Share

ณ โรงพยาบาลแห่งหนึ่งในเมืองโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น

เวลาที่ตัวละครในหนัง สลบไปแล้วกลับมาฟื้นคืนสติได้อีกครั้ง ภาพที่เห็นตรงหน้ามันจะเบลอ ๆ แล้วค่อย ๆ ชัดขึ้นไม่ใช่หรือ แต่ทว่าความจริงสำหรับหล่อนแล้วมันไม่ได้เป็นอย่างนั้นเลย เพราะตอนนี้น้ำรินรู้สึกตัวดีแล้ว ดวงตาของหล่อนก็มองเห็นชัดเจนด้วย

  หญิงสาวค่อย ๆ ลืมตาขึ้น แสงสว่างจากดวงไฟที่อยู่บนเพดานห้องทำให้ต้องหลับตาลงอีกครั้ง ก่อนจะเปิดเปลือกตาขึ้นมาใหม่ อย่างพอจะเข้าใจว่าที่นี่น่าจะเป็นโรงพยาบาล เพราะทัศนียภาพภายในห้องมันบ่งบอกชัดเจนอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นสายน้ำเกลือที่ห้อยระโยงระยาง กลิ่นยาฉุน ๆ ที่ใส่เข้าไปในน้ำเกลือเพื่อเพิ่มพลังให้กับคนไข้ เตียงกับผ้าปูที่นอนขาวสะอาด รวมทั้งชุดผู้ป่วยสีฟ้ามีลวดลายเป็นโลโก้ของโรงพยาบาล ช่างคุ้นตาเหลือเกิน แต่…ที่นี่เป็นที่ไหนกันนะ 

  ทำไม..ไม่ว่าจะมองไปทางใด ก็มีแต่ตัวหนังสือแปลกตา คล้าย ตัวหนังสือจีน หรือไม่ก็ญี่ปุ่น ไม่แน่ใจนัก ความงุนงงสงสัย คำถามต่าง ๆ มากมาย ต่างผุดขึ้นมาในสมองคิดวนไปวนมา ว่าหล่อนมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร อยู่ที่ไหน แล้วใครกันที่พาหล่อนมาที่โรงพยาบาลนี้ หญิงสาวพยายามพยุงกายที่รู้สึกว่าหนักอึ้งของตนเองขึ้นมานั่งอย่างยากลำบาก แต่ก็ต้องรีบเอามือกุมขมับแทบจะทันที เมื่อรู้สึกปวดจี๊ดที่ศีรษะอย่างรุนแรง พลางหลับตาลง ข่มความเจ็บปวดและพยายามหายใจเข้าปอดลึก ๆ เพื่อเรียกออกซิเจนมาเลี้ยงสมองให้มากที่สุด สักพักร่างกายก็เริ่มปรับสภาพได้ 

  น้ำรินเริ่มสำรวจตัวเองใหม่ เมื่อมือบางสัมผัสถึงผ้าอะไรบางอย่างที่ศีรษะ น่าจะเป็นผ้ากอซที่ใช้ปิดแผล และเหลือบตาไปเห็นกอซพันบริเวณข้อมือข้างซ้ายอย่างพอจะเดาเหตุการณ์ที่ผ่าน ๆ มาได้แล้ว 

“ รู้สึกตัวแล้วหรือครับ?” น้ำรินได้ยินเสียงผู้ชายร้องทักจากทางประตูห้อง เป็นภาษาอังกฤษ หญิงสาวจึงหันไปมองตามเสียงแทบจะทันที ภาพผู้ชายรูปร่างสูงใหญ่ หน้าตาขาวตี๋อย่างคนญี่ปุ่น ในมือถือกระเช้าดอกไม้เล็ก ๆ เดินเข้ามาภายในห้องช้า ๆ อย่างคุ้นเคย เขาเป็นใคร? เรา เคยรู้จักคน ๆ นี้ด้วยหรือ?

 “ เป็นอะไรมากหรือเปล่าครับ? ปวดแผลไหม? รอเดี๋ยวนะ จะเรียกพยาบาลให้” ชายคนนั้น ยังคงพูดกับหล่อนด้วยภาษาเดิม คิ้วเข้มขมวดเข้าหากัน น้ำเสียงที่แสดงออกว่าเป็นห่วงหล่อนจริง ๆคงเห็นจากท่าทางที่หล่อนนั่งคุดคู้งอเข่าเข้ากับตัวภายใต้ผ้าห่มสีขาวสะอาด  มือกุมที่ขมับแน่น ถ้าใครมาเห็นอย่างนี้ก็คงเข้าใจเหมือนเขานั่นแหละ

  เมื่อก้าวเข้ามาในห้องผู้ป่วยแล้ว ทานากะเห็นหญิงสาวชาวไทย สีหน้าค่อยดีขึ้นจากเมื่อวานมากแล้ว  หล่อนนั่งอยู่บนเตียงมือกุมขมับแน่น ปากก็เม้มเข้าหากัน อย่างคนที่สะกดกลั้นความเจ็บปวดไว้  ทำให้เขาตกใจรีบถามออกไป

ด้วยความเป็นห่วง มันเป็นสัญชาตญาณซึ่งถ้าใครเห็นอาการอย่างนี้ก็คงรู้สึกแบบเขาแน่นอน

“ ไม่..ไม่เป็นไรค่ะ ฉันไม่เป็นอะไรแล้ว ไม่ต้องเรียกพยาบาลหรอกค่ะ” น้ำรินรีบบอกเขาออกไปเป็นภาษาอังกฤษอย่างร้อนรนเกรงว่าเขาจะเรียกพยาบาลเข้ามา เพราะคิดว่าไม่จำเป็นขนาดนั้นและอีกอย่างหล่อนรู้สึกดีขึ้นบ้างแล้ว อาการปวดจี๊ด ๆ ที่หัวเมื่อครู่ค่อยดีขึ้น หลังจากที่ร่างกายเริ่มปรับสภาพได้ จากนั้นก็พยายามปรับท่านั่งใหม่ เพื่อแสดงให้เขารู้ว่าหล่อนไม่ได้มีอาการน่าเป็นห่วงอย่างที่เห็นในตอนแรก

“ ไม่เป็นอะไรแล้วจริง ๆ นะ” อีกฝ่ายยังถามย้ำน้ำเสียงเจือด้วยความห่วงใย น้ำรินพยักหน้าเล็กน้อยพอให้เข้าใจ

“คงสงสัยสินะว่า ตอนนี้คุณอยู่ที่ไหน ที่นี่คือ โตเกียว ประเทศญี่ปุ่น คือ..หลังจากที่เกิดเหตุที่เมืองไทย คุณเจ็บหนัก เจ้านายของผมก็เลยนำตัวคุณมารักษาต่อที่นี่” น้ำรินค่อนข้างงุนงงปนสงสัย เมื่อได้ยินประโยคเมื่อครู่ของชายตรงหน้า หล่อนเจ็บหนักอย่างนั้นหรือ? รักษาที่เมืองไทยไม่ได้ จนต้องข้ามน้ำข้ามทะเลมาถึงแดนปลาดิบเลยอย่างนั้นจริง ๆ น่ะหรือ แต่ทำไมตัวหล่อนเองถึงรู้สึกว่าไม่ได้เป็นอะไรมากเท่าไหร่เลย แค่หัวแตกนิดหน่อย มีแผลที่ข้อมือเท่านั้น ซึ่งแผลแค่นี้หล่อนรู้ดีว่าไม่นานก็หายเป็นปกติ ไม่จำเป็นต้องมาถึงที่นี่เลยด้วยซ้ำ

“ เอาล่ะ คุณคงต้องการพักผ่อน เจ้านายให้แวะมาเยี่ยมคุณ ถ้าไม่มีอะไรแล้วก็นอนพักเถอะนะ อ้อ! ผม มาซุมิ ทานากะ เรียกผมว่า ทานากะก็ได้ พยาบาลเข้ามาทำแผลให้แล้ว ผมขอตัวก่อน หมอบอกว่า พรุ่งนี้คุณก็ออกจากโรงพยาบาลได้ ฝากด้วยนะครับ” ท้ายประโยค เขาหันไปพูดกับคุณพยาบาลสาวสวย ก่อนจะเดินออกจากห้องไป ทิ้งให้หล่อนจมอยู่กับปริศนาอีกตามเคย ชายคนนั้นจากไปแล้ว เขาเข้ามาพูด ๆ แล้วก็ไป ไม่ทันที่จะให้ถามอะไรเลยด้วยซ้ำ 'เจ้านายผมให้คุณไปพักรักษาตัวต่อที่บ้านของท่าน' เป็นประโยคบอกเล่าอีกตามเคยของทานากะ  ชายหนุ่มมาดขรึม ที่น้ำรินเห็นเขาตั้งแต่แรก รูปร่างสูงใหญ่ หน้าตาคมเข้ม ออกจะขาวตี๋สักนิด แต่งตัวด้วยสูทสีดำ ผูกเนคไท บางครั้งก็สวมแว่นตาสีดำเพื่อปกปิดสายตาเหมือนพวกบอดี้การ์ดในหนังยังไงยังงั้น

Related chapter

Latest chapter

DMCA.com Protection Status