“คุณ..คุณคะ” เงียบ..มีลมหายใจอยู่หรือเปล่านะ ถึงได้ไม่ตอบสนองใด ๆ เลย แวบหนึ่ง ด้วยสัญชาตญาณวิชาชีพ หญิงสาวใช้นิ้วชี้ไปอังที่ปลายจมูกโด่งสวยทันที ก็ยังมีลมหายใจ เพื่อความแน่ใจ เลยใช้สองนิ้ววางทาบบริเวณคอแกร่งด้านข้าง อย่างเบามือ หากก็หวาดหวั่นไปด้วยเกรงว่าเขาจะเป็นอะไรไป
“ทำอะไร?”
“อ๊ะ!...!” น้ำรินตกใจสุดขีด ตาโตเท่าไข่ห่านเลยทีเดียว เมื่อจู่ ๆ ชายหนุ่มรูปงามผู้นั้นก็ลืมตาขึ้นมา พร้อมกับส่งเสียงเข้มดุ ด้วยสำเนียงไทยชัดแจ๋ว คิ้วดกสวยของเขาขมวดเข้าหากัน จ้องเขม็งมาที่หล่อน แค่นั้นยังไม่พอ ฝ่ามือเรียวใหญ่คว้าหมับเข้าที่ข้อมือเล็กทั้งสองข้างเข้าด้วยกันแทบทันที และอย่างรวดเร็ว คนตัวสูงใหญ่ออกแรงเพียงนิดเดียว กระชากตัวหล่อนให้เข้าไปใกล้ใบหน้าอันหล่อเหลาอย่างง่ายดาย ทำให้หน้าของเขาและเธออยู่ห่างกันแค่ไม่กี่เซนต์เท่านั้น และไม่ทันที่หล่อนจะไหวตัว ชักมือกลับไม่ทันเสียแล้ว
“ เอ่อ..คือก็ ฉะ..ฉันปลุกคุณแล้ว แต่คุณไม่ตื่นนี่นา ก็เลยนึกว่า..”
“ คิดว่า ฉันไม่หายใจแล้ว อย่างนั้นใช่ไหม?”
“ อ๊ะ! ปละ.. เปล่านะ คือ..ฉันแค่อยากไปเข้าห้องน้ำ แต่ปลุกเท่าไหร่ คุณก็ไม่ตื่น จะให้ทำยังไงล่ะ แล้วก็กรุณาปล่อยมือฉันด้วยค่ะ” พูดไปหน้าแดงไป ไม่กล้าสบตากับคนที่ตัวใหญ่กว่าเป็นสองเท่านั่น พยายามชักมือกลับไปในที แต่ยิ่งห้ามก็เหมือนยิ่งยุ กลับถูกมือใหญ่บีบกระชับข้อมือแน่นเข้าไปอีก
“ แล้วทำไม ไม่บอกตั้งแต่แรก” คนตัวใหญ่ก้มลงมากระซิบที่ข้างหูหล่อนเบา ๆ เพื่อให้ได้ยินกันเพียงแค่สองคน น้ำรินขนลุกซู่เลยล่ะคราวนี้ ชายหนุ่มลุกออกจากเก้าอี้ที่นั่งอยู่ หลีกทางให้หล่อนได้เดินออกมาจากที่นั่งด้านใน แต่..ไหงมือใหญ่ของเขากลับไม่ยอมปล่อยข้อมือหล่อนล่ะ ซึ่งมองผิวเผินแล้ว เหมือนเขากำลังลากหล่อนให้ลุกออกจากเก้าอี้เลยมากกว่า และด้วยแรงที่เยอะกว่า เขาสามารถดึงตัวหญิงสาวออกมาได้อย่างง่ายดาย เมื่อร่างเล็กหลุดจากที่นั่งได้แล้ว ทั้งสองก็ออกมายืนเด่นตรงทางเดิน โดยไม่ทันได้ตั้งตัวอีกนั่นล่ะ เขาฉุดรั้งข้อมือหล่อนให้เดินตามออกมา น้ำรินทำอะไรไม่ถูกในตอนแรก จึงได้แต่ปล่อยให้เขาลากตัวไปตามใจชอบ พอตั้งสติได้หลังจากที่ยังงง ๆ กับกิริยาของอีกฝ่ายที่ทำอะไรอุกอาจอย่างนี้ ร่างบางจึงพยายามขืนตัวไว้สุดกำลัง เท้าจิกกับพื้น ส่วนแขนที่ถูกยึดไว้ทั้งสองข้างเหยียดตึง เมื่อหล่อนไม่ยอมเดินไปตามแรงฉุดรั้งของคนตรงหน้า
“เอ๊ะ! นี่คุณ! ปล่อยนะ จะพาฉันไปไหน? ปล่อยนะ ฉันจะไปห้องน้ำ!”
“ นี่..!โวยวายอะไรกันนักกันหนานะ เบา ๆ หน่อยสิ ก็กำลังจะพาไปอยู่นี่ไงล่ะ เสียงดังไปได้ คิดว่าฉัน จะพาเธอไปไหนหรือ ฮึ..” ชายหนุ่มหยุดเดินซะเฉย ๆ ก่อนที่จะหันหน้ามาจ้องมองหล่อนนิ่ง แล้วก้มลงมาพูดใกล้ ๆ กับใบหน้าที่ซีดเป็นไก่ต้มไปแล้วในตอนนี้ ลงท้ายด้วยการกระตุกยิ้มที่มุมปากอย่างสมเพชน้ำรินได้ยินเสียง หึ ออกมาจากลำคอแข็งแรงนั้นด้วย แล้วประโยคที่หลุดออกมาจากปากที่สวยสดของเขา ก็เล่นเอาหล่อนถึงกับหน้าชาไปเลยทีเดียว
“อย่าเล่นตัวให้เสียเวลาไปเลย อย่างเธอ ฉันไม่ยุ่งด้วยหรอก เสียเวลาเปล่า” น้ำรินหน้าชาเป็นหนที่สองแล้ว ภายในเวลาไม่กี่นาทีก่อนหน้า หญิงสาวจึงได้แต่ปล่อยให้เขาจูง ไม่ใช่สิ ลาก.. ต่างหากจนมาถึงที่ ที่หล่อนประสงค์จะมาหา
มันตั้งแต่แรก“เอ้า! ถึงแล้ว รีบทำธุระส่วนตัวให้เรียบร้อยซะ แล้วก็หวังว่าเธอคงกลับไปที่นั่งของตัวเองถูกนะ?” ชายหนุ่มรูปงามแต่ป่าเถื่อนคนนั้นก้มลงมาพูด แบบเดิมกับซีกแก้มขาวใสของหล่อนอย่างประชดนิด ๆ
“ อ้อ! แล้วอย่าคิดหนีล่ะ” คำพูดทิ้งท้ายเมื่อสักครู่นี้ ทำให้น้ำรินเงยหน้าขึ้นไปมองยังร่างสูงที่หันหลังเดินกลับไปแล้ว คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันด้วยงุนงงสงสัยเป็นกำลัง ‘อย่าคิดหนีล่ะ’ หนีหรือ? เขาพูดอะไรของเขานะ นี่เราไปทำอะไรผิดไว้อย่างนั้นหรือ ทำไมต้องหนีด้วย อีตานี่ท่าจะบ้าแล้ว ไม่อยากเข้าใกล้เขาเลยให้ตายเถอะ เป็นยังไงก็ไม่รู้ เมื่อไหร่ที่เขาเข้ามาพูดใกล้ทีไร ทำไมหล่อนถึงใจเต้นไม่เป็นส่ำ ทำอะไรไม่ถูกไปเสียทุกทีเลยนะ
เมื่อทำธุระส่วนตัวเสร็จเรียบร้อย หญิงสาวก็เดินกลับมายังที่นั่งของตัวเองอีกครั้ง เป็นความจริงเลยทีเดียวเชียวล่ะ ที่หล่อนจำที่นั่งตัวเองไม่ได้ อ้ายโรคจำที่จำทางไม่ได้ มันเป็นมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้วซะด้วยสิ แก้เท่าไหร่ก็ไม่หาย พยายามที่จะจำแล้วนะ แต่ทำไมทุก ๆที่มันช่างเหมือนกันไปซะหมด ทำไงดี ๆ ตรงไหนล่ะที่เป็นที่ของเรา “อุ๊ย!!”น้ำรินทรุดตัวลงโดยอัตโนมัติ พร้อมกับอุทานออกมาเบา ๆ เมื่อจู่ ๆ ก็ถูกฉุดข้อมือ จากใครบางคน ที่รู้สึกคุ้นยังไงพิกล“ คิดจะหนี หรือยังไง ฮึ!” ชายหนุ่มออกแรงเพียงนิดเดียว ร่างเล็กถึงกับเซถลาลงมาแทบทันที เพราะยังไม่ได้ทรงตัวดี ยังผลให้หล่อนทิ้งตัวล้มลงหน้าตักของชายแปลกหน้าอย่างจัง น้ำรินพยายามกระเสือกกระสน เพื่อช่วยตัวเองให้หลุดพ้นจากแผ่นอกอันอบอุ่นนั้นอย่างทุลักทุเล ชั่ววินาทีนั้นหล่อนได้ยินเสียงหยอกเย้าติดริมหูของเธอ
“หอมดีนี่ ใช้ยาสระผมอะไร” หญิงสาวตกใจสุดขีด พลางเงยหน้าขึ้นจากอกกว้างขวางทันที ส่งผลให้ใบหน้าอันหล่อเหลาเกลี้ยงเกลาของชายหนุ่ม อยู่ใกล้กันเสียจนจมูกโด่งสวยชนเข้ากับพวงแก้มขาวใสของหล่อน ตาต่อตาประสานกันนิ่งไปชั่วขณะ น้ำรินอายจนหน้าแดง สงสัยแดงไปจนถึงใบหูแล้วแน่ ๆ เลย ฝ่ายชายหนุ่มคล้ายอึ้งตะลึงไปชั่วขณะเช่นกัน พลางกระแอมเบา ๆ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นไปอย่างเก้อ ๆ หญิงสาวก็เหมือนเพิ่งจะรู้ตัว จึงพูดอ้อมแอ้มออกกับอกหนา“ อ่ะ..คุณ ฉันจะกลับเข้าที่นั่งแล้ว ปะ..ปล่อยมือด้วยค่ะ”“จะยากอะไรล่ะ” ที่ว่าจะยากอะไรของเขา ก็คืออีกฝ่ายจัดการรวบเอวทั้งสองข้างของหล่อนไว้แน่น ออกแรงเพียงนิด หล่อนก็ได้กลับมาอยู่บนเก้าอี้ตัวในได้อย่างนิ่มนวล แต่..ขาหล่อนยังพาดอยู่ที่ตักเขาอยู่เลย น้ำรินงงอยู่กับเหตุการณ์เมื่อครู่ จึงไม่รู้จะจัดการยังไงกับร่างกายตัวเองดี พลางมองไปที่ขาทั้งสองข้างที่ยังวางอยู่แถว ๆ หน้าขาของเขา อย่างช่วยอะไรไม่ได้“จะเอาไว้ที่น
‘ อ้อ!..นึกออกแล้ว มิน่าล่ะ ถึงหลุดคำพูดออกมาตอนที่ก้าวเข้ามาบนเครื่องในตอนแรก ว่าสามารถเหมาเครื่องบินทั้งลำได้เลยหากว่าใครไปขัดเขา เฮอะ...คงนึกอยากลองทำตัวจนดูบ้างล่ะสิ พวกคนรวยที่เบื่อความโก้หรู เบื่อความสะดวกสบาย อยากได้อะไรก็ได้มาง่าย ๆ จนรู้สึกเซ็ง เลยลองเปลี่ยนบรรยากาศล่ะสิท่า’ แวบหนึ่ง หญิงสาวนึกถึงเหตุการณ์เมื่อตอนที่เครื่องลงจอดสนิทยังสนามบิน ในขณะที่หล่อนกำลังเตรียมตัวจะออกจากที่นั่ง อยู่ดี ๆ เขาก็หันมาจ้องหน้า มองหล่อนด้วยสายตาหมายมาด ก่อนจะเอ่ยเนิบ ๆกับเธอ ‘แล้วเจอกันนะ แม่แมวน้อยขี้เซา’ จากนั้นเขาก็หันหลังเดินห่างออกไป ทุกที ทุกที จนลับสายตา ทิ้งให้น้ำรินยืนนิ่งไม่ไหวติงไปชั่วขณะ มารู้ตัวอีกทีเมื่อได้ยินแอร์สาวใจดี ช่วยปลุกให้หล่อนตื่นจากภวังค์ แมวน้อยขี้เซาอย่างนั้นหรือ เขามีสิทธิ์อะไรมาเรียกหล่อนว่าแมวน้อย หรือว่า ตอนที่อยู่บนเครื่อง หล่อนเผลอหลับใหลไม่รู้เรื่องรู้ราว แอบซุกไซ้ หาความอบอุ่นเอากับอกกว้างของเขาจะนับว่าโชคดีหรือโชคร้ายกันแน่นะที่มีโอกาสได้พูดคุยกับเขาถึงแม้จะไม่กี่ประโยคก็เถอะ หญิงส
ฮิโรยูกิ กระตุกยิ้มที่มุมปาก ดวงตาคมกริบจ้องนิ่งไปยังดวงหน้าขาวใส ใบหน้าที่ปราศจาก สิ่งแต่งแต้มใด ๆ มีแต่เครื่องหน้าที่เป็นธรรมชาติ ตั้งแต่คิ้วบาง ดวงตาที่ดูเศร้า จมูกเล็กรั้นอย่างคนดื้อดึงอยู่ในที ริมฝีปากบาง ใบหูเล็กนั่นที่มีกลิ่นหอมอ่อน ๆ กับผมสีน้ำตาลที่ถูกรวบเป็นหางม้า ไว้ด้านหลังเผยให้เห็นใบหน้ากระจ่างใสได้ชัดเจน หึ..ไม่มีอะไรน่าสนใจเลยจริง ๆ หวังว่าหล่อนคงไม่ใช่หญิงไทยที่ท่านปู่ให้ตามหาหรอกนะ เพราะเท่าที่ฟังมา ผู้หญิงคนนั้นน่าจะมีอายุสักแปดสิบปีได้แล้ว ถ้าอย่างนั้น..หล่อนเกี่ยวข้องอะไรกับแหวนวงนี้ล่ะ? ไม่แน่เขาอาจจะได้ข้อมูลมากมายจากหล่อน หญิงสาวผู้นี้ต้องเกี่ยวข้องอย่างใดอย่างหนึ่ง กับหญิงไทยที่ท่านปู่ให้ตามหาอย่างแน่นอน เห็นทีว่าเขาจะต้องลงมือทำอะไรสักอย่างเสียแล้ว ขืนปล่อยให้หล่อนลอยนวลอยู่อย่างนี้ ไม่ได้การแล้ว ดีไม่ดีหล่อนอาจไหวตัว หนีไปจะทำยังไง ชายหนุ่มลดกล้องส่องทางไกลที่มีศักยภาพสูง ราคาแพงลง พลางหันไปสั่งบอดี้การ์ดคู่กาย และยังเป็นบุคคลที่รู้จักเขามากที่สุดคนหนึ่ง &n
“เฮ้ย!” ทานากะอุทานออกมาแล้วเบียดตัวฝ่าฝูงชนไปที่ประตูใหญ่ บริเวณทางเข้างาน“บอกให้คนพวกนั้นออกไปซะ! บอกให้พวกเขาออกไป!” การ์ดหนุ่มร้องสั่งเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยที่อยู่ใกล้ ๆ บริเวณนั้น แต่เจ้าหน้าที่ ณ จุดนั้นมีแค่ สามสี่คน กับจำนวนคนที่มีมากกว่าจึงทำอะไรไม่ได้มาก อีกทั้งกลุ่มผู้สื่อข่าวทั้งหลายทั้งเบียด ทั้งดันตรงทางเข้า แล้วแถมยังมีกล้องในมือพร้อม ความกระหายอยากในการหาข่าว มีมากกว่าจรรยาบรรณเสียแล้ว“นี่มันอะไรกัน แค่รัฐมนตรีฯ มาแค่คนเดียวทำไม พวกนักข่าวถึงได้ตื่นเต้นกันขนาดนี้ล่ะ” ทานากะตะคอกออกมาอย่างหัวเสีย กับเจ้าหน้าที่คนหนึ่งที่ทำหน้าเหรอหราทำอะไรไม่ถูกเช่นกัน“ เอ่อ..คือว่า..คนที่มากับท่านรัฐมนตรีฯ เป็นดาราดังที่มีข่าวคึกโครมอยู่ตอนนี้น่ะสิครับ” ทานากะถึงบางอ้อ ที่แท้ก็แบบนี้นี่เอง ลำพังถ้ารัฐมนตรีฯ มาคนเดียวคงไม่วุ่นวายอย่างนี้กระมัง“ เฮ้อ!” บอดี้การ์ดหนุ่มได้แต่ส่ายหัวไปมาอย่างระอา พร้อมกับโมโห พวกบรรดากองทัพนักข่าวทั้งหลาย ไม่เคารพกฎกติกากันบ้างเลย เพราะคนที่จะเ
ในขณะนั้นเอง ทานากะเหลือบตาไปเห็นชายที่น่าสงสัยคนนั้นพอดี เขาปะปนอยู่กับกลุ่มผู้สื่อข่าวที่ต่างก็แตกตื่น ฮือฮากับเรื่องราวต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น จนกล้องไม่รู้จะซูมไปทางไหนดี และอย่างไม่ทันได้ตั้งตัว ทานากะเห็นชายคนนั้นยกมือขึ้นข้างหนึ่งซึ่งพบว่าในนั้นมีมีดปลายแหลม พุ่งตรงไปทางเปรมศักดิ์ และดาราสาวที่กำลังเดินออกไปจากงานทันที และโดยไม่ตั้งใจอีกเช่นกัน เมื่อมีเสียงหนึ่งตะโกนร้องเสียงดัง ออกมาว่าให้ระวัง เปรมศักดิ์ซึ่งกำลังเดินตามดาราสาวออกมา เหลือบไปเห็นชายที่ถือมีดพุ่งตรงมายังตัวเขา ด้วยสัญชาตญาณการเอาตัวรอด ท่านรัฐมนตรีฯ หันไปคว้าคนที่ยืนอยู่ใกล้ที่สุด เหวี่ยงร่างนั้นให้ไปปะทะกับชายคนที่จะเข้ามาทำร้ายเขาสุดแรง โดยที่ไม่มีใครสังเกตว่าเป็นใคร มาจากไหน ทานากะวิ่งตามไปจนถึงตัวบุคคลที่น่าสงสัยคนนั้นแทบทันที หากช้าไปเสียแล้ว เมื่อปลายมีดแหลมคมได้เฉือนข้อมือของผู้โชคร้าย ที่มามุงดูแบบไม่รู้อิโหน่อิเหน่เข้าอย่างจัง “อ๊ะ!.!” น้ำรินร้องออกมาได้เท่านั้น เพราะยังงุนงงกับเ
เวลาที่ตัวละครในหนัง สลบไปแล้วกลับมาฟื้นคืนสติได้อีกครั้ง ภาพที่เห็นตรงหน้ามันจะเบลอ ๆ แล้วค่อย ๆ ชัดขึ้นไม่ใช่หรือ แต่ทว่าความจริงสำหรับหล่อนแล้วมันไม่ได้เป็นอย่างนั้นเลย เพราะตอนนี้น้ำรินรู้สึกตัวดีแล้ว ดวงตาของหล่อนก็มองเห็นชัดเจนด้วย หญิงสาวค่อย ๆ ลืมตาขึ้น แสงสว่างจากดวงไฟที่อยู่บนเพดานห้องทำให้ต้องหลับตาลงอีกครั้ง ก่อนจะเปิดเปลือกตาขึ้นมาใหม่ อย่างพอจะเข้าใจว่าที่นี่น่าจะเป็นโรงพยาบาล เพราะทัศนียภาพภายในห้องมันบ่งบอกชัดเจนอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นสายน้ำเกลือที่ห้อยระโยงระยาง กลิ่นยาฉุน ๆ ที่ใส่เข้าไปในน้ำเกลือเพื่อเพิ่มพลังให้กับคนไข้ เตียงกับผ้าปูที่นอนขาวสะอาด รวมทั้งชุดผู้ป่วยสีฟ้ามีลวดลายเป็นโลโก้ของโรงพยาบาล ช่างคุ้นตาเหลือเกิน แต่…ที่นี่เป็นที่ไหนกันนะ ทำไม..ไม่ว่าจะมองไปทางใด ก็มีแต่ตัวหนังสือแปลกตา คล้าย ตัวหนังสือจีน หรือไม่ก็ญี่ปุ่น ไม่แน่ใจนัก ความงุนงงสงสัย คำถามต่าง ๆ มากมาย ต่างผุดขึ้นมาในสมองคิดวนไปวนมา ว่าหล่อนมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร อยู่ที่ไหน แล้วใครกันที่พาหล่อนมาที่โรงพยาบาลนี้ หญิงสาวพยายามพยุงกายที่รู้สึกว่าหนักอึ้งของต
หญิงสาวหวนคิดถึงประโยคที่เขาพูดกับหล่อน ก่อนที่จะพาออกมาจากโรงพยาบาล ก่อนหน้านี้ สักครึ่งชั่วโมงเห็นจะได้ ทุกอย่างเป็นไปอย่างรวดเร็ว จนตัวหล่อนเองแทบตั้งตัวไม่ทัน ดูเหมือนว่า ทานากะไม่ต้องการเสียเวลากับหล่อนมากนัก ไม่เปิดโอกาสให้ซักถามอะไรเลย ทั้ง ๆ ที่ในใจเธอร้อนรุ่มเหลือเกินแล้ว อยากถามเขานักหนาว่า ใคร? คือเจ้านายของเขา ได้แต่พูดถึง ไม่เคยเจอหน้าเลยซักครั้ง แล้วจะมารับผิดชอบอะไรกับตัวหล่อนมากมายขนาดนี้ ในหัวสมองเต็มไปด้วยคำถามมากมายเยอะแยะไปหมด น้ำรินนั่งเงียบมาตลอดทางในรถลีมูซีนคันใหญ่สีดำ มีทานากะนั่งอยู่ตอนหน้าคู่กับคนขับ เมื่อก้าวแรกที่เข้ามาในรถ น้ำรินได้กลิ่นหอมจาง ๆ เป็นกลิ่นน้ำหอมสะอาดสะอ้าน ในแบบผู้ชาย ซึ่งก็ไม่น่าจะใช่จากสองคน ที่นั่งตอนหน้าอย่างแน่นอน คนที่ใส่น้ำหอมกลิ่นนี้น่าจะเป็นของเจ้าของรถเสียล่ะมากกว่า..เพราะก่อนหน้านี้หล่อนได้ยินทานากะคุยโทรศัพท์ ประมาณว่าให้เอารถของเขามารับหล่อนได้ ซึ่งนั่น ก็น่าจะเป็นเจ้านายเขาอย่างแน่นอน ที่นี่มันที่ไหนของญี่ปุ่นกันนะ
หญิงสาวหวนคิดถึงประโยคที่เขาพูดกับหล่อน ก่อนที่จะพาออกมาจากโรงพยาบาล ก่อนหน้านี้ สักครึ่งชั่วโมงเห็นจะได้ ทุกอย่างเป็นไปอย่างรวดเร็ว จนตัวหล่อนเองแทบตั้งตัวไม่ทัน ดูเหมือนว่า ทานากะไม่ต้องการเสียเวลากับหล่อนมากนัก ไม่เปิดโอกาสให้ซักถามอะไรเลย ทั้ง ๆ ที่ในใจเธอร้อนรุ่มเหลือเกินแล้ว อยากถามเขานักหนาว่า ใคร? คือเจ้านายของเขา ได้แต่พูดถึง ไม่เคยเจอหน้าเลยซักครั้ง แล้วจะมารับผิดชอบอะไรกับตัวหล่อนมากมายขนาดนี้ ในหัวสมองเต็มไปด้วยคำถามมากมายเยอะแยะไปหมด น้ำรินนั่งเงียบมาตลอดทางในรถลีมูซีนคันใหญ่สีดำ มีทานากะนั่งอยู่ตอนหน้าคู่กับคนขับ เมื่อก้าวแรกที่เข้ามาในรถ น้ำรินได้กลิ่นหอมจาง ๆ เป็นกลิ่นน้ำหอมสะอาดสะอ้าน ในแบบผู้ชาย ซึ่งก็ไม่น่าจะใช่จากสองคน ที่นั่งตอนหน้าอย่างแน่นอน คนที่ใส่น้ำหอมกลิ่นนี้น่าจะเป็นของเจ้าของรถเสียล่ะมากกว่า..เพราะก่อนหน้านี้หล่อนได้ยินทานากะคุยโทรศัพท์ ประมาณว่าให้เอารถของเขามารับหล่อนได้ ซึ่งนั่น ก็น่าจะเป็นเจ้านายเขาอย่างแน่นอน ที่นี่ม