ฮิโรยูกิ กระตุกยิ้มที่มุมปาก ดวงตาคมกริบจ้องนิ่งไปยังดวงหน้าขาวใส ใบหน้าที่ปราศจาก สิ่งแต่งแต้มใด ๆ มีแต่เครื่องหน้าที่เป็นธรรมชาติ ตั้งแต่คิ้วบาง ดวงตาที่ดูเศร้า จมูกเล็กรั้นอย่างคนดื้อดึงอยู่ในที ริมฝีปากบาง ใบหูเล็กนั่นที่มีกลิ่นหอมอ่อน ๆ กับผมสีน้ำตาลที่ถูกรวบเป็นหางม้า ไว้ด้านหลังเผยให้เห็นใบหน้ากระจ่างใสได้ชัดเจน หึ..ไม่มีอะไรน่าสนใจเลยจริง ๆ หวังว่าหล่อนคงไม่ใช่หญิงไทยที่ท่านปู่ให้ตามหาหรอกนะ เพราะเท่าที่ฟังมา ผู้หญิงคนนั้นน่าจะมีอายุสักแปดสิบปีได้แล้ว ถ้าอย่างนั้น..หล่อนเกี่ยวข้องอะไรกับแหวนวงนี้ล่ะ? ไม่แน่เขาอาจจะได้ข้อมูลมากมายจากหล่อน หญิงสาวผู้นี้ต้องเกี่ยวข้องอย่างใดอย่างหนึ่ง กับหญิงไทยที่ท่านปู่ให้ตามหาอย่างแน่นอน เห็นทีว่าเขาจะต้องลงมือทำอะไรสักอย่างเสียแล้ว ขืนปล่อยให้หล่อนลอยนวลอยู่อย่างนี้ ไม่ได้การแล้ว ดีไม่ดีหล่อนอาจไหวตัว หนีไปจะทำยังไง ชายหนุ่มลดกล้องส่องทางไกลที่มีศักยภาพสูง ราคาแพงลง พลางหันไปสั่งบอดี้การ์ดคู่กาย และยังเป็นบุคคลที่รู้จักเขามากที่สุดคนหนึ่ง &n
“เฮ้ย!” ทานากะอุทานออกมาแล้วเบียดตัวฝ่าฝูงชนไปที่ประตูใหญ่ บริเวณทางเข้างาน“บอกให้คนพวกนั้นออกไปซะ! บอกให้พวกเขาออกไป!” การ์ดหนุ่มร้องสั่งเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยที่อยู่ใกล้ ๆ บริเวณนั้น แต่เจ้าหน้าที่ ณ จุดนั้นมีแค่ สามสี่คน กับจำนวนคนที่มีมากกว่าจึงทำอะไรไม่ได้มาก อีกทั้งกลุ่มผู้สื่อข่าวทั้งหลายทั้งเบียด ทั้งดันตรงทางเข้า แล้วแถมยังมีกล้องในมือพร้อม ความกระหายอยากในการหาข่าว มีมากกว่าจรรยาบรรณเสียแล้ว“นี่มันอะไรกัน แค่รัฐมนตรีฯ มาแค่คนเดียวทำไม พวกนักข่าวถึงได้ตื่นเต้นกันขนาดนี้ล่ะ” ทานากะตะคอกออกมาอย่างหัวเสีย กับเจ้าหน้าที่คนหนึ่งที่ทำหน้าเหรอหราทำอะไรไม่ถูกเช่นกัน“ เอ่อ..คือว่า..คนที่มากับท่านรัฐมนตรีฯ เป็นดาราดังที่มีข่าวคึกโครมอยู่ตอนนี้น่ะสิครับ” ทานากะถึงบางอ้อ ที่แท้ก็แบบนี้นี่เอง ลำพังถ้ารัฐมนตรีฯ มาคนเดียวคงไม่วุ่นวายอย่างนี้กระมัง“ เฮ้อ!” บอดี้การ์ดหนุ่มได้แต่ส่ายหัวไปมาอย่างระอา พร้อมกับโมโห พวกบรรดากองทัพนักข่าวทั้งหลาย ไม่เคารพกฎกติกากันบ้างเลย เพราะคนที่จะเ
ในขณะนั้นเอง ทานากะเหลือบตาไปเห็นชายที่น่าสงสัยคนนั้นพอดี เขาปะปนอยู่กับกลุ่มผู้สื่อข่าวที่ต่างก็แตกตื่น ฮือฮากับเรื่องราวต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น จนกล้องไม่รู้จะซูมไปทางไหนดี และอย่างไม่ทันได้ตั้งตัว ทานากะเห็นชายคนนั้นยกมือขึ้นข้างหนึ่งซึ่งพบว่าในนั้นมีมีดปลายแหลม พุ่งตรงไปทางเปรมศักดิ์ และดาราสาวที่กำลังเดินออกไปจากงานทันที และโดยไม่ตั้งใจอีกเช่นกัน เมื่อมีเสียงหนึ่งตะโกนร้องเสียงดัง ออกมาว่าให้ระวัง เปรมศักดิ์ซึ่งกำลังเดินตามดาราสาวออกมา เหลือบไปเห็นชายที่ถือมีดพุ่งตรงมายังตัวเขา ด้วยสัญชาตญาณการเอาตัวรอด ท่านรัฐมนตรีฯ หันไปคว้าคนที่ยืนอยู่ใกล้ที่สุด เหวี่ยงร่างนั้นให้ไปปะทะกับชายคนที่จะเข้ามาทำร้ายเขาสุดแรง โดยที่ไม่มีใครสังเกตว่าเป็นใคร มาจากไหน ทานากะวิ่งตามไปจนถึงตัวบุคคลที่น่าสงสัยคนนั้นแทบทันที หากช้าไปเสียแล้ว เมื่อปลายมีดแหลมคมได้เฉือนข้อมือของผู้โชคร้าย ที่มามุงดูแบบไม่รู้อิโหน่อิเหน่เข้าอย่างจัง “อ๊ะ!.!” น้ำรินร้องออกมาได้เท่านั้น เพราะยังงุนงงกับเ
เวลาที่ตัวละครในหนัง สลบไปแล้วกลับมาฟื้นคืนสติได้อีกครั้ง ภาพที่เห็นตรงหน้ามันจะเบลอ ๆ แล้วค่อย ๆ ชัดขึ้นไม่ใช่หรือ แต่ทว่าความจริงสำหรับหล่อนแล้วมันไม่ได้เป็นอย่างนั้นเลย เพราะตอนนี้น้ำรินรู้สึกตัวดีแล้ว ดวงตาของหล่อนก็มองเห็นชัดเจนด้วย หญิงสาวค่อย ๆ ลืมตาขึ้น แสงสว่างจากดวงไฟที่อยู่บนเพดานห้องทำให้ต้องหลับตาลงอีกครั้ง ก่อนจะเปิดเปลือกตาขึ้นมาใหม่ อย่างพอจะเข้าใจว่าที่นี่น่าจะเป็นโรงพยาบาล เพราะทัศนียภาพภายในห้องมันบ่งบอกชัดเจนอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นสายน้ำเกลือที่ห้อยระโยงระยาง กลิ่นยาฉุน ๆ ที่ใส่เข้าไปในน้ำเกลือเพื่อเพิ่มพลังให้กับคนไข้ เตียงกับผ้าปูที่นอนขาวสะอาด รวมทั้งชุดผู้ป่วยสีฟ้ามีลวดลายเป็นโลโก้ของโรงพยาบาล ช่างคุ้นตาเหลือเกิน แต่…ที่นี่เป็นที่ไหนกันนะ ทำไม..ไม่ว่าจะมองไปทางใด ก็มีแต่ตัวหนังสือแปลกตา คล้าย ตัวหนังสือจีน หรือไม่ก็ญี่ปุ่น ไม่แน่ใจนัก ความงุนงงสงสัย คำถามต่าง ๆ มากมาย ต่างผุดขึ้นมาในสมองคิดวนไปวนมา ว่าหล่อนมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร อยู่ที่ไหน แล้วใครกันที่พาหล่อนมาที่โรงพยาบาลนี้ หญิงสาวพยายามพยุงกายที่รู้สึกว่าหนักอึ้งของต
หญิงสาวหวนคิดถึงประโยคที่เขาพูดกับหล่อน ก่อนที่จะพาออกมาจากโรงพยาบาล ก่อนหน้านี้ สักครึ่งชั่วโมงเห็นจะได้ ทุกอย่างเป็นไปอย่างรวดเร็ว จนตัวหล่อนเองแทบตั้งตัวไม่ทัน ดูเหมือนว่า ทานากะไม่ต้องการเสียเวลากับหล่อนมากนัก ไม่เปิดโอกาสให้ซักถามอะไรเลย ทั้ง ๆ ที่ในใจเธอร้อนรุ่มเหลือเกินแล้ว อยากถามเขานักหนาว่า ใคร? คือเจ้านายของเขา ได้แต่พูดถึง ไม่เคยเจอหน้าเลยซักครั้ง แล้วจะมารับผิดชอบอะไรกับตัวหล่อนมากมายขนาดนี้ ในหัวสมองเต็มไปด้วยคำถามมากมายเยอะแยะไปหมด น้ำรินนั่งเงียบมาตลอดทางในรถลีมูซีนคันใหญ่สีดำ มีทานากะนั่งอยู่ตอนหน้าคู่กับคนขับ เมื่อก้าวแรกที่เข้ามาในรถ น้ำรินได้กลิ่นหอมจาง ๆ เป็นกลิ่นน้ำหอมสะอาดสะอ้าน ในแบบผู้ชาย ซึ่งก็ไม่น่าจะใช่จากสองคน ที่นั่งตอนหน้าอย่างแน่นอน คนที่ใส่น้ำหอมกลิ่นนี้น่าจะเป็นของเจ้าของรถเสียล่ะมากกว่า..เพราะก่อนหน้านี้หล่อนได้ยินทานากะคุยโทรศัพท์ ประมาณว่าให้เอารถของเขามารับหล่อนได้ ซึ่งนั่น ก็น่าจะเป็นเจ้านายเขาอย่างแน่นอน ที่นี่มันที่ไหนของญี่ปุ่นกันนะ
หญิงสาวหวนคิดถึงประโยคที่เขาพูดกับหล่อน ก่อนที่จะพาออกมาจากโรงพยาบาล ก่อนหน้านี้ สักครึ่งชั่วโมงเห็นจะได้ ทุกอย่างเป็นไปอย่างรวดเร็ว จนตัวหล่อนเองแทบตั้งตัวไม่ทัน ดูเหมือนว่า ทานากะไม่ต้องการเสียเวลากับหล่อนมากนัก ไม่เปิดโอกาสให้ซักถามอะไรเลย ทั้ง ๆ ที่ในใจเธอร้อนรุ่มเหลือเกินแล้ว อยากถามเขานักหนาว่า ใคร? คือเจ้านายของเขา ได้แต่พูดถึง ไม่เคยเจอหน้าเลยซักครั้ง แล้วจะมารับผิดชอบอะไรกับตัวหล่อนมากมายขนาดนี้ ในหัวสมองเต็มไปด้วยคำถามมากมายเยอะแยะไปหมด น้ำรินนั่งเงียบมาตลอดทางในรถลีมูซีนคันใหญ่สีดำ มีทานากะนั่งอยู่ตอนหน้าคู่กับคนขับ เมื่อก้าวแรกที่เข้ามาในรถ น้ำรินได้กลิ่นหอมจาง ๆ เป็นกลิ่นน้ำหอมสะอาดสะอ้าน ในแบบผู้ชาย ซึ่งก็ไม่น่าจะใช่จากสองคน ที่นั่งตอนหน้าอย่างแน่นอน คนที่ใส่น้ำหอมกลิ่นนี้น่าจะเป็นของเจ้าของรถเสียล่ะมากกว่า..เพราะก่อนหน้านี้หล่อนได้ยินทานากะคุยโทรศัพท์ ประมาณว่าให้เอารถของเขามารับหล่อนได้ ซึ่งนั่น ก็น่าจะเป็นเจ้านายเขาอย่างแน่นอน ที่นี่ม
ขณะที่กำลังนึกสมเพชเวทนาตัวเองอยู่นั้น พลันหางตา ได้สังเกตเหมือนมีบางสิ่งบางอย่างคลับคล้ายคลับคลาว่า จะเป็นมนุษย์ที่มีเลือดเนื้ออย่างหล่อนเดินผ่านหลังไปแวบ ๆ จึงหันไปมองให้เต็มตา น้ำรินเลยยิ้มออกมาอย่างลิงโลดหัวใจเต้นแรงออกมาอย่างอดใจไม่อยู่ สมองคิดถึงโอกาสที่จะหนีออกไปจากที่นี่ และอย่างรวดเร็วเท่าความคิดหญิงสาวรีบปราดเข้าไปหาคนคนนั้นทันที ดูเหมือนว่าหญิงสาวผู้นี้จะเป็นพนักงานทำความสะอาดของที่นี่ เพราะสังเกตเห็นป้ายบอกชื่อที่ติดอยู่ตรงหน้าอกด้านซ้าย บ่งบอกชัดเจนว่าเป็นคนของเจ้าของโรงแรมนี้อย่างแน่นอน มาถึงนาทีนี้แล้ว เป็นไงเป็นกันลองขอความช่วยเหลือหล่อนดูเป็นไร“เอ่อ..ขอโทษนะคะ ช่วยอะไรฉันอย่างหนึ่งได้ไหม ได้โปรดพลีส..”พนักงานคนดังกล่าวชะงักงันไปชั่วขณะ เมื่อเห็นหญิงสาวชาวต่างชาติ หน้าตาท่าทางเหมือนคนเร่ร่อน และดูไม่น่าไว้วางใจ แล้วยังมาขอร้องให้ช่วยเหลืออีก ในตอนแรกเธอส่ายหัวไปมา อย่างไม่ให้ความร่วมมือ แต่พอโดนหล่อนก้มลงคุกเข่าขอร้อง กอดขาไว้อย่างอ้อนวอน เธอถึงเริ่มใจอ่อน กว่าจะสนทนากันรู้เรื่องก็เล่นเอาเหงื่อแทบแตก เพราะใช้ทั้งภาษามือภาษากายจนกระทั่ง..ทั้งสองสลั
“เธอพยายามคิดจะหนี ครั้งหนึ่งครับเมื่อมาถึงที่โรงแรม ก็เลย เกิดอุบัติเหตุนิดหน่อย” ถึงแม้การ์ดของเขาไม่บอก ก็พอจะรู้อยู่ว่าอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นนั้นเกิดจากอะไร หัวคิ้วดกหนาขมวดเข้าหากัน พลางหันหน้ามาทางเหล่าบอดี้การ์ดที่เอาแต่ก้มหน้างุด ไม่กล้าสบตากับเจ้านายเพราะเกรงว่าจะโดนทำโทษ“บอกแล้วใช่ไหม! ว่าห้ามให้เธอรู้ตัวก่อนเด็ดขาด..ฉันขี้เกียจที่ต้องระวังว่าหล่อนจะคิดหาทางหนี แต่พวกนายก็ทำให้ไก่ตื่นจนได้ ถึงแม้ว่าหล่อนจะต้องรู้ในไม่ช้า แต่..ช่างเถอะ เพราะถึงยังไง ลูกไก่ในกำมือของฉันตัวนี้ก็ไม่มีทางหนีรอดไปได้อยู่แล้ว” ชายหนุ่มรูปร่างสูงสง่า ก้มลงไปพูดจนชิดกับดวงหน้าขาวซีดของหญิงสาวอย่างหมายมาด ตอนนี้หล่อนหลับใหลไปแล้ว ไม่ตื่นขึ้นมารับรู้อะไรเลย พลางไล้สายตาลามเลีย แสยะยิ้มที่มุมปากอย่างดูถูก ก่อนจะเงยหน้า ยืดตัวเต็มความสูง หันไปทางเหล่าการ์ดทั้งหลายที่พร้อมจะทำตามคำสั่งของเจ้านายเสมอ“พวกนายออกไปได้แล้ว ยกเว้นทานากะ นายอยู่ก่อน” ลับหลังจากที่บรรดาชายฉกรรจ์รูปร่างสูงใหญ่ บึกบึนเหล่านั้นออกไปแล้วผู้เป็นนายจึงหันไปทางบอดี้การ์ดคู่ใจ&
การกระทำของทั้งสองได้เรียกน้ำตาให้กับคนที่พบเห็น บริเวณห้องฉุกเฉินได้เป็นอย่างดี ชั่ววินาทีนั้นราวกับว่าได้หยุดทุกสิ่งทุกอย่างให้หยุดอยู่กับที่ ไม่เว้นแม้แต่ผู้ป่วยที่ร้องโอดโอย เพราะความเจ็บปวดจากบาดแผลบริเวณหน้าขา เพิ่งถูกเข็นผ่านเข้ามาภายใน ต้องหยุดชะงักงันไปชั่วขณะ เหลือบมองมายังคู่หนุ่มสาวทั้งสองด้วยความงุนงงสงสัย ลืมความเจ็บปวดเมื่อครู่ไปเลยทีเดียว ทางด้านผู้สูงอายุทั้งสาม ถึงกับอึ้งไปกับการกระทำของทั้งสองหนุ่มสาว ความรู้สึกตื้นตัน และเห็นความตั้งใจจริงของทั้งสอง แสดงให้รู้ว่าพวกเขารักกันมากมายขนาดไหน ฝ่ายชายถึงกับสามารถตัดขาดจากสมบัติและวงศ์ตระกูลได้เลย เพื่อแลกกับการได้ครองรักกับหญิงสาวร่างเล็กบอบบางข้างกาย ลี ฮาซันถึงกับหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาซับที่หางตา มองไปทางด้านผู้เป็นสามีคล้องวงแขนเข้ากับลำแขนของอีกฝ่ายซุกหน้ากับอกของสามี ด้วยความรู้สึกตื้นตันใจ ทางด้านลี จางชีก็มีอาการไม่ต่างจากกันนัก จึงแตะที่แขนของภรรยาอย่างปลอบประโลม ชายชราหนึ่งเดียวนั้นก็ไม่ได้มีอาการแตกต่างจากคนอื่นเท่าใดนัก ร่างที่ค่อนข้างค้อมเล็กน้อย ไขว้มือที่เหี่ยวย่นไว้ด้านหลังข้างหนึ่ง ส่วนอีกข้างวางอยู่บน
น้ำรินพยายามลืมตาตื่น รู้สึกมึนงงไปหมด อาการคลื่นไส้ จะเป็นลม หายเป็นปลิดทิ้งหลังจากที่ได้ให้น้ำเกลือ และนอนพักเต็มอิ่มแล้ว ดวงตาที่เปียกชื้นไปด้วยน้ำอุ่น ๆ เค็ม ๆ ถูกเช็ดออกจากดวงหน้าด้วยนิ้วเรียวใหญ่อย่างเบามือของผู้เป็นสามี“ตื่นแล้วหรือ? เป็นไงบ้าง? ยังเวียนหัวอยู่หรือเปล่า?” คำถามรัวถี่ติด ๆ กันจนคนถูกถามแทบตอบไม่ทัน จึงได้แต่ส่ายศีรษะไปมาเบา ๆ เพื่อให้อีกฝ่ายสบายใจ หล่อนไม่อยากให้เขาเป็นกังวลมากนัก“ไอ้หมอหัวล้านกับเจ้ายูมันให้เธอกลับบ้านได้ แต่ฉันว่าเธอยังไม่แข็งแรงดีเลย ยังไงนอนพักดูอาการที่นี่สักคืนดีไหม” ผู้เป็นภรรยาส่ายหัวดิกเมื่อ ได้ยินผู้เป็นสามีบอกให้นอนพักที่นี่สักคืน“ไม่เอาค่ะ หายดีแล้ว ไม่เวียนหัว ไม่คลื่นไส้ ไม่มีอาการอะไรทั้งนั้นแล้ว ฉันหายดีแล้วจริง ๆ นะคะ” อยากจะบอกเหลือเกินว่า แค่ตื่นขึ้นมาแล้วได้เจอหน้าเขา มาอยู่ใกล้ ๆ อย่างนี้อาการต่าง ๆ ก็หายเป็นปลิดทิ้งทันทีเลยล่ะ“จริงนะ ห้ามโกหก เป็นพยาบาลอะไรไม่ชอบโรงพยาบาลเฮ้อ!” ชายหนุ่มชะโงกหน้า มองเสี้ยวหน้าภรรยาตัวน้อยด้วยความมันเขี้ยว มือใหญ่วางแปะที่ศีรษะเล็กนั้น เขย่าเบา ๆ อย่างเอ็นดู“กลับบ้านกันเถอะนะคะ” คนไข้ตัว
“ดี..แล้วก็เอาหัวล้าน ๆ ของไอ้หมอคนเมื่อกี้ออกไปห่างเมียกันหน่อยได้ไหม กันไม่ชอบขี้หน้ามันเลยว่ะ” ฮิโรยูกิหันมากระซิบข้างหูเพื่อนรักทันทีที่หันไปเห็นแพทย์คนเมื่อสักครู่ เดินเลี่ยงออกไปทางด้านซ้ายของเตียงคนไข้ นั่นก็เรียกรอยยิ้มให้ยูอิจิได้เป็นอย่างดี ขี้หึงจริง ๆ นะเพื่อนเรา แม้แต่หมอแก่ร่างท้วม กับหัวที่มีผมทางตอนหน้าเหลือน้อยไปหน่อยเท่านั้นเอง ไปหาว่าเขาหัวล้านซะนี่ ร้ายจริง ๆ“ออกไปก่อนเถอะเพื่อน ไม่ต้องห่วงทางนี้ กันจะช่วยดูให้อีกแรงหนึ่ง” คำยืนยันของยูอิจิ บอกว่าภรรยาของเขาไม่ได้เป็นอะไรมาก ทำให้ชายหนุ่มถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก ร่างสูงจึงยอมถอยห่างออกมาแต่ไม่ได้ไปไหนไกล เขายังคงปักหลักยืนอยู่ห่าง ๆ ในมุมห้องแคบนั้น พลางกอดอกมองแพทย์และพยาบาลตรวจร่างกายหล่อนเงียบ ๆ“ฮีโร่..ฮีโร่..ตื่นเถอะ”“อ๊ะ! ฮ๊ะ! ยู..เมียฉันล่ะเมียฉันเป็นไงบ้าง!” ร่างสูงผวาตกใจตื่น เมื่อได้ยินเสียงยูอิจิปลุกให้ตื่น เขาเผลอหลับไปตั้งแต่เมื่อไหร่กัน“หึ..ตื่นขึ้นมาก็โวยวายเลยนะ คุณน้ำรินปลอดภัยแล้ว หมอให้น้ำเกลือ แล้วย้ายเธอไปนอนพักดูอาการที่ห้องข้าง ๆ โน่นแล้ว”“เหรอ? แล้วอยู่ไหนล่ะ?”“เดี๋ยวสิเพื่อน นี่นายไม่อ
“อือ ๆ ก็ว่าอย่างนั้นล่ะ” แล้วก็มีเสียงงึมงำจากคนรอบข้าง ที่บ่งบอกว่าเห็นด้วยกับความเห็นของเขา และนั่นก็ให้คุณคิม เซยอนชักสีหน้าอย่างไม่พอใจให้สามีทันที“เอาอย่างนี้สิ อะไรที่เป็นฝีมือของเธอ เราก็ชิมอันนั้นก็แล้วกัน..เรามาวัดกันที่รสชาติเป็นไง” และก็เป็นท่านปู่อีกตามเคยที่เอื้อมมือมาช่วยหล่อนไว้ ทำให้น้ำรินลอบถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก การทดสอบเรื่องอาหารผ่านไปด้วยดี ผลที่ออกมาหล่อนได้คะแนนเกือบเก้าสิบเปอร์เซ็นต์ ซึ่งนับว่าสูงมากเลยทีเดียว และสุดท้ายก็คือการชงชาที่ถูกต้อง ขณะที่กำลังนำถาดน้ำชาไปเสิร์ฟให้ผู้หลักผู้ใหญ่นั้นเอง วูบหนึ่งหล่อนรู้สึกหน้ามืด วิงเวียนจนแทบล้ม แต่ก็พยายามข่มใจไว้ พลางยืดอกขึ้นสูดลมหายใจเพื่อเอาออกซิเจนเข้าปอดลึก ๆ เฮือกหนึ่ง แต่จนแล้วจนรอดเรื่องที่หญิงสาวไม่ต้องการให้เกิดมันก็เกิดขึ้นจนได้“อุ๊บ! อ๊ะ!” เพล้ง! จู่ ๆ หญิงสาวก็รู้สึกคลื่นไส้ขึ้นมาอย่างกะทันหัน เมื่อกลิ่นของชาชั้นดีโชยมาแตะเข้าที่จมูก กลิ่นของมันทำให้แก๊สในกระเพาะอาหารปั่นป่วนจนวิ่งมาจุกอยู่ที่ลำคอ แทบอ้วกออกมา เท่านั้นเองโดยที่ไม่ทันได้ตั้งตัว หล่อนเผลอยกมือขึ้นมาปิดปาก ทำให้น้ำหนักถูกเทไปที่มืออีก
สามวันแล้วสินะที่หล่อนโดนการทดสอบแบบเล็ก ๆ น้อย ๆ จากคุณอาหญิง วันแรกเธอให้หล่อนขัดถูเครื่องใช้โบราณที่อยู่ในครัว ทำอยู่เป็นวันกว่าจะเสร็จก็เล่นเอามือถลอกไปเลยทีเดียว ถัดมาอีกวันหนึ่งหล่อนถูกทดสอบการทำอาหารซึ่งหล่อนถนัดนักล่ะ ไม่ว่าเธอจะสั่งให้ทำอะไรหล่อนก็ทำมันออกมาได้เป็นอย่างดี และนั่นก็ทำให้คุณลี ฮาซัน เริ่มมีปฏิสัมพันธ์กับหล่อนดีขึ้น วันนี้เธอช่วยสอนวิธีชงชาที่ถูกวิธีให้กับหล่อนอย่างละเอียดถี่ถ้วน ฮีจินมาเยี่ยมหล่อนเมื่อช่วงบ่าย ก่อนจะกลับหล่อนได้ยื่นของสิ่งหนึ่งมาให้ นั่นก็คือหนังสือเกี่ยวกับประวัติศาสตร์เกาหลีในแต่ละยุคสมัย คุณลีบอกว่าอีกสองวันจะมีการประชุมผู้อาวุโสของตระกูล ให้หล่อนเตรียมตัวให้พร้อม เมื่อถึงวันนั้นเธอบอกว่าจะคอยช่วยหล่อนอีกแรงหนึ่ง น้ำรินรู้สึกดีใจเหลือเกิน ที่สามารถเอาชนะใจคุณลี ฮาซันได้ เพียงแค่ระยะเวลาอันสั้น ส่วนคนอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็นแม่บ้าน พ่อบ้านเก่าแก่ ต่างก็ให้ความเป็นกันเองกับหล่อนมากขึ้นผิดกับวันแรก ๆ ที่หล่อนมาถึงที่นี่ลิบลับ หญิงสาวกลับเข้ามาในห้องนอนอีกครั้งในช่วงเย็น หลังจากร่วมรับประทานอาหารมื้อเย็นกับผู้ใหญ่เรียบร้อยแล้ว ร่างเล็กก้าวเข้าไป
ช่วงเดือนพฤษภาคมที่เกาหลีแลดูสดชื่นนัก ความสวยงามของดอกไม้ในช่วงปลายฤดูใบไม้ผลิ พันธุ์ไม้ต่าง ๆ ผลิดอกบานสะพรั่งก่อนที่จะมีใบสีเขียวชอุ่มตามมา ไกด์จำเป็นอธิบายให้หล่อนฟังว่า ริมทางที่รถวิ่งผ่านมาส่วนมากจะเป็นต้นเมเปิลต้นอึนแฮง ( ต้นแป๊ะก๊วย) ต้นบอทือ ( ต้นหลิว) ต้นบอช ( ต้นซากุระ) ต้นชัน (คล้ายต้นสน) ส่วนที่อยู่บนเนินเขาจะมีดอกจิลดัลแล สีชมพูอมม่วง ดอกแคนารีสีเหลือง และดอกซากุระ หรือดอกชนามู สีขาวอมชมพู ต่างผลิดอกออกมาประชัน เปรียบเสมือนสีผ้าต่าง ๆ พืด ปูประดับประดาไว้อย่างสวยงาม ต้นไม้ที่ให้ร่มเงา ยืนเรียงรายริมถนนเริ่มผลิใบอ่อนบ้างแล้ว ตามกิ่งก้านจะมีนกเจบีตัวเล็ก ๆ สีดำส่งเสียงร้องอย่างร่าเริง รถคันจิ๋ววิ่งลัดเลาะผ่านภูเขาที่ดูคดเคี้ยว จากกรุงโซลออกมาแถวชานเมือง ได้สักพักใหญ่ ๆ คนขับกิตติมศักดิ์ของหล่อนก็หักพวงมาลัยเพื่อเลี้ยวขวาขึ้นไปบนเนินสูงเบื้องหน้า วิ่งผ่านรั้วกำแพงสูงใหญ่เข้าไปด้านใน ก่อนจะจอดนิ่งสนิทหน้าลานกว้าง น้ำรินก้าวลงจากรถพลางเหม่อ
“อืมม์ เก่งขึ้นทุกวันนะเราใครสอนกันนะ โอ๊ะ! หึ ๆ” พูดออกไปแล้วก็ต้องร้องครวญครางด้วยความเจ็บ เมื่อถูกกำปั้นน้อย ๆ ทุบที่หน้าอกทีหนึ่งจากคนตัวเล็กตรงหน้า แก้มแดงระเรื่อทำให้เขาอดใจไม่ไหว ช้อนร่างหล่อนอุ้มขึ้นมากระชับไว้ในวงแขนอันอบอุ่น ก่อนจะพามาวางลงบนที่นอนโดยมีร่างสูงหนาตามมาติด ๆ ลมหายใจรินรดกันจนแทบจะสัมผัสได้ ตาต่อตาประสานกันนิ่ง ชายหนุ่มแนบหน้าเข้ามาใกล้เกลือกจมูกโด่งสวยเป็นสัน กับแก้มเนียนอมชมพูสูดดมความหอมอย่างรักใคร่หลงใหล ก่อนจะเลื่อนริมฝีปากจากมุมปากประกบไว้แนบแน่น มือหนึ่งช้อนไว้ที่ท้ายทอยของหล่อน ส่วนมืออีกข้างก็ทำการสำรวจร่างกาย ลูบไล้ไปทั่วก่อนจะสอดหายเข้าไปใต้เนื้อผ้า.. สักพักชุดนอนเนื้อผ้าบางเบาก็ถูกปลดออกจากร่าง เหลือไว้เพียงร่างขาวนวลเนียนกระจ่างตา“ยังเช้าอยู่เลยนะคะ” หญิงสาวจำต้องยกมือขึ้นแตะที่แขนของสามีเป็นเชิงเตือน เมื่อเห็นว่าผู้เป็นสามีจะไม่หยุดอยู่แค่นั้น“ไม่เห็นเป็นไรเลยเช้า ๆ นั่นแหละดี”“แต่ว่า..คุณต้องไปทำงาน”“อื้อ..อย่าดื้อน่า เมื่อกี้ยังเชื้อเชิญอยู่เลย นะ..ขอหน่อยนะที่รัก หลายวันแล้วนะที่เราไม่ได้อยู่ด้วยกันเลย อีกหน่อยเธอก็ต้องไปที่โซลแล้ว เมื่อถึ
แต่ดูเหมือนว่าจะไม่ทำให้มันสะดุ้งสะเทือนเลยแม้แต่น้อย สุดท้ายจึงใช้ส้นเท้ากระทืบลงที่หลังเท้าของมันเต็มแรง ก่อนจะก้มลงไปกัดที่มือหยาบหนาบริเวณที่มันโอบเหนือเอวหล่อนขึ้นมา เมื่อถูกฟันคม ๆ ของหล่อนกดลึกเข้าไปในผิวเนื้อจนมันรู้สึกเจ็บ ร้องจ๊ากออกมา จนสะบัดมือ สะบัดเท้าเร่า ๆ หญิงสาวมองเห็นความหวังที่จะรอดไปได้ขึ้นมารำไร จึงรีบสลัดตัวออกจากแขนใหญ่ล่ำ ที่พันธนาการหล่อนอยู่ทันที ก่อนจะก้มลงไปหยิบปืนที่หล่นอยู่แทบเท้าเมื่อครู่ด้วยมืออันสั่นเทา นิ้วชี้กระชับพร้อมที่จะเหนี่ยวไกเพื่อกระชากวิญญาณของพวกมันได้ทุกเมื่อ หญิงสาวอยู่ในท่าเตรียมพร้อมอย่างที่ร่ำเรียนมา ปลายกระบอกปืนส่ายสลับไปมา ระหว่างชายฉกรรจ์ที่ยึดตัวหล่อนและสามีไว้เมื่อครู่อย่างหมายมาด สถานการณ์กลับกลายไปเป็นอีกแบบหนึ่งทันที ฮิโรยูกิย่างสามขุมตรงเข้าไปกระชากคอเสื้อของโทรุ ด้วยมือเพียงข้างเดียว ส่วนไอ้สองคนที่กำลังสาละวนอยู่กับการพันธนาการฮีจินอยู่ ชะงักงัน หนึ่งในนั้นพยายามที่จะงัดปืนออกมาจากเอวของมันแต่ถูกเสียงเข้มดุดัน ตะโกนสั่งออกมาเสียก่อน“ทิ้งปืนซะ! ถ้าไม่อยากให้เจ้านายของแกตาย แล้วก็แก้มัดเพื่อนฉัน
“ทำได้ดีมาก..ที่รัก” ฮิโรยูกิยังมีอารมณ์หันมาเอ่ยปากชมหล่อนทันทีที่ร่างเล็ก ๆ วิ่งเข้ามาหลบอยู่ข้างหลังเขา ความขุ่นมัว กรุ่นโกรธก่อนหน้านี้ค่อยผ่อนคลายลงไปได้นิดหนึ่ง เมื่อเห็นว่าหล่อนแก้เผ็ดไอ้คนที่กระทำการอันน่ารังเกียจกับหล่อนได้อย่างไม่น่าเชื่อไม่เสียแรงเลยที่เขาอุตส่าห์ให้หล่อนหัดเรียนรู้วิธีป้องกันตัว เมื่อสองสามเดือนที่ผ่านมาทั้ง ๆ ที่กลัวเหลือเกินว่าเนื้อตัวของหล่อนจะบอบช้ำจากการฝึกฝน แต่ดูเหมือนว่าภรรยาตัวน้อยของเขาจะติดใจการฝึกหัดทุกรูปแบบเสียจนบางครั้ง ไม่สนใจเขาไปเลยในช่วงนั้น โดยเฉพาะเวลาที่เธอฝึกยิงปืนกับครูหนุ่ม การเอาใจใส่จนออกนอกหน้าของครูฝึกคนนั้น ทำให้เขาต้องย้ายหล่อนให้มาฝึกกับครูผู้หญิงแทน ส่วนครูฝึกคนแรกนั้น ถูกย้ายทันทีในวันถัดมา นี่ล่ะ..ผู้หญิงที่จะมาเป็นนายหญิงของตระกูลคัทซึฮิโกะตัวจริง“หึ ๆ แกแน่มาก ฮิโรยูกิแต่ดูเหมือนว่าแกจะประเมินฉันต่ำไปแล้ว” ฮิโรยูกิกับน้ำรินรู้สึกแปลกใจในคำพูดของโทรุ ที่จู่ ๆ มันก็เปล่งเสียงหัวเราะออกมาจากลำคอ ทันใดนั้นทั้งสองก็ต้องอ้าปากค้างร้องอุทานออกมาเกือบพร้อมกัน“ฮ