เวลาที่ตัวละครในหนัง สลบไปแล้วกลับมาฟื้นคืนสติได้อีกครั้ง ภาพที่เห็นตรงหน้ามันจะเบลอ ๆ แล้วค่อย ๆ ชัดขึ้นไม่ใช่หรือ แต่ทว่าความจริงสำหรับหล่อนแล้วมันไม่ได้เป็นอย่างนั้นเลย เพราะตอนนี้น้ำรินรู้สึกตัวดีแล้ว ดวงตาของหล่อนก็มองเห็นชัดเจนด้วย
หญิงสาวค่อย ๆ ลืมตาขึ้น แสงสว่างจากดวงไฟที่อยู่บนเพดานห้องทำให้ต้องหลับตาลงอีกครั้ง ก่อนจะเปิดเปลือกตาขึ้นมาใหม่ อย่างพอจะเข้าใจว่าที่นี่น่าจะเป็นโรงพยาบาล เพราะทัศนียภาพภายในห้องมันบ่งบอกชัดเจนอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นสายน้ำเกลือที่ห้อยระโยงระยาง กลิ่นยาฉุน ๆ ที่ใส่เข้าไปในน้ำเกลือเพื่อเพิ่มพลังให้กับคนไข้ เตียงกับผ้าปูที่นอนขาวสะอาด รวมทั้งชุดผู้ป่วยสีฟ้ามีลวดลายเป็นโลโก้ของโรงพยาบาล ช่างคุ้นตาเหลือเกิน แต่…ที่นี่เป็นที่ไหนกันนะ
ทำไม..ไม่ว่าจะมองไปทางใด ก็มีแต่ตัวหนังสือแปลกตา คล้าย ตัวหนังสือจีน หรือไม่ก็ญี่ปุ่น ไม่แน่ใจนัก ความงุนงงสงสัย คำถามต่าง ๆ มากมาย ต่างผุดขึ้นมาในสมองคิดวนไปวนมา ว่าหล่อนมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร อยู่ที่ไหน แล้วใครกันที่พาหล่อนมาที่โรงพยาบาลนี้ หญิงสาวพยายามพยุงกายที่รู้สึกว่าหนักอึ้งของตนเองขึ้นมานั่งอย่างยากลำบาก แต่ก็ต้องรีบเอามือกุมขมับแทบจะทันที เมื่อรู้สึกปวดจี๊ดที่ศีรษะอย่างรุนแรง พลางหลับตาลง ข่มความเจ็บปวดและพยายามหายใจเข้าปอดลึก ๆ เพื่อเรียกออกซิเจนมาเลี้ยงสมองให้มากที่สุด สักพักร่างกายก็เริ่มปรับสภาพได้
น้ำรินเริ่มสำรวจตัวเองใหม่ เมื่อมือบางสัมผัสถึงผ้าอะไรบางอย่างที่ศีรษะ น่าจะเป็นผ้ากอซที่ใช้ปิดแผล และเหลือบตาไปเห็นกอซพันบริเวณข้อมือข้างซ้ายอย่างพอจะเดาเหตุการณ์ที่ผ่าน ๆ มาได้แล้ว
“ รู้สึกตัวแล้วหรือครับ?” น้ำรินได้ยินเสียงผู้ชายร้องทักจากทางประตูห้อง เป็นภาษาอังกฤษ หญิงสาวจึงหันไปมองตามเสียงแทบจะทันที ภาพผู้ชายรูปร่างสูงใหญ่ หน้าตาขาวตี๋อย่างคนญี่ปุ่น ในมือถือกระเช้าดอกไม้เล็ก ๆ เดินเข้ามาภายในห้องช้า ๆ อย่างคุ้นเคย เขาเป็นใคร? เรา เคยรู้จักคน ๆ นี้ด้วยหรือ?
“ เป็นอะไรมากหรือเปล่าครับ? ปวดแผลไหม? รอเดี๋ยวนะ จะเรียกพยาบาลให้” ชายคนนั้น ยังคงพูดกับหล่อนด้วยภาษาเดิม คิ้วเข้มขมวดเข้าหากัน น้ำเสียงที่แสดงออกว่าเป็นห่วงหล่อนจริง ๆคงเห็นจากท่าทางที่หล่อนนั่งคุดคู้งอเข่าเข้ากับตัวภายใต้ผ้าห่มสีขาวสะอาด มือกุมที่ขมับแน่น ถ้าใครมาเห็นอย่างนี้ก็คงเข้าใจเหมือนเขานั่นแหละ
เมื่อก้าวเข้ามาในห้องผู้ป่วยแล้ว ทานากะเห็นหญิงสาวชาวไทย สีหน้าค่อยดีขึ้นจากเมื่อวานมากแล้ว หล่อนนั่งอยู่บนเตียงมือกุมขมับแน่น ปากก็เม้มเข้าหากัน อย่างคนที่สะกดกลั้นความเจ็บปวดไว้ ทำให้เขาตกใจรีบถามออกไป
ด้วยความเป็นห่วง มันเป็นสัญชาตญาณซึ่งถ้าใครเห็นอาการอย่างนี้ก็คงรู้สึกแบบเขาแน่นอน“ ไม่..ไม่เป็นไรค่ะ ฉันไม่เป็นอะไรแล้ว ไม่ต้องเรียกพยาบาลหรอกค่ะ” น้ำรินรีบบอกเขาออกไปเป็นภาษาอังกฤษอย่างร้อนรนเกรงว่าเขาจะเรียกพยาบาลเข้ามา เพราะคิดว่าไม่จำเป็นขนาดนั้นและอีกอย่างหล่อนรู้สึกดีขึ้นบ้างแล้ว อาการปวดจี๊ด ๆ ที่หัวเมื่อครู่ค่อยดีขึ้น หลังจากที่ร่างกายเริ่มปรับสภาพได้ จากนั้นก็พยายามปรับท่านั่งใหม่ เพื่อแสดงให้เขารู้ว่าหล่อนไม่ได้มีอาการน่าเป็นห่วงอย่างที่เห็นในตอนแรก
“ ไม่เป็นอะไรแล้วจริง ๆ นะ” อีกฝ่ายยังถามย้ำน้ำเสียงเจือด้วยความห่วงใย น้ำรินพยักหน้าเล็กน้อยพอให้เข้าใจ
“คงสงสัยสินะว่า ตอนนี้คุณอยู่ที่ไหน ที่นี่คือ โตเกียว ประเทศญี่ปุ่น คือ..หลังจากที่เกิดเหตุที่เมืองไทย คุณเจ็บหนัก เจ้านายของผมก็เลยนำตัวคุณมารักษาต่อที่นี่” น้ำรินค่อนข้างงุนงงปนสงสัย เมื่อได้ยินประโยคเมื่อครู่ของชายตรงหน้า หล่อนเจ็บหนักอย่างนั้นหรือ? รักษาที่เมืองไทยไม่ได้ จนต้องข้ามน้ำข้ามทะเลมาถึงแดนปลาดิบเลยอย่างนั้นจริง ๆ น่ะหรือ แต่ทำไมตัวหล่อนเองถึงรู้สึกว่าไม่ได้เป็นอะไรมากเท่าไหร่เลย แค่หัวแตกนิดหน่อย มีแผลที่ข้อมือเท่านั้น ซึ่งแผลแค่นี้หล่อนรู้ดีว่าไม่นานก็หายเป็นปกติ ไม่จำเป็นต้องมาถึงที่นี่เลยด้วยซ้ำ
“ เอาล่ะ คุณคงต้องการพักผ่อน เจ้านายให้แวะมาเยี่ยมคุณ ถ้าไม่มีอะไรแล้วก็นอนพักเถอะนะ อ้อ! ผม มาซุมิ ทานากะ เรียกผมว่า ทานากะก็ได้ พยาบาลเข้ามาทำแผลให้แล้ว ผมขอตัวก่อน หมอบอกว่า พรุ่งนี้คุณก็ออกจากโรงพยาบาลได้ ฝากด้วยนะครับ” ท้ายประโยค เขาหันไปพูดกับคุณพยาบาลสาวสวย ก่อนจะเดินออกจากห้องไป ทิ้งให้หล่อนจมอยู่กับปริศนาอีกตามเคย ชายคนนั้นจากไปแล้ว เขาเข้ามาพูด ๆ แล้วก็ไป ไม่ทันที่จะให้ถามอะไรเลยด้วยซ้ำ 'เจ้านายผมให้คุณไปพักรักษาตัวต่อที่บ้านของท่าน' เป็นประโยคบอกเล่าอีกตามเคยของทานากะ ชายหนุ่มมาดขรึม ที่น้ำรินเห็นเขาตั้งแต่แรก รูปร่างสูงใหญ่ หน้าตาคมเข้ม ออกจะขาวตี๋สักนิด แต่งตัวด้วยสูทสีดำ ผูกเนคไท บางครั้งก็สวมแว่นตาสีดำเพื่อปกปิดสายตาเหมือนพวกบอดี้การ์ดในหนังยังไงยังงั้น
หญิงสาวหวนคิดถึงประโยคที่เขาพูดกับหล่อน ก่อนที่จะพาออกมาจากโรงพยาบาล ก่อนหน้านี้ สักครึ่งชั่วโมงเห็นจะได้ ทุกอย่างเป็นไปอย่างรวดเร็ว จนตัวหล่อนเองแทบตั้งตัวไม่ทัน ดูเหมือนว่า ทานากะไม่ต้องการเสียเวลากับหล่อนมากนัก ไม่เปิดโอกาสให้ซักถามอะไรเลย ทั้ง ๆ ที่ในใจเธอร้อนรุ่มเหลือเกินแล้ว อยากถามเขานักหนาว่า ใคร? คือเจ้านายของเขา ได้แต่พูดถึง ไม่เคยเจอหน้าเลยซักครั้ง แล้วจะมารับผิดชอบอะไรกับตัวหล่อนมากมายขนาดนี้ ในหัวสมองเต็มไปด้วยคำถามมากมายเยอะแยะไปหมด น้ำรินนั่งเงียบมาตลอดทางในรถลีมูซีนคันใหญ่สีดำ มีทานากะนั่งอยู่ตอนหน้าคู่กับคนขับ เมื่อก้าวแรกที่เข้ามาในรถ น้ำรินได้กลิ่นหอมจาง ๆ เป็นกลิ่นน้ำหอมสะอาดสะอ้าน ในแบบผู้ชาย ซึ่งก็ไม่น่าจะใช่จากสองคน ที่นั่งตอนหน้าอย่างแน่นอน คนที่ใส่น้ำหอมกลิ่นนี้น่าจะเป็นของเจ้าของรถเสียล่ะมากกว่า..เพราะก่อนหน้านี้หล่อนได้ยินทานากะคุยโทรศัพท์ ประมาณว่าให้เอารถของเขามารับหล่อนได้ ซึ่งนั่น ก็น่าจะเป็นเจ้านายเขาอย่างแน่นอน ที่นี่มันที่ไหนของญี่ปุ่นกันนะ
หญิงสาวหวนคิดถึงประโยคที่เขาพูดกับหล่อน ก่อนที่จะพาออกมาจากโรงพยาบาล ก่อนหน้านี้ สักครึ่งชั่วโมงเห็นจะได้ ทุกอย่างเป็นไปอย่างรวดเร็ว จนตัวหล่อนเองแทบตั้งตัวไม่ทัน ดูเหมือนว่า ทานากะไม่ต้องการเสียเวลากับหล่อนมากนัก ไม่เปิดโอกาสให้ซักถามอะไรเลย ทั้ง ๆ ที่ในใจเธอร้อนรุ่มเหลือเกินแล้ว อยากถามเขานักหนาว่า ใคร? คือเจ้านายของเขา ได้แต่พูดถึง ไม่เคยเจอหน้าเลยซักครั้ง แล้วจะมารับผิดชอบอะไรกับตัวหล่อนมากมายขนาดนี้ ในหัวสมองเต็มไปด้วยคำถามมากมายเยอะแยะไปหมด น้ำรินนั่งเงียบมาตลอดทางในรถลีมูซีนคันใหญ่สีดำ มีทานากะนั่งอยู่ตอนหน้าคู่กับคนขับ เมื่อก้าวแรกที่เข้ามาในรถ น้ำรินได้กลิ่นหอมจาง ๆ เป็นกลิ่นน้ำหอมสะอาดสะอ้าน ในแบบผู้ชาย ซึ่งก็ไม่น่าจะใช่จากสองคน ที่นั่งตอนหน้าอย่างแน่นอน คนที่ใส่น้ำหอมกลิ่นนี้น่าจะเป็นของเจ้าของรถเสียล่ะมากกว่า..เพราะก่อนหน้านี้หล่อนได้ยินทานากะคุยโทรศัพท์ ประมาณว่าให้เอารถของเขามารับหล่อนได้ ซึ่งนั่น ก็น่าจะเป็นเจ้านายเขาอย่างแน่นอน ที่นี่ม
ขณะที่กำลังนึกสมเพชเวทนาตัวเองอยู่นั้น พลันหางตา ได้สังเกตเหมือนมีบางสิ่งบางอย่างคลับคล้ายคลับคลาว่า จะเป็นมนุษย์ที่มีเลือดเนื้ออย่างหล่อนเดินผ่านหลังไปแวบ ๆ จึงหันไปมองให้เต็มตา น้ำรินเลยยิ้มออกมาอย่างลิงโลดหัวใจเต้นแรงออกมาอย่างอดใจไม่อยู่ สมองคิดถึงโอกาสที่จะหนีออกไปจากที่นี่ และอย่างรวดเร็วเท่าความคิดหญิงสาวรีบปราดเข้าไปหาคนคนนั้นทันที ดูเหมือนว่าหญิงสาวผู้นี้จะเป็นพนักงานทำความสะอาดของที่นี่ เพราะสังเกตเห็นป้ายบอกชื่อที่ติดอยู่ตรงหน้าอกด้านซ้าย บ่งบอกชัดเจนว่าเป็นคนของเจ้าของโรงแรมนี้อย่างแน่นอน มาถึงนาทีนี้แล้ว เป็นไงเป็นกันลองขอความช่วยเหลือหล่อนดูเป็นไร“เอ่อ..ขอโทษนะคะ ช่วยอะไรฉันอย่างหนึ่งได้ไหม ได้โปรดพลีส..”พนักงานคนดังกล่าวชะงักงันไปชั่วขณะ เมื่อเห็นหญิงสาวชาวต่างชาติ หน้าตาท่าทางเหมือนคนเร่ร่อน และดูไม่น่าไว้วางใจ แล้วยังมาขอร้องให้ช่วยเหลืออีก ในตอนแรกเธอส่ายหัวไปมา อย่างไม่ให้ความร่วมมือ แต่พอโดนหล่อนก้มลงคุกเข่าขอร้อง กอดขาไว้อย่างอ้อนวอน เธอถึงเริ่มใจอ่อน กว่าจะสนทนากันรู้เรื่องก็เล่นเอาเหงื่อแทบแตก เพราะใช้ทั้งภาษามือภาษากายจนกระทั่ง..ทั้งสองสลั
“เธอพยายามคิดจะหนี ครั้งหนึ่งครับเมื่อมาถึงที่โรงแรม ก็เลย เกิดอุบัติเหตุนิดหน่อย” ถึงแม้การ์ดของเขาไม่บอก ก็พอจะรู้อยู่ว่าอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นนั้นเกิดจากอะไร หัวคิ้วดกหนาขมวดเข้าหากัน พลางหันหน้ามาทางเหล่าบอดี้การ์ดที่เอาแต่ก้มหน้างุด ไม่กล้าสบตากับเจ้านายเพราะเกรงว่าจะโดนทำโทษ“บอกแล้วใช่ไหม! ว่าห้ามให้เธอรู้ตัวก่อนเด็ดขาด..ฉันขี้เกียจที่ต้องระวังว่าหล่อนจะคิดหาทางหนี แต่พวกนายก็ทำให้ไก่ตื่นจนได้ ถึงแม้ว่าหล่อนจะต้องรู้ในไม่ช้า แต่..ช่างเถอะ เพราะถึงยังไง ลูกไก่ในกำมือของฉันตัวนี้ก็ไม่มีทางหนีรอดไปได้อยู่แล้ว” ชายหนุ่มรูปร่างสูงสง่า ก้มลงไปพูดจนชิดกับดวงหน้าขาวซีดของหญิงสาวอย่างหมายมาด ตอนนี้หล่อนหลับใหลไปแล้ว ไม่ตื่นขึ้นมารับรู้อะไรเลย พลางไล้สายตาลามเลีย แสยะยิ้มที่มุมปากอย่างดูถูก ก่อนจะเงยหน้า ยืดตัวเต็มความสูง หันไปทางเหล่าการ์ดทั้งหลายที่พร้อมจะทำตามคำสั่งของเจ้านายเสมอ“พวกนายออกไปได้แล้ว ยกเว้นทานากะ นายอยู่ก่อน” ลับหลังจากที่บรรดาชายฉกรรจ์รูปร่างสูงใหญ่ บึกบึนเหล่านั้นออกไปแล้วผู้เป็นนายจึงหันไปทางบอดี้การ์ดคู่ใจ&
“หมะ..หมายความว่ายังไงกัน คุณจับตัวฉันมาใช่ไหม คุณทำแบบนี้เพื่ออะไร.. คุณเป็นพวกเดียวกันกับนายทานากะนั่นสินะ คุณมันเลว เบื้องหน้าคุณคงทำตัวเป็นมหาเศรษฐีสะสมอัญมณี เดินทางไปทั่วโลก แต่แท้ที่จริงแล้ว คุณกลับค้ามนุษย์ คุณมัน..”“พอได้แล้ว! ถ้าขืนเธอยังพูดพล่ามอยู่อีกล่ะก็ ฉันจะบีบคอเธอให้แหลกคามือเดี๋ยวนี้ล่ะจะลองดูมั้ย!” ฮิโรยูกิตะคอกกลับไปเมื่อหล่อนเริ่มกล่าวหาเขาอย่างเสีย ๆ หาย ๆ มากไปแล้ว แต่ก็ไม่ได้แก้ข้อกล่าวหาของหล่อนแต่อย่างใด เพราะเขาไม่ได้ทำอย่างนั้น และก็ไม่จำเป็นที่เขาจะต้องมานั่งอธิบายให้หล่อนเข้าใจด้วย สิ่งที่เขาควรทำในตอนนี้ ก็คือ เค้นเอาคำตอบจากปากของหล่อนให้ได้มากกว่า น้ำรินหุบปากฉับทันที เมื่อได้ยินคำขู่ของเขา อาการดิ้นรนเมื่อครู่ สงบลงพร้อม ๆ กัน ดูเหมือนว่าชายหนุ่มก็หยุดนิ่งเช่นเดียวกัน เมื่อรู้ตัวว่า บัดนี้เขาได้เกยทับอยู่บนร่างเล็กเต็ม ๆ ช่วงล่างของหล่อน ถูกลำขาแข็งแรงของเขา กดทับไว้ไม่ให้ขยับไปไหนได้ โดยมีผ้าห่มนวมผืนหนากั้นไว้เท่านั้น ส่วนท่อนบนชายหนุ่มใช้ลำแขนที่ใหญ่กว่าทั้งสองข้างของเขา กดทับข้อมือทั้งสองข้างของหล่อนไว้ให้ราบกับที่นอ
“นี่..ว่าไงล่ะเจ็บมากหรือเปล่า ไหนขอฉันดูแผลหน่อยสิ”“อ๊ะ! มะ..ไม่ ไม่ค่ะ ไม่เจ็บ”“งั้น..ก็ดีแล้ว เธอควรไปอาบน้ำ แต่งเนื้อแต่งตัวเสียใหม่ เพราะสภาพเธอตอนนี้น่ะ..ดูไม่ได้เลยจริง ๆ” ไม่นานนัก ร่างสูงเจ้าของน้ำเสียงทุ้มต่ำ แฝงไว้ด้วยอำนาจ ก็เดินหันหลังไปออกคำสั่งบรรดาเมทสี่ ห้าคนให้เข้ามาจัดการกับตัวหล่อนตั้งแต่อาบน้ำ เปลี่ยนเสื้อผ้า สระผม และสุดท้าย ได้ทานอาหารมื้อแรกที่แสนอร่อยนับตั้งแต่ได้มาถึงโตเกียว เอ๊ะ! นี่มันอาหารไทยนี่นา เป็นไปได้ยังไง อาหารที่ตกถึงท้องมื้อสุดท้ายก่อนที่จะมาถึงที่นี่ ตอนที่อยู่โรงพยาบาลก็ยังเป็นอาหารญี่ปุ่นที่หล่อนไม่ค่อยจะถนัดนัก จริง ๆ แล้วไม่ค่อยชอบซักเท่าไหร่ด้วยซ้ำ แต่ก็พยายามที่จะกิน โชคดีที่เมื่อก่อนเพื่อนสนิท พยายามยัดเยียดให้หล่อน กินจนสามารถลำเลียงอาหารจืด ๆ คาว ๆ ลงคอได้บ้างพอประทังชีวิต น้ำรินถูกจับเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดนอนตัวใหม่เอี่ยม หน้าตาค่อยสะอาด สดใสขึ้นมาบ้าง ผมเผ้าที่เคยยุ่งเหยิง เนื่องจากไม่ได้รับการดูแล กลับนุ่มสลวยและเหยียดตรงเหมือนอย่างแต่ก่อนแล้ว หญิงสาวจึงเดิน
เช้าวันใหม่ของเมืองโตเกียว กับการได้หลับอย่างเต็มที่เมื่อคืนทำให้น้ำรินรู้สึกสดชื่นขึ้นมาก พลางบิดตัวไปมา ก่อนจะลุกไปเข้าห้องน้ำ ล้างหน้าแปรงฟัน อยากอาบน้ำเหลือเกิน แต่ก็ยากลำบากเสียนี่กระไร ไหนจะกลัวแผลที่ข้อมือจะโดนน้ำ แล้วไหนจะที่หัวอีก โอย.. ช่างทรมานอะไรอย่างนี้ เมื่อวานยังมีคนช่วยอาบ แต่ก็อายจนแทบอยากจะถอดหัวออกไม่ให้พวกหล่อนเห็นหน้าไปซะอย่างนั้น แล้ววันนี้จะทำยังไงดีล่ะ คงต้องเอาไว้ก่อน หล่อนไม่หน้าด้านขนาดที่จะให้ใครมาอาบน้ำให้อย่างกับเด็ก ๆ เป็นครั้งที่สองหรอก หญิงสาวจึงหันไปเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดเดิมที่เคยใส่ มาจากที่โรงพยาบาล ไม่รู้ว่านี่เป็นชุดของใคร รู้แต่ว่า ทานากะเอามาให้ ตั้งแต่วันที่จะออกจากโรงพยาบาลก๊อก ก๊อก..เสียงเคาะประตู ดังสองครั้งติดกัน ก่อนที่จะมีบุรุษรูปร่างสูงใหญ่กำยำ หญิงสาวจำได้ทันทีว่าเป็นทานากะ ที่เป็นคนเปิดประตูเข้ามา วันนี้บอดี้การ์ดหนุ่มอยู่ในชุดสูทสีดำตามเคย ส่วนทางด้านหลังของชายผู้นั้นมีผู้หญิงสาวซึ่งบ่งบอกว่าเป็นคนญี่ปุ่นอย่างแน่นอน ดูจากหน้าตา น่าจะอายุไม่เกินยี่สิบห้าด้วยซ้ำ แต่ก็ไม่แน่นักหรอก คนญี่ปุ่นน่ะหน้าอ่อนกว่า
ชายหนุ่มพาหล่อนกลับเข้ามาอยู่ในห้องน้ำได้สำเร็จ พยายามบังคับสายตาให้มองไปจุดอื่น แทนที่จะเป็นร่างขาวกระจ่างตรงหน้า จากนั้นก็เปิดฝักบัวอาบน้ำให้กับเจ้าหล่อน ก่อนที่จะยกลงมาล้างหน้าป้ายฟองสบู่ออกจากตาให้หล่อนอย่างเบามือ เขาต้องพยายามสะกดอารมณ์ที่มันกำลังพลุ่งพล่านอย่างหนัก เมื่ออยู่ใกล้กับเรือนร่างขาวผ่อง ผ้าชิ้นเล็ก ๆ เมื่อโดนน้ำก็ยิ่งเน้นความชัดแจ๋ว ให้เห็นไปถึงไหนต่อไหน นั่นกลับยิ่งเพิ่มความเย้ายวนให้กับหล่อน โดยที่เจ้าตัวไม่รู้ เขาต้องหายใจเข้าออกอย่างหนัก พยายามกำหนดจุดที่จะมองหล่อนเพียงแค่ใบหน้าขาวสะอาด แทนที่จะเป็นส่วนอื่น“อ๊ะ! มิกะขอบใจมากนะไม่เป็นไรแล้ว ฉันทำเองได้ มีอะไรด่วนหรือ ถึงได้เคาะประตูเสียงดังเชียว แต่ยังไงก็ต้องขอบใจมากนะ ถ้าไม่ได้มิกะล่ะก็ ฉันต้องแย่แน่ ๆ เลย” ปากก็พูดไปแต่มือข้างที่ว่างก็ปัดป่ายสายน้ำออกจากตาและใบหน้าอย่างไม่ยอมมองมาที่ตัวต้นเหตุเพียงสักนิด แต่ชั่วแวบหนึ่ง ด้วยสัญชาตญาณ น้ำรินนึกสงสัยขึ้นมาฉับพลันทันที ว่าทำไมมิกะถึงไม่ค่อยช่างพูดเลย และรู้สึกราวกับว่า มีใครมองหล่อนอยู่กระนั้น คิดได้ดังนั้นหญิงสาวรีบลืมตาขึ้นมาอย่างรวดเร็วเท่า