Home / LGBTQ+ / อินกินหมี่ / บทที่ 1 ผมชอบหมี่ (4/6)

Share

บทที่ 1 ผมชอบหมี่ (4/6)

last update Last Updated: 2024-11-17 10:15:24

ทั้งคู่เดินขึ้นบันไดมาอีกหลายสิบขั้นจนถึงชั้นสามในที่สุด ก่อนจะพบว่าหมายเลขห้องเรียงเหมือนกับชั้นสองเลย ทำให้การหาห้องของกันต์ง่ายกว่าครั้งแรกและไม่นานก็เจอห้องสามหนึ่งสาม ทว่าเมื่อกันต์จะใช้กุญแจไขเปิดประตูห้องก็มีนักศึกษาหนุ่มร่างบึกบึนคนหนึ่งเปิดประตูออกมาพอดี

“สวัสดีครับ” เด็กหนุ่มผิวแทนกล่าวทักทาย

“ดีครับ คนไหนพักห้องนี้เอ่ย” อีกฝ่ายซึ่งเป็นรุ่นพี่เห็นน้องใหม่ยืนอยู่หน้าห้องสองคนก็ถามขึ้นพร้อมรอยยิ้มที่เป็นมิตร

“ผมครับ” กันต์ตอบกลับแบบไม่ค่อยเต็มเสียงนัก ก็รุ่นพี่ตรงหน้าดูน่ากลัวจะตายไป หุ่นนี่อย่างกับหมีเลย ถึงเขาจะตัวใหญ่ไม่แพ้กันแต่ก็ไม่อยากมีปัญหากับรุ่นพี่ที่หุ่นเป็นนำมวยปล้ำแบบนี้

“อ่า เข้าไปจัดของได้เลย พี่จะออกไปข้างนอกหน่อย”

“ผมให้เพื่อนเข้าไปด้วยได้มั้ยครับ”

“...เอ่อ...” คำถามของกันต์ทำเอาอีกฝ่ายอึกอักเล็กน้อย อินเห็นว่ารุ่นพี่คนนั้นมีท่าทีไม่สบายใจก็พูดอธิบาย

“ผมชื่ออินครับอยู่ห้องสองศูนย์ห้าคือผมแค่อยากมาดูว่าเพื่อนอยู่ห้องเดียวกับใคร ไม่มีอะไรให้ต้องกังวลเลยครับ” น้ำเสียงของอินฟังดูจริงจังและหนักแน่นจนทำให้รุ่นพี่ยอมใจ

“ก็ได้...ยังไงก็อย่าทำเรื่องวุ่นวายล่ะ” การกระทำดังกล่าวทำให้รุ่นพี่รู้สึกดีและมองว่าเด็กหนุ่มทั้งสองคนคงไม่ทำอะไรเสียหาย เลยอนุญาตและ กล่าวเตือนเล็กน้อย ก่อนจะเดินจากไป

“คนอะไรจะตัวใหญ่ได้ขนาดนั้น” เงาของรุ่นพี่ไม่ทันจะหายลับตา เสียงของกันต์ก็ดังพึมพำขึ้นทันที

“แต่พี่เค้าดูเป็นคนใจดีนะ ไม่งั้นคงไล่กูกลับห้องไปนานละ” อินพูดพลางคิดว่ารุ่นพี่คนนั้นดูเป็นคนใจดีจริง ๆ เพราะการที่อีกฝ่ายเชื่อมั่นในตัวพวกเขาขนาดนี้แสดงว่าเป็นพื้นฐานก็คงเป็นคนดีอยู่ไม่น้อย

“มึงกลับห้องได้ละ” อินที่กำลังคิดอะไรเพลิน ๆ ก็ต้องย่นคิ้วทันทีเพราะคำพูดจากเพื่อนสนิทที่ตอนนี้จัดวางสัมภาระอยู่บนเตียง ก่อนจะเอ่ยถามตามปกติเพื่อให้แน่ใจ

“ให้กูอยู่ช่วยจัดของก่อนมั้ย” คำถามนั้นทำให้กันต์หยุดมือที่กำลังจะเปิดกระเป๋าและหันหน้ามองอิน

“กูพูดจริงนะไอ้อิน กูรู้ว่าตัวเองเป็นคนขี้กลัวขี้ขลาด แต่มึงไม่ต้องดูแลกูขนาดนี้ก็ได้ แค่มึงเดินมาเป็นเพื่อนจนถึงห้องพักเนี่ย กูก็สบายใจแล้ว มึงเป็นคนพูดเองว่าต่อไปกูก็ต้องใช้ชีวิตคนเดียว ให้กูค่อย ๆ เรียนรู้ไปอ่ะ อีกอย่างคือกูไม่ใช่น้องชายมึงนะ...”

“...โอเค...งั้นกูกลับห้องก่อน มีอะไรก็โทรมา” น้ำเสียงที่ตอบกลับไปฟังดูเศร้าหมองกว่าปกติแต่อินรู้ดีว่าเพื่อนสนิทพูดด้วยเหตุผลไม่ใช่อารมณ์

“เออ แล้วมึงก็ไม่ต้องเก็บคำพูดกูไปคิดมากอีกล่ะ ที่กูพูดไปเพราะอยากให้มึงได้ใช้ชีวิตของมึงบ้างเหมือนกัน กูไม่มีอะไรในใจทั้งนั้น” กันต์แตะบ่าอินเบาๆ อย่างรู้ใจ

“เออน่า กูเข้าใจแล้ว” อินพยักหน้างึกงักและเดินกลับห้องตัวเอง

เมื่อถึงห้องพัก อินหยุดนิ่งยืนมองตัวเลขสีทองที่ติดอยู่หน้าประตู เขาหลับตาลงครู่หนึ่ง สูดลมหายใจเข้าจนสุดปอด ก่อนจะปล่อยลมหายใจออกมาพรูใหญ่ราวกับกำลังระงับความวิตกกังวลภายในจิตใจ

“หรือความจริงแล้วเป็นตัวกูเองที่ขี้กลัว”

สองขายาวก้าวเข้าห้องและทำความสะอาดเท่าที่ทำได้ ก่อนจะจัดแจงสัมภาระที่ขนมาให้เข้าที่เข้าทาง เสื้อผ้าประเภทชุดนักศึกษาถูกนำไปแขวนไว้ในตู้ล๊อกเกอร์อย่างเรียบร้อย ขณะที่เสื้อผ้าทั่วไปถูกพับเก็บและเรียงไว้ในลิ้นชักด้านล่างตู้ รวมถึงอุปกรณ์ออกกำลังกายก็ถูกจัดไว้ในซอกมุมข้างโต๊ะไม้

ใช้เวลาเพียงไม่กี่ชั่วโมง เด็กหนุ่มก็จัดสรรของทุกอย่างให้อยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสมและสะดวกต่อการใช้งานได้สำเร็จ รวมถึงจัดของจิปาถะเล็กน้อย เช่น อุปกรณ์อาบน้ำหรืออุปกรณ์การเรียนให้เป็นระเบียบด้วยเช่นกัน ก่อนจะหย่อนก้นลงบนเบาะนอนแสนบางที่วางอยู่บนเตียงเหล็กสองชั้นแข็ง ๆ พลางเหม่อมองไปยังพื้นที่โล่งกว้างอีกฝั่ง

‘ภูริวัฒน์’ 

ถึงแม้ว่าเด็กหนุ่มจะเห็นชื่อนี้เพียงแค่ครั้งเดียวจากกระดานรายชื่อแต่เขาจำมันได้ขึ้นใจเพราะนั่นคือชื่อเพื่อนร่วมห้องที่เขาต้องใช้ชีวิตอยู่ด้วยจนกว่าจะเรียนจบมหาลัยฯ คิดว่าคงเป็นอย่างนั้นถ้าอีกฝ่ายไม่ชิงย้ายหอไปเสียก่อน จะว่าไปเจ้าของชื่อนี้จะเป็นคนแบบไหนกันนะ

เราสองคนจะนิสัยเข้ากันได้รึเปล่า ถ้าเขาออกกำลังกายในห้องพักอีกฝ่ายจะบ่นเหม็นเหงื่อมั้ยนะ สงสัยคงต้องจัดตารางฝึกนอกสถานที่ซะแล้วหรือไม่ก็ต้องไปสมัครเข้าฟิตเนสแทน จริงสิ ถ้าอีกฝ่ายเป็นพวกหัวรุนแรงจะทำยังไงดีล่ะ ยิ่งคิดยิ่งเลยเถิดไปกันใหญ่จนต้องสะบัดหัวเพื่อสงบสติอารมณ์

ครืดดด ครืดดด

แรงสั่นสะเทือนจากโทรศัพท์มือถือช่วยเบี่ยงเบนความคิดมากของอินได้ทันท่วงที มือหนากดรับสายและเงียบฟังสิ่งที่อีกฝ่ายพูด

“จัดของเสร็จยัง” ซึ่งปลายสายก็ไม่พ้นนายกันต์นั่นเอง

“เสร็จแล้ว มีอะไรรึเปล่า”

“กูเพิ่งจัดของเสร็จเลยว่าจะเอารถกลับไปจอดไว้ที่บ้าน วันรับน้องค่อยนั่งแท็กซี่มา มึงจะกลับเลยมั้ย” อินเงียบไปและคิดตาม ถึงแม้ว่างานรับน้องจะจัดขึ้นในอีกสองวันข้างหน้าแต่เขาก็ยังไม่อยากนอนค้างที่หอพักวันนี้

“กลับ บอกพ่อไว้ว่าวันนี้แค่มาทำความสะอาดห้อง ไม่ได้บอกว่าจะมานอนค้าง”

“เค เจอกันข้างล่าง”

.

.

.

หลังจากนั้นเด็กหนุ่มทั้งสองคนก็กลับบ้านและใช้ชีวิตตามปกติ ซึ่งนั่นสร้างความงุนงงแก่พ่อแม่ไม่น้อยเพราะอีกสองวันก็ต้องเข้าร่วมกิจกรรมของทางมหาลัยฯ แล้ว แต่ทำไมเด็กหนุ่มพวกนี้ถึงไม่นอนค้างที่หอพักเพื่อสร้างสัมพันธไมตรีกับเพื่อนคนอื่นกันนะ

จนกระทั่งวันรับน้องได้มาถึง อินนั่งรถโดยสารมาลงหน้ารั้วมหาลัยฯ เพียงคนเดียวเพราะกันต์มีอาการปวดหัวขั้นรุนแรงและป่วยหนักจนไม่สามารถเข้าร่วมกิจกรรมได้ เมื่อวานอินก็โทรติดต่ออาจารย์หอเพื่อขอช่วยให้ประสานงานเรื่องยกเว้นการเข้าร่วมกิจกรรมของกันต์เรียบร้อยแล้ว และตอนนี้อินก็มายืนอยู่ตรงลานกว้างที่เต็มไปด้วยใครก็ไม่รู้

ณ ลานกิจกรรมของมหาวิทยาลัย XX นักศึกษาชั้นปีที่หนึ่งมากหน้าหลายตาต่างก็หลั่งไหลมารวมตัวกันตรงพื้นที่แห่งนี้เพื่อให้เข้าร่วมกิจกรรมรับน้องประจำปีการศึกษานี้ หลายคนมาด้วยกันก็จะรวมตัวเป็นกลุ่มได้เร็ว บางคนมาเป็นคู่ก็จะยืนอยู่ใกล้กัน ขณะที่รุ่นพี่จากคณะต่าง ๆ ก็มาช่วยกันคอยสอดส่องดูแลรุ่นน้อง คอยดำเนินงานให้เป็นไปด้วยความราบรื่น

ท่ามกลางผู้คนมากมาย ร่างสูงของอินก็ถูกหลายสายตาจับจ้องเพราะเขาดูโดดเด่นมาก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องรูปร่างหน้าตาหรือกริยาท่าทาง ทุกอย่างดูดีไปหมด เสียอย่างเดียวคือใบหน้านั้นไม่มีรอยยิ้มเลยแม้แต่น้อย ซึ่งนั่นทำให้ใบหน้าคมดูดุดันจนไม่มีใครกล้าเข้าใกล้

“เขียนชื่อเล่นนะครับ” กระดาษแข็งสีเขียวสว่างแผ่นหนึ่งถูกยื่นมาให้เขาพร้อมเชือกขาวแดหนึ่งเส้นงสำหรับทำป้ายชื่อ

อินมองหน้ารุ่นพี่ที่ส่งอุปกรณ์พวกนั้นมาให้ ก่อนจะยื่นมือออกไปรับและหันมองเพื่อนร่วมชั้นที่นั่งอยู่รอบข้าง ส่วนใหญ่ก็เริ่มลงมือเขียนป้ายชื่อกันแล้ว เด็กหนุ่มรอให้เพื่อนคนหนึ่งเขียนเสร็จก่อน แล้วขอยืมปากกาต่อจากอีกฝ่าย อินเขียนชื่อเล่นและร้อยเชือกขาวแดงเพื่อให้เป็นสายคล้องคอ

“เขียนชื่อเสร็จกันรึยังครับ เขียนเสร็จแล้วรบกวนแขวนป้ายชื่อและหันมาฟังทางนี้หน่อยครับ” พี่ว้ากตะเบ็งเสียงผ่านโทรโข่งดังมากจนทำให้เหล่ารุ่นน้องสะดุ้งโหยงนั่งหลังตรงกันเป็นแถว ก่อนจะหันไปทางเดียวกันอย่างพร้อมเพรียง

“ยินดีต้อนรับน้อง ๆ เข้าสู่รั้วมหาวิทยาลัย XX นะครับ วันนี้ทุกคนจะได้เข้าร่วมกิจกรรมแรกพร้อมกัน ซึ่งนั่นก็คือกิจกรรมรับน้องนั่นเอง!!!” เสียงเฮของรุ่นพี่ดังลั่นพร้อมเสียงรัวกลองสร้างบรรยากาศให้สนุกสนาน

“กิจกรรมวันนี้พี่ ๆ ร่วมกันจัดเตรียมไว้ให้รุ่นน้องด้วยความรักความเอ็นดูเลยนะครับ” จบประโยคพูดนี้ รุ่นพี่หลายคนที่ยืนล้อมรอบน้องปีหนึ่งต่างก็ส่งเสียงโห่แซวทันทีแต่ทำได้ไม่นาน พี่ว้ากก็ยกมือขึ้นห้ามเพื่อขอพูดต่อ

“ตอนนี้ขอให้น้อง ๆ ก้มดูป้ายชื่อของตัวเองนะครับ แต่ละคนจะได้กระดาษแข็งที่มีสีแตกต่างกัน ใครได้ป้ายชื่อสีอะไรก็ให้แยกย้ายไปตามสีนั้น ซึ่งแต่ละสีจะมีพี่เลี้ยงคอยชูป้ายบอกทางและตะโกนเรียก ขอให้แยกย้ายกันอย่างเป็นระเบียบด้วยนะครับ”

อินจำได้ว่าตัวเองรับป้ายชื่อสีเขียวมา เขาจึงหันมองรอบทิศเพื่อหาป้ายบอกทางไปยังกลุ่มสีดังกล่าว ทว่ามีเพื่อนนักศึกษาหลายคนเริ่มพากันลุกขึ้นยืนจนทำให้มองเห็นได้ไม่ชัด เด็กหนุ่มเลยตัดสินใจลุกขึ้นยืนเช่นกัน ก่อนจะเห็นรุ่นพี่คนหนึ่งชูป้าย ‘สีเขียว’ อยู่ไม่ไกล

โอ๊ยยยย!

“โทษที พอดีเราโดนไอ้คนนั้นชนมาอีกทีน่ะ” เสียงเล็กแหลมของใครบางคนอุทานออกมาพร้อมคำขอโทษปนอธิบาย อินมองคนตรงหน้าและประมวลผล ตัวบางขนาดนี้ก็สมควรแล้วที่จะโดนชนจนกระเด็นมา

“ไม่เป็นไร...ว่าแต่เธอเจ็บตรงไหนรึเปล่า” อินถามไถ่อาการอีกฝ่าย นี่โชคดีนะที่มือหนาของเขาจับต้นแขนบางของอีกฝ่ายไว้ได้ทัน ก่อนจะล้มลงไปนอนกองกับพื้น

“หะ!เรียกใครว่าเธอ กูเป็นผู้ชายจ้ะ ไม่เห็นเหรอว่ากูใส่กางเกงอ่ะ!” แต่ดูเหมือนคนตัวเล็กจะรู้สึกไม่พอใจอย่างรุนแรงและพยายามดีดตัวออกจากมือหนาที่จับตัวอยู่ ก่อนจะชี้นิ้วไปที่กางเกงสแล็กสีดำของตัวเอง

“เห็นแล้วว่าใส่กางเกง แต่มึงตัวเล็กจะตายแถมดูบอบบางขนาดนี้จะให้กูไปถามว่า มึงเป็นไรมั้ยทั้งที่ยังไม่รู้จักกัน มันก็ฟังดูแปลก ๆ มั้ยล่ะ” อินพูดไปตามสิ่งที่คิดโดยไม่มีอะไรแอบแฝงเลยสักนิดแต่เขาไม่เข้าใจว่าทำไมอีกฝ่ายถึงได้หน้าแดงขึ้นมาล่ะ หรือจะเขินที่โดนชมว่าเป็นคนตัวเล็ก?

“ตะ...ตัวเล็กเหรอ! ถะ...แถมยังบอบบางอีก! หึ้ย! มึงมันไอ้ยักษ์!” โอเค ที่หน้าแดงไม่ได้เป็นเพราะเขินแต่เป็นเพราะโกรธสินะ

“ไม่เป็นไรก็ดีแล้ว งั้นกูไปล่ะ” อินเห็นว่าอีกฝ่ายเถียงกลับได้ขนาดนี้ก็คงจะไม่เป็นไรแล้วเลยขอตัว แต่ไม่ทันจะได้ก้าวขาออกมาก็ต้องหยุดชะงักเพราะเสียงเล็กแหลมที่ตะโกนรั้ง

“ดะ...เดี๋ยว! มึงป้ายชื่อสีเขียวเหมือนกูเลย กูไปด้วย”

“หึ อยากไปด้วยเพราะมองทางข้างหน้าไม่เห็นเหรอ” สายตาดุดันจ้องมองร่างเล็กที่อยู่ตรงหน้า ก่อนจะยกยิ้มมุมปากอย่างลืมตัว

“ใครบอกว่ากูมองทางไม่เห็น! กูแค่จะเอามึงมาบังตัวเองไว้เพราะกลัวว่าจะมีใครเดินมาชนกูอีกต่างหาก ตัวใหญ่เป็นยักษ์อย่างมึงใครชนก็คงไม่เจ็บหรอก!” ตอนนี้คนตัวเล็กหน้าดำหน้าแดงเพราะทั้งโกรธและอายจนทำตัวไม่ถูกแต่เรื่องอะไรเขาจะไปยอมอ่อนข้อให้ไอ้ยักษ์ปากเสียนี่กันล่ะ

“งั้นก็เดินตามมาให้ทันล่ะ” อินที่ไม่อยากต่อล้อต่อเถียงอีกต่อไปก็ขอสงบศึกไว้เพียงแค่นี้ ก่อนจะเดินนำอีกฝ่ายไปยังกลุ่มสีเขียว

.

.

.

เริ่มรู้สึกได้ถึงความวายป่วง...ว่าแต่นายภูริวัฒน์จะเป็นคนแบบไหนกันนะ

Related chapters

  • อินกินหมี่   บทที่ 1 ผมชอบหมี่ (5/6)

    ภายในเวลาไม่กี่นาทีนักศึกษาปีหนึ่งที่มีป้ายชื่อสีเขียวก็มารวมตัวกันตรงนี้ ภาพของผู้คนดูบางตากว่าตอนแรกไปมากเพราะเด็กปีหนึ่งถูกแบ่งออกเป็นหลายกลุ่ม ซึ่งตอนนี้รุ่นพี่หลายคนก็เริ่มจัดเตรียมอุปกรณ์สำหรับการทำกิจกรรมจนพร้อม และแล้วก็มีรุ่นพี่ผู้หญิงคนหนึ่งหยิบโทรโข่งขึ้นพร้อมอธิบายรายละเอียดกิจกรรม“สวัสดีค่าาา ยินดีต้อนรับน้อง ๆ ปีหนึ่งอีกครั้งนะคะ เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลาพี่ขออธิบายกิจกรรมแรกของกลุ่มสีเขียวเลยนะ กิจกรรมนี้มีชื่อว่าเต้นแร้งเต้นกาพาเพลิน~” เมื่อรู้ชื่อกิจกรรม เสียงโห่ร้องของเหล่ารุ่นพี่และน้อง ๆ ปีหนึ่งก็ดังขึ้นด้วยความครื้นเครง“กิจกรรมนี้ง่ายมาก ทุกคนแค่เต้นไปตามจังหวะเพลงที่พี่สตาฟเปิดให้ฟังนะคะ เต้นไปเรื่อย ๆ ถ้าน้องเต้นดี!เด้งแรง!ท่าโดนใจ!กิจกรรมก็จะสิ้นสุดลงทันที ถ้าพร้อมแล้วขอเชิญพี่ทีมสันทนาการร่วมเต้นกับน้องปีหนึ่งด้วยค่าาา” สิ้นเสียงอธิบายกิจกรรมจากรุ่นพี่คนสวย อินก็ยืนแน่นิ่งพร้อมเหงื่อเม็ดใหญ่ที่เริ่มผุดขึ้นมาตรงขมับ ให้ตายสิ กิจกรรมแรกต้องเ

    Last Updated : 2024-11-17
  • อินกินหมี่   บทที่ 1 ผมชอบหมี่ (6/6)

    “วิธีอะ- ว๊ากกกก” หมี่ยังพูดคำถามไม่ทันจบก็ถูกอินอุ้มขึ้นซะก่อน คนตัวเล็กส่งเสียงหวีดร้องน่ากลัวอินเอาลูกบอลที่ได้มา วางแนบไว้ข้างแก้มตัวเองและดันบอลให้ติดกับแก้มของคนตัวเล็กที่อยู่ในอ้อมแขน ความจริงแล้วอินคิดหาวิธีชนะเกมนี้ตั้งแต่ได้ยินกติกาแล้ว และหลังจากที่เขาคิดวิเคราะห์อยู่นานก็ได้คำตอบว่าวิธีนี้น่าจะเป็นวิธีที่ดีที่สุด“หนีบบอลไว้ให้แน่น ๆ ล่ะ กูจะวิ่งไป” อินพูดจบ เสียงเป่านกหวีดเริ่มแข่งขันก็ดังขึ้น ร่างสูงวิ่งตรงไปยังโต๊ะที่มีขวดโหลวางอยู่เบื้องหน้าพร้อมกับอุ้มร่างนักศึกษาชายของหมี่ไปด้วยคนตัวเล็กที่ถูกอุ้มนั้นก้มหน้างุดเพราะรู้สึกอายจนอยากจะแทรกแผ่นดินหนี นี่เขาเป็นผู้ชายนะ!ทำไมไอ้ยักษ์อุ้มราวกับว่าเขาตัวเบาแบบนี้!แถมยังวิ่งไปอีก โอ๊ยตายแล้ว! จบกันชีวิตสุดหล่อในรั้วมหาลัยฯ ของไอ้หมี่!แต่ถึงแม้ว่าคนตัวเล็กจะเขินจนตัวแดงขนาดไหนก็ยังแนบใบหน้าหนีบลูกบอลไว้อย่างดีพร้อมกอดคออินเอาไว้แน

    Last Updated : 2024-11-18
  • อินกินหมี่   บทที่ 2 หมี่พิเศษ (1/6)

    เสร็จจากกิจกรรมรับน้อง ทุกคนก็แยกย้ายกันเดินทางกลับหอพัก บางคนกลับบ้านเช่าใกล้ ๆ มหาลัยฯ บางคนเดินทางกลับบ้าน ซึ่งอินก็เป็นหนึ่งในนั้น ร่างสูงของเด็กหนุ่มยืนรอโบกรถโดยสารเพื่อมุ่งหน้ากลับบ้าน ก่อนจะนึกได้ว่าวันนี้แม่ไม่อยู่และนั่นแปลว่าที่บ้านไม่มีอะไรกิน เขาจึงเดินออกมาจากจุดรอรถและเดินหาร้านค้าที่อยู่ละแวกนั้นแทนครืดดด ครืดดด“ดีขึ้นยัง” ทันทีที่รับสายอินก็ถามไถ่อาการอีกฝ่ายแต่เสียงของกันต์ที่ตอบกลับมานั้นเบาหวิวจนเด็กหนุ่มเกือบไม่ได้ยิน สงสัยอีกฝ่ายน่าจะยังปวดหัวอยู่“กูหิว”“จะกินไร เดี๋ยวกูซื้อไปให้” อินถามพลางหันมองรอบข้าง เขาเองก็ไม่เคยใช้ชีวิตแถวนี้ เลยไม่แน่ใจว่ามีร้านอาหารตามสั่งหรือร้านสะดวกซื้อตรงไหนบ้าง คิดว่าวันนี้เขาคงได้รู้เพราะต้องซื้อข้าวไปให้คนในสายนี่แหละ ถือว่าเป็นการเริ่มต้นที่ดีที่จะสำรวจรอบรั้วมหาลัยฯ“อะไรก็ได้” คิ้วเข้มของอินย่นขมวดเข้าหากันเพราะเมนูอะไรก็ได้นับเป็นปัญหาโลกแตกอย่างหนึ่ง ทันใดนั้นเองสายตาคมของเขาก็หันไปเห็นร้านค้าที่น่าสนใจ

    Last Updated : 2024-11-18
  • อินกินหมี่   บทที่ 2 หมี่พิเศษ (2/6)

    สิ่งที่ทำให้อินขมวดคิ้วแน่นคือชั้นล่างที่ตอนนี้มืดสลัวไปหมดเพราะหลอดไฟถูกปิดไว้ทั้งบ้าน อินเลยเดินไปเปิดสวิตช์ให้บ้านสว่างขึ้น ก่อนจะตะโกนเรียกเพื่อนสนิทที่น่าจะนอนอยู่ชั้นบนให้ลงมากินข้าว“ไอ้กันต์ตื่นอยู่มั้ย! ลงมากินก๋วยเตี๋ยวก่อน” และเพราะแปลนบ้านที่ใกล้เคียงกับบ้านของตัวเอง อีกทั้งอินก็เดินเข้าออกบ้านนี้ตั้งแต่เด็กจึงทำให้รู้จักทุกซอกทุกมุมของบ้านนี้เป็นอย่างดี สองขายาวตรงดิ่งเข้าไปในครัวและหยิบหม้อที่แขวนอยู่ในตู้มาอุ่นก๋วยเตี๋ยว“กำลังไป!” ผ่านไปไม่นานเสียงเพื่อนสนิทก็ตะโกนดังมาจากชั้นสองพร้อมเสียงดังตึงตังเหมือนกับอีกฝ่ายกำลังรีบวิ่งลงมา ทว่าอินไม่สนใจสักนิด เขายังคงอุ่นก๋วยเตี๋ยวต่อไปจนรู้สึกว่าอาหารร้อนได้ที่แล้วก็เทใส่ชามใบโตและยกไปวางบนโต๊ะกินข้าว“หมี่พิเศษอีกรึเปล่า” กันต์ถามทันทีที่เดินมาถึงโต๊ะ“อืม”“คงมีแต่หวยอ่ะที่กูซื้อไม่ถูก” เด็กหนุ่มผิวแทนบ่นพลางยกมือขยี้หัวด้วยความหงุดหงิด ทั้งสองนั่งลงและแกะเครื่องปรุงใส่ในก๋วยเตี๋ยว“กิน ๆ เข้าไปเถอะ” อินยื่นช้อนและตะเกียบให้อีกฝ่าย ก่อนจะคีบก๋วยเตี๋ยวที่อยู่ตรงหน้าเข้าปากไป

    Last Updated : 2024-11-19
  • อินกินหมี่   บทที่ 2 หมี่พิเศษ (3/6)

    “ดีนะที่เริ่มเรียนพรุ่งนี้ วันนี้มึงนอนพักเยอะ ๆ ล่ะ” อินพูดพร้อมเดินเข้าไปในตัวอาคารเพราะหลังจากนี้ทั้งคู่จะแยกย้ายกลับห้องพักตัวเอง“โอเค” กันต์พยักหน้างึกงักตามประสา“มีอะไ-” อินพูดไม่ทันจบก็มีเสียงอีกฝ่ายแทรกขึ้นมา“จะโทรไป” ซึ่งคำพูดนั้นคือประโยคที่เขาจะบอก กันต์ชูมือถือและเดินขึ้นบันไดไปชั้นสาม ขณะเดียวกันอินก็เดินมาหยุดนิ่งอยู่หน้าห้องตัวเอง ไม่ยอมเปิดเข้าไปสักที คงเป็นเพราะเสียงที่ดังโครมครามมาจากด้านใน...กึกกัก! ตึง!เคร้งงง!!“เสียงอะไรวะ” รู้สึกว่าช่วงนี้จะมีแต่สถานการณ์ที่ทำให้คิ้วของเขาต้องขมวดเข้าหากันจนรู้สึกปวดหัวไปหมด แล้วครั้งนี้เขาต้องเจอกับเรื่องอะไรอีกล่ะเนี่ย‘ห้องสองศูนย์ห้า...เพื่อนร่วมห้องติดต่อมาว่าจะขอย้ายของเข้าหลังจากเสร็จกิจกรรมรับน้องนะครับ’“หรือจะย้ายเข้ามาแล้ว” เสียงของอาจารย์หอที่ดังขึ้นในหัวทำให้อินนึกถึงเรื่องของเพื่อนร่วมห้องคนนี้ได้ทันที นายภูริวัฒน์คนนั้นมาแล้วสินะมือหนาของอินหมุนลูกบิดประตูและชะเง้อมองส

    Last Updated : 2024-11-19
  • อินกินหมี่   บทที่ 2 หมี่พิเศษ (4/6)

    “อะ...อื้ออ~...เฮ้ย!เริ่มมืดแล้วนี่!กี่โมงแล้ว!” เสียงบิดขี้เกียจดังขึ้น ก่อนจะตามมาด้วยเสียงเอะอะโวยวายตามเอกลักษณ์ของเจ้าตัว“สองทุ่มสิบสามนาที” อินที่กำลังวิดพื้นอยู่ข้างเตียงตอบกลับทันทีเพราะตอนนี้เขาจับเวลาในออกกำลังกายอยู่“...สะ...สองทุ่ม!!!” ตะโกนอีกแล้ว ตอนเด็กกินโทรโข่งเข้าไปรึไงนะถึงได้ตะเบ็งเสียงเก่งขนาดนี้ อยากถามจริง ๆ ว่าไม่รู้สึกเจ็บคอบ้างเลยเหรอ“มึงจะตะโกนทำไมเนี่ย มันรบกวนข้างห้อง” หมี่ลุกขึ้นจากเตียงและเดินตรงมาหาเด็กหนุ่ม“ก็คุยกันแล้วนี่!ว่าจะไปซื้อเห-” อินรีบพุ่งตรงไปปิดปากคนตัวเล็กในเสี้ยววินาทีก่อนที่อีกฝ่ายจะพูดคำว่าเหล้าออกมาเพราะกลัวว่าข้างห้องอาจได้ยินเสียงของพวกเขา ด้วยแรงที่อินพุ่งหาหมี่บวกกับน้ำหนักตัวของอินทำให้คนตัวเล็กไม่อาจต้านทานไว้อยู่จนทั้งคู่เซล้มไปบนเตียง“ชู่ว!อย่าพูดคำนั้นออกมานะ” โชคดีที่อินพลิกตัวทันเลยใช้ร่างกายของตัวเองรองรับแรงกระแทกแทนหมี่ มือขวาก็เผลอคว้าเอวอีกฝ้ายไว้แน่น“อื้ออ

    Last Updated : 2024-11-20
  • อินกินหมี่   บทที่ 5 หมี่พิเศษ (5/6)

    อุก อ้วกกกกก!!!!“เฮ้ย!” ชัดเจน สิ่งที่พวยพุ่งออกมาจากปากของคนตัวเล็กถือเป็นคำตอบอย่างดีให้กับคำถามของเขาเศษอาหารที่หมี่อาเจียนออกมานั้นทำให้รู้เลยว่าก่อนหน้านี้อีกฝ่ายกินอะไรเข้าไปบ้าง แถมตอนนี้สิ่งพวกนั้นก็เปรอะเปื้อนไปทั่วเสื้อยืดแขนสั้นสีขาวตัวโปรดของเขาอีกด้วย โอ้โห กลิ่นก็สุดจะบรรยายทำเอาอินหลุดสบถออกมาอีกจนได้“ไอ้หมี่! มึงนี่มันตัววุ่นวายของจริงเลยว่ะ ทำไมกูต้องมาเจออะไรแบบนี้จากคนอื่นที่ไม่ใช่คนในครอบครัวด้วยวะ” ถึงแม้ว่าหมี่จะอ้วกใส่แต่อินก็ไม่ปล่อยมือที่โอบเอวบางไว้ เด็กหนุ่มยกมืออีกข้างขึ้นเสยผมเผยให้เห็นเส้นเลือดที่ปูดขึ้นตรงขมับท้ายที่สุดแล้วอินก็พาหมี่ไปอ้วกในห้องน้ำได้สำเร็จและรีบออกมาเช็ดอ้วกที่เลอะเทอะหน้าประตูห้องน้ำ ก่อนที่เด็กหนุ่มจะถือวิสาสะถอดเสื้อเปื้อนอ้วกของอีกฝ่ายออกและหยิบผ้าขนหนูชุบน้ำ เช็ดไปตามเนื้อตัวของคนตัวเล็ก วินาทีที่ความเย็นจากผ้าขนหนูอันเปียกชุ่มสัมผัสร่างกายสีขาวอมชมพูก็ทำเอาคนตัวเล็กสะดุ้งเล็กน้อยพร้อมขนลุกชูชันมือหนาลูบไล้ผ้าเปียกไปตามส่วนต่าง ๆ พลางสอดส

    Last Updated : 2024-11-20
  • อินกินหมี่   บทที่ 2 หมี่พิเศษ (6/6)

    ...“โอ๊ยยย ปวดหัวจัง” หมี่ตื่นขึ้นมาในเช้าที่แสนสดใสพร้อมกับร่างกายที่แสนปวดร้าว นี่เมื่อคืนเขากินเบียร์ไปมากขนาดไหนถึงได้ปวดหัวจะเป็นจะตายขนาดนี้ จังหวะที่หมี่กำลังสะลึมสะลืออยู่นั้นก็เห็นร่างใหญ่โตของรูมเมทนอนฟุบอยู่ข้างเตียง“เฮ้ย!ทำไมมึงมานั่งหลับอยู่ตรงนี้เนี่ย” เสียงเล็กแหลมอุทานขึ้นเสียงดังด้วยความตกใจ ก่อนจะยกมือขึ้นปิดปากตัวเองเพื่อเบาเสียงลง“เอ๊ะ! นั่นกระเป๋าตังไอ้อินเหรอ...” ขณะที่หมี่เริ่มมีอาการเลิ่กลั่ก สายตาดันเหลือบไปเห็นวัตถุสีดำที่หล่นอยู่ข้างตัวอีกฝ่าย ด้วยความอยากรู้อยากเห็นที่ค่อย ๆ ก่อตัวขึ้นในใจ มือเล็กก็เอื้อมไปหยิบสิ่งนั้นขึ้นมาสำรวจอย่างช้า ๆ และระวังไม่ให้อีกฝ่ายตื่นกระเป๋าสตางค์สีดำสนิทที่หมี่คิดเองเออเองว่าน่าจะเป็นหนังแท้มีตราสัญลักษณ์เป็นรูปปีกนางฟ้าสีเงินวาววับมุมขวาล่าง เปิดออกปุ๊บก็เห็นบัตรประจำตัวประชาชนของอีกฝ่ายที่เสียบไว้ในช่องขวามือ หมี่เลยถือวิสาสะหยิบบัตรออกมาดู“เกิดวันที่หนึ่งกันยายน เห้ย!ไอ้ยักษ์อายุน้อยกว่ากูอีกเหรอเนี

    Last Updated : 2024-11-21

Latest chapter

  • อินกินหมี่   บทที่ 7 ความสุขของอิน (6/6)

    อ๊ากกกกกก!!!“เป็นอะไรหมี่!” อินได้ยินเสียงคนตัวเล็กตะโกนดังแต่เช้าก็สะดุ้งตื่นด้วยความตกใจ“ผีหลอก!!!!” หมี่ยังคงส่งเสียงกรีดร้องด้วยความตกใจเพราะตื่นมาก็เห็นแขนของใครไม่รู้พาดอยู่ตรงเอวบางของตน“ผีอะไร!” อินถึงกับคิ้วขมวด เขาไม่เข้าใจว่าคนตัวเล็กกำลังพูดถึงเรื่องอะไร“ขะ...ขะ...แขนใครไม่รู้!...ฮือออ” หมี่หลับตาปี๋และชี้นิ้วไปตรงเอวของตัวเอง“แขนอะไร?” อินยิ่งงงเข้าไปใหญ่เพราะแขนแกร่งของเขาที่กอดเอวอีกฝ่ายก็ยังปกติดี“เอ๊ะ!เดี๋ยวนะ!” เสียงกรีดร้องแปรเปลี่ยนเป็นความฉงน หมี่ลืมตาขึ้นอย่างช้า ๆ และมองเจ้าของเสียงที่ตนสนทนาด้วย“ไอ้ยักษ์!” ก่อนจะยกกำปั้นและออกแรงทุบไปที่ต้นแขน ของอีกฝ่าย“โอ๊ย!ตีกูทำไมเนี่ย” เมื่อรับรู้ว่าแขนปริศนามีเจ้าของและไม่ได้โดนผีหลอก หมี่ก็ขยี้หัวระบายความหงุดหงิด“ฮืออ...กูนึกว่าผีหลอกกู!ไอ้บ้าเอ๊ย!”“ผีอะไรจะมาหลอกมึงตอนเช้าแบบนี้”

  • อินกินหมี่   บทที่ 7 ความสุขของอิน (5/6) nc เบา ๆ

    อินวางโทรศัพท์มือถือไว้ข้างหมอน ก่อนจะดึงร่นกางเกงนอนลงเพื่อให้แท่งเนื้อที่กำลังผงาดอย่างแข็งขืนได้โผล่ออกมาเจอโลกภายนอก วินาทีที่อวัยวะส่วนที่อ่อนไหวที่สุดกระทบความเย็นจากเครื่องปรับอากาศก็สร้างความเสียวซ่านขึ้นมาอย่างน่าประหลาด มือหนาเลื่อนลงไปกอบกุมแท่งเนื้อที่ตอนนี้กลายเป็นแท่งร้อนเพราะเลือดที่สูบฉีดทั่ว“อ่าาา~” เสียงแห่งความสุขสมเล็ดลอดออกมาให้ได้ยินเล็กน้อย ผ่านไปแล้วสิบนาที มือหนาก็ยังคงชักรูดแท่งนั้นขึ้นลงอย่างคล่องแคล่วและไม่ผ่อนความเร็วลงแม้แต่น้อยจนน้ำเมือกที่เป็นสารหล่อลื่นเริ่มปริ่มออกมาผ่านไปอีกสามสิบนาที ความร้อนในร่างกายก็พุ่งสูงขึ้นตามอารมณ์ความใคร่ที่กำลังปะทุอยู่ นิ้วหัวแม่มือก็ลูบวนรอบส่วนหัวแท่งเนื้อเมามันพลางขบกรามแน่นเป็นระยะ มือสากของตัวเองยังทำให้รู้สึกดีมากขนาดนี้แล้วถ้าเปลี่ยนเป็นมือนุ่มนิ่มของอีกฝ่ายจะรู้สึกดีขนาดได้“หมี่~ ฮึ่มม” เสียงเรียกชื่อคนตัวเล็กที่ออกมาจากปากของตัวเอง ทำไมฟังดูกระเส่าเย้ายวนขนาดนี้ มันยิ่งทำให้ความอยากเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวซึ่งเด็กหนุ่มก็เคลิบเคลิ้มไปในโลกที่ตัวเอ

  • อินกินหมี่   บทที่ 7 ความสุขของอิน (4/6)

    ครืดดดด ครืดดดด“อ๊ะ! ทำยังไงดีไอ้ยักษ์โทรมา!” ดวงตากลมโตเบิกกว้างพร้อมอาการลุกลี้ลุกลนทำอะไรไม่ถูกเราสองคนไม่เคยต้องโทรหากันตอนกลางคืนเลยเพราะปกติก็นอนด้วยกันตลอด ถ้าต้องโทรคุยกันน่าจะรู้สึกแปลกใหม่ดีเหมือนกัน คนตัวเล็กนอนจับมือถือพลิกไปพลิกมาบนเตียงครู่หนึ่ง ก่อนจะตัดสินใจกดรับในที่สุด ทว่าสายตัดไปแล้ว...“อ้าว!วางไปแล้ว” หมี่ถึงกับเหวอจนนิ่งค้างไปชั่วขณะ“เอาไงดีเนี่ย โทรกลับไปดีมั้ย แล้วจะคุยอะไรล่ะ โอ๊ยยย!จะบ้า!” ด้วยความตื่นเต้นบวกกับความเขินอายเลยทำให้หมี่ไม่ได้กดโทรกลับไปหาอีกฝ่ายสักทีครืดดดด ครืดดดด“อ๊ะ!โทรกลับมาแล้ว อะแฮ่ม!” หมี่สะดุ้งเล็กน้อยเมื่อโทรศัพท์สั่นอีกครั้ง ก่อนจะกระแอมเสียงและกดรับสาย“หมี่” เมื่อได้ยินเสียงเรียกชื่อจากปลายสายหัวใจของหมี่ก็พองโตอย่างไม่มีสาเหตุ อะไรจะเสียงหล่อปานนั้นพ่อคู๊ณณณณ“โทรมามีไร” ทว่าเจ้าตัวต้องพยายามตอบกลับด้วยน้ำเสียงปกติเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายรู้ว่าตัวเองกำลังตื่นเต้นและเลิ่กลั่กมากขนาดไหน“ทำอะไรอยู่” “กำลังจะนอน” หมี่ซุกหน้าเข้าหาผ้าห่มผืนหนาก่อนตอบ“กูโทรมากวนรึเปล่า นอนเลยมั้ย” ได้ยินประโยคนี้ก็ถึงกับดีดหน้าออกจากผ้าห่มด้วยความลืมต

  • อินกินหมี่   บทที่ 7 ความสุขของอิน (3/6)

    หลังจากที่ไปส่งอินขึ้นรถหน้ามหาลัยฯ หมี่ก็เริ่มคิดอย่างจริงจังเรื่องการไปเจอพ่อแม่ของอีกฝ่าย ครอบครัวอินดูแลลูกชายให้เติบโตมาเป็นคนดีขนาดนี้ เด็กน้อยแบบเขาาจะคู่ควรกับอีกฝ่ายจริง ๆ เหรอคิดไปคิดมาก็เริ่มหดหู่ใจ เมื่อสมองถูกใช้งานมากเกินไปก็ชักจะหิวหมี่เลยขอหยุดนึกถึงเรื่องนี้ก่อนและเดินลงไปชั้นล่างเพื่อจะซื้อของที่ร้านค้าสวัสดิการของหอพัก จังหวะนั้นเองก็บังเอิญเจอเข้ากับอาจารย์หอพอดี“สวัสดีครับอาจารย์” คนตัวเล็กเอ่ยทักอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงสดใส“อ๊ะ สวัสดีครับ ไม่เจอกันนานเลย เป็นยังไงบ้าง” อาจารย์พิทักษ์มีท่าทีตกใจเล็กน้อยแต่ก็ทักทายกลับมา“ทำไมเรียนทำอาหารถึงเหนื่อยแบบนี้ครับ ผมล่ะอยากจะร้องไห้” พูดพลางปั้นหน้ามู่ทู่น่าเอ็นดูจนคนมองอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา“ฮ่าฮ่าฮ่า!นั่นสินะ การเรียนก็เหนื่อยทั้งนั้นแหละแต่ผลตอบรับที่ได้กลับมาย่อมคุ้มค่า” คนเป็นอาจารย์ก็ทำได้เพียงปลอบใจเหล่านักศึกษาที่กำลังท้อแท้แบบนี้แหละและคอยเฝ้ามองลูกศิษย์ค่อย ๆ เติบโต“ครับ...ว่าแต่อาจารย์ไปทำอะไรในห้องนั้นครับ มันดูอับมากเลย” หมี่ถามด้วยความอยากรู้เพราะเท่าที่เห็นคือห้องด้านหลังร้านค้าสวัสดิการเป็นห้องที่ไม่น่

  • อินกินหมี่   บทที่ 7 ความสุขของอิน (2/6)

    หลังจากได้เคลียร์ปมปัญหาที่ติดแน่นอยู่ในส่วนลึกของจิตใจออกไปและได้กินข้าวร่วมกับพ่อแม่ด้วยอารมณ์ความรู้สึกที่เขาไม่เคยสัมผัสมาก่อนก็ทำให้อินเริ่มยิ้มมากขึ้น พูดคุยมากขึ้นและเป็นตัวเองมากขึ้นเด็กหนุ่มจัดเก็บจานชามและโต๊ะกินข้าวเสร็จเรียบร้อยก็มานั่งคุยกับพ่อแม่ต่อที่ห้องนั่งเล่น ก่อนจะมีเสียงหยอกล้อของคนในบ้านและตามมาด้วยเสียงหัวเราะเป็นระยะ ตอนนี้บรรยากาศในบ้านไม่อึมครึมอีกต่อไปแล้ว“เอ่อ...พ่อครับ แม่ครับ” อินที่คิดว่าเวลานี้คงเหมาะที่จะคุยถึงเรื่องสำคัญอีกเรื่องก็เอ่ยขึ้น“หืมม มีอะไรลูก” พ่อตอบรับอย่างอารมณ์ดี“พ่อกับแม่รักกันได้ยังไงครับ” เมื่อได้ยินคำถามแบบนี้จากลูกชาย คนเป็นพ่อแม่ก็ถึงกับหันมองหน้ากันทันที“จู่ ๆ มาถามเรื่องแบบนี้ มีอะไรรึเปล่าลูก” แม่ถามไถ่ลูกชายด้วยความเป็นห่วง ขณะที่พ่อส่งเสียงแซวดังลั่น“จะมีอะไรอีกล่ะคุณ ลูกชายเรากำลังจะเป็นหนุ่มเต็มตัวแล้วน่ะสิ ฮ่าฮ่าฮ่า!” ไม่ว่าเปล่าแต่กลับหัวเราะจนท้องเข็ดท้องแข็งอีกด้วย“โธ่พ่อ! อย่าแซว” เด็กหนุ่มเขินอายเล็กน้อยแต่ยังไงเขาก็ต้องคุยกับทั้งคู่ให้รู้เรื่องเลยพยายามเก๊กขรึมไว้“สมัยนั้นพ่อไปฉุดแม่มาน่ะ ก็อย่างว่าพ่อมันคนร้

  • อินกินหมี่   บทที่ 7 ความสุขของอิน (1/6)

    เช้าวันรุ่งขึ้นทั้งคู่ก็เดินทางกลับหอพักและใช้ชีวิตตามปกติ หลังจากค่ำคืนนั้นอินก็พยายามหาวิธีหลอกล่อคนตัวเล็กให้ติดกับ แต่ดูเหมือนเขาจะทำไม่ได้เลยเพราะโกหกไม่เป็นและอีกฝ่ายก็รู้ทันตลอดครืดดดด ครืดดดด“ครับแม่” เด็กหนุ่มกดรับสายเมื่อเห็นว่าเบอร์ที่โทรเข้ามาคือ ‘แม่’ จะว่าไปช่วงนี้เขาไม่ได้โทรหาคนที่บ้านเลย สงสัยพ่อแม่คงอยากให้กลับไปเยี่ยมบ้านบ้างแล้ว“อิน วันก่อนที่ลูกแข่งขันว่ายน้ำได้เหรียญเงินมา พวกเรายังไม่ได้ฉลองกันเลยนะลูก” จริงสิ ช่วงนั้นมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นมากมายจนลืมเรื่องนี้ไปเลย ไหนจะยุ่งวุ่นวายเกี่ยวกับความรักความสัมพันธ์ที่กำลังเริ่มต้นขึ้นอีก ตอนนี้คงถึงเวลาที่เขาต้องให้ความสำคัญกับครอบครัวแล้วสินะ“ครับ”“จริง ๆ แม่ว่าจะโทรถามเรื่องนี้ตั้งหลายครั้งแล้ว แต่ไม่รู้ว่าอินว่างช่วงไหนบ้างเลยไม่อยากโทรไปกวน” เด็กหนุ่มอดรู้สึกผิดไม่ได้ที่เขาละเลยหน้าที่ของการเป็นลูก“ขอโทษครับแม่ ช่วงนั้นอินมีเรื่องให้ต้องจัดการเยอะแยะเลยไม่ค่อยมีเวลาว่างเพื่อกลับบ้านสักเท่าไหร่ แถมยังไม่ได้โทรหาพ่อกับแม่ด้วย” น้ำเสียงหดหู่ปนเศร้าใจถูกส่งผ่านไปยังผู้เป็นแม่“ไม่เป็นไรจ้ะ แม่คิดว่าตอนนี้ทุกอย่างค

  • อินกินหมี่   บทที่ 6 อิน อัน กันต์ (6/6)

    หมี่พาอินไปยังห้องนอนของตัวเองด้วยท่าทีเขินอาย คือถ้าเป็นการค้างแรมแบบเพื่อนคนตัวเล็กคงไม่เขินขนาดนี้ แต่ครั้งนี้อีกฝ่ายเป็นคนที่กำลังดูใจกันอยู่เลยรู้สึกใจเต้นแรงแปลก ๆทางด้านของอินเมื่อได้ก้าวเข้ามาในห้องของคนตัวเล็กก็ต้องกัดฟันยับยั้งชั่งใจให้อยู่หมัด ห้องอะไรหอมชะมัด ก่อนจะได้ยินหมี่บอกให้อาบน้ำในห้องนี้ได้เลย ส่วนตัวเองจะไปอาบน้ำที่ห้องพี่จะได้ไม่ต้องมานั่งรอกันทันทีที่คนตัวเล็กออกไป อินก็เดินสำรวจรอบห้อง เตียงนอนขนาดกลางเต็มไปด้วยตุ๊กตาเยอะแยะมากมาย มองดูก็รู้ว่าตู้เสื้อผ้า โต๊ะหรือแม้กระทั่งสิ่งของเครื่องใช้ภายในห้องถูกดูแลเป็นอย่างดีและจัดวางอย่างเป็นระเบียบ ถึงแม้ว่าของจะเยอะแต่ก็จัดเก็บไว้ได้อย่างลงตัวมือหนาหยิบผ้าขนหนูที่อีกฝ่ายเตรียมไว้ให้ขึ้นมาดู ลายบนผ้าผืนนี้ก็น่ารักสมกับเจ้าของห้อง แต่เมื่อเด็กหนุ่มเดินเข้าห้องน้ำก็แทบจะเสียสติเพราะกลิ่นหอมอ่อน ๆ ของสบู่เหลวที่หมี่ใช้ประจำตลบอบอวลอยู่ภายในห้องนี้อินรีบปิดน้ำจากฝักบัวรดหัวให้หายฟุ้งซ่าน ทว่าสีหน้าและแววตาของพี่แมนก็ผุดขึ้นมาอีกครั้ง...หรือพี่แมนต้องการให้เขาและหมี่ได้ใกล้ช

  • อินกินหมี่   บทที่ 6 อิน อัน กันต์ (5/6)

    “ไหนใครบอกว่าจะไปซื้อน้ำผลไม้” อินเห็นคนตัวเล็กนั่งอยู่ตรงโต๊ะหินอ่อนข้างอาคารผู้ป่วยก็พูดทัก“อ๊ะ! มาไม่ให้ซุ่มให้เสียงตกใจหมด” เมื่ออีกฝ่ายหันมา อินก็เห็นว่ามีสีหน้าไม่ค่อยสู้ดี“เป็นอะไรรึเปล่า หน้าตาไม่ค่อยดีเลย” เด็กหนุ่มนั่งลงข้าง ๆ และสอดส่องใบหน้าของคนตัวเล็ก“เปล่า” เปล่าอะไรหน้าหงอยขนาดนั้น“จะบอกดี ๆ มั้ย” เมื่อโดนอินดุก็จำยอมต้องบอกความในใจ“เมื่อกี้จู่ ๆ กูก็รู้สึกแปลกแยกอ่ะ กูเลยอยากออกมาอยู่ข้างนอก” เด็กหนุ่มคิดตามอีกฝ่าย หรือความจริงแล้วหมี่ไม่สบายใจเพราะยังไม่ได้รู้จักพ่อแม่ของเขากันนะ“งั้นบอกพ่อกับแม่ดีมั้ย” คนตัวเล็กตาโต ไม่คิดว่าอินจะพูดแบบนี้“บอกเรื่องอะไร” ปากสวยได้รูปขยับถามอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ“เรื่องของเราไง” อินเอื้อมไปจับมือหมี่และลูบเบา ๆ“แต่เรายังไม่ได้เป็นอะไรกันเลยนะ...กูหมายถึงตอนนี้เราแค่ทดลองดูใจกันอยู่รึเปล่า” หมี่พูดออกมาตามตรง ซึ่งนั่นก็ทำให้ทั้งคู่รับ

  • อินกินหมี่   บทที่ 6 อิน อัน กันต์ (4/6)

    อินอาบน้ำแล้วทิ้งตัวลงบนเตียงก่อนจะผล็อยหลับไปด้วยความเหนื่อยล้า หมี่เห็นแบบนั้นก็พิมพ์ข้อความส่งไปหากันต์ที่ยังอยู่โรงพยาบาลว่าอินได้ที่สอง ซึ่งอีกฝ่ายตอบกลับมาเป็นสติกเกอร์รูปนิ้วมือแบบธรรมดา การเป็นคนป่วยไม่ได้ทำให้กันต์กวนบาทาน้อยลงเลยคนตัวเล็กหันมองรูมเมทที่นอนหลับตาพริ้มด้วยสายตายินดีพลางคิดว่าหลังจากนี้ก็ขอให้มีแต่เรื่องดี ๆ เกิดขึ้นกับพวกเขานะ ก่อนจะเริ่มเตรียมแผนการสำหรับฉลองที่อินได้เหรียญเงินในการแข่งขันว่ายน้ำครั้งแรกคิดไปคิดมา เขียนไปเขียนมาก็ผ่านไปหลายชั่วโมงจนตะวันตกดิน หมี่ที่เป็นกังวลว่าอินยังไม่ตื่นก็เดินไปปลุกเพราะถึงเวลาต้องหาอะไรกินแล้ว เด็กหนุ่มที่ถูกปลุกก็ลุกขึ้นมานั่งด้วยหน้าตาสะลึมสะลือ ก่อนจะตรงไปอาบน้ำเพื่อสลัดความง่วงทิ้ง“ครั้งนี้ฉลองด้วยอะไรดี” เสียงเล็กของหมี่ถามขึ้นอย่างตื่นเต้นทันทีที่อินเดินออกมาจากห้องน้ำ“ตามใจมึงเลย” เขากินอะไรก็ได้ทั้งนั้นแหละ ความจริงแล้วตอนนี้ยงไม่อยากตื่นเลยด้วยซ้ำ“อืมม งั้นทำอะไรอร่อย ๆ กินกันดีมั้ย” เมื่อเห็นคนตัวเล็กทำหน้าครุ่นคิดว่าจะฉ

DMCA.com Protection Status