับ นักศึกษาชายอยู่กระดานฝั่งนี้ ส่วนนักศึกษาหญิงอยู่ที่กระดานฝั่งนั้นครับ” ได้ยินแบบนั้นเหล่านักศึกษาก็พากันทยอยเดินไปเพื่อจะดูชื่อของตัวเอง ทว่าทุกคนกลับต้องหยุดชะงักฝีเท้าเพราะ...
“แต่ก่อนที่นักศึกษาจะเข้าไปตรวจสอบรายชื่อ รบกวนฟังอาจารย์อีกสักนิดนะครับ” สิ้นสุดปะโยคนี้ นักศึกษาบางคนก็แสดงท่าทีหงุดหงิด ขณะที่บางคนแสดงสีหน้าเบื่อระคนเอือมระอา
“ห้องพักหนึ่งห้อง จะมีรายชื่อนักศึกษาแค่สองคนเท่านั้นนะครับ หากมีการตรวจเจอว่านักศึกษาที่อยู่ในห้องไม่ตรงกับรายชื่อที่กำหนดไว้หรือมีนักศึกษาคนอื่นเข้ามาอยู่จนทำให้มีนักศึกษาเกินสองคน อาจารย์จะถือว่าผิดระเบียบของทางมหาลัยฯ ทันทีนะครับ” เมื่ออาจารย์ประจำหอพูดจบก็มีนักศึกษาคนหนึ่งยกมือขึ้นพร้อมคำถาม
“ถ้ามาอยู่เป็นครั้งคราวได้มั้ยครับ”
“มาอยู่เป็นครั้งคราวหมายความว่ายังไงครับ”
“...เอ่อ...ผมหมายถึงกรณีที่มีการติวหนังสือหรือทำงานกันเป็นกลุ่มน่ะครับ เผื่อจำเป็นจะต้องชวนเพื่อนมาอยู่ที่หอ อันนี้ผิดระเบียบมั้ยครับ” คำถามนี้ได้รับความสนใจจากนักศึกษาหลายคนเลยทีเดียว
“หากมีการรวมตัวกันติวหนังสือ อาจารย์แนะนำให้ใช้บริการห้องสมุดของทางมหาลัยฯ นะครับ ส่วนกรณีที่มีการทำงานกลุ่ม นักศึกษาสามารถเลือกสรรสถานที่นอกหอพักได้ตามสะดวกครับ อาจารย์ไม่เล็งเห็นถึงความสำคัญของทั้งสองกรณีที่นักศึกษากล่าวอ้างมา หวังว่านักศึกษาจะได้ข้อสรุปของคำถามนี้นะครับ” นักศึกษาหลายคนต่างส่ายหัวให้คำตอบของอาจารย์ประจำหอ ก่อนจะส่งเสียงฮือฮาอีกครั้งเพราะเรื่องถัดไป
“รายชื่อในแต่ละห้องจะเป็นการสุ่มนะครับ นักศึกษาอาจจะได้อยู่ร่วมกับเพื่อนที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน เพื่อนจากต่างคณะหรือแม้กระทั่งเพื่อนต่างชั้นปี รายชื่อที่กำหนดออกมาแล้วจะไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ฉะนั้นขอให้ทุกคนเตรียมใจในส่วนนี้ไว้เลยครับ”
โห่!
เสียงโห่ร้องของเหล่านักศึกษาทั้งชายและหญิงดังขึ้นอย่างห้ามไม่ได้ หลายคนต่างมีความคิดไปในทิศทางเดียวกันคือนักเรียนทุนสามารถอยู่ที่หอพักในหมาลัยฯ ได้จนกว่าจะเรียนจบแต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าจะให้แต่ละคนอยู่ร่วมห้องกับใครก็ได้ อย่างน้อยควรจะให้นักศึกษชั้นปีเดียวกันหรือคณะเดียวกันได้อยู่ร่วมห้องกันก็ยังดี
“เป็นไงล่ะ สิทธิพิเศษที่มึงกังวลอ่ะ” กันต์ถอดหูฟังออกทันเวลาและได้ยินสิ่งที่อาจารย์หอพูดพอดี เลยอดไม่ได้ที่จะเอ่ยปากแซะเพื่อนสนิท
“เป็นแบบนี้ก็ดีแล้ว สมเหตุสมผลดี” ทว่าอินไม่เล่นด้วยเลยสักนิด กลับกันเขารู้สึกสบายใจเป็นอย่างมากที่รู้ว่าหอพักแห่งนี้ไม่ได้มีความพิเศษอะไรอย่างที่คิดไว้
“สบายใจแล้วสิ” กันต์พูดพลางยกยิ้มมุมปากเพราะรู้ดีว่าอีกฝ่ายเป็นคนคิดมากและคิดเล็กคิดน้อยแค่ไหน
“อืม” ก่อนจะต้องส่ายหัวด้วยอารมณ์ปลงเมื่อได้รับคำตอบจากอิน ทว่าจังหวะที่ทั้งคู่กำลังจะไปตรวจสอบรายชื่อนั้น...
“ลดเสียงโห่ลงด้วยครับ จากที่อาจารย์แจ้งไปไม่ได้แปลว่านักศึกษาจะไม่มีโอกาสได้อยู่ร่วมห้องกับเพื่อนที่ตัวเองรู้จัก เพื่อนจากคณะเดียวกันหรือเพื่อนในชั้นปีเดียวกันเลย ฉะนั้นทุกคนอย่าตกใจกันจนเกินเหตุครับ” อินอยากจะบอกว่าคำพูดนี้ของอาจารย์ไม่ได้ช่วยให้ใครรู้สึกดีขึ้นเลย
“ทั้งนี้หากนักศึกษาอยากย้ายไปอยู่หอพักทั่วไป สามารถแจ้งความประสงค์ขอย้ายหอพักได้ตลอดเวลา” ทว่าเมื่อมีข้อเสนอเรื่องย้ายหอถูกเอ่ยขึ้นมาก็เริ่มทำให้นักศึกษาหลายคนเกิดความลังเล
“ซึ่งการขอย้ายออกจากหอพักนักเรียนทุนก็แปลว่าจะต้องถอนตัวออกจากการเป็นนักเรียนทุนนะครับ กว่าจะได้ทุนมาเรียนที่มหาลัยฯ แห่งนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย อาจารย์ขอให้นักศึกษาพึงระวังในการตัดสินใจของตัวเองและอย่าลืมนะครับว่าหอพักทั่วไปมีไว้สำหรับปีหนึ่งเท่านั้น” เสียงโห่ร้องแสดงความไม่พอใจของนักศึกษาเริ่มเงียบลงเพราะคนส่วนใหญ่ตระหนักได้แล้วว่ากว่าที่ตัวเองจะได้รับทุนมาเรียนที่นี่นั้นยากเย็นแสนเข็ญขนาดไหน
“หากเข้าใจแล้วก็ขอให้ทุกคนเดินมาตรวจสอบหมายเลขห้องพักและรายชื่อด้วยความเป็นระเบียบ มีคำถามอะไรเพิ่มเติมก็มาคุยกับอาจารย์ได้ตลอดเวลาทำการครับ” เมื่ออาจารย์บอกเงื่อนไขทั้งหมดของหอพัก อินและกันต์ก็หยิบสัมภาระของตัวเองและเดินไปดูรายชื่อทันที
ตอนนี้บรรดานักศึกษาต่างก็ยอมจำนนต่อสิ่งที่อาจารย์ชี้แจงมาและเริ่มทยอยเดินเข้าไปตรวจสอบรายชื่อของตัวเองบนกระดาน พวกเขาคิดได้แล้วว่าการได้ห้องพักฟรีตลอดระยะเวลาการศึกษาทั้งสี่ปี โดยต้องแลกมากับการสุ่มเพื่อนร่วมห้องในครั้งนี้อาจเป็นข้อแลกเปลี่ยนที่สมเหตุสมผลแล้ว
“กูสองศูนย์ห้า” อินเจอรายชื่อของตัวเองแล้วเลยเดินออกมาจากหน้ากระดาน ซึ่งกันต์ก็เดินตามออกมาติด ๆ แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะหน้าซีดเล็กน้อยเมื่อรู้ว่าไม่ได้อยู่ห้องเดียวกับเพื่อนสนิท
“กูสามหนึ่งสาม” ทั้งคู่รู้หมายเลขห้องแล้วก็ไปรับกุญแจห้องพักจากอาจารย์ประจำหอ
“ผมชื่อนายอินพักห้องสองศูนย์ห้าครับ ส่วนคนนี้ชื่อนายกันต์พักห้องสามหนึ่งสามครับ” อินบอกชื่อพร้อมทั้งระบุหมายเลขห้องของพวกเขาให้อาจารย์ประจำหอทราบและรับกุญแจห้องมา
“อาจารย์ชื่อพิทักษ์นะครับ นี่กุญแจห้อง ส่วนนี่เบอร์ของอาจารย์” เมื่อมองใกล้ ๆ ก็พบว่าอาจารย์พิทักษ์ตัวเล็กกว่าพวกเขามาก ส่วนสูงแทบจะเท่ากับนักศึกษาหญิงทั่วไปเลย แถมร่างกายยังผอมบางอีกด้วย
“พวกผมขนของไปไว้ในห้องได้เลยใช่มั้ยครับ”
“ใช่ครับ...จริงสิ ห้องสองศูนย์ห้าเพื่อนร่วมห้องติดต่อมาว่าจะขอย้ายเข้าหลังจากเสร็จกิจกรรมรับน้องนะครับ ยังไงก็รักษาความเป็นส่วนตัวของห้องพักอีกส่วนหนึ่งไว้ให้เพื่อนด้วยนะครับ”
“ครับ” สิ้นเสียงอาจารย์หอ คิ้วเข้มของเด็กหนุ่มก็ขมวดเข้าหากัน ทว่าปากกลับตอบรับคำพูดจากอีกฝ่ายไปซะแล้ว
“งั้นเดี๋ยวไปห้องกูก่อนละกัน” เดินออกมาจากอาจารย์หอได้ไม่ไกลอินก็พูดขึ้น กันพยักหน้าเล็กน้อยและตอบตกลง
“โอเค”
เด็กหนุ่มทั้งสองคนแบกกระเป๋าขึ้นบันไดไปชั้นสอง สายตาก็ไล่เรียงหาห้องหมายเลขสองศูนย์ห้า ก่อนจะเจอในที่สุด มือหนาของอินใช้กุญแจที่เพิ่งได้รับมาไขเปิดประตูและวางของไว้ปลายเตียงนอนที่อยู่ประตู
“มึงเก็บของเลยก็ได้ เดี๋ยวกูขึ้นไปห้องเอง” อินหันมองกันต์ทันทีพลางเลิกคิ้วสงสัย
“อารมณ์ไหนของมึง”
“กูก็โตขึ้นแล้วมั้ยวะ จะปล่อยให้ตัวเองขี้กลัวตลอดไปไม่ได้หรอก” เหตุผลที่อีกฝ่ายตอบกลับมาทำเอาอินรู้สึกใจหายเล็กน้อยเพราะที่ผ่านมาเขาคอยดูแลเพื่อนสนิทคนนี้เสมอ
“แน่ใจนะ” ถามอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ ถึงแม้จะใจหายแต่เขาก็ดีใจที่อีกฝ่ายเริ่มเติบโตขึ้นแล้ว ต่างจากเขาที่ไม่กล้าแม้แต่จะเปลี่ยนแปลงตัวเอง
“...”
“เอางี้ ให้กูขึ้นไปด้วย อย่างน้อยกูก็จะได้รู้ว่ามึงอยู่กับใคร ยังไงซะหลังจากนี้มึงก็ได้ใช้ชีวิตคนเดียวในห้องพักอยู่แล้ว ไว้มึงค่อย ๆ เรียนรู้ไป” เมื่อเห็นว่ากันต์ไม่ตอบกลับมาอินก็เข้าใจทันที การเริ่มต้นที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเองไม่ใช่เรื่องง่ายแต่กันต์ก็กล้าตัดสินใจ ฉะนั้นเขาจะคอยสนับสนุนอีกแรงอย่างค่อยเป็นค่อยไป
“อืม ตามนั้น”
ทั้งคู่เดินขึ้นบันไดมาอีกหลายสิบขั้นจนถึงชั้นสามในที่สุด ก่อนจะพบว่าหมายเลขห้องเรียงเหมือนกับชั้นสองเลย ทำให้การหาห้องของกันต์ง่ายกว่าครั้งแรกและไม่นานก็เจอห้องสามหนึ่งสาม ทว่าเมื่อกันต์จะใช้กุญแจไขเปิดประตูห้องก็มีนักศึกษาหนุ่มร่างบึกบึนคนหนึ่งเปิดประตูออกมาพอดี“สวัสดีครับ” เด็กหนุ่มผิวแทนกล่าวทักทาย“ดีครับ คนไหนพักห้องนี้เอ่ย” อีกฝ่ายซึ่งเป็นรุ่นพี่เห็นน้องใหม่ยืนอยู่หน้าห้องสองคนก็ถามขึ้นพร้อมรอยยิ้มที่เป็นมิตร“ผมครับ” กันต์ตอบกลับแบบไม่ค่อยเต็มเสียงนัก ก็รุ่นพี่ตรงหน้าดูน่ากลัวจะตายไป หุ่นนี่อย่างกับหมีเลย ถึงเขาจะตัวใหญ่ไม่แพ้กันแต่ก็ไม่อยากมีปัญหากับรุ่นพี่ที่หุ่นเป็นนำมวยปล้ำแบบนี้“อ่า เข้าไปจัดของได้เลย พี่จะออกไปข้างนอกหน่อย”“ผมให้เพื่อนเข้าไปด้วยได้มั้ยครับ”“...เอ่อ...” คำถามของกันต์ทำเอาอีกฝ่ายอึกอักเล็กน้อย อิ
ภายในเวลาไม่กี่นาทีนักศึกษาปีหนึ่งที่มีป้ายชื่อสีเขียวก็มารวมตัวกันตรงนี้ ภาพของผู้คนดูบางตากว่าตอนแรกไปมากเพราะเด็กปีหนึ่งถูกแบ่งออกเป็นหลายกลุ่ม ซึ่งตอนนี้รุ่นพี่หลายคนก็เริ่มจัดเตรียมอุปกรณ์สำหรับการทำกิจกรรมจนพร้อม และแล้วก็มีรุ่นพี่ผู้หญิงคนหนึ่งหยิบโทรโข่งขึ้นพร้อมอธิบายรายละเอียดกิจกรรม“สวัสดีค่าาา ยินดีต้อนรับน้อง ๆ ปีหนึ่งอีกครั้งนะคะ เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลาพี่ขออธิบายกิจกรรมแรกของกลุ่มสีเขียวเลยนะ กิจกรรมนี้มีชื่อว่าเต้นแร้งเต้นกาพาเพลิน~” เมื่อรู้ชื่อกิจกรรม เสียงโห่ร้องของเหล่ารุ่นพี่และน้อง ๆ ปีหนึ่งก็ดังขึ้นด้วยความครื้นเครง“กิจกรรมนี้ง่ายมาก ทุกคนแค่เต้นไปตามจังหวะเพลงที่พี่สตาฟเปิดให้ฟังนะคะ เต้นไปเรื่อย ๆ ถ้าน้องเต้นดี!เด้งแรง!ท่าโดนใจ!กิจกรรมก็จะสิ้นสุดลงทันที ถ้าพร้อมแล้วขอเชิญพี่ทีมสันทนาการร่วมเต้นกับน้องปีหนึ่งด้วยค่าาา” สิ้นเสียงอธิบายกิจกรรมจากรุ่นพี่คนสวย อินก็ยืนแน่นิ่งพร้อมเหงื่อเม็ดใหญ่ที่เริ่มผุดขึ้นมาตรงขมับ ให้ตายสิ กิจกรรมแรกต้องเ
“วิธีอะ- ว๊ากกกก” หมี่ยังพูดคำถามไม่ทันจบก็ถูกอินอุ้มขึ้นซะก่อน คนตัวเล็กส่งเสียงหวีดร้องน่ากลัวอินเอาลูกบอลที่ได้มา วางแนบไว้ข้างแก้มตัวเองและดันบอลให้ติดกับแก้มของคนตัวเล็กที่อยู่ในอ้อมแขน ความจริงแล้วอินคิดหาวิธีชนะเกมนี้ตั้งแต่ได้ยินกติกาแล้ว และหลังจากที่เขาคิดวิเคราะห์อยู่นานก็ได้คำตอบว่าวิธีนี้น่าจะเป็นวิธีที่ดีที่สุด“หนีบบอลไว้ให้แน่น ๆ ล่ะ กูจะวิ่งไป” อินพูดจบ เสียงเป่านกหวีดเริ่มแข่งขันก็ดังขึ้น ร่างสูงวิ่งตรงไปยังโต๊ะที่มีขวดโหลวางอยู่เบื้องหน้าพร้อมกับอุ้มร่างนักศึกษาชายของหมี่ไปด้วยคนตัวเล็กที่ถูกอุ้มนั้นก้มหน้างุดเพราะรู้สึกอายจนอยากจะแทรกแผ่นดินหนี นี่เขาเป็นผู้ชายนะ!ทำไมไอ้ยักษ์อุ้มราวกับว่าเขาตัวเบาแบบนี้!แถมยังวิ่งไปอีก โอ๊ยตายแล้ว! จบกันชีวิตสุดหล่อในรั้วมหาลัยฯ ของไอ้หมี่!แต่ถึงแม้ว่าคนตัวเล็กจะเขินจนตัวแดงขนาดไหนก็ยังแนบใบหน้าหนีบลูกบอลไว้อย่างดีพร้อมกอดคออินเอาไว้แน
เสร็จจากกิจกรรมรับน้อง ทุกคนก็แยกย้ายกันเดินทางกลับหอพัก บางคนกลับบ้านเช่าใกล้ ๆ มหาลัยฯ บางคนเดินทางกลับบ้าน ซึ่งอินก็เป็นหนึ่งในนั้น ร่างสูงของเด็กหนุ่มยืนรอโบกรถโดยสารเพื่อมุ่งหน้ากลับบ้าน ก่อนจะนึกได้ว่าวันนี้แม่ไม่อยู่และนั่นแปลว่าที่บ้านไม่มีอะไรกิน เขาจึงเดินออกมาจากจุดรอรถและเดินหาร้านค้าที่อยู่ละแวกนั้นแทนครืดดด ครืดดด“ดีขึ้นยัง” ทันทีที่รับสายอินก็ถามไถ่อาการอีกฝ่ายแต่เสียงของกันต์ที่ตอบกลับมานั้นเบาหวิวจนเด็กหนุ่มเกือบไม่ได้ยิน สงสัยอีกฝ่ายน่าจะยังปวดหัวอยู่“กูหิว”“จะกินไร เดี๋ยวกูซื้อไปให้” อินถามพลางหันมองรอบข้าง เขาเองก็ไม่เคยใช้ชีวิตแถวนี้ เลยไม่แน่ใจว่ามีร้านอาหารตามสั่งหรือร้านสะดวกซื้อตรงไหนบ้าง คิดว่าวันนี้เขาคงได้รู้เพราะต้องซื้อข้าวไปให้คนในสายนี่แหละ ถือว่าเป็นการเริ่มต้นที่ดีที่จะสำรวจรอบรั้วมหาลัยฯ“อะไรก็ได้” คิ้วเข้มของอินย่นขมวดเข้าหากันเพราะเมนูอะไรก็ได้นับเป็นปัญหาโลกแตกอย่างหนึ่ง ทันใดนั้นเองสายตาคมของเขาก็หันไปเห็นร้านค้าที่น่าสนใจ
สิ่งที่ทำให้อินขมวดคิ้วแน่นคือชั้นล่างที่ตอนนี้มืดสลัวไปหมดเพราะหลอดไฟถูกปิดไว้ทั้งบ้าน อินเลยเดินไปเปิดสวิตช์ให้บ้านสว่างขึ้น ก่อนจะตะโกนเรียกเพื่อนสนิทที่น่าจะนอนอยู่ชั้นบนให้ลงมากินข้าว“ไอ้กันต์ตื่นอยู่มั้ย! ลงมากินก๋วยเตี๋ยวก่อน” และเพราะแปลนบ้านที่ใกล้เคียงกับบ้านของตัวเอง อีกทั้งอินก็เดินเข้าออกบ้านนี้ตั้งแต่เด็กจึงทำให้รู้จักทุกซอกทุกมุมของบ้านนี้เป็นอย่างดี สองขายาวตรงดิ่งเข้าไปในครัวและหยิบหม้อที่แขวนอยู่ในตู้มาอุ่นก๋วยเตี๋ยว“กำลังไป!” ผ่านไปไม่นานเสียงเพื่อนสนิทก็ตะโกนดังมาจากชั้นสองพร้อมเสียงดังตึงตังเหมือนกับอีกฝ่ายกำลังรีบวิ่งลงมา ทว่าอินไม่สนใจสักนิด เขายังคงอุ่นก๋วยเตี๋ยวต่อไปจนรู้สึกว่าอาหารร้อนได้ที่แล้วก็เทใส่ชามใบโตและยกไปวางบนโต๊ะกินข้าว“หมี่พิเศษอีกรึเปล่า” กันต์ถามทันทีที่เดินมาถึงโต๊ะ“อืม”“คงมีแต่หวยอ่ะที่กูซื้อไม่ถูก” เด็กหนุ่มผิวแทนบ่นพลางยกมือขยี้หัวด้วยความหงุดหงิด ทั้งสองนั่งลงและแกะเครื่องปรุงใส่ในก๋วยเตี๋ยว“กิน ๆ เข้าไปเถอะ” อินยื่นช้อนและตะเกียบให้อีกฝ่าย ก่อนจะคีบก๋วยเตี๋ยวที่อยู่ตรงหน้าเข้าปากไป
“ดีนะที่เริ่มเรียนพรุ่งนี้ วันนี้มึงนอนพักเยอะ ๆ ล่ะ” อินพูดพร้อมเดินเข้าไปในตัวอาคารเพราะหลังจากนี้ทั้งคู่จะแยกย้ายกลับห้องพักตัวเอง“โอเค” กันต์พยักหน้างึกงักตามประสา“มีอะไ-” อินพูดไม่ทันจบก็มีเสียงอีกฝ่ายแทรกขึ้นมา“จะโทรไป” ซึ่งคำพูดนั้นคือประโยคที่เขาจะบอก กันต์ชูมือถือและเดินขึ้นบันไดไปชั้นสาม ขณะเดียวกันอินก็เดินมาหยุดนิ่งอยู่หน้าห้องตัวเอง ไม่ยอมเปิดเข้าไปสักที คงเป็นเพราะเสียงที่ดังโครมครามมาจากด้านใน...กึกกัก! ตึง!เคร้งงง!!“เสียงอะไรวะ” รู้สึกว่าช่วงนี้จะมีแต่สถานการณ์ที่ทำให้คิ้วของเขาต้องขมวดเข้าหากันจนรู้สึกปวดหัวไปหมด แล้วครั้งนี้เขาต้องเจอกับเรื่องอะไรอีกล่ะเนี่ย‘ห้องสองศูนย์ห้า...เพื่อนร่วมห้องติดต่อมาว่าจะขอย้ายของเข้าหลังจากเสร็จกิจกรรมรับน้องนะครับ’“หรือจะย้ายเข้ามาแล้ว” เสียงของอาจารย์หอที่ดังขึ้นในหัวทำให้อินนึกถึงเรื่องของเพื่อนร่วมห้องคนนี้ได้ทันที นายภูริวัฒน์คนนั้นมาแล้วสินะมือหนาของอินหมุนลูกบิดประตูและชะเง้อมองส
“อะ...อื้ออ~...เฮ้ย!เริ่มมืดแล้วนี่!กี่โมงแล้ว!” เสียงบิดขี้เกียจดังขึ้น ก่อนจะตามมาด้วยเสียงเอะอะโวยวายตามเอกลักษณ์ของเจ้าตัว“สองทุ่มสิบสามนาที” อินที่กำลังวิดพื้นอยู่ข้างเตียงตอบกลับทันทีเพราะตอนนี้เขาจับเวลาในออกกำลังกายอยู่“...สะ...สองทุ่ม!!!” ตะโกนอีกแล้ว ตอนเด็กกินโทรโข่งเข้าไปรึไงนะถึงได้ตะเบ็งเสียงเก่งขนาดนี้ อยากถามจริง ๆ ว่าไม่รู้สึกเจ็บคอบ้างเลยเหรอ“มึงจะตะโกนทำไมเนี่ย มันรบกวนข้างห้อง” หมี่ลุกขึ้นจากเตียงและเดินตรงมาหาเด็กหนุ่ม“ก็คุยกันแล้วนี่!ว่าจะไปซื้อเห-” อินรีบพุ่งตรงไปปิดปากคนตัวเล็กในเสี้ยววินาทีก่อนที่อีกฝ่ายจะพูดคำว่าเหล้าออกมาเพราะกลัวว่าข้างห้องอาจได้ยินเสียงของพวกเขา ด้วยแรงที่อินพุ่งหาหมี่บวกกับน้ำหนักตัวของอินทำให้คนตัวเล็กไม่อาจต้านทานไว้อยู่จนทั้งคู่เซล้มไปบนเตียง“ชู่ว!อย่าพูดคำนั้นออกมานะ” โชคดีที่อินพลิกตัวทันเลยใช้ร่างกายของตัวเองรองรับแรงกระแทกแทนหมี่ มือขวาก็เผลอคว้าเอวอีกฝ้ายไว้แน่น“อื้ออ
อุก อ้วกกกกก!!!!“เฮ้ย!” ชัดเจน สิ่งที่พวยพุ่งออกมาจากปากของคนตัวเล็กถือเป็นคำตอบอย่างดีให้กับคำถามของเขาเศษอาหารที่หมี่อาเจียนออกมานั้นทำให้รู้เลยว่าก่อนหน้านี้อีกฝ่ายกินอะไรเข้าไปบ้าง แถมตอนนี้สิ่งพวกนั้นก็เปรอะเปื้อนไปทั่วเสื้อยืดแขนสั้นสีขาวตัวโปรดของเขาอีกด้วย โอ้โห กลิ่นก็สุดจะบรรยายทำเอาอินหลุดสบถออกมาอีกจนได้“ไอ้หมี่! มึงนี่มันตัววุ่นวายของจริงเลยว่ะ ทำไมกูต้องมาเจออะไรแบบนี้จากคนอื่นที่ไม่ใช่คนในครอบครัวด้วยวะ” ถึงแม้ว่าหมี่จะอ้วกใส่แต่อินก็ไม่ปล่อยมือที่โอบเอวบางไว้ เด็กหนุ่มยกมืออีกข้างขึ้นเสยผมเผยให้เห็นเส้นเลือดที่ปูดขึ้นตรงขมับท้ายที่สุดแล้วอินก็พาหมี่ไปอ้วกในห้องน้ำได้สำเร็จและรีบออกมาเช็ดอ้วกที่เลอะเทอะหน้าประตูห้องน้ำ ก่อนที่เด็กหนุ่มจะถือวิสาสะถอดเสื้อเปื้อนอ้วกของอีกฝ่ายออกและหยิบผ้าขนหนูชุบน้ำ เช็ดไปตามเนื้อตัวของคนตัวเล็ก วินาทีที่ความเย็นจากผ้าขนหนูอันเปียกชุ่มสัมผัสร่างกายสีขาวอมชมพูก็ทำเอาคนตัวเล็กสะดุ้งเล็กน้อยพร้อมขนลุกชูชันมือหนาลูบไล้ผ้าเปียกไปตามส่วนต่าง ๆ พลางสอดส
...ท่ามกลางบรรยากาศที่ห้อมล้อมไปด้วยความอบอุ่น ช่วงก็เวลาล่วงเลยผ่านไปวันแล้ววันเล่า ทว่าทั้งคู่ก็ยังสามารถประคับประคองความสัมพันธ์ครั้งนี้ได้อย่างดีเยี่ยมนอกเหนือจากเรื่องความรักของอินและหมี่ ก็มีเรื่องของคนตัวเล็กและพี่ชายที่นับวันจะยิ่งเข้าใจกันมากขึ้น ตอนนี้พี่แมนเข้าถึงง่ายกว่าเมื่อก่อนเยอะมากและดูเหมือนว่าพี่จะมีแฟนด้วย ไม่คิดเลยว่าจะได้เห็นพี่ชายในมุมคลั่งรักใครสักคนทางด้านครอบครัวของอิน นับตั้งแต่มีการคุยเปิดอกกันในตอนนั้น ทุกคนก็มีความสุขตลอดมาและมีการทำกิจกรรมร่วมกันเพื่อสร้างความทรงจำที่ดีเช่น การให้พ่อและอินเป็นเชฟทำกับข้าวในช่วงวันหยุด โดยมีแม่และหมี่คอยยืนดูพร้อมทั้งเอาใจช่วยอยู่ห่าง ๆ หรือกิจกรรมไปเที่ยว ซึ่งแน่นอนว่าหมี่ก็ติดสอยห้อยตามไปทุกที่เพิ่มเติมคือตอนนี้น้าเกดกลับจากการทำงานต่างประเทศและได้มาดูแลลูกชายอย่างเต็มที่แล้ว กันต์เองก็เข้ารับการรักษาต่อเนื่องจนเรียกได้ว่าสามารถกลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติแล้ว แถมยังมาบ้านอินบ่อยขึ้นกว่าแต่ก่อนอีกด้วยและวันนี้ก็เช่นกันวันนี้เป็นวันครบรอบการจากไป
“หมี่” เสียงเรียกชื่อจากคนรักเบาบางจนเกือบไม่ได้ยิน ทว่าร่างกายของทั้งสองคนแนบชิดติดกันมากพอที่จะทำให้ทั้งคู่ได้ยินเสียงของอีกฝ่ายอย่างชัดเจน“เรามีความสุขด้วยกันได้ จริงมั้ย” รอยยิ้มสดใสถูกส่งมาให้เด็กหนุ่มเหมือนอย่างเคย“ดีจริง ๆ ที่เป็นมึง” อินขยับตัวเข้าหาเจ้าของรอยยิ้มเพื่อแบ่งปันไออุ่นจากร่างกายของกันและกันแต่มือเล็กกับดันตัวเขาไว้พร้อมเอื้อมหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมา“นี่ ๆ ลองทำอันนี้กัน”“อะไร” กำลังเข้าด้ายเข้าเข็มอยู่เลยเชียว ถึงเขาจะรู้สึกเสียดายแต่ไม่เป็นไร หลังจากนี้เขามีเวลาได้ใกล้ชิดกันอีกเยอะ“วิธีที่ทำให้รักกันยืนยาว มันเป็นคำถามอ่ะ คำถามที่จะทำให้คุณรู้จักคนรักมากขึ้น” ดวงตากลมโตแป๋วแหว๋วมองตรงที่หน้าจอและขยับปากอ่านตามตัวอักษรในนั้น“ไปหาอะไรแบบนี้ไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่”“กูก็หาไปเรื่อยอ่ะ ว่าไง สนใจลองตอบคำถามดูมั้ย”“ลองดู เผื่อเราจะได้รู้จักกันมากขึ้น”ระหว่างที่ผลัดกันถา
ทางด้านของอินที่กำลังเดินหิ้วถุงขยะในบ้านออกมาทิ้งหลังจากกินข้าวเสร็จก็เห็นพ่อเดินตามหลังมาเลยอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามด้วยความสงสัยเพราะปกติเวลากินข้าวเสร็จ พ่อจะชอบนั่งดูรายการข่าวทางโทรทัศน์“วันนี้พ่อไม่ดูข่าวเหรอครับ ถ้าจะทิ้งขยะก็ฝากมากับอินได้นะ เดี๋ยวอินเอามาทิ้งให้” ทว่าคำถามนี้กลับไม่ได้รับคำตอบใด ๆ เพราะคนเป็นพ่อเดินมากอดคอเขาแทน“พ่อออกมาเพราะอยากปล่อยให้สองคนนั้นเค้าคุยกันน่ะ” พูดพลางบุ้ยคางไปในบ้าน ซึ่งสองคนที่ว่าก็คือแม่กับหมี่สินะ“ครับ”“ส่วนเราเองอ่ะ จริงจังกับคนนี้มากถึงขั้นพามาให้พ่อแม่รู้จักแล้วก็อย่าเปลี่ยนคนซะล่ะ พ่อขี้เกียจมานั่งทำความรู้จักกับคนใหม่อีก” อินยิ้มเล็กน้อยและทิ้งขยะลงถังหน้าบ้าน“อินก็ไม่รู้ว่าจะเดินร่วมทางกับหมี่ไปได้ไกลขนาดไหนแต่จะพยายามประคับประคองความสัมพันธ์ไปเรื่อย ๆ ครับพ่อ” ก่อนจะเอ่ยปากรับคำคนเป็นพ่อ“ดีแล้ว เห็นอินได้เริ่มต้นชีวิตใหม่ไปพร้อมกับใครสักคน พ่อก็ดีใจ” พ่อยิ้มแป้นยกมือกอดอก“อินก็ดีใจท
เมื่อทุกคนก็กินข้าวกันเสร็จเรียบร้อยก็ได้เวลาทำความสะอาดโต๊ะอาหารและจานชาม อินลุกขึ้นเก็บรวบรวมจานไปไว้ในอ่างล้างจานอย่างที่เคยทำ ส่วนหมี่ก็ช่วยคุณป้าเก็บเมนูกับข้าวที่เหลือใส่ในตู้กับข้าวจนกระทั่งเห็นว่าอินไม่ได้ล้างจานแต่กลับเดินไปที่ถังขยะและยกถุงขยะออกมาเพื่อจะเอาไปทิ้งหน้าบ้าน หมี่เลยอาสาเดินไปจัดการให้เอง เรื่องนี้หมี่ถนัด! ระหว่างที่กำลังเทเศษอาหารในจานใส่ถุงใหม่ก็ได้ยินเสียงคุณป้าดังขึ้นมา“ขอบคุณมากนะ สงสัยต้องเป็นเพราะลูกหมี่แน่ ๆ เลย ช่วงนี้พี่อินดูมีชีวิตชีวาขึ้นกว่าแต่ก่อนอย่างเห็นได้ชัด”“เหรอครับ ผมว่าตอนนี้อินก็ยังชอบปั้นหน้ายักษ์อยู่นะ” หมี่พูดจากใจจริงเลยนะเนี่ย เขาไม่รู้หรอกว่าในสายตาของผู้ใหญ่มองไอ้อินเป็นยังไงแต่สำหรับเขา มันคือไอ้ยักษ์!“ฮ่าฮ่าฮ่า!อันนั้นคือปกติของเขาแหละแต่แม่ที่จะบอกคือตอนนี้พี่อินยิ้มเยอะขึ้นจริง ๆ”“เรื่องนั้นผมก็รู้สึกได้ครับ เมื่อก่อนนะมันชอบปั้นหน้าเป็นตูดลิงจนไม่มีใครกล้าคุยด้วยเลยครับ” หมี่อดไม่ไหวที่จะพูดถึงเรื่องนี้พลางนึกถึงวันแรก
รูปเด็กผู้ชายแสนธรรมดาที่กำลังยิ้มแย้มแจ่มใสราวกับโลกทั้งใบของเขาเต็มไปด้วยความสนุกสนาน เสียงหัวเราะและ ความสุขพลางคิดว่านี่สินะดวงใจของบ้านหลังนี้ วินาทีนั้นเอง หมี่ก็รู้สึกปวดหนึบตรงหัวใจขึ้นมา...เพราะหมี่รู้ดีว่ากว่าจะผ่านช่วงเวลาแห่งความเศร้าโศกมันเป็นยังไง“อัน คนนี้เป็นเพื่อนพี่อินนะลูก เขาชื่อหมี่ เขาอยากมาทักทายอันน่ะ” แม่พูดแนะนำแขกให้คนในรูปได้รู้จักและยิ้มอ่อน“อะ...เอ่อ...หวัดดี ได้ยินเรื่องของมึงจากไอ้อินเยอะเลย หวังว่าอยู่ทางนั้นจะสบายดีนะ” หมี่เลยเอ่ยคำทักทายตามปกติ ทว่าตัวเขาไม่ค่อยได้คุยกับคนที่จากไปแล้วสักเท่าไหร่เลยพูดแบบติด ๆ ขัด ๆ ไปบ้างแต่ก็พยายามพูดคุยตามปกติ“กูเป็นรูมเมทไอ้อินนะ ตอนแรกที่ได้เจอกัน หน้าตามันตึงเครียดสุด ๆ กูกลัวมากเลย...แต่ตอนนี้ทุกอย่างโอเคขึ้นแล้ว” พูดไปพลางยกมือยกไม้ทำหน้าท่าทางเลียนแบบบุคคลที่ถูกพาดพิงอย่างอินได้แบบออกรส“มันพูดเยอะขึ้น ไม่คิ้วขมวดปั้นหน้าเป็นยักษ์แถมยังใช้ชีวิตไร้สาระมากขึ้นด้วย ฮ่าฮ่าฮ่า ถึงกูจะรู้สึกไม่ดีที่ชวนมันทำเรื่องเหลวไหลก็เถอะแต
“ขนอะไรไปเยอะแยะ” เมื่อถึงวันเสาร์อาทิตย์ที่นัดกันไว้ อินก็พาหมี่ไปแนะนำตัวกับพ่อแม่แต่ตอนนี้ยังไม่ได้ขึ้นรถกันเลยเพราะคนตัวเล็กมัวแต่เตรียมของฝาก กว่าจะได้ออกจากห้องพักก็กินเวลาไปนานทีเดียว“ของฝากติดไม้ติดมือไง” ริมฝีปากบางขยับตอบยุกยิก ขณะที่มือทั้งสองข้างถือถุงผ้าที่เต็มไปด้วยของกินมากมาย“หืม เมนูมัดใจอะไรนั่นเหรอ” อินเลิกคิ้วถามและเอื้อมมือไปช่วยถือ“ใช่แล้ว มีขนม นมและผลไม้ด้วยนะ” หมี่หันมายิ้มแป้นแบบภาคภูมิใจสุด ๆ ที่ได้ซื้อของดีไปฝากผู้หลักผู้ใหญ่ กลับกันอินที่เห็นของทั้งหมดก็เผลอขมวดคิ้ว“เยอะเกินไปรึเปล่า แค่ทำกับข้าวไปฝากก็พอแล้ว”“คือจู่ ๆ กูก็กลัวว่าเมนูมัดใจจะไม่อร่อยอ่ะ เลยคิดว่าซื้อของฝากอย่างอื่นติดมือไปด้วยดีกว่า” คนตัวเล็กตอบเสียงเบาพลางหลบตาและเม้มปากอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ“อย่าคิดมาก ยังไงแม่กูก็ทำกับข้าวไว้ให้อยู่แล้ว”“หมายความว่ายังไง! นี่จะบอกว่ากับข้าวกูไม่อร่อยเหรอ” เสียงโวยวายจากเจ้าของอาหารดังขึ
อ๊ากกกกกก!!!“เป็นอะไรหมี่!” อินได้ยินเสียงคนตัวเล็กตะโกนดังแต่เช้าก็สะดุ้งตื่นด้วยความตกใจ“ผีหลอก!!!!” หมี่ยังคงส่งเสียงกรีดร้องด้วยความตกใจเพราะตื่นมาก็เห็นแขนของใครไม่รู้พาดอยู่ตรงเอวบางของตน“ผีอะไร!” อินถึงกับคิ้วขมวด เขาไม่เข้าใจว่าคนตัวเล็กกำลังพูดถึงเรื่องอะไร“ขะ...ขะ...แขนใครไม่รู้!...ฮือออ” หมี่หลับตาปี๋และชี้นิ้วไปตรงเอวของตัวเอง“แขนอะไร?” อินยิ่งงงเข้าไปใหญ่เพราะแขนแกร่งของเขาที่กอดเอวอีกฝ่ายก็ยังปกติดี“เอ๊ะ!เดี๋ยวนะ!” เสียงกรีดร้องแปรเปลี่ยนเป็นความฉงน หมี่ลืมตาขึ้นอย่างช้า ๆ และมองเจ้าของเสียงที่ตนสนทนาด้วย“ไอ้ยักษ์!” ก่อนจะยกกำปั้นและออกแรงทุบไปที่ต้นแขน ของอีกฝ่าย“โอ๊ย!ตีกูทำไมเนี่ย” เมื่อรับรู้ว่าแขนปริศนามีเจ้าของและไม่ได้โดนผีหลอก หมี่ก็ขยี้หัวระบายความหงุดหงิด“ฮืออ...กูนึกว่าผีหลอกกู!ไอ้บ้าเอ๊ย!”“ผีอะไรจะมาหลอกมึงตอนเช้าแบบนี้”
อินวางโทรศัพท์มือถือไว้ข้างหมอน ก่อนจะดึงร่นกางเกงนอนลงเพื่อให้แท่งเนื้อที่กำลังผงาดอย่างแข็งขืนได้โผล่ออกมาเจอโลกภายนอก วินาทีที่อวัยวะส่วนที่อ่อนไหวที่สุดกระทบความเย็นจากเครื่องปรับอากาศก็สร้างความเสียวซ่านขึ้นมาอย่างน่าประหลาด มือหนาเลื่อนลงไปกอบกุมแท่งเนื้อที่ตอนนี้กลายเป็นแท่งร้อนเพราะเลือดที่สูบฉีดทั่ว“อ่าาา~” เสียงแห่งความสุขสมเล็ดลอดออกมาให้ได้ยินเล็กน้อย ผ่านไปแล้วสิบนาที มือหนาก็ยังคงชักรูดแท่งนั้นขึ้นลงอย่างคล่องแคล่วและไม่ผ่อนความเร็วลงแม้แต่น้อยจนน้ำเมือกที่เป็นสารหล่อลื่นเริ่มปริ่มออกมาผ่านไปอีกสามสิบนาที ความร้อนในร่างกายก็พุ่งสูงขึ้นตามอารมณ์ความใคร่ที่กำลังปะทุอยู่ นิ้วหัวแม่มือก็ลูบวนรอบส่วนหัวแท่งเนื้อเมามันพลางขบกรามแน่นเป็นระยะ มือสากของตัวเองยังทำให้รู้สึกดีมากขนาดนี้แล้วถ้าเปลี่ยนเป็นมือนุ่มนิ่มของอีกฝ่ายจะรู้สึกดีขนาดได้“หมี่~ ฮึ่มม” เสียงเรียกชื่อคนตัวเล็กที่ออกมาจากปากของตัวเอง ทำไมฟังดูกระเส่าเย้ายวนขนาดนี้ มันยิ่งทำให้ความอยากเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวซึ่งเด็กหนุ่มก็เคลิบเคลิ้มไปในโลกที่ตัวเอ
ครืดดดด ครืดดดด“อ๊ะ! ทำยังไงดีไอ้ยักษ์โทรมา!” ดวงตากลมโตเบิกกว้างพร้อมอาการลุกลี้ลุกลนทำอะไรไม่ถูกเราสองคนไม่เคยต้องโทรหากันตอนกลางคืนเลยเพราะปกติก็นอนด้วยกันตลอด ถ้าต้องโทรคุยกันน่าจะรู้สึกแปลกใหม่ดีเหมือนกัน คนตัวเล็กนอนจับมือถือพลิกไปพลิกมาบนเตียงครู่หนึ่ง ก่อนจะตัดสินใจกดรับในที่สุด ทว่าสายตัดไปแล้ว...“อ้าว!วางไปแล้ว” หมี่ถึงกับเหวอจนนิ่งค้างไปชั่วขณะ“เอาไงดีเนี่ย โทรกลับไปดีมั้ย แล้วจะคุยอะไรล่ะ โอ๊ยยย!จะบ้า!” ด้วยความตื่นเต้นบวกกับความเขินอายเลยทำให้หมี่ไม่ได้กดโทรกลับไปหาอีกฝ่ายสักทีครืดดดด ครืดดดด“อ๊ะ!โทรกลับมาแล้ว อะแฮ่ม!” หมี่สะดุ้งเล็กน้อยเมื่อโทรศัพท์สั่นอีกครั้ง ก่อนจะกระแอมเสียงและกดรับสาย“หมี่” เมื่อได้ยินเสียงเรียกชื่อจากปลายสายหัวใจของหมี่ก็พองโตอย่างไม่มีสาเหตุ อะไรจะเสียงหล่อปานนั้นพ่อคู๊ณณณณ“โทรมามีไร” ทว่าเจ้าตัวต้องพยายามตอบกลับด้วยน้ำเสียงปกติเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายรู้ว่าตัวเองกำลังตื่นเต้นและเลิ่กลั่กมากขนาดไหน“ทำอะไรอยู่” “กำลังจะนอน” หมี่ซุกหน้าเข้าหาผ้าห่มผืนหนาก่อนตอบ“กูโทรมากวนรึเปล่า นอนเลยมั้ย” ได้ยินประโยคนี้ก็ถึงกับดีดหน้าออกจากผ้าห่มด้วยความลืมต