รถของตระกูลฉู่จอดอยู่ไม่ไกลจากบ้านของตระกูลซ่ง หย่งฟางลงจากรถแล้วเดินไปเก็บกิ่งไม้แห้งจากข้างทาง ก่อนจะเดินมาที่หน้าประตูบ้าน เธอท่องคาถาอย่างรวดเร็ว
“ขออัญเชิญท่านเทพแห่งห้องสุขา ผู้ที่เชื่อมต่อสวรรค์และโลก สามารถผ่านเข้าออกในโลกมนุษย์และโลกแห่งความตายได้”
เมื่อเธอทิ่มกิ่งไม้ลงกับพื้นเมื่อท่องคาถาเสร็จ กล่าวด้วยน้ำเสียงที่สดใสและชัดเจน “ขออัญเชิญ!” ทันใดนั้นใบไม้และฝุ่นบนพื้นถูกลมหมุนพัดขึ้นมา
สิบวินาทีต่อมาลมสงบลง และหมอกก็เริ่มก่อตัวขึ้น มีเงาร่างเล็กๆ ที่โค้งงอหลังของมันออกมาจากหมอกสีขาว พร้อมกับไม้เท้าในมือ ปรากฏร่างพร้อมรอยยิ้ม
เป็นเทพเทพแห่งห้องสุขาที่สวมเสื้อผ้าขาดวิ่น ท่านมองหย่งฟางด้วยดวงตาที่เป็นมิตร “เจ้าหย่งฟางน้อย”
“ขอคารวะท่านเทพ” หย่งฟางก้มโค้งคำนับอย่างเคารพ
“ไม่ต้องพิธีรีตองนัก ข้าเป็นแค่เทพเล็กๆ ได้รับธูปและกระดาษเงินกระดาษทองจากเจ้าทุกปี ก็ถือว่าเป็นเกียรติแล้ว”
ดูเหมือนว่าเทพแห่งห้องสุขาจะรู้จักหย่งฟาง ในยุคปัจจุบันไม่ว่าจะเป็นวัดใหญ่หรือวัดเล็ก ตำแหน่งของเทพแห่งห้องสุขาถูกลดความสำคัญลง ไม่ต้องพูดถึงว่าคนทั่วไปรับรู้ถึงการมีอยู่หรือไม่ และยิ่งไม่ต้องพูดถึงการบูชา แต่หย่งฟางยังคงให้ความสำคัญกับการบูชาทุกปีในวันที่ 15 มกราคม
แม้ว่าเทพแห่งห้องสุขา จะมีสถานะคล้ายกับเทพเจ้าเตาไฟ ที่ไม่ว่าจะมีการบูชาหรือไม่ก็ไม่กระทบต่อหน้าที่การงาน แต่การที่ยังมีคนจำท่านได้อยู่ ก็เพียงพอที่จะทำให้พึงพอใจแล้ว
“เจ้าหย่งฟางน้อย นี่เป็นครั้งแรกที่เจ้ามาเรียกข้า ต้องการอะไรหรือ?” เทพแห่งห้องสุขาถามด้วยความเมตตาและอ่อนโยน
หย่งฟางชี้ไปที่บ้านของตระกูลซ่ง และกระซิบบอกท่านเทพแห่งห้องสุขาถึงสิ่งที่เธอต้องการ หลังจากฟังแล้วก็พยักหน้าอย่างมั่นใจ หย่งฟางท่องคาถานกกระเรียนและส่งเทพแห่งห้องสุขากลับด้วยความเคารพ จากนั้นจึงกลับขึ้นรถของตระกูลฉู่ด้วยท่าทางที่มีความสุข
เมื่อถึงเชิงเขาหลงหย่าก็เป็นเวลาตีห้าแล้ว และท้องฟ้าก็เริ่มสว่างขึ้นเล็กน้อย หย่งฟางขอบคุณคนขับรถและลงจากรถ เธอไม่ได้ใช้ไฟฉายแต่เดินขึ้นเขาไปอย่างชำนาญ ราวกับว่ากำลังเดินอยู่บนทางเรียบ คนขับรถยืนงงอยู่ชั่วขณะ ก่อนจะกระพริบตาแล้วสังเกตว่า จริงๆ แล้วหย่งฟางกำลังเดินไปตามเส้นทางเดิน ที่แกะสลักไว้อย่างไม่ชัดเจน แม้ว่ามันจะค่อนข้างชันและเหมาะสำหรับการปีนด้วยมือและเท้า แต่ก็ไม่ใช่การปีนหน้าผา
เมื่อกลับถึงวัด สิ่งแรกที่หยงฟ่างทำคือพุ่งตัวลงนอนหลับบนเบาะที่หน้าห้องโถงใหญ่ โดยไม่สนใจว่าจะสกปรกแค่ไหน และเธอก็ขี้เกียจเกินกว่าจะเปลี่ยนเสื้อผ้าด้วย วัดไม่มีห้องนอนหรูหรา ดังนั้นจึงต้องนอนบนเบาะนั่งแทน
ตื่นขึ้นมาอีกทีก็เป็นเวลาพลบค่ำ เธอลุกขึ้นอย่างงัวเงีย หลังจากคิดทบทวนอยู่นาน ก็ตัดสินใจอาบน้ำสระผมก่อน แล้วค่อยทำอาหาร พรุ่งนี้เธอจะติดต่อหาทีมก่อสร้างเพื่อขุดทางขึ้นเขา
ยังมีอะไรที่ยังไม่ได้ทำอีกไหม?
และก็นึกขึ้นได้ทันทีว่าผีสาวในกระเป๋าผ้า
เมื่อเปิดกระเป๋าออก เห็นหมอกดำก้อนนั้นนอนนิ่ง อยู่ในอุปกรณ์สำหรับรับประทานอาหาร เธอยกหมอกดำขึ้นมาอย่างระมัดระวัง เมื่อหมอกดำถูกนำออกมาแล้ว ก็พุ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว ร่างของหมอกนั้นสั่นสะท้านด้วยความหวาดกลัว
“เจ้าเด็กนี่! ทำไมไม่บอกข้าว่าในกระเป๋ามันเต็มไปด้วยสิ่งสกปรกที่ดักวิญญาณอย่างนี้! ข้าแทบไม่กล้าขยับตัว เพราะกลัวว่าจะสลายไป! ถ้าอยากจะทำลายข้าก็บอกมาตรงๆ เลย!”
เธอลืมไปเสียสนิท
หย่งฟางจุดธูปสองดอกเพื่อขอโทษ เธอมองดูผีสาวสูดกลิ่นธูปอย่างสบายใจ จึงอดถามไม่ได้ “พี่สาวมีนิสัยที่แข็งกร้าวขนาดนี้ ทำไมถึงถูกบังคับให้แต่งงานล่ะ...”
ไม่มีความจำเป็นต้องรู้คำตอบ เพราะอาจจะเป็นไปได้ว่าแม้แต่ตัวผีสาวเองก็ไม่รู้
หย่งฟางจึงถามต่อ “ถูกขังอยู่ในค่ายกลของตระกูลฉู่มานานกว่าร้อยปี ไม่เคยทำร้ายใคร ทำไมครั้งนี้ถึงเลือกที่จะออกมาทำร้ายคน?”
ผีสาวสูดกลิ่นธูปอย่างพอใจและหัวเราะเย็นชา “เจ้าคิดว่าข้าเป็นคนดีขนาดนั้นเลยเหรอ คิดว่าข้าไม่ทำร้ายพวกเขา? พวกคนตระกูลฉู่พวกนั้นต่างหาก ที่เสริมค่ายกลไม่ให้ข้าออกมาได้ แถมพวกเขายังสวมเครื่องรางป้องกันตัวไว้ แต่สุดท้ายแล้วมันก็ไม่มีประโยชน์อะไรหรอก ยังไงก็ไม่สามารถมีชีวิตเกินห้าสิบปีอยู่ดี ฮิฮิ”
“แต่ตอนที่ฉันไปบ้านนั้น ทำไมถึงไม่เห็นมีเครื่องรางอยู่กับฉู่เหยียน ลูกชายคนรองของตระกูลฉู่?”
“พวกเขาเรียกอาจารย์มาทำพิธีเอาออกไป”
ดังนั้นผีสาวจึงออกมาเพราะค่ายกลเริ่มอ่อนแอลงพอดี และเธอเห็นโอกาสที่จะทำร้ายคนในตระกูลฉู่ จึงใช้จังหวะนั้นเพื่อแก้แค้น หย่งฟางวางผีสาวไว้ในโอ่งที่เก็บน้ำค้างยามเช้า และปล่อยให้เธอแช่อยู่ในนั้น จากนั้นก็ไปอาบน้ำชำระล้างร่างกายจนสะอาดสดชื่น และหอมรื่นรมย์ รู้สึกเหมือนเกิดใหม่
ในเมื่อมีคนรู้สึกเหมือนเกิดใหม่ ก็ย่อมต้องมีคนที่รู้สึกเหมือนตายไปแล้ว
วันนี้บ้านตระกูลซ่งวุ่นวาย…
ตระกูลซ่งมีแผนจะเชิญคุณนายผู้สูงศักดิ์แปดคนมาที่บ้าน เพื่อจัดกิจกรรมทางสังคมชั้นสูง ประชันฝีมือชงชา และพูดคุยสานสัมพันธ์กัน เมื่อกลุ่มสตรีมาถึง ซ่งฉางชิงผู้เป็นเจ้าของบ้านก็ควรจะออกมาต้อนรับ แต่เช้าวันนั้นเขาปวดท้องอย่างหนัก ต้องเข้าห้องน้ำทุกสามนาทีจนหมดแรงใบหน้าซีดเซียว จึงตัดสินใจพักอยู่บ้านโดยไม่ออกจากห้อง ให้ภรรยาและลูกเลี้ยงซ่งอิงเป็นผู้ต้อนรับแขกแทน
ในตอนแรกทุกอย่างดูปกติ คุณนายทั้งหลายมาถึงทีละสองสามคน และเริ่มกิจกรรมอย่างสงบเรียบร้อย แต่เมื่อพวกหล่อนกำลังเพลิดเพลินกับการชมดอกไม้ กลับได้กลิ่นไม่พึงประสงค์ลอยมา
ทันใดนั้นคุณนายคนหนึ่งที่เพิ่งออกจากห้องน้ำ ก็กลับมาด้วยสีหน้าไม่สู้ดี ซ่งไท่ไท่รู้สึกไม่สบายใจ จึงเข้าไปถามด้วยรอยยิ้มว่าเกิดอะไรขึ้น แต่คุณนายคนนั้นกลับมองหล่อนด้วยความโกรธ
"ครั้งหน้าถ้ามีงานที่บ้านเธอ อย่ามาเชิญฉันอีก"
นี่คือภรรยาของบริษัทอัญมณี!
ซ่งไท่ไท่หน้าซีดเผือด ไม่รู้ว่าทำอะไรผิดไป คุณนายคนอื่นๆ ก็เริ่มปิดจมูกกันเป็นแถว
"กลิ่นอะไร ทำไมยิ่งแรงขึ้นเรื่อยๆ"
"เหมือน...อุจจาระ" แต่คุณนายทั้งหลายก็พูดคำหยาบไม่ออก แต่ทุกคนต่างคิดเหมือนกัน ไม่มีใครพูดอะไร ทั้งหมดคว้ากระเป๋าเตรียมตัวจะกลับบ้าน แต่ซ่งไท่ไท่พยายามขวางไว้
บางคนยังพอพูดดีได้บ้าง "ไว้เจอกันใหม่คราวหน้า"
แต่บางคนกลับเหมือนกับภรรยาบริษัทอัญมณี "ครั้งหน้าก็ไม่ต้องเชิญฉันอีก"
ภรรยาของซ่งฉางชิงยังคงหน้าด้านขวางไม่ให้พวกหล่อนกลับไป ซ่งอิงเห็นท่าไม่ดีจึงตัดสินใจไปดูในห้องน้ำด้วยตัวเอง เมื่อเธอเปิดฝาชักโครกดู และเห็นสิ่งที่อยู่ข้างใน ก็แทบจะอาเจียนออกมาทันที รีบกดชักโครกแต่แทนที่น้ำจะลงไปกลับมีฟองอากาศผุดขึ้นมา สองวินาทีต่อม ชักโครกระเบิดขึ้น น้ำและสิ่งปฏิกูลกระจายเต็มห้อง กระเด็นมาเปรอะตัวของซ่งอิงด้วย
ซ่งอิงวิ่งออกมาพร้อมกับตะโกนอย่างสิ้นหวัง "แม่!!!!!!"
บรรดาคุณนายที่ยังไม่ทันได้กลับ เห็นภาพนั้นเข้าต่างก็อาเจียนและวิ่งหนีออกจากบ้านไปอย่างรวดเร็ว ซ่งไท่ไท่เองก็เริ่มอาเจียนแห้ง ซ่งอิงทั้งร้องไห้และพยายามเข้าไปหาแม่ของหล่อน แต่ภรรยาของซ่งฉางชิงยกมือห้ามไว้ สุดท้ายซ่งอิงต้องไปจัดการทำความสะอาดตัวเองก่อนจะกลับมาหามารดา และพบว่าพ่อของเธอก็ประสบเหตุชักโครกระเบิดเช่นกัน ขณะทำธุระอยู่
ทั้งบ้านซ่งและในรัศมีหลายสิบเมตรเต็มไปด้วยกลิ่นเหม็น
ครอบครัวซ่งไม่มีทางเลือก ต้องโทรเรียกช่างมาซ่อมและทำความสะอาด จากนั้นก็ย้ายไปพักที่โรงแรม แต่เมื่อไปถึงโรงแรมชักโครกในห้องพักก็อุดตันและระเบิดอีกครั้ง ค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมชักโครก และทำความสะอาดสองห้องชุดในโรงแรมสูงถึงหกหมื่นหยวน
ในวันต่อมาเมื่อกลับมาที่บ้าน ชักโครกก็ยังคงอุดตันอยู่ ครอบครัวซ่งต้องทนทุกข์อยู่อย่างนี้ถึงสามวัน จนกระทั่งตัดสินใจหาทางแก้ด้วยการไปปรึกษานักพรตผู้มีชื่อเสียง
อาจารย์ถามไถ่เทพเจ้าแล้วได้คำตอบว่า "ครอบครัวคุณทำให้เทพแห่งห้องสุขาโกรธ"
"อะไรนะ? ยังมีเทพแห่งห้องสุขาอีกเหรอ? เราไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามีอยู่ แล้วเราทำให้เขาโกรธได้ยังไง?"
"เทพแห่งห้องสุขาบอกว่า คุณถ่ายอุจจาระบนหัวเขา เขาโกรธมาก"
"......"
ครอบครัวซ่งหมดคำพูด แล้วถ้าไม่ให้ถ่ายในห้องน้ำ แล้วจะให้ไปถ่ายที่ไหนล่ะ?! สุดท้ายหลังจากนัดะรตคนนี้เจรจาไกล่เกลี่ย เทพแห่งห้องสุขาจึงยอมสงบศึกกับครอบครัวซ่ง และทุกอย่างก็กลับคืนสู่ปกติ
แต่หน้าตาของครอบครัวซ่งนั้นเสียหายไปหมดแล้ว...
บทนี้ก็จะมีกลิ่นตุๆ หน่อย 5555 ส้วมระเบิดดด
เรื่องนี้... หย่งฟางไม่แน่ใจว่าบรรพบุรุษของเธอจะคิดอย่างไรกั การทำเทวรูปทองคำเป็นสิ่งที่ล่อลวงใจไม่น้อย“ตามฉันมา คุณถามเอาเองแล้วกัน”หย่งฟางพูดพร้อมกับกินแพนเค้กชิ้นสุดท้าย แล้วลุกขึ้นจากโต๊ะไม้เล็กๆ พาพวกเขาเข้าไปในวิหาร และบอกให้นำของบูชาไปวางบนโต๊ะบูชา เธอหยิบธูปขึ้นมา3 ดอก ยื่นให้คุณนายฉู่ พร้อมกับส่งไฟแช็กจุดให้ด้วยความชำนาญ จากนั้นปักธูปลงในกระถางธูป ขณะที่ถามคำถามในใจควันธูปลุกลามขึ้นพร้อมกับเสียงเปรี้ยงปร้างเพียงไม่กี่วินาที ก่อนจะอ่อนลงในอีกสามวินาทีต่อมา แต่ก็ยังมีประกายไฟพุ่งออกมาอยู่บ้าง หย่งฟางจ้องมองธูปอย่างตั้งใจคุณนายฉู่ถามด้วยความคาดหวัง “เทพเจ้ายินยอมหรือไม่?”หย่งฟางแปลความหมาย “เทพเจ้ายินดีในเจตนาของคุณ แต่การทำเทวรูปทองคำมันฟุ่มเฟือยเกินไป แล้วเสี่ยงต่อการถูกขโมย ฉะนัน้ทำเป็นทองเคลือบ18K ก็พอแล้ว”“เจาะจงขนาดนั้นเลยเหรอ?
คุณนายฉู่ไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรเลยแม้แต่นิดเดียวขณะที่ถูกเหวี่ยงลงจากม้าก็ยังไม่รู้สึกกลัวด้วยซ้ำ คล้ายกับว่ามีพลังงานบางอย่างประคองหล่อนเอาไว้ แล้วค่อยๆ วางลงบนสนามหญ้าอย่างนุ่มนวลแต่หล่อนก็ไม่กล้าบอกใครเมื่อไปเยี่ยมเพื่อนๆ ที่นอนใส่เฝือกอยู่ในโรงพยาบาล พวกนั้นต่างพากันสงสัยและส่งสายตาอิจฉาในความโชคดี หยูถังทำได้แค่พูดเลี่ยง“ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเกิดอะไรขึ้น บางทีเทพเจ้าคงคุ้มครอง…”เทพเจ้า?!คุณนายฉู่เหมือนจะนึกอะไรบางอย่างได้ ซึ่งเมื่อคิดดูแล้วก็มีความเกี่ยวเนื่องกันอยู่ จึงบอกลาพวกพ้องแล้วตรงไปที่อารมบนเขาหย่งฟางเพิ่งออกมาจากห้องครัว ใบหน้าของเธอเต็มไปด้วยคราบเขม่าดำไปครึ่งซีก เมื่อเห็นคุณนายฉู่มาเยือนก็พูดด้วยเสียงออดอ้อน “หยูถึง…”คุณนายฉู่รู้ได้ทันทีว่าอาจารย์ตัวน้อยต้องการให้หล่อนทำอาหาร
หลังจากที่ดูควันธูปให้คุณนายสี่คนติดต่อกัน หย่งฟางที่เพิ่งตื่นจากการนอนก็รู้สึกง่วงอีกครั้ง ตั้งแต่จำความได้เมื่อสิบปีก่อนก็มีคนมาน้อยมาก หลังจากนั้นก็ไม่มีอีกเลย ปกติเธอกับลุงก็มักจะจุดธูปเองและตีความควันกันเอง ไม่เคยลองดูให้คนเยอะขนาดนี้มาก่อน เลยเพิ่งรู้ว่าคำพูดของอาจารย์ใหญ่เป็นสูตรตายตัวใช่แล้ว ที่ว่า “คุณเป็นแขกคนที่…ในรอบสิบปี เทพเจ้าจำคุณได้ จะคอยปกป้องคุ้มครองคุณ” นั้นเป็นเรื่องจริง ไม่ใช่แต่งเรื่องเพื่อให้คนรู้สึกสบายใจ หย่งฟางรู้สึกคล้ายกับว่าตัวเองเป็นฝ่ายบริการลูกค้าของเว็บขายของออนไลน์ เน้นพูดตามแพทเทิร์นก็ซื้อใจลูกค้าได้!การพูดแบบนี้น่าจะดึงดูดใจลูกค้าได้มั้ง? หย่งฟางยังคงสงสัย เห็นได้ชัดว่าเธอยังไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่นัก และไม่รู้ว่าในอนาคตจะทำให้เธอมีชื่อเสียงจากการทำนายจนคาดไม่ถึงสุดท้ายคุณนายคนที่ห้าก็เข้ามาในห้องหย่งฟางพิจารณาควันธูป และพบว่ามีสองก้านที่ขาดจากกัน จึงกวาดตาไปที่ควันธูปของคุณนายสี่คนก่อนห
นี่มัน...อาจารย์มีตาทิพย์จริงๆทางด้านหลิวซานซานหลังจากหย่งฟางทำนายว่าลูกชายของเธอได้พบกับรักแท้แล้ว ก็รู้สึกตื่นเต้นจึงไปซื้อวัตถุดิบเพื่อเตรียมทำอาหารไปให้ลูกชายที่คอนโดหรู เพราะต้องการสอบถามว่าเรื่องที่อาจารย์หย่งบอกเป็นความจริงหรือไม่หลิวซานซานถือถุงผักสด เนื้อสัตว์ และของสดใหม่สามสี่ถุงเข้าไปในคอนโด เมื่อใส่รหัสผ่านประตูแล้วเปิดเข้าไป เธอก็เห็นชายสองคนที่ไม่มีเสื้อผ้านั่งอยู่บนโซฟา“…”สุดท้ายชายคนหนึ่งก็พูดขึ้น “แม่ ถ้าผมบอกว่าเรากำลังออกกำลังกาย แม่จะเชื่อไหม?”หลิวซานซานขว้างไข่ไก่สดจำนวนหนึ่งไปที่ลูกชาย “เธอคิดว่าแม่จะเชื่อรึเปล่าล่ะ?!”ไข่กระจัดกระจาย ลูกชายร้องไห้ขอความเมตตา หลิวซานซานฟังลูกชายร้องไห้ระบายความอึดอัดใจ เรื่องการค้นพบตัวเองว่าเป็นเกย์ในช่วงวัยรุ่น และเล่าถึงความรักที่ทั้งคู่มีต่อกัน เธอค่อยๆ สงบลง ช่างเถอะ! เป็นแม่คนแล้ว
เมื่อหย่งฟางกับหยูถังมาถึงโรงแรม หนิวลี่และซ่งเสี่ยวฮุ่ยก็นั่งอยู่ในบริเวณด้านล่าง หนิวลี่กำลังจับมือของซ่งเสี่ยวฮุ่ยและปลอบโยนให้คลายเศร้าหย่งฟางมองเห็นไอสีดำบนหน้าผากของซ่งเสี่ยวฮุ่ย เธอรีบทัก “ขึ้นไปคุยกันข้างบนดีกว่า”หนิวลี่จึงนำทุกคนขึ้นลิฟต์ ใช้บัตรเพื่อไปยังห้องหนึ่งบนชั้นสูงสุด เมื่อเข้าไปในห้องสิ่งแรกที่หย่งฟางทำคือวางแผ่นป้ายของเทพเจ้าไว้ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ และจัดเตรียมเครื่องหอมและเทียนที่นำมาให้เรียบร้อย“คุณเสี่ยวฮุ่ย มานี่สิ” หย่งฟางเอ่ยเรียกซ่งเสี่ยวฮุ่ยเดินเข้ามาใกล้ และหย่งฟางจุดธูปสามดอก แล้วหมุนวนรอบหน้าผากของเธอสามรอบ กลิ่นธูปทำให้หน้าผากคุณนายรู้สึกปวดตึง แต่ในขณะที่ธูปวนรอบที่สอง ความรู้สึกนั้นก็ถูกขจัดออกไปทันที ศีรษะของเธอรู้สึกโปร่งสบายและหน้าผากก็อบอุ่นขึ้นหย่งฟางวนธูปสามรอบแล้วจึงนำธูปออกไป เมื่อเห็นว่ามีไอสีดำบนหน้าผากของซ่งเสี่ยวฮุ่ยถูกขจัดออกไป จึงเสียบธูปกลับ
ซ่งเสี่ยวฮุ่ยเห็นหย่งฟางยืนนิ่งอยู่หน้าประตู เธอจึงเอ่ยขึ้น "นี่คือห้องของลูกชายฉันค่ะ อาจารย์หย่งจะเข้าไปไหม?""เข้า" หย่งฟางพยักหน้าแล้วผลักประตูเข้าไปภายในห้องเป็นห้องของผู้ชายทั่วไป มีเตียงนอน หน้าต่างบานใหญ่ข้างๆ กับโซฟา โต๊ะเล็กๆ พรมปูพื้น ด้านขวามีอุปกรณ์เล่นเกม ส่วนข้างๆ เป็นห้องน้ำและห้องแต่งตัวไม่มีอะไรผิดปกติแม้แต่ในห้องนี้ ไอความอัปมงคลก็ยังลอยละล่องอยู่ ไม่ได้กระจายมาจากจุดใดจุดหนึ่ง ทำให้ไม่สามารถระบุได้ว่าเกิดจากสิ่งใด แสดงว่าในบ้านไม่ได้มีสิ่งไม่ดีใดๆ ไอความอัปมงคลเหล่านี้ถู กนำเข้ามาจากภายนอก และยังคงค้างอยู่ในบ้านไม่ได้สลายไปไหนและห้องนี้เป็นห้องที่ไอดำสิงสถิต ดังนั้นมันจึงกระจายออกมาจากที่นี่ ในเมื่อเป็นแบบนี้ หย่งฟางก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องค้นห้อง เธอหันกลับไปและเตรียมจะออกไป แต่แล้วก็เห็นหนิวลี่ชี้ไปที่จุดหนึ่ง และหัวเราะเยาะซ่งเสี่ยวฮุ่ย
ยูโจวกงจิ่นยกส้นเท้าขึ้นหลบการโจมตีได้อย่างหวุดหวิด ต้วนโจวโกรธจัดถึงกับสบถออกมา พร้อมกับถามหย่งฟางว่าคิดจะทำอะไร หย่งฟางไม่ตอบ แต่ยังคงวิ่งไล่ยูโจวกงจิ่นด้วยดาบไม้ท้อ หวังจะฟันให้กลับคืนสู่ร่างเดิม ยูโจวกงจิ่นทั้งร้องไห้และปล่อยน้ำตารูปดาวการ์ตูนกระจายไปทั่วห้อง ในขณะเดียวกันก็วิ่งหนีไปด้วยห้องถูกปิดผนึกด้วยแผ่นยันต์ จึงหนีออกไปที่อื่นไม่ได้ ทำได้แค่วิ่งวนอยู่ในห้อง หย่งฟางวิ่งไล่ตามพร้อมดาบในมือ ราวกับตัวร้ายจากการ์ตูนที่กำลังรังแกนางเอก ต้วนโจวก็พยายามขัดขวางตลอดเวลา ดาบไม้ท้อฟันแก้วแตกและแทงทะลุหมอนความวุ่นวายทำให้ทุกอย่างพังพินาศเหล่าคุณนายมองน้ำตาของยูโจวกงจิ่น ที่กระจายไปทั่วห้องจนไม่กล้าเพิ่มปัญหาให้อีก ได้แต่นั่งขดตัวอยู่ที่ปลายเตียง มองดูการต่อสู้กับตัวการ์ตูนฉากนี้...เป็นการทลายความเชื่อเก่าๆ อย่างสิ้นเชิง หย่งฟางไล่ฟันไม่ถึงสิบรอบ ในที่สุดก็มีโอกาส เหยียดดาบออกพร้อมจะฟันลงไป“ต้วนโจวช่วยด้วย!!!&
“ฉันกำลังทำความดีลงโทษความชั่วอยู่ไม่ใช่เหรอ? ลูกชายของคุณทำร้ายความรู้สึกคนอื่นมากมายขนาดนี้ ไม่สมควรตายหรือไง?! แล้วไงล่ะ? มีลูกชายที่คบผู้หญิงแปดคนพร้อมกัน ภูมิใจมากใช่ไหม? นี่มันปี2024 แล้วนะ ยังมีแม่ที่คิดว่าลูกชายตัวเองเป็นสมบัติ ใครคบกับเขาก็ถือว่าโชคดี ช่างน่าสงสารจริงๆ ทั้งชีวิตต้องหมุนรอบลูกชายที่ไม่มีดีอะไรเลย เป็นโชคชะตาของคุณแล้วล่ะ"ซ่งเสี่ยวฮุ่ยโกรธจนหูร้อน หัวใจพลุ่งพล่าน รีบตอบโต้ทันที ผู้หญิงคนหนึ่งกำลังทะเลาะกับผีผู้หญิง ทั้งสองด่ากันไปมา แต่ก็ไม่สามารถหาข้อสรุปได้ หยูถิงและหนิวลี่ต่างไม่กล้าหายใจแรง ประหลาดใจที่ซ่งเสี่ยวฮุ่ยกล้าทะเลาะกับผีขณะนั้นต้วนโจวยังคงร้องไห้เพื่อภรรยาการ์ตูนของเขา ส่วนหย่งฟางมองไปที่ดาบไม้ที่หักอยู่ในมือ ถอนหายใจเฮือกใหญ่เก็บดาบสองท่อนใส่ถุงผ้า"ไม่เป็นไร ไว้ค่อยหาช่างฝีมือดีๆ มาซ่อมก็ได้" หย่งฟางนั่งลงบนเก้าอี้เกมมิ่งแล้วกล่าวเบาๆ "คุณเสี่ยวฮุ่ย พอเถอะ"หย่งฟางหันไปถามผีสาวที่นั่งกอดเข่าอยู่มุมห้
หอพักหญิง อาคาร 3A หน้าห้อง 702หลังจากหญิงสาวในห้อง 701 บอกว่า “ห้อง 702 ไม่มีคนอยู่” คำพูดนั้นทำเอาสาวๆ จากห้อง 602 กรีดร้องด้วยความตกใจสุดขีด ถ้าห้อง 702 ไม่มีใครอยู่ แล้วเสียงฝีเท้าเหล่านั้นมาจากไหน?เสียงกรีดร้องทำลายความเงียบของค่ำคืน ไฟทางเดินที่ควบคุมด้วยเซ็นเซอร์เสียงสว่างวาบขึ้นทีละชั้น เสียงโลหะขูดพื้นดังมาจากชั้นล่าง คุณป้าผู้ดูแลหอพักเปิดประตูห้องพัก รีบมองจอมอนิเตอร์กล้องวงจรปิด แล้วกดลิฟต์ขึ้นมายังชั้น 7“เอะอะอะไรกัน! เสียงดังจนคนทั้งตึกได้ยิน!” เมื่อมาถึง คุณป้าผู้ดูแลตำหนิ ก่อนหันไปมองเด็กๆ “พวกเธอห้อง 602 ใช่ไหม? มาเดินเพ่นพ่านอะไรตอนนี้? ไม่รู้เหรอว่าห้ามออกจากห้องหลังไฟดับ?”หญิงสาวจากห้อง 701 รีบช่วยอธิบาย “พวกเธอบอกว่าได้ยินเสียงคนเดินในห้อง 702 เลยขึ้นมาดู...คุณป้า ห้อง 702 มีใครอยู่หรือเปล่าคะ?”คุณป้ามองพวกเธอด้วยสายตานิ่งเรียบ “ห้อง 702 ไม่มีคนอยู่มานานแล้ว”คำตอบนั้นทำให้สาวๆ จากห้อง 602 ใจหายวาบ หญิงสาวจากห้อง 701 เริ่มลังเลก่อนถามด้วยเสียงสั่น “ป้า... รุ่นพี่บอกว่าหอพักหญิงที่นี่มีผี เรื่องนั้นจริงหรือเปล่าคะ?”“พวกเธออย่าไปเชื่อเรื่องไร้สาระแบบนั้น” คุณป้
"รับคำทำนายก่อนเถอะ แล้วค่อยคุยกัน" หย่งฟางเอ่ยขึ้นพลางมองแถวคนที่ยืนรออยู่ด้านหลังมีผู้หญิงสี่คนเข้ามาถามคำทำนายทีละคน สองคนถามเรื่องการเรียน อีกสองคนถามเรื่องความรัก กุ่นกุ่นช่วยตอบคำทำนาย หย่งฟางไม่ได้พูดเสริมอะไร มีเพียงกระซิบเบาๆ "ทำนายได้ดีมาก จากนี้ลูกค้าอื่นๆ ให้คุณดูแลคนเดียวเลย ทำให้มั่นใจหน่อย อย่าพูดติดขัด ถ้าคิดว่าจะติดก็พูดคำสำคัญสั้นๆ ก็พอ"กุ่นกุ่นพยักหน้า เรื่องนี้เฒ่ากัวเคยสอนเขามาก่อนแล้ว แนะนำให้พูดแบบเว้นจังหวะบ้างเพื่อให้ดูเป็นปริศนาและน่าเกรงขาม จากนั้นหย่งฟางพาผู้หญิงสี่คนไปยังห้องน้ำชา ขอให้พวกเธอดื่มชากันคนละแก้ว"ฉันก็ไม่คิดว่าเราจะได้เป็นเพื่อนร่วมสถาบันกัน ฉันเพิ่งรู้ว่าพี่เรียนที่วิทยาลัยศิลปะถานจิง ตอนฉันเห็นภาพวาดกับชื่อพี่ในห้องแสดงผลงาน" ฉู่เสี่ยวเฉียวพูดขึ้นรูมเมตของเธอพยักหน้า "ใช่เลย หย่ง...อาจารย์" ผู้หญิงคนนั้นลังเลเล็กน้อย ไม่รู้ว่าจะเรียกหย่งฟางว่าอะไรดี"ทำไมเธอถึงไม่มีรูปอยู่ในชั้นวางศิษย์เก่าที่โดดเด่นล่ะ?"หย่งฟางยิ้มก่อนตอบ "เคยเห็นใครทำงานด้านศาสตร์ลึกลับ แล้วไปเป็นศิษย์เก่าที่โดดเด่นบ้างไหม?"คำพูดนั้นทำให้ผู้หญิงทั้งหมดหัวเราะออกมา ข
[สุดยอดไปเลย หย่งฟางไปหาลูกศิษย์มาจากที่ไหนนะ ทั้งหนิงหมี่และหลงหยวนหยวนเ หมาะจะไปเป็นไอดอลทั้งกลุ่มหญิงและชายได้เลย][หย่งฟางเปิดบริษัทจัดการบันเทิงไปเลยเถอะ]ในที่สุด #เสวียนเว่ยเอ็นเตอร์เทนเมนท์ (#บริษัทบันเทิงเสวียนเว่ย) ก็กลายเป็นคำค้นหาที่เกี่ยวข้องกับ #วัดเสวียนเว่ย (#ศาสตร์ลึกลับของหย่งฟาง)เหล่าชาวเน็ตช่วยกันแบ่งตำแหน่งให้เสร็จสรรพแล้ว[#บริษัทบันเทิงเสวียนเว่ยCEO: หย่งฟาง อันดับหนึ่งฝ่ายหญิง: หนิงหมี่ อันดับหนึ่งฝ่ายชาย: หลงหยวนหยวน][ส่วนอาจารย์อ้วน กับอีกสามคนก็เป็นผู้จัดการไปละกัน]เหล่าลูกศิษย์มนุษย์ที่คอยติดตามข่าวในโซเชียลเกี่ยวกับวัด: หือ?หยิบโทรศัพท์เก็บกลับไป มองดู ‘อันดับหนึ่งฝ่ายชาย’ และ ‘อันดับหนึ่งฝ่ายหญิง’ตอนนี้เป็นช่วงหกโมงเย็น หลังจากทานอาหารเสร็จ สองคนนี้ก็สู้กันตั้งแต่ฝั่งตะวันออกไปจนถึงฝั่งตะวันตก เพื่อแย่งควันธูปกัน นี่กลายเป็นกิจวัตรประจำวัน ของอันดับหนึ่งฝ่ายหญิงและฝ่ายชายที่ต้องทำทุกวันไปแล้วเพราะหย่งฟางแจกควันธูปอย่างเท่าเทียม ตอนแรกให้ทั้งคู่คนละสองแท่ง แต่หนิงหมี่ไม่พอใจ “ข้าทำงานตั้งขนาดนี้ ส่วนเขาไม่ได้ทำอะไรเลย ทำไมถึงได้เท่ากับข้า! ข้าไม่สน จ
ณ จุดนี้ในวัดเสวียนเว่ยมีสมาชิกทั้งหมดแปดคนเจ้าของอาราม: หย่งฟางศิษย์: หนิงหมี่, เฒ่ากัว, ห่าวจาวไฉ, จินเหยาไต้ ,ไฉหยวนกุ่นกุ่นผู้พักชั่วคราว: วิญญาณลูกกลมสีเทาผู้ไม่ได้รับเชิญ: หลงหยวนหยวนทั้งแปดคนนี้ประกอบไปด้วยสิ่งมีชีวิตจากสี่ประเภท ได้แก่ คน เทพ วิญญาณ และปีศาจ"อาจารย์หย่ง คุณคิดจะเก็บสิ่งมีชีวิตทั้งหกไว้ที่นี่หรือ?" ห่าวจาวไฉโบกพัดกระดาษพร้อมถามหย่งฟางเผยยิ้มขมเล็กน้อย จะพูดอย่างไรดี? ตัวตนของหนิงหมี่กับหลงหยวนหยวนนั้น ไม่ใช่ว่าเธอเต็มใจรับเข้ามา คืนนี้พระจันทร์สีเงินส่องสว่างกลางท้องฟ้า หลังจากที่หย่งฟางไหว้เทพเจ้าวัดเสร็จ เธอก็เดินออกจากวิหารหลัก หนิงหมี่กับวิญญาณลูกบอลกลมสีเทา ยังคงนั่งอยู่ที่โต๊ะเรียนในลาน กำลังตั้งใจเรียนวิชาภาษาชั้นประถมปีที่ 1 ที่ถ่ายทอดสด คราวนี้หย่งฟางเรียนรู้แล้ว เธอจึงหยิบโทรศัพท์เครื่องเก่าที่ตั้งค่าใหม่ให้พวกเขาใช้ขณะเดียวกัน หลงหยวนหยวนที่โดนสองสาวรังเกียจ นั่งอยู่ที่เก้าอี้ในสวนอีกฝั่ง เจ้าหนุ่มชุดดำไม่สนใจเลยที่ตนเองไม่ได้รับความชื่นชอบจากใคร แค่เอนตัวรับลมเย็นอย่างสบายใจ ด้านเฒ่ากัวกับคนอื่นๆ เตรียมไฟฉายและพร้อมจะลงจากภูเขากลับบ้าน"เดี
"อย่างพี่สาวเหอ ฉันรู้สึกว่าเธอเป็นคนดีมากๆ ไม่เคยทำเรื่องไม่ดีเลย แถมครอบครัวก็ใจดี แม้ว่าเราจะพูดกันไม่นาน แต่ก็เริ่มรู้สึกอึดอัดอยู่เหมือนกัน แต่อย่างที่บอก พราะเธอเป็นคนดี ฉันก็ไม่แน่ใจว่าควรจะรู้สึกอึดอัดหรือไม่""ส่วนเรื่องจางยู่เฟ่ย ตั้งแต่ฉันมาที่โลกมนุษย์ ฉันก็เริ่มรู้แล้วว่ามีคนที่ไม่อยากทำอะไรด้วยตัวเอง หลายคนชอบหาทางลัด ถ้ามันเป็นทางที่ถูกต้องก็ไม่เป็นไร แต่ไม่ค่อยเจอคนที่พยายามหาทางพึ่งพาคนอื่นแบบเธอ ทั้งที่เธอก็มีแขนขาครบ มีโอกาสมากมาย แต่กลับเหมือนมองไม่เห็นคุณค่าของตัวเอง คิดแค่ว่าจะฝากชีวิตไว้กับผู้ชาย" หนิงหมี่พูดไปพร้อมกับทำท่าห่อไหล่เหมือนแมวน้อยที่กำลังครุ่นคิด"แต่พอคิดถึงเป่าฟู่กุ้ยและภรรยาของเขา ฉันก็รู้สึกว่าในโลกมนุษย์ก็ยังมีสิ่งดีๆ บ้างเหมือนกัน" หนิงหมี่พูดสรุปว่า "มนุษย์นี่ซับซ้อนจริงๆ ฉันไม่เข้าใจเลย"หลังจากที่ออกไปทำงานนอกสถานที่มาแค่สองวัน เทพธิดาน้อยก็ได้สัมผัสกับความซับซ้อนของจิตใจมนุษย์ พนักงานบนเครื่องบินเชิญพวกเธอไปยังห้องอาหาร หลังจากทานอาหารจนอิ่มหนำแล้ว หนิงหมี่ก็รู้สึกดีขึ้น"เป่าฟู่กุ้ยสุดยอดจริงๆ!" หนิงหมี่คิด "อย่างน้อยฉันก็ไม่ต้องนอนขดตัวอ
ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะเจอนักพรตสาวตัวน้อย กลุ่มเฮ่ยไป่อู่ฉางก็รีบตื่นเต้นและวิ่งเข้าหาเธอ “หย่งน้อย เธอดูอ้วนขึ้นนะ!”“จะทักทายกันแบบสุภาพกว่านี้ไม่ได้หรือไงคะ?” หย่งฟางพูดด้วยน้ำเสียงที่ไม่แสดงอารมณ์ยมทูตขาวผู้เป็นพี่สาว ยื่นมือไปหยิกแก้มเธอทันที “ฉันหมายถึงหน้าเธอดูมีเนื้อขึ้นนะ! เมื่อก่อนเธอผอมกว่านี้”หย่งฟางสะบัดมือของเธอออกเหมือนปัดแมลงวันยมทูตดำก็ทักขึ้นบ้าง “ถ้าจะให้สุภาพ ฉันก็ทำได้” จากนั้นเขาก็พูดต่อ “หย่งน้อย เราเสมือนญาติผู้ใหญ่เห็นเธอเติบโตมาตลอด เธอก็ไม่ได้มาเยี่ยมเราเลย เราคิดถึงเธอ…”ยมทูตขาวพูดเสริมทันที “…พวกเราอยากได้ธูปหอมบ้างน่ะ”นี่แหละคือวิธีทักทายของพวกเขา หย่งฟางไม่ได้พูดอะไร เธอแค่ย่อตัวลงเปิดกระเป๋าเดินทาง แล้วหยิบธูปสองดอกออกมาหนิงหมี่เบิกตากว้าง “นั่นมันของฉันนะ!!” พูดจบก็พยายามจะแย่ง แต่หย่งฟางก็หลบมือไปจุดไฟ แล้วส่งให้ยมทูตขาวดำทันที“แค่นิดเดียว อย่าไปหวงนักเลย เด็กเล็กก็แบบนี้แหละ ชอบหวงของ”ยมทูตขาวดำกินควันธูปอย่างพอใจจนตาหรี่ลงเป่าฟู่กุ้ยมองยมทูตทั้งสองที่กำลังเคลิบเคลิ้ม…พวกเขาไม่ได้มารับเมียเขาไปโลกหลังความตายเหรอ? แล้วทำไมมานั่งกินของฝากที่บ้า
เปาฟู่กุ้ยมองนักพรตสาวด้วยความงุนงงอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะถามออกมาด้วยน้ำเสียงลังเล "ผม...ผมจะได้เจอเธอจริงๆ เหรอ? ภรรยาของผมไม่ได้...ไปอยู่ที่ยมโลกแล้วหรอกเหรอ?""ภรรยาของคุณน่าจะอยู่ข้างคุณตลอดเวลา เพียงแต่ช่วงนี้เธอคอยเฝ้าดูจางยู่เฟ่ยอยู่ เพราะสงสัยว่าคนคนนั้นจะทำอะไรแปลกๆ เราเลยไม่เห็นวิญญาณเธออยู่ในบ้านคุณตั้งแต่แรก" หนิงหมี่อธิบาย"ผม...ผมอยากเจอเธอ!" เปาฟู่กุ้ยพูดด้วยความรู้สึกสดใสขึ้นมาอีกครั้ง ราวกับได้รับพลังชีวิต ใบหน้าของเขาดูเปล่งปลั่งทันที ทันใดนั้นก็นึกถึงสภาพตัวเอง จึงรีบลูบหนวดเคราที่เพิ่งงอกยาวและกล่าวออกไป "เดี๋ยวก่อน เดี๋ยวผมต้องจัดการตัวเองก่อน ภรรยาผมไม่ชอบที่ผมดูสกปรกแบบนี้"หลังจากพูดจบ เปาฟู่กุ้ยลากตัวที่ดูอ้วนกลมขึ้นไปชั้นบน เพราะอาการบวมจากยาต้านซึมเศร้า เมื่อเขากลับลงมาอีกครั้ง หย่งฟางและหนิงหมี่ ก็ได้เห็นเปาฟู่กุ้ยในลุคใหม่ที่สะอาดสะอ้าน เขาโกนหนวดโกนเคราจนเกลี้ยงเกลา สระผมจนหอมสะอาด ใบหน้ากลมอวบอิ่มดูสดใสขึ้นทันที เขาใส่สูทสากลและเนคไทเรียบร้อย สวมรองเท้าหนังแม้หน้าตาของเขาจะไม่หล่อเหลามากนัก โดยเฉพาะส่วนแก้มที่อ้วนดูเหมือนผู้ชายธรรมดา แต่ในลุคนี้เขากลับดูอ
หลังจากที่จางยู่เฟ่ยพ่นเลือดออกมา หมอกสีเทาที่วนเวียนอยู่ระหว่างคิ้วของเปาฟู่กุ้ย ก็พลันสลายหายไปทันที แม้ว่าจางยู่เฟ่ยจะมองไม่เห็นพลังงานลี้ลับเหล่านี้ แต่เธอกลับรู้สึกถึงบางสิ่งที่เปลี่ยนไปอย่างชัดเจน โดยเฉพาะเมื่อท่านประธานทำตามคำแนะนำของสาวน้อยข้างกายเถ้าแก่เปาเปิดตาขึ้น ยกมือออกหู และมองเลขาอีกครั้งด้วยสายตาที่กลับมาสดใส ปราศจากอาการลุ่มหลงผิดปกติใดๆ จางยู่เฟ่ยตกใจ รีบควานหาบางสิ่งในกระเป๋าของตัวเอง แต่กลับพบว่ามันหายไป“หาอันนี้อยู่หรือเปล่า?” น้ำเสียงเย็นชาแฝงความเหนือชั้นดังมาจากหย่งฟางเมื่อจางยู่เฟ่ยหันไปมอง ก็พบว่ากระดาษยันต์สามเหลี่ยมในมือของหย่งฟาง ถูกฉีกเป็นสองส่วนอย่างเรียบร้อยหนิงมี่ที่ยืนอยู่ข้างๆ ยิ้มขำ ส่วนหญิงสาวในชุดขาวร่างโปร่งแสงที่ยืนอยู่ใกล้ๆ กับจางยู่เฟ่ย เธอยกนิ้วโป้งให้หนิงมี่ด้วยความชื่นชมใบหน้าของวิญญาณสาวผู้นี้ คือใบหน้าเดียวกันกับหญิงสาว ในภาพถ่ายที่พบในห้องใต้หลังคา ใช่แล้ว... ภรรยาของเปาฟู่กุ้ยยังไม่ได้ไปสู่สุคติ ช่วงนี้เธอสังเกตเห็นความผิดปกติของสามี และหลังจากจับตามองเลขาส่วนตัว ก็พบว่าคู่กรณีใช้คาถามาควบคุมใจสามีของเธอเธอก็พบว่านักพรตสาวจากสำนั
เมื่อวางสายไปใบหน้าของเถ้าแก่เปาแสดงอาการหลงใหล ราวกับถูกบางสิ่งควบคุม ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความรักและความคิดถึงอย่างท่วมท้น หย่งฟางรีบสวดคาถาเคลียร์จิตใจ ก่อนจะใช้นิ้วแตะเบาๆ ที่หน้าผากของเขา ความอ่อนโยนที่เคยแสดงบนใบหน้าของเปาฟู่กุ้ย หยุดชะงักราวกับถูกหยุดเวลา หลังจากนั้นไม่นาน เขาก็กลับมาเป็นปกติ แต่ยังคงมีท่าทางงุนงงหย่งฟางเปิดปากถาม "คนที่โทรหาคุณเมื่อกี้คือใคร?""คะ...คือ...เลขาของผม จางยู่เฟ่ย..." เปาฟู่กุ้ยมองหน้าหย่งฟางและหนิงหมี่ด้วยความสงสัย "มีอะไรเหรอครับ?" ดูเหมือนเขาจะไม่สามารถจำความรู้สึกอ่อนโยน และความรักใคร่ที่เคยมีเมื่อครู่ได้เลยหนิงหมี่หันไปมองอาจารย์และกระซิบเบาๆ "คาถาชิงรัก"หย่งฟางพยักหน้าเล็กน้อย ก่อนจะหันไปมองเปาฟู่กุ้ย "ตอนที่คุณโชคร้ายก่อนหน้านี้ มักจะเกิดขึ้นหลังจากที่คุณคุยกับเลขาของคุณเสร็จใช่ไหม?"เปาฟู่กุ้ยครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเริ่มจำได้ "เหมือนจะใช่ แต่ว่าช่วงนี้ผมก็ไม่ค่อยเจอโชคร้ายแล้วนะ"หย่งฟางอธิบายด้วยน้ำเสียงเรียบ "เพราะช่วงนี้คุณไม่ได้ปฏิเสธคำขอของเธอเลย คาถาชิงรักคือการที่คุณถูกทำให้ตกหลุมรักคนที่ร่ายคาถานี้ ในตอนแรกคุณยังมีสติ คุณสาม