มื่อเจียงอันเหอเข้าสู่เกม เขากลายร่างเป็นผู้เล่นหน้าใหม่และเริ่มเส้นทางปราบปีศาจอัพเลเวล และได้ชายหนุ่มอาภรณ์ขาวรูปงามและชายผู้นี้ไม่ใช่ผู้เล่นจริงๆ แต่เป็น NPC ถึงยังไงเขาก็ยังชอบอาจารย์ผู้นี้อยู่ดี
ดูเพิ่มเติมวันนี้ชายหนุ่มไม่ได้รวบผมดำขลับที่ปล่อยยาวลงมา และก็ไม่ได้ตวัดพู่กันวาดภาพ หากแต่กลับหยิบขลุ่ยหยกขาวราวหิมะนั่งเป่าเพลงเจียงอันเหอฟังอย่างเคลิบเคลิ้มครู่หนึ่ง รอจนเฉินจื่อเยว่เป่าเพลงจบถึงได้ส่งผลงานภารกิจวันนี้ให้เขาเฉินจื่อเยว่ยังคงยิ้มมุมปากแบบนั้น เป็นปฏิกิริยาปกติที่เจอเจียงอันเหอทำเหมือนกับเมื่อวานไม่มีอะไรเกิดขึ้น เจียงอันเหอคิดชั่วครู่ เป็นแบบนั้นจริงๆ เฉินจื่อเยว่เป็นเพียงแค่ NPC เท่านั้นเอง บางทีเรื่องเมื่อวานอาจจะไม่ได้บันทึกลงไปในสถิติของอีกฝ่ายก็เป็นได้ บางทีเขาอาจจะรู้สึกว่าเรื่องนี้คงไม่ผลกระทบเรื่องท่าทีที่เขามีต่อตนเองเท่าไหร่นัก...เอาเป็นว่า ตอนที่เจียงอันเหอได้เจอเขาอีกครั้ง เขาไม่ได้ดูฝืนอย่างที่คิดไว้เขาปลอบใจตนเองด้วยการมองแง่ดี ดูสิ นี่เป็นข้อดีที่ว่าคนที่ชอบเป็น NPCวันเวลาต่อจากนั้นผ่านไปอย่างรวดเร็วราวติดปีกบิน เจียงอันเหอใช้ชีวิตในเกมไปตามกฎระเบียบ ทุกวันหลังจากที่จบชั้นเรียนคาถาก็จะไปเข้าชั้นเรียนตานชิง แน่นอนว่าเขาไม่เคยวาดรูปคนในชั้นเรียนตานชิงเลย หากกลับวาดภาพทิวทัศน์ ภาพสัตว์ หรือไม่ก็ภาพประหลาดๆ ที่ผุดขึ้นมาในหัวเขาแทนค่อยเป็นค่อยไปทีละช้าๆ ทุกคร
ภารกิจ NPC จากสำนักตึกรังหงส์คือไปพบเหอเหนียนที่พาเจียงอันเหอไปพบเจ้าสำนัก เขามองดูกระดาษที่เขียนภารกิจอยู่เต็มหน้า เลือกอยู่เป็นนานสองนานกว่าจะได้ภารกิจในช่วงฝึกพลังปราณ“ช่วยไม่ได้ ไม่ใช่ว่าศิษย์พี่ไม่ดูแลเจ้า ลูกศิษย์ที่มาฝึกพลังปราณมีค่อนข้างมาก ภารกิจก็มีเพียงไม่กี่อย่างนี้ จะให้เจ้ารับภารกิจใหญ่ก็ไม่ได้เสียด้วย มันค่อนข้างอันตรายเกินไป” เหอเหนียนหยิบกระดาษออกมาแผ่นหนึ่ง พร้อมกับตราประทับหยกส่งยื่นให้เขา “เอ้า ฉบับนี้แหละง่ายมาก เอาตราประทับหยกนี่ยื่นให้เจ้าสำนักก็พอ"ศิษย์พี่ ข้าชื่นชมท่านเหลือเกินวันนี้เฉินจื่อเยว่เปลี่ยนมาใส่ชุดคลุมสีดำ และกำลังตั้งอกตั้งใจใช้พู่กันขนแกะวาดภาพดอกเหมยหมึกลงบนกระดาษสาในตอนที่เจียงอันเหอมาถึง เขากำลังตวัดกลีบดอกสุดท้ายพอดี“คารวะเจ้าสำนัก นี่คือตราประทับหยกที่ศิษย์พี่เหอเหนียนให้ข้านำมา” พอเจียงอันเหอคารวะเรียบร้อย จึงยื่นตราประทับหยกให้กับเฉินจื่อเยว่เฉินจื่อเยว่รับตราประทับหยกไปวางลงบนโต๊ะ แล้วทักทายเขาว่า “ได้ยินว่าเจ้าลงเรียนคาบตานชิง เช่นนั้นเจ้ามาดูภาพวาดดอกเหมยหมึกที่ข้าวาดวันนี้”เจียงอันเหอขยับเข้าไปใกล้ การใช้เส้นของภาพวาดนี้เรียบง
หลังจากเข้าสู่ช่วงฝึกปราณ ผู้เล่นไม่เพียงแค่รับพลังปราณได้จากการนั่งสมาธิเท่านั้น ยังไปหา NPC ของสำนักเพื่อรับภารกิจได้อีกด้วย พอเสร็จภารกิจก็จะได้รางวัลโบนัสกับค่าพลังปราณที่กำหนดไว้พอเจียงอันเหอรู้ถึงจุดนี้ ก็ตัดสินใจว่าหลังเลิกเรียนวันนี้จะไปดูภารกิจที่สำนักตอนนี้ตารางเรียนที่อยู่ในมือเขาได้อัพเดตเรียบร้อยแล้ว เวลาไม่เปลี่ยน ส่วนสถานที่เรียนเปลี่ยนไปเป็นโถงฝึกพลังลมปราณ ในตอนที่เจียงอันเหอเข้าไป ค้นพบว่าที่นี่คึกคักกว่าตรงประตูทางเข้าเสียอีก ด้านในมีลูกศิษย์นั่งกันอยู่เป็นสิบ มีบางคนที่เคยเห็นศิษย์น้องอย่างเขา ต่างก็ทั้งประหลาดใจและดีใจ ล้วนมาแสดงความยินดีที่เขาเข้าสู่ช่วงฝึกพลังปราณได้เร็วขนาดนี้สำหรับพวกเขาแล้ว การที่เจียงอันเหอหายหน้าหายตาไปเป็นสิบวันคงกำลังไปตั้งใจฝึกฝนอยู่เป็นแน่ ไม่อย่างนั้นจะสำเร็จรวดเร็วปานนี้ได้อย่างไรหลังจากเสียงฆ้องดังขึ้น อาจารย์ผู้เข้าสอนจึงเดินเข้ามา ส่งสัญญาณให้พวกลูกศิษย์ตั้งใจเรียนอาจารย์ผู้สอนในคาบเรียนนี้ใช้วิธีการสอนแบบร่ายคาถาจู่โจม หัวใจสำคัญคือแปรพลังปราณที่อยู่ภายในร่างกายเป็นธาตุพลังปราณสำหรับใช้ร่ายคาถาแล้วปล่อยพลังออกไป ธาตุหลักทั
หลังจากผ่านพ้นหนึ่งคืนเต็ม เจียงอันเหอค้นพบประสิทธิภาพในการดูดซึมพลังลมปราณของตนเองสูงขึ้นอีกหน่อย พลังลมปราณที่ค่อยๆ หลั่งไหลเข้าสู่ร่างกาย กำลังแผ่ซ่านไปทั่วทุกเส้นชีพจร ตอนนี้เขายังปรับทิศทางการไหลเวียนของพลังปราณตามชีพจรไม่ได้ ความรู้สึกที่โดนพลังปราณครอบคลุมนั้นช่างยอดเยี่ยมเสียเหลือเกิน ดีจนกระทั่งเจียงอันเหอรู้สึกว่าเพียงแค่หลับตา คืนหนึ่งก็ผ่านพ้นไปแล้วโชคไม่ดีคือ แผนภาพชีพจรที่เจียงอันเหอท่องอยู่ครึ่งค่อนวัน หายวับไปจากหัวเขาจนเกือบหมด เขาพยายามนึกอย่างไรก็นึกออกเพียงแค่ไม่กี่ข้อเรื่องแบบนี้ฝืนไม่ได้หรอก เจียงอันเหอจึงวางลงก่อน แล้วไปเข้าเรียนที่ห้องบรรยายคนที่บรรยายให้เขาฟังวันนี้เป็นศิษย์พี่ที่ค่อนข้างเคร่งขรึม เอาแต่จ้องเขาตอนเรียนเขม็ง ทำให้เจียงอันเหอตึงเครียดเหมือนกับนั่งอยู่บนเข็มทั้งคาบ อย่างกับได้ทบทวนความรู้สึกที่โดนอาจารย์ถามตอนเรียนหนังสือในปีเก่าๆ ศิษย์พี่เน้นบรรยายความสำคัญของการขับเคลื่อนพลังลมปราณ พอรู้ว่าเมื่อวานเจียงอันเหอได้ไปฝึกฝนพลังลมปราณจนสำเร็จ ศิษย์พี่จึงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วก็ใช้แววตาเยียบเย็นจ้องมองเจียงอันเหอตั้งแต่หัวจรดเท้าอยู่สองสามรอบ
เจียงอันเหอกลับมาถึงหอชิงหลวน หลังจากที่อยู่ในห้องตัวเองสักพัก ก็ถึงเวลาไปเข้าเรียนที่ห้องเรียนแล้วห้องบรรยายอยู่ชั้นห้าของหอชิงหลวน มีลักษณะเหมือนห้องหนังสือ เหนือผนังสีขาวมีหลังคากระเบื้องสีดำ ดูแล้วเรียบง่าย ตอนที่เจียงอันเหอมาถึงประตูยังไม่เปิด แต่หน้าประตูก็มีลูกศิษย์มายืนรอถึงสามสี่คนแล้วคนที่รออยู่สามสี่คนนั้นพอเห็นหน้าใหม่ จึงเข้ามาต้อนรับศิษย์น้องคนใหม่อย่างอบอุ่นมีศิษย์พี่หญิงคนหนึ่งถามถึงความก้าวหน้าทางการศึกษาเขาอย่างห่วงใย พอรู้ว่าเจียงอันเหอมาที่ห้องบรรยายเป็นครั้งแรก หลังจากที่เปิดประตูแล้ว จึงส่งเขาไปเข้าเรียนด้วยตนเองเจียงอันเหอยืนอยู่หน้าประตูห้องเรียน หลังจากอำลาศิษย์พี่หญิงด้วยรอยยิ้ม จึงนวดหน้าที่ฉีกยิ้มค้างแล้วหามุมสงบในห้องเรียนนั่งลงพวกศิษย์พี่ชายหญิงล้วนมีน้ำใจกันนัก เกรงว่าเขาจะรับไม่ไหว คิดไม่ถึงว่าศิษย์ร่วมสำนักในตึกรังหงส์จะกลมเกลียวกันปานนี้แต่พอคิดอีกที ภายใต้การนำของเทพชายของตนนั้น ความกลมเกลียวย่อมดีแน่นอน!ในเวลานี้ เสียงฆ้องป่าวประกาศจากด้านนอกดังขึ้นสามที ชายหนุ่มหน้าตาคมสันคนหนึ่งค่อยๆ ย่างก้าวเข้ามาอย่างภาคภูมิเดิมทีเจียงอันเหอคิดว่าเขาเอง
ทัศนียภาพสวงามยมักอยู่ไม่นาน สองคนเดินอยู่หนึ่งชั่วยามก็ยังไม่ถึงหอตานชิง หลินอิงเหมิงไม่เพียงแต่เพียงพูดจนน้ำลายแห้ง แถมยังสงสัยและแล้วไม่ทันรอให้หลินอิงเหมิงฉีกหน้าเจียงอันเหอ ทั้งคู่ก็ได้ยินเสียงเบาละมุนมาแต่ไกล “เอ๋ นี่เป็นศิษย์คนใหม่ที่เพิ่งเข้าสำนักนี่นา ดึกดื่นป่านนี้เหตุใดจึงไม่พักผ่อน”คนคนนั้นหัวเราะทีหนึ่ง เจียงอันเหอเหลือบตาขึ้นเห็นเฉินจื่อเยว่กำลังเดินออกมาจากหอหนึ่งพอดี เขาลูบคลำหน้าตัวเอง ดูท่าการเปลี่ยนแปลงของรูปหน้าไม่ได้มีผลต่อ NPC เท่าไหร่ หรือบางทีในสายตาอีกฝ่าย เขาอาจจะเป็นแค่ชุดตัวเลขหนึ่งก็ได้พอเฉินจื่อเยว่เห็นเจียงอันเหอคารวะให้เขาในฐานะศิษย์ และสาวน้อยข้างกายคิดจะทำตาม จึงรีบหลบไปยังทิศทางที่สาวน้อยคารวะ “แม่นางที่มาเองโดยมิได้เชื้อเชิญ มิจำเป็นต้องคารวะด้วยมารยาทใหญ่โต”เจียงอันเหอเห็นเจ้าสำนักรู้สถานภาพสาวน้อยทะลุปรุโปร่ง จึงได้ทีขี่แพะไล่ “ว่าอย่างไรนะ! เจ้ามิใช่คนในสำนักพวกเราหรอกหรือ?!” จากนั้นจึงคิดจะก้าวขาเดินไปทางเจ้าสำนักของตัวเองคิดไม่ถึงว่าพอหลินอิ่งเหมิงเห็นเฉินจื่อเยว่ก็สังหรณ์ไม่ค่อยดีแล้ว จึงเตรียมตัวไว้แต่แรก พอเห็นเจียงอันเหอจะคิดหนี จึงหยิ
เจียงอันเหอตรวจสอบดูตารางเรียนที่เหอเหนียนทิ้งไว้ให้ ด้านบนระบุไว้ว่าเป็นชั้นเรียนระดับต้น ชั้นเรียนวันแรกใช้เวลาสองชั่วยามในการเรียนเรื่องการกำหนดชีพจรและจุดลมปราณ เริ่มตั้งแต่เวลาเฉินไปจนถึงเวลาอู่ ซึ่งก็คือเริ่มชั้นเรียนตอนเจ็ดโมงเช้าวันนี้เขาออนไลน์เกมตอนบ่าย หลังจากที่วุ่นวายเป็นเวลาเนิ่นนาน ด้านนอกก็เริ่มเป็นเวลาวิกาล ห่างจากเวลาเรียนออกไปสองสามชั่วโมง ตอนนี้จะให้นั่งอยู่เฉยๆ ก็ค่อนข้างน่าเบื่อ ดังนั้นเจียงอันเหอจึงตัดสินใจออกไปเดินเล่นข้างนอก ตราบใดที่อยู่ภายในตึกรังหงส์คงจะปลอดภัยเข้าช่วงกลางคืน เดิมทีลูกศิษย์ที่เดินไปมาอยู่บนถนนประปรายก็ไม่เห็นแม้แต่เงา บนหลังคาของแต่ละอาคารมีโคมไฟแขวนประดับเอาไว้ ดูๆ ไปก็มีเสน่ห์เหมือนกัน แต่ไรมาที่นี่ก็เงียบสนิท ตอนนี้มีแสงไฟจากโคมส่องสว่าง ทำให้เจียงอันเหอรู้สึกไม่คุ้นชินอืม ในฐานะสำนักฝ่ายธรรม คงไม่มีผีหรอกมั้งเจียงอันเหอกำกระบี่ชิงถงในมือไว้แน่น ใช่แล้ว เจ้าสำนักดูเหมือนเซียนที่สูงส่งออกขนาดนั้นต้องเป็นสำนักฝ่ายธรรมะแน่ๆ ในตอนที่เขากำลังปลุกขวัญกำลังใจให้ตนเองอยู่นั้น เงาดำมืดสายหนึ่งก็พุ่งออกมาจากมุมแล้วปะทะเข้ากับร่างเขาอย่างจั
ด้านหน้าสายตาเจียงอันเหอมืดดำไปหมด พอเขาได้สติ ก็เห็นว่าตัวเองถูกส่งไปยังไม้คาน ไกลออกไปเป็นสิ่งปลูกสร้างสลับซับซ้อนเป็นชั้นๆ ด้านหลังเป็นป่าไม้เงียบสงบร่มรื่น ใต้เท้าเป็นพื้นดินที่อยู่ไกลออกไปเขากลืนน้ำลาย กำเชือกที่อยู่บนคานแน่น รู้สึกราวกับว่าคานไม้นี้พร้อมจะหักลงมาได้ทุกเมื่อเจียงอันเหอทำใจอยู่ครู่หนึ่งก็เดินขึ้นหน้าช้าๆ พอเห็นว่าสิ่งปลูกสร้างใกล้เข้ามาทุกที ถึงได้มองเห็นชัดว่ามันเป็นอาคารสูงซ้อนกันเป็นชั้นๆ ประหนึ่งครีบปลา กระเบื้องสีแดงชาดส่องสะท้อนภายใต้แสงแดดเป็นประกายจางๆ บนหลังคาแกะสลักรูปอสูรไว้ ดูมีชีวิตชีวาราวกับมีชีวิตหลังจากที่เดินลงสะพาน ตึกที่อยู่ใกล้ที่สุดก็อยู่เพียงคืบ เจียงอันเหอเพิ่งจะถอนหายใจ เด็กชายที่สวมเสื้อคลุมสีเขียวคนหนึ่งที่ยืนอยู่หน้าประตูก็ถือกระบี่สำริดเดินเข้ามา “ผู้ ผู้มาช้าก่อน! ขอถามหน่อย ท่าน ท่าน ท่านมีธุระอะไร” เด็กชายอายจนหน้าแดงก่ำ พูดจาตะกุกตะกัก แม้ว่าน้ำเสียงจะค่อนข้างดุ แต่เจียงอันเหอมองเด็กชายที่สูงกว่าตัวเองไม่มากเท่าไหร่คนนี้ ก็รู้สึกอยากหัวเราะเขาหยิบด้ามกระบี่ออกมา รีบพูดตอนที่เด็กชายชักสีหน้า “ข้าถูกผู้รับช่วงส่งมาที่นี่ เขาบอกว่
รอจนหลังเจียงอันเหอเลิกงานแล้วออนไลน์ในวันที่สอง เกมก็ผ่านไปแล้วกว่าเกือบครึ่งเดือนหนิวเอ้อร์กำลังจะขับเกวียนออกจากหมู่บ้านชมจันทร์มุ่งหน้าไปยังเมืองผิงหนานพอดี เห็นเด็กคนที่เขาหาอยู่สองสามวันเมื่อครึ่งเดือนก่อนยืนตะลึงงันอยู่กลางถนน “เฮ้ เด็กคนนั้นน่ะ!” หนิวเอ้อร์คิดอยู่นานจึงรู้สึกว่าดูเหมือนตัวเองจะไม่รู้ชื่อเด็กคนนั้น จึงได้แต่ตะโกนหาสองสามทีพอเจียงอันเหอออนไลน์ก็ได้ยินเสียงท่านพี่หนิวเอ้อร์ จึงอดอุทานออกมาไม่ได้ว่าตัวเองนั้นโชคดีเหลือเกิน ขานเรียกพลางวิ่งไปหาหนิวเอ้อร์พลางทั้งคู่คุยกันอยู่ครู่หนึ่ง จึงนั่งรถม้าออกไปจากหมู่บ้านด้วยกัน มุ่งหน้าไปเมืองผิงหนานเมืองผิงหนานเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดในละแวกนี้ และก็เป็นสถานีแรกที่ผู้เล่นมือใหม่ส่วนมากมาเยือนหลังออกจากหมู่บ้าน ดังนั้นแม้ว่าเมืองจะเล็กไปหน่อย แต่ตลาดและโรงน้ำชามักจะมีคนแน่นเสมอ ครื้นเครงเป็นที่สุดหนิวเอ้อร์พาเจียงอันเหอมาถึงหน้าโรงน้ำชาแห่งหนึ่ง ช่วยเขาสอบถามข้อมูลเล็กน้อยก็กล่าวอำลา ขับเกวียนที่บรรทุกสินค้าไว้เต็มมุ่งหน้าไปยังตลาดเจียงอันเหอโผล่หน้าไปดูที่หน้าประตูโรงน้ำชา ด้านในมีคนจำนวนมากที่กำลังจิบน้ำชาฟังนิทาน ไม
ในตอนที่เจียงอันเหอหอบกล่องพัสดุกลับมาถึงที่บ้านก็เป็นยามสายัณห์แล้ว พระอาทิตย์สีแสดสาดแสงที่ไม่ค่อยจะแสบตานักลอดผ่านเข้ามาทางช่องหน้าต่าง เขาเก็บเสื้อผ้าที่แขวนไว้บนราวตากผ้าด้านนอกหน้าต่างเข้ามา หลังจากจัดการเรื่องอาหารค่ำและอาบน้ำเสร็จสรรพ จึงหอบกล่องพัสดุเดินกลับเข้าไปในห้องนอนเขานั่งอยู่ที่ขอบเตียง ชูกรรไกรขึ้นมาอย่างแน่วแน่ ตัดเทปที่ติดอยู่บนกล่องออก แล้วค่อยๆ แกะกล่องที่อยู่ด้านในท่าทีจริงจังที่เขามีต่อกล่อง ทำให้คนรู้สึกราวกับว่าในกล่องใบนั้นบรรจุทองคำพันชั่งอันหามูลค่าไม่ได้ก็มิปาน เขาค่อยๆ บรรจงหยิบ “สมบัติ” ในกล่องออกมา มันคือวีอาร์เฮดเซ็ตที่มีทรงโค้งสวยงามไม่มีที่ติ ดูเรียบหรูและสะอาดตา จริงสิ แถมยังเป็นสีชมพูประกายอีกต่างหาในขณะที่จ้องมองวีอาร์เฮดเซ็ตสีชมพูประกายด้วยน้ำตาคลอเบ้า เจียงอันเหอก็คิดถึงตอนซื้อที่ทางร้านพูดออกมาคำหนึ่งว่า “สีจะถูกปล่อยตามระบบสุ่ม” เขาแอบรู้สึกกระดากอาย แต่ว่าต่อให้ต้องเขินอายแค่ไหนก็แค่ใส่เล่นอยู่ในบ้านตัวเอง เจียงอันเหอบรรจงเช็ดถูวีอาร์เฮดเซ็ตที่ตัวเองเก็บเงินจากเงินเดือนสามเดือนซื้อมา พลางบ่นพึมพำ “พิงค์กี้จ๋า ต่อไปฉันจะดูแลเธออย่างดี...
ความคิดเห็น