ณ สนามบินสุวรรณภูมิ บริเวณผู้โดยสารขาออก คลาคล่ำไปด้วยผู้คนมากมาย ทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ มีทั้งผู้โดยสาร และคนที่มารอรับ –ส่ง ญาติของตน ตรงทางออก ต่างก็เดินไปมา ดูพลุกพล่านไปหมด หนึ่งในนั้น มีหญิงสาวรูปร่างบอบบางรวมอยู่ด้วย ดูรวม ๆ แล้วก็ไม่ได้มีความสวยเด่นพิเศษอะไรมากมายนัก ที่จะทำให้เป็นที่สะดุดตาแก่ผู้พบเห็นในแวบแรก หากจะมีก็แต่ดวงตาหวานซึ้งที่ดูเศร้า แต่แฝงไว้ด้วยความเด็ดเดี่ยวอยู่ในตัว กอปรกับใบหน้าเนียนใส ไร้สิวเสี้ยนที่ทำให้ดูน่ามอง
น้ำริน ฤทธิ์รณชัย จะร่วมเดินทางไปกับสายการบินภายในประเทศ เพื่อไปพักผ่อน หลังจากหน้าที่การเป็นพยาบาลพิเศษให้กับผู้ป่วยรายหนึ่ง ที่หญิงสาวดูแลได้สิ้นสุดลง เมื่อท่านได้จากโลกนี้ไปแล้ว นับตั้งแต่หล่อนได้ลาออกจากการเป็นพยาบาลประจำในโรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่ง เมื่อห้าปีก่อน
น้ำรินยังจำได้ดีท่านเคยพูดว่า รู้สึกถูกชะตาและเอ็นดูหล่อนมาก อยากให้ไปดูแลท่านที่บ้าน โดยให้ค่าจ้างที่คุ้มค่าเลยทีเดียวล่ะ แถมเป็นค่าจ้างที่หาทั้งปีก็ไม่มีทางได้เท่านี้ ส่วนอีกเหตุผลหนึ่งซึ่งไม่เกี่ยวกับเรื่องค่าจ้างแต่อย่างใด ที่ทำให้หญิงสาวตัดสินใจลาออกมาเป็นพยาบาลพิเศษให้กับท่าน เมื่อได้ดูแลอย่างใกล้ชิด คือความสนิทสนมที่ท่านมอบให้ ทำให้หล่อนรู้สึกรัก รู้สึกผูกพันและเทิดทูนท่าน เปรียบเสมือนญาติผู้ใหญ่อีกคนหนึ่งของตนเองก็ไม่ปาน ท่านเป็นหญิงชรา อายุประมาณแปดสิบต้น ๆ ป่วยด้วยโรคร้ายที่ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ หมอบอกว่าเหลือเวลาอีกไม่กี่ปีเท่านั้น ที่เธอจะมีชีวิตอยู่บนโลกนี้ น้ำรินรู้สึกสงสารเธอจับใจ ทำไมนะหญิงชราผู้นี้ถึงไม่มีใครมาดูแลไม่ว่าจะเป็นลูกหลาน เขาไปอยู่ไหนกัน ฐานะท่านก็จัดว่าร่ำรวยมหาศาลอยู่ คนที่จะมาสืบทอดมรดกหายไปไหนหมดนะ.. หญิงสาวมาทราบภายหลัง เมื่อได้เข้ามาดูแลอย่างใกล้ชิดที่บ้าน ญาติมิตรของท่านต่างย้ายถิ่นฐานไปอยู่ต่างประเทศ นาน ๆ จะกลับมาหาเสียทีหนึ่ง ทำให้น้ำรินอดคิดถึงตัวเองไม่ได้ว่า หล่อนก็ไม่มีญาติที่ไหน ที่สามารถพึ่งพาได้ จะมีก็แต่ญาติห่าง ๆ ที่ไม่ได้ติดต่อเลยหลังจากที่พ่อกับแม่แยกทางกัน ตั้งแต่หล่อนยังเด็ก น้ำรินอยู่กับมารดาตามลำพังสองแม่ลูก จนกระทั่งท่านได้จากไปด้วยอุบัติเหตุ ตอนนั้นหล่อนกำลังเรียนพยาบาลอยู่ปีสอง ต้องดิ้นรนหาเงินเพื่อส่งเสียตัวเอง กว่าจะจบมาได้ เลือดตาก็แทบกระเด็น น้ำรินรู้ดีว่าความเหงา ความโดดเดี่ยว การไร้ที่พึ่งพิงไม่ว่าจะทางกาย หรือทางใจนั้น เป็นเช่นไร แม่จากไปทั้ง ๆ ที่ยังไม่ได้ตอบแทนพระคุณเลยด้วยซ้ำ หล่อนจึงอยากทดแทน และเป็นส่วนเติมเต็มให้กับคนที่ขาดสิ่งนี้เช่นเดียวกับหล่อน น้ำรินปรนนิบัติต่อท่านดุจดังญาติมิตรของตน ผู้สูงวัยก็เช่นกัน ท่านเองก็ไม่ถือตัว ซ้ำยังดูแลหล่อน ประหนึ่งว่าเป็นยายกับหลาน กันจริง ๆ เลยทีเดียว ทั้งสองจึงจูนเข้าหากัน ได้อย่างง่ายดาย แต่แล้ว..วันเวลาแห่งความสุขก็สิ้นสุดลง เมื่อสิ่งที่หล่อนกลัวอยู่ในใจลึก ๆ มานานเป็นเวลาห้าปีกว่าก็พรากท่านไปจากหล่อนจนได้ และอย่างไม่มีวันหวนกลับ โรคร้ายที่คอยเกาะกินอยู่ในตัวหญิงชราผู้มีจิตใจดี อ่อนโยน โอบอ้อมอารี มันค่อย ๆ แทรกผ่านเข้ามาจนทำให้ร่างกายทนไม่ไหวอีกต่อไปแต่ก่อนจาก ท่านได้มอบของสิ่งหนึ่ง ซึ่งมีราคาค่างวดเท่าใดนั้น หล่อนมิอาจทราบได้ นั่นก็คือแหวนเพชรวงเล็ก ๆ วงหนึ่ง ตรงกลางเป็นรูปหัวใจ
ล้อมกรอบด้วยเพชรขาวเม็ดเล็ก สวยน่ารักมาก ‘เก็บของสิ่งนี้ไว้ให้ดีนะ สักวันหนึ่ง แหวนวงนี้ จะทำให้หนูพบกับความสุข ความสบายในอนาคต ภายภาคหน้าอย่างแน่นอน’ วันเวลาแห่งความโศกเศร้าผันผ่านไปแล้วประมาณสองอาทิตย์กว่า น้ำรินอยู่ช่วยงานศพให้ท่านจนเสร็จสิ้น ซึ่งก็มีญาติมิตรไม่กี่คนมาร่วมงาน ผู้จัดการมรดกได้มอบทรัพย์สินทั้งหมดให้กับมูลนิธิต่าง ๆ น้ำรินเห็นด้วยที่ท่านทำอย่างนั้น หล่อนไม่อยากเศร้า ไม่อยากทำอะไรเลยหลังจากนั้น อยากพักผ่อนลำพังสักระยะแล้วค่อยว่ากันใหม่กับอนาคตที่ไม่รู้ว่าจะเป็นเช่นไรต่อไป แหวนวงนี้จะนำพาความสงบสุขมาให้หล่อนจริงดังที่ท่านว่าไว้หรือเปล่านะน้ำรินหวนคิดถึงวันเก่า ๆ ที่ผ่านเข้ามาและเมื่อนึกถึงท่าน หล่อนก็เผลอเอามือ คลำหาแหวนที่คล้องไว้ด้วยสร้อยราคาถูก พลางกุมสิ่งนั้นไว้ในกำมือ อธิษฐานในใจว่า ขอให้แหวนวงนี้เป็นเครื่องนำโชค นำพาสิ่งดี ๆ มาให้หล่อนด้วยเถิด หญิงสาวยืนมองกระเป๋าเดินทาง ที่กำลังเลื่อนเข้าไปยังเครื่องสำรวจอย่างเหม่อลอย ก่อนจะเดินเข้าไปสู่ห้องผู้โดยสารขาออก เมื่อได้ยินเสียงประกาศจากทางสนามบินดังขึ้น พร้อมกับส่งภาษาทั้งไทย จีน ฝรั่งจนครบถ้วน หล่อนได้ที่นั่งริมหน้าต่าง พลางอมยิ้มอย่างพึงพอใจที่จะได้มองภาพวิว ทิวทัศน์ภายนอกเครื่อง อย่างสบายอารมณ์ หลังจากเก็บสัมภาระเล็ก ๆ น้อย ๆ เรียบร้อยแล้ว
น้ำรินนั่งลงรอเวลาเครื่องจะออก ในระหว่างที่รอ ก็หยิบโทรศัพท์มือถือรุ่นใหม่ ที่หล่อนเพิ่งไปซื้อมาได้ไม่นานนัก ก่อนที่ท่านของหล่อนจะเสีย หญิงสาวเลือกฟังก์ชันฟังเพลง เวลาอย่างนี้ สมควรฟังเพลงสินะถึงจะถูก น้ำรินยังคงดื่มด่ำอยู่กับการฟังเพลง พร้อมกับมองทัศนียภาพภายนอกเครื่องในบริเวณสนามบินอยู่อย่างเพลิน ๆ เอียงศีรษะไปพิงกับกระจกริมหน้าต่าง มือกอดอก ฮำเพลงในลำคออย่างอารมณ์ดี
“ขอโทษนะคุณ..ขอดูเลขที่นั่งหน่อย” น้ำเสียงทุ้ม ๆ ค่อนข้างวางอำนาจในตัว ดังอยู่เหนือหัว เยื้องไปทางด้านหลังเล็กน้อย ปลุกให้หญิงสาวสะดุ้งโหยง จากที่กำลังเพลินอยู่กับมือถือคู่ใจ ก็เงยหน้าขึ้นไปมองยังต้นเสียง ที่บังอาจมาขัดจังหวะเวลาส่วนตัว พลางขมวดคิ้วเข้าหากันอย่างขัดใจ แต่ก็ต้องชะงักงันไปชั่วขณะ เมื่อได้สบตากับสายตาคมกริบของอีกฝ่าย ที่จ้องอยู่ก่อนแล้ว
โอ..พระเจ้า! หญิงสาวรำพึงในใจ คนอะไรหล่อบาดตา แค่ใบหน้าที่ไม่ได้ตกแต่งใด ๆ เลยก็กินขาดพวกนายแบบบนปกนิตยสาร หรืออาจจะหล่อกว่าพระเอกหนังหลาย ๆ คนด้วยซ้ำ ช่างเป็นความสมดุลที่ลงตัวเสียเหลือเกิน เพอร์เฟกต์สุด ๆ ! ผู้ชายอะไรขนตาช่างยาวงอนสวยกว่าผู้หญิงอย่างหล่อน จนน่าอิจฉา แม้แต่รอยย่นบริเวณหางตา ยังเป็นเสน่ห์อีกอย่างหนึ่งที่ส่งให้ผู้ชายคนนี้ ดูเป็นคนที่มีรอยยิ้มอยู่เสมอ และดูเป็นคนจริงจังไปในตัว จมูกก็โด๊ง..โด่ง คมสันราวกับรูปปั้น แล้วไหนจะริมฝีปากที่บางได้รูปนั่นอีกล่ะ ช่างยั่วยวนเสียเหลือเกิน บวกกับรูปร่างที่สูงโปร่ง ผิวที่ขาวสะอาดราวกับไม่เคยโดนแดดเลยสักครั้ง ดูรวม ๆ แล้วเหมือนเป็นชาวต่างชาติด้วยซ้ำ ไม่ใช่คนไทยอย่างแน่นอน แต่ เอ.. เมื่อกี้เขาพูดภาษาไทยได้ชัดแจ๋วเลยนี่นา โอ๊ะ..เพิ่งรู้ตัว ว่าตัวเองอ่านกินผู้ชายแปลกหน้าคนนี้ได้ขนาดนี้เลยหรือนี่ เราไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อนเลยนะ
“ขอโทษนะคะคุณผู้หญิงรบกวนขอดูเลขที่นั่งของคุณอีกครั้งได้ไหมคะ? ” น้ำรินตื่นจากภวังค์แทบจะทันที เมื่อได้ยินเสียงหวานใส จากแอร์โฮสเตสสาว พลางละสายตาจากชายหนุ่มร่างสูง ไปยังเจ้าของเสียงหวานแทน มือก็คลำหาเลขที่นั่ง เมื่อเจอแล้วก็ยื่นส่งให้แอร์สาวสวยแบบงง ๆ หญิงสาวสังเกตเห็นแอร์โฮสเตสมองดูเลขที่นั่งสองใบในมือ ก่อนจะพูดออกมาว่า
“ประทานโทษนะคะดิฉันขอนำเลขที่นั่งสองใบนี้ไปตรวจสอบสักประเดี๋ยวนะคะ” สักพัก พี่นางฟ้าคนเดิมก็เดินกลับมาด้วยหน้าตาตื่นปนหอบนิด ๆ คงเพราะรีบวิ่งมากระมัง ก่อนจะมาหยุดยืนหอบแฮ่ก ๆ ข้างชายหนุ่มรูปงามคนนั้น“ต้องขอประทานโทษด้วยนะคะ ที่ทำให้ต้องเสียเวลา คุณ.. เอ่อ มิสเตอร์ คือคงเกิดความผิดพลาดจากพนักงานขายตั๋วน่ะค่ะ ทำให้ บุ๊คที่นั่งซ้ำกัน เดี๋ยวทางเราจะจัดที่นั่งให้คุณใหม่ทางด้านหลังสองที่นั่งเลยนะคะ” แอร์สาวผู้น่าสงสาร พูดตะกุกตะกัก เป็นภาษาอังกฤษ ทั้งก้ม ทั้งโค้ง กล่าวขอโทษชายหนุ่มรูปงามตรงหน้าอย่างรู้สึกผิด แต่ดูเหมือนว่าประโยคเมื่อสักครู่ของหล่อน จะไปกระทบระบบประสาทส่วนไหนของชายหนุ่มก็ไม่อาจทราบได้ เมื่อเขาแสดงท่าทางหัวเสียส่ายหัวไปมาอย่างระอา หัวคิ้วขมวดเข้าหากันอย่างโกรธจัด ก่อนจะสบถออกมาแบบไม่ไว้หน้าใคร
“อะไรนะ! จัดที่นั่งซ้ำกันอย่างนั้นเรอะ! เป็นไปได้ยังไง! ชุ่ยที่สุด พวกคุณทำงานกันยังไง ผมอุตส่าห์ลดตัวลงมา เพื่อลองนั่งชั้นธรรมดา ๆ ดู บ้าง แต่กลับมีปัญหาเข้าจนได้ โลว์คลาสสมชื่อจริง ๆ”
“ ต้องขอประทานโทษจริง ๆ นะคะ ทางเราจะรับผิดชอบ โดยการจัดที่นั่งให้ใหม่ทางตอนหลัง ให้ท่านสองที่เลยค่ะ”“ เฮอะ! จัดการได้เท่านี้น่ะหรือ ได้ ..ถ้าอย่างนั้นก็ให้ผู้หญิงคนนี้ ไปนั่งตรงนั้นแทนผมสิ ในเมื่อที่นั่งซ้ำกัน และอีกอย่างผมต้องการนั่งตรงนี้!”“ คึ..คือว่า..คุณผู้หญิงท่านนี้ เธอมาก่อนตั้งแต่ สิบห้านาที ที่แล้วน่ะค่ะ”“ อ้อ! งั้น.. แสดงว่า ผมเป็นคนผิดอย่างนั้นหรือ? ที่มาทีหลังผู้หญิงคนนี้ ยังไงผมก็ยืนยันจะนั่งตรงนี้ ถ้าหากว่ายังมีปัญหาอีก ก็ไปเรียกกัปตัน หรือว่าคนที่พูดรู้เรื่องกว่านี้ มาคุยกับผมดีกว่า เข้าใจมั๊ย!?” น้ำรินได้ยินทุกคำพูด ของทั้งสองฝ่ายที่ตอบโต้กัน ด้วยภาษาอังกฤษ พลางลุ้นไปด้วยว่าจะลงเอยอย่างไร ผู้โดยสารหลายคนต่างก็หันมามองยังจุดที่ ชายหนุ่มผู้นั้นยืนค้ำหัวหล่อนอยู่ พร้อมกับแอร์สาวผู้น่าสงสารที่ยืนตัวสั่นงันงก เพราะกริ่งเกรงต่อผู้ชายวางอำนาจตรงหน้า
ไม่นานนัก ทุกอย่างก็เป็นไปอย่างที่ชายผู้นั้นต้องการ โดยที่หล่อนได้ที่นั่งติดหน้าต่างตามเดิม ส่วนตัวเขากลับยอมนั่งที่ติดกับหล่อนริมทางเดินแทนอีกคน ผู้ชายคนนี้ช่างเป็นคนดูยากเสียเหลือเกิน เมื่อกี้ยังอาละวาดอยากได้ที่นั่งตรงนี้อยู่แหมบ ๆ ตอนนี้กลับเงียบไปเสียเฉย ๆ เฮอะ! คิดว่าตัวเองใหญ่ ร่ำรวยมหาศาลมาจากไหนกัน ประเทศตัวเองก็ไม่ใช่ ทำเป็นกร่าง แหม..เสียแรงที่อุตส่าห์ชื่นชมตอนที่เห็นครั้งแรก แหว่ะ! จะหล่อลากดินมาจากไหน ถ้านิสัยแย่ ๆ อย่างนี้ก็ไม่เอาด้วยหรอกเครื่องบินลำใหญ่ พุ่งทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าอันกว้างใหญ่เหนือพื้นดินของเขตกรุงเทพฯ มุ่งหน้าไปสู่ทางทิศใต้ของประเทศไทย ซึ่งจุดหมายปลายทางของสายการบินนี้ก็คือ..เกาะภูเก็ต เมื่อเครื่องบินเหินขึ้นฟ้า ตามด้วยแรงกระตุกเล็กน้อยพอเครื่องอยู่ในระดับที่ปรับให้เข้าที่แล้ว น้ำรินถึงกับผ่อนลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก เพราะนี่เป็นการเดินทางโดยเครื่องบินเป็นครั้งแรกของหล่อน เฮ้อ! รอดตายแล้วเรา น้ำรินพิงศีรษะ เอียงหน้าไปท
“คุณ..คุณคะ” เงียบ..มีลมหายใจอยู่หรือเปล่านะ ถึงได้ไม่ตอบสนองใด ๆ เลย แวบหนึ่ง ด้วยสัญชาตญาณวิชาชีพ หญิงสาวใช้นิ้วชี้ไปอังที่ปลายจมูกโด่งสวยทันที ก็ยังมีลมหายใจ เพื่อความแน่ใจ เลยใช้สองนิ้ววางทาบบริเวณคอแกร่งด้านข้าง อย่างเบามือ หากก็หวาดหวั่นไปด้วยเกรงว่าเขาจะเป็นอะไรไป“ทำอะไร?”“อ๊ะ!...!” น้ำรินตกใจสุดขีด ตาโตเท่าไข่ห่านเลยทีเดียว เมื่อจู่ ๆ ชายหนุ่มรูปงามผู้นั้นก็ลืมตาขึ้นมา พร้อมกับส่งเสียงเข้มดุ ด้วยสำเนียงไทยชัดแจ๋ว คิ้วดกสวยของเขาขมวดเข้าหากัน จ้องเขม็งมาที่หล่อน แค่นั้นยังไม่พอ ฝ่ามือเรียวใหญ่คว้าหมับเข้าที่ข้อมือเล็กทั้งสองข้างเข้าด้วยกันแทบทันที และอย่างรวดเร็ว คนตัวสูงใหญ่ออกแรงเพียงนิดเดียว กระชากตัวหล่อนให้เข้าไปใกล้ใบหน้าอันหล่อเหลาอย่างง่ายดาย ทำให้หน้าของเขาและเธออยู่ห่างกันแค่ไม่กี่เซนต์เท่านั้น และไม่ทันที่หล่อนจะไหวตัว ชักมือกลับไม่ทันเสียแล้ว “ เอ่อ..คือก็ ฉะ..ฉันปลุกคุณแล้ว แต่คุณไม่ตื่นนี่นา ก็เลยนึกว่า..”“ คิดว่า ฉันไม่หายใจแล้ว อ
“หอมดีนี่ ใช้ยาสระผมอะไร” หญิงสาวตกใจสุดขีด พลางเงยหน้าขึ้นจากอกกว้างขวางทันที ส่งผลให้ใบหน้าอันหล่อเหลาเกลี้ยงเกลาของชายหนุ่ม อยู่ใกล้กันเสียจนจมูกโด่งสวยชนเข้ากับพวงแก้มขาวใสของหล่อน ตาต่อตาประสานกันนิ่งไปชั่วขณะ น้ำรินอายจนหน้าแดง สงสัยแดงไปจนถึงใบหูแล้วแน่ ๆ เลย ฝ่ายชายหนุ่มคล้ายอึ้งตะลึงไปชั่วขณะเช่นกัน พลางกระแอมเบา ๆ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นไปอย่างเก้อ ๆ หญิงสาวก็เหมือนเพิ่งจะรู้ตัว จึงพูดอ้อมแอ้มออกกับอกหนา“ อ่ะ..คุณ ฉันจะกลับเข้าที่นั่งแล้ว ปะ..ปล่อยมือด้วยค่ะ”“จะยากอะไรล่ะ” ที่ว่าจะยากอะไรของเขา ก็คืออีกฝ่ายจัดการรวบเอวทั้งสองข้างของหล่อนไว้แน่น ออกแรงเพียงนิด หล่อนก็ได้กลับมาอยู่บนเก้าอี้ตัวในได้อย่างนิ่มนวล แต่..ขาหล่อนยังพาดอยู่ที่ตักเขาอยู่เลย น้ำรินงงอยู่กับเหตุการณ์เมื่อครู่ จึงไม่รู้จะจัดการยังไงกับร่างกายตัวเองดี พลางมองไปที่ขาทั้งสองข้างที่ยังวางอยู่แถว ๆ หน้าขาของเขา อย่างช่วยอะไรไม่ได้“จะเอาไว้ที่น
‘ อ้อ!..นึกออกแล้ว มิน่าล่ะ ถึงหลุดคำพูดออกมาตอนที่ก้าวเข้ามาบนเครื่องในตอนแรก ว่าสามารถเหมาเครื่องบินทั้งลำได้เลยหากว่าใครไปขัดเขา เฮอะ...คงนึกอยากลองทำตัวจนดูบ้างล่ะสิ พวกคนรวยที่เบื่อความโก้หรู เบื่อความสะดวกสบาย อยากได้อะไรก็ได้มาง่าย ๆ จนรู้สึกเซ็ง เลยลองเปลี่ยนบรรยากาศล่ะสิท่า’ แวบหนึ่ง หญิงสาวนึกถึงเหตุการณ์เมื่อตอนที่เครื่องลงจอดสนิทยังสนามบิน ในขณะที่หล่อนกำลังเตรียมตัวจะออกจากที่นั่ง อยู่ดี ๆ เขาก็หันมาจ้องหน้า มองหล่อนด้วยสายตาหมายมาด ก่อนจะเอ่ยเนิบ ๆกับเธอ ‘แล้วเจอกันนะ แม่แมวน้อยขี้เซา’ จากนั้นเขาก็หันหลังเดินห่างออกไป ทุกที ทุกที จนลับสายตา ทิ้งให้น้ำรินยืนนิ่งไม่ไหวติงไปชั่วขณะ มารู้ตัวอีกทีเมื่อได้ยินแอร์สาวใจดี ช่วยปลุกให้หล่อนตื่นจากภวังค์ แมวน้อยขี้เซาอย่างนั้นหรือ เขามีสิทธิ์อะไรมาเรียกหล่อนว่าแมวน้อย หรือว่า ตอนที่อยู่บนเครื่อง หล่อนเผลอหลับใหลไม่รู้เรื่องรู้ราว แอบซุกไซ้ หาความอบอุ่นเอากับอกกว้างของเขาจะนับว่าโชคดีหรือโชคร้ายกันแน่นะที่มีโอกาสได้พูดคุยกับเขาถึงแม้จะไม่กี่ประโยคก็เถอะ หญิงส
ฮิโรยูกิ กระตุกยิ้มที่มุมปาก ดวงตาคมกริบจ้องนิ่งไปยังดวงหน้าขาวใส ใบหน้าที่ปราศจาก สิ่งแต่งแต้มใด ๆ มีแต่เครื่องหน้าที่เป็นธรรมชาติ ตั้งแต่คิ้วบาง ดวงตาที่ดูเศร้า จมูกเล็กรั้นอย่างคนดื้อดึงอยู่ในที ริมฝีปากบาง ใบหูเล็กนั่นที่มีกลิ่นหอมอ่อน ๆ กับผมสีน้ำตาลที่ถูกรวบเป็นหางม้า ไว้ด้านหลังเผยให้เห็นใบหน้ากระจ่างใสได้ชัดเจน หึ..ไม่มีอะไรน่าสนใจเลยจริง ๆ หวังว่าหล่อนคงไม่ใช่หญิงไทยที่ท่านปู่ให้ตามหาหรอกนะ เพราะเท่าที่ฟังมา ผู้หญิงคนนั้นน่าจะมีอายุสักแปดสิบปีได้แล้ว ถ้าอย่างนั้น..หล่อนเกี่ยวข้องอะไรกับแหวนวงนี้ล่ะ? ไม่แน่เขาอาจจะได้ข้อมูลมากมายจากหล่อน หญิงสาวผู้นี้ต้องเกี่ยวข้องอย่างใดอย่างหนึ่ง กับหญิงไทยที่ท่านปู่ให้ตามหาอย่างแน่นอน เห็นทีว่าเขาจะต้องลงมือทำอะไรสักอย่างเสียแล้ว ขืนปล่อยให้หล่อนลอยนวลอยู่อย่างนี้ ไม่ได้การแล้ว ดีไม่ดีหล่อนอาจไหวตัว หนีไปจะทำยังไง ชายหนุ่มลดกล้องส่องทางไกลที่มีศักยภาพสูง ราคาแพงลง พลางหันไปสั่งบอดี้การ์ดคู่กาย และยังเป็นบุคคลที่รู้จักเขามากที่สุดคนหนึ่ง &n
“เฮ้ย!” ทานากะอุทานออกมาแล้วเบียดตัวฝ่าฝูงชนไปที่ประตูใหญ่ บริเวณทางเข้างาน“บอกให้คนพวกนั้นออกไปซะ! บอกให้พวกเขาออกไป!” การ์ดหนุ่มร้องสั่งเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยที่อยู่ใกล้ ๆ บริเวณนั้น แต่เจ้าหน้าที่ ณ จุดนั้นมีแค่ สามสี่คน กับจำนวนคนที่มีมากกว่าจึงทำอะไรไม่ได้มาก อีกทั้งกลุ่มผู้สื่อข่าวทั้งหลายทั้งเบียด ทั้งดันตรงทางเข้า แล้วแถมยังมีกล้องในมือพร้อม ความกระหายอยากในการหาข่าว มีมากกว่าจรรยาบรรณเสียแล้ว“นี่มันอะไรกัน แค่รัฐมนตรีฯ มาแค่คนเดียวทำไม พวกนักข่าวถึงได้ตื่นเต้นกันขนาดนี้ล่ะ” ทานากะตะคอกออกมาอย่างหัวเสีย กับเจ้าหน้าที่คนหนึ่งที่ทำหน้าเหรอหราทำอะไรไม่ถูกเช่นกัน“ เอ่อ..คือว่า..คนที่มากับท่านรัฐมนตรีฯ เป็นดาราดังที่มีข่าวคึกโครมอยู่ตอนนี้น่ะสิครับ” ทานากะถึงบางอ้อ ที่แท้ก็แบบนี้นี่เอง ลำพังถ้ารัฐมนตรีฯ มาคนเดียวคงไม่วุ่นวายอย่างนี้กระมัง“ เฮ้อ!” บอดี้การ์ดหนุ่มได้แต่ส่ายหัวไปมาอย่างระอา พร้อมกับโมโห พวกบรรดากองทัพนักข่าวทั้งหลาย ไม่เคารพกฎกติกากันบ้างเลย เพราะคนที่จะเ
ในขณะนั้นเอง ทานากะเหลือบตาไปเห็นชายที่น่าสงสัยคนนั้นพอดี เขาปะปนอยู่กับกลุ่มผู้สื่อข่าวที่ต่างก็แตกตื่น ฮือฮากับเรื่องราวต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น จนกล้องไม่รู้จะซูมไปทางไหนดี และอย่างไม่ทันได้ตั้งตัว ทานากะเห็นชายคนนั้นยกมือขึ้นข้างหนึ่งซึ่งพบว่าในนั้นมีมีดปลายแหลม พุ่งตรงไปทางเปรมศักดิ์ และดาราสาวที่กำลังเดินออกไปจากงานทันที และโดยไม่ตั้งใจอีกเช่นกัน เมื่อมีเสียงหนึ่งตะโกนร้องเสียงดัง ออกมาว่าให้ระวัง เปรมศักดิ์ซึ่งกำลังเดินตามดาราสาวออกมา เหลือบไปเห็นชายที่ถือมีดพุ่งตรงมายังตัวเขา ด้วยสัญชาตญาณการเอาตัวรอด ท่านรัฐมนตรีฯ หันไปคว้าคนที่ยืนอยู่ใกล้ที่สุด เหวี่ยงร่างนั้นให้ไปปะทะกับชายคนที่จะเข้ามาทำร้ายเขาสุดแรง โดยที่ไม่มีใครสังเกตว่าเป็นใคร มาจากไหน ทานากะวิ่งตามไปจนถึงตัวบุคคลที่น่าสงสัยคนนั้นแทบทันที หากช้าไปเสียแล้ว เมื่อปลายมีดแหลมคมได้เฉือนข้อมือของผู้โชคร้าย ที่มามุงดูแบบไม่รู้อิโหน่อิเหน่เข้าอย่างจัง “อ๊ะ!.!” น้ำรินร้องออกมาได้เท่านั้น เพราะยังงุนงงกับเ
การกระทำของทั้งสองได้เรียกน้ำตาให้กับคนที่พบเห็น บริเวณห้องฉุกเฉินได้เป็นอย่างดี ชั่ววินาทีนั้นราวกับว่าได้หยุดทุกสิ่งทุกอย่างให้หยุดอยู่กับที่ ไม่เว้นแม้แต่ผู้ป่วยที่ร้องโอดโอย เพราะความเจ็บปวดจากบาดแผลบริเวณหน้าขา เพิ่งถูกเข็นผ่านเข้ามาภายใน ต้องหยุดชะงักงันไปชั่วขณะ เหลือบมองมายังคู่หนุ่มสาวทั้งสองด้วยความงุนงงสงสัย ลืมความเจ็บปวดเมื่อครู่ไปเลยทีเดียว ทางด้านผู้สูงอายุทั้งสาม ถึงกับอึ้งไปกับการกระทำของทั้งสองหนุ่มสาว ความรู้สึกตื้นตัน และเห็นความตั้งใจจริงของทั้งสอง แสดงให้รู้ว่าพวกเขารักกันมากมายขนาดไหน ฝ่ายชายถึงกับสามารถตัดขาดจากสมบัติและวงศ์ตระกูลได้เลย เพื่อแลกกับการได้ครองรักกับหญิงสาวร่างเล็กบอบบางข้างกาย ลี ฮาซันถึงกับหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาซับที่หางตา มองไปทางด้านผู้เป็นสามีคล้องวงแขนเข้ากับลำแขนของอีกฝ่ายซุกหน้ากับอกของสามี ด้วยความรู้สึกตื้นตันใจ ทางด้านลี จางชีก็มีอาการไม่ต่างจากกันนัก จึงแตะที่แขนของภรรยาอย่างปลอบประโลม ชายชราหนึ่งเดียวนั้นก็ไม่ได้มีอาการแตกต่างจากคนอื่นเท่าใดนัก ร่างที่ค่อนข้างค้อมเล็กน้อย ไขว้มือที่เหี่ยวย่นไว้ด้านหลังข้างหนึ่ง ส่วนอีกข้างวางอยู่บน
น้ำรินพยายามลืมตาตื่น รู้สึกมึนงงไปหมด อาการคลื่นไส้ จะเป็นลม หายเป็นปลิดทิ้งหลังจากที่ได้ให้น้ำเกลือ และนอนพักเต็มอิ่มแล้ว ดวงตาที่เปียกชื้นไปด้วยน้ำอุ่น ๆ เค็ม ๆ ถูกเช็ดออกจากดวงหน้าด้วยนิ้วเรียวใหญ่อย่างเบามือของผู้เป็นสามี“ตื่นแล้วหรือ? เป็นไงบ้าง? ยังเวียนหัวอยู่หรือเปล่า?” คำถามรัวถี่ติด ๆ กันจนคนถูกถามแทบตอบไม่ทัน จึงได้แต่ส่ายศีรษะไปมาเบา ๆ เพื่อให้อีกฝ่ายสบายใจ หล่อนไม่อยากให้เขาเป็นกังวลมากนัก“ไอ้หมอหัวล้านกับเจ้ายูมันให้เธอกลับบ้านได้ แต่ฉันว่าเธอยังไม่แข็งแรงดีเลย ยังไงนอนพักดูอาการที่นี่สักคืนดีไหม” ผู้เป็นภรรยาส่ายหัวดิกเมื่อ ได้ยินผู้เป็นสามีบอกให้นอนพักที่นี่สักคืน“ไม่เอาค่ะ หายดีแล้ว ไม่เวียนหัว ไม่คลื่นไส้ ไม่มีอาการอะไรทั้งนั้นแล้ว ฉันหายดีแล้วจริง ๆ นะคะ” อยากจะบอกเหลือเกินว่า แค่ตื่นขึ้นมาแล้วได้เจอหน้าเขา มาอยู่ใกล้ ๆ อย่างนี้อาการต่าง ๆ ก็หายเป็นปลิดทิ้งทันทีเลยล่ะ“จริงนะ ห้ามโกหก เป็นพยาบาลอะไรไม่ชอบโรงพยาบาลเฮ้อ!” ชายหนุ่มชะโงกหน้า มองเสี้ยวหน้าภรรยาตัวน้อยด้วยความมันเขี้ยว มือใหญ่วางแปะที่ศีรษะเล็กนั้น เขย่าเบา ๆ อย่างเอ็นดู“กลับบ้านกันเถอะนะคะ” คนไข้ตัว
“ดี..แล้วก็เอาหัวล้าน ๆ ของไอ้หมอคนเมื่อกี้ออกไปห่างเมียกันหน่อยได้ไหม กันไม่ชอบขี้หน้ามันเลยว่ะ” ฮิโรยูกิหันมากระซิบข้างหูเพื่อนรักทันทีที่หันไปเห็นแพทย์คนเมื่อสักครู่ เดินเลี่ยงออกไปทางด้านซ้ายของเตียงคนไข้ นั่นก็เรียกรอยยิ้มให้ยูอิจิได้เป็นอย่างดี ขี้หึงจริง ๆ นะเพื่อนเรา แม้แต่หมอแก่ร่างท้วม กับหัวที่มีผมทางตอนหน้าเหลือน้อยไปหน่อยเท่านั้นเอง ไปหาว่าเขาหัวล้านซะนี่ ร้ายจริง ๆ“ออกไปก่อนเถอะเพื่อน ไม่ต้องห่วงทางนี้ กันจะช่วยดูให้อีกแรงหนึ่ง” คำยืนยันของยูอิจิ บอกว่าภรรยาของเขาไม่ได้เป็นอะไรมาก ทำให้ชายหนุ่มถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก ร่างสูงจึงยอมถอยห่างออกมาแต่ไม่ได้ไปไหนไกล เขายังคงปักหลักยืนอยู่ห่าง ๆ ในมุมห้องแคบนั้น พลางกอดอกมองแพทย์และพยาบาลตรวจร่างกายหล่อนเงียบ ๆ“ฮีโร่..ฮีโร่..ตื่นเถอะ”“อ๊ะ! ฮ๊ะ! ยู..เมียฉันล่ะเมียฉันเป็นไงบ้าง!” ร่างสูงผวาตกใจตื่น เมื่อได้ยินเสียงยูอิจิปลุกให้ตื่น เขาเผลอหลับไปตั้งแต่เมื่อไหร่กัน“หึ..ตื่นขึ้นมาก็โวยวายเลยนะ คุณน้ำรินปลอดภัยแล้ว หมอให้น้ำเกลือ แล้วย้ายเธอไปนอนพักดูอาการที่ห้องข้าง ๆ โน่นแล้ว”“เหรอ? แล้วอยู่ไหนล่ะ?”“เดี๋ยวสิเพื่อน นี่นายไม่อ
“อือ ๆ ก็ว่าอย่างนั้นล่ะ” แล้วก็มีเสียงงึมงำจากคนรอบข้าง ที่บ่งบอกว่าเห็นด้วยกับความเห็นของเขา และนั่นก็ให้คุณคิม เซยอนชักสีหน้าอย่างไม่พอใจให้สามีทันที“เอาอย่างนี้สิ อะไรที่เป็นฝีมือของเธอ เราก็ชิมอันนั้นก็แล้วกัน..เรามาวัดกันที่รสชาติเป็นไง” และก็เป็นท่านปู่อีกตามเคยที่เอื้อมมือมาช่วยหล่อนไว้ ทำให้น้ำรินลอบถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก การทดสอบเรื่องอาหารผ่านไปด้วยดี ผลที่ออกมาหล่อนได้คะแนนเกือบเก้าสิบเปอร์เซ็นต์ ซึ่งนับว่าสูงมากเลยทีเดียว และสุดท้ายก็คือการชงชาที่ถูกต้อง ขณะที่กำลังนำถาดน้ำชาไปเสิร์ฟให้ผู้หลักผู้ใหญ่นั้นเอง วูบหนึ่งหล่อนรู้สึกหน้ามืด วิงเวียนจนแทบล้ม แต่ก็พยายามข่มใจไว้ พลางยืดอกขึ้นสูดลมหายใจเพื่อเอาออกซิเจนเข้าปอดลึก ๆ เฮือกหนึ่ง แต่จนแล้วจนรอดเรื่องที่หญิงสาวไม่ต้องการให้เกิดมันก็เกิดขึ้นจนได้“อุ๊บ! อ๊ะ!” เพล้ง! จู่ ๆ หญิงสาวก็รู้สึกคลื่นไส้ขึ้นมาอย่างกะทันหัน เมื่อกลิ่นของชาชั้นดีโชยมาแตะเข้าที่จมูก กลิ่นของมันทำให้แก๊สในกระเพาะอาหารปั่นป่วนจนวิ่งมาจุกอยู่ที่ลำคอ แทบอ้วกออกมา เท่านั้นเองโดยที่ไม่ทันได้ตั้งตัว หล่อนเผลอยกมือขึ้นมาปิดปาก ทำให้น้ำหนักถูกเทไปที่มืออีก
สามวันแล้วสินะที่หล่อนโดนการทดสอบแบบเล็ก ๆ น้อย ๆ จากคุณอาหญิง วันแรกเธอให้หล่อนขัดถูเครื่องใช้โบราณที่อยู่ในครัว ทำอยู่เป็นวันกว่าจะเสร็จก็เล่นเอามือถลอกไปเลยทีเดียว ถัดมาอีกวันหนึ่งหล่อนถูกทดสอบการทำอาหารซึ่งหล่อนถนัดนักล่ะ ไม่ว่าเธอจะสั่งให้ทำอะไรหล่อนก็ทำมันออกมาได้เป็นอย่างดี และนั่นก็ทำให้คุณลี ฮาซัน เริ่มมีปฏิสัมพันธ์กับหล่อนดีขึ้น วันนี้เธอช่วยสอนวิธีชงชาที่ถูกวิธีให้กับหล่อนอย่างละเอียดถี่ถ้วน ฮีจินมาเยี่ยมหล่อนเมื่อช่วงบ่าย ก่อนจะกลับหล่อนได้ยื่นของสิ่งหนึ่งมาให้ นั่นก็คือหนังสือเกี่ยวกับประวัติศาสตร์เกาหลีในแต่ละยุคสมัย คุณลีบอกว่าอีกสองวันจะมีการประชุมผู้อาวุโสของตระกูล ให้หล่อนเตรียมตัวให้พร้อม เมื่อถึงวันนั้นเธอบอกว่าจะคอยช่วยหล่อนอีกแรงหนึ่ง น้ำรินรู้สึกดีใจเหลือเกิน ที่สามารถเอาชนะใจคุณลี ฮาซันได้ เพียงแค่ระยะเวลาอันสั้น ส่วนคนอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็นแม่บ้าน พ่อบ้านเก่าแก่ ต่างก็ให้ความเป็นกันเองกับหล่อนมากขึ้นผิดกับวันแรก ๆ ที่หล่อนมาถึงที่นี่ลิบลับ หญิงสาวกลับเข้ามาในห้องนอนอีกครั้งในช่วงเย็น หลังจากร่วมรับประทานอาหารมื้อเย็นกับผู้ใหญ่เรียบร้อยแล้ว ร่างเล็กก้าวเข้าไป
ช่วงเดือนพฤษภาคมที่เกาหลีแลดูสดชื่นนัก ความสวยงามของดอกไม้ในช่วงปลายฤดูใบไม้ผลิ พันธุ์ไม้ต่าง ๆ ผลิดอกบานสะพรั่งก่อนที่จะมีใบสีเขียวชอุ่มตามมา ไกด์จำเป็นอธิบายให้หล่อนฟังว่า ริมทางที่รถวิ่งผ่านมาส่วนมากจะเป็นต้นเมเปิลต้นอึนแฮง ( ต้นแป๊ะก๊วย) ต้นบอทือ ( ต้นหลิว) ต้นบอช ( ต้นซากุระ) ต้นชัน (คล้ายต้นสน) ส่วนที่อยู่บนเนินเขาจะมีดอกจิลดัลแล สีชมพูอมม่วง ดอกแคนารีสีเหลือง และดอกซากุระ หรือดอกชนามู สีขาวอมชมพู ต่างผลิดอกออกมาประชัน เปรียบเสมือนสีผ้าต่าง ๆ พืด ปูประดับประดาไว้อย่างสวยงาม ต้นไม้ที่ให้ร่มเงา ยืนเรียงรายริมถนนเริ่มผลิใบอ่อนบ้างแล้ว ตามกิ่งก้านจะมีนกเจบีตัวเล็ก ๆ สีดำส่งเสียงร้องอย่างร่าเริง รถคันจิ๋ววิ่งลัดเลาะผ่านภูเขาที่ดูคดเคี้ยว จากกรุงโซลออกมาแถวชานเมือง ได้สักพักใหญ่ ๆ คนขับกิตติมศักดิ์ของหล่อนก็หักพวงมาลัยเพื่อเลี้ยวขวาขึ้นไปบนเนินสูงเบื้องหน้า วิ่งผ่านรั้วกำแพงสูงใหญ่เข้าไปด้านใน ก่อนจะจอดนิ่งสนิทหน้าลานกว้าง น้ำรินก้าวลงจากรถพลางเหม่อ
“อืมม์ เก่งขึ้นทุกวันนะเราใครสอนกันนะ โอ๊ะ! หึ ๆ” พูดออกไปแล้วก็ต้องร้องครวญครางด้วยความเจ็บ เมื่อถูกกำปั้นน้อย ๆ ทุบที่หน้าอกทีหนึ่งจากคนตัวเล็กตรงหน้า แก้มแดงระเรื่อทำให้เขาอดใจไม่ไหว ช้อนร่างหล่อนอุ้มขึ้นมากระชับไว้ในวงแขนอันอบอุ่น ก่อนจะพามาวางลงบนที่นอนโดยมีร่างสูงหนาตามมาติด ๆ ลมหายใจรินรดกันจนแทบจะสัมผัสได้ ตาต่อตาประสานกันนิ่ง ชายหนุ่มแนบหน้าเข้ามาใกล้เกลือกจมูกโด่งสวยเป็นสัน กับแก้มเนียนอมชมพูสูดดมความหอมอย่างรักใคร่หลงใหล ก่อนจะเลื่อนริมฝีปากจากมุมปากประกบไว้แนบแน่น มือหนึ่งช้อนไว้ที่ท้ายทอยของหล่อน ส่วนมืออีกข้างก็ทำการสำรวจร่างกาย ลูบไล้ไปทั่วก่อนจะสอดหายเข้าไปใต้เนื้อผ้า.. สักพักชุดนอนเนื้อผ้าบางเบาก็ถูกปลดออกจากร่าง เหลือไว้เพียงร่างขาวนวลเนียนกระจ่างตา“ยังเช้าอยู่เลยนะคะ” หญิงสาวจำต้องยกมือขึ้นแตะที่แขนของสามีเป็นเชิงเตือน เมื่อเห็นว่าผู้เป็นสามีจะไม่หยุดอยู่แค่นั้น“ไม่เห็นเป็นไรเลยเช้า ๆ นั่นแหละดี”“แต่ว่า..คุณต้องไปทำงาน”“อื้อ..อย่าดื้อน่า เมื่อกี้ยังเชื้อเชิญอยู่เลย นะ..ขอหน่อยนะที่รัก หลายวันแล้วนะที่เราไม่ได้อยู่ด้วยกันเลย อีกหน่อยเธอก็ต้องไปที่โซลแล้ว เมื่อถึ
แต่ดูเหมือนว่าจะไม่ทำให้มันสะดุ้งสะเทือนเลยแม้แต่น้อย สุดท้ายจึงใช้ส้นเท้ากระทืบลงที่หลังเท้าของมันเต็มแรง ก่อนจะก้มลงไปกัดที่มือหยาบหนาบริเวณที่มันโอบเหนือเอวหล่อนขึ้นมา เมื่อถูกฟันคม ๆ ของหล่อนกดลึกเข้าไปในผิวเนื้อจนมันรู้สึกเจ็บ ร้องจ๊ากออกมา จนสะบัดมือ สะบัดเท้าเร่า ๆ หญิงสาวมองเห็นความหวังที่จะรอดไปได้ขึ้นมารำไร จึงรีบสลัดตัวออกจากแขนใหญ่ล่ำ ที่พันธนาการหล่อนอยู่ทันที ก่อนจะก้มลงไปหยิบปืนที่หล่นอยู่แทบเท้าเมื่อครู่ด้วยมืออันสั่นเทา นิ้วชี้กระชับพร้อมที่จะเหนี่ยวไกเพื่อกระชากวิญญาณของพวกมันได้ทุกเมื่อ หญิงสาวอยู่ในท่าเตรียมพร้อมอย่างที่ร่ำเรียนมา ปลายกระบอกปืนส่ายสลับไปมา ระหว่างชายฉกรรจ์ที่ยึดตัวหล่อนและสามีไว้เมื่อครู่อย่างหมายมาด สถานการณ์กลับกลายไปเป็นอีกแบบหนึ่งทันที ฮิโรยูกิย่างสามขุมตรงเข้าไปกระชากคอเสื้อของโทรุ ด้วยมือเพียงข้างเดียว ส่วนไอ้สองคนที่กำลังสาละวนอยู่กับการพันธนาการฮีจินอยู่ ชะงักงัน หนึ่งในนั้นพยายามที่จะงัดปืนออกมาจากเอวของมันแต่ถูกเสียงเข้มดุดัน ตะโกนสั่งออกมาเสียก่อน“ทิ้งปืนซะ! ถ้าไม่อยากให้เจ้านายของแกตาย แล้วก็แก้มัดเพื่อนฉัน
“ทำได้ดีมาก..ที่รัก” ฮิโรยูกิยังมีอารมณ์หันมาเอ่ยปากชมหล่อนทันทีที่ร่างเล็ก ๆ วิ่งเข้ามาหลบอยู่ข้างหลังเขา ความขุ่นมัว กรุ่นโกรธก่อนหน้านี้ค่อยผ่อนคลายลงไปได้นิดหนึ่ง เมื่อเห็นว่าหล่อนแก้เผ็ดไอ้คนที่กระทำการอันน่ารังเกียจกับหล่อนได้อย่างไม่น่าเชื่อไม่เสียแรงเลยที่เขาอุตส่าห์ให้หล่อนหัดเรียนรู้วิธีป้องกันตัว เมื่อสองสามเดือนที่ผ่านมาทั้ง ๆ ที่กลัวเหลือเกินว่าเนื้อตัวของหล่อนจะบอบช้ำจากการฝึกฝน แต่ดูเหมือนว่าภรรยาตัวน้อยของเขาจะติดใจการฝึกหัดทุกรูปแบบเสียจนบางครั้ง ไม่สนใจเขาไปเลยในช่วงนั้น โดยเฉพาะเวลาที่เธอฝึกยิงปืนกับครูหนุ่ม การเอาใจใส่จนออกนอกหน้าของครูฝึกคนนั้น ทำให้เขาต้องย้ายหล่อนให้มาฝึกกับครูผู้หญิงแทน ส่วนครูฝึกคนแรกนั้น ถูกย้ายทันทีในวันถัดมา นี่ล่ะ..ผู้หญิงที่จะมาเป็นนายหญิงของตระกูลคัทซึฮิโกะตัวจริง“หึ ๆ แกแน่มาก ฮิโรยูกิแต่ดูเหมือนว่าแกจะประเมินฉันต่ำไปแล้ว” ฮิโรยูกิกับน้ำรินรู้สึกแปลกใจในคำพูดของโทรุ ที่จู่ ๆ มันก็เปล่งเสียงหัวเราะออกมาจากลำคอ ทันใดนั้นทั้งสองก็ต้องอ้าปากค้างร้องอุทานออกมาเกือบพร้อมกัน“ฮ