รินรดานั่งเหม่อกำโทรศัพท์ไว้ในมือ หลังจากเพิ่งจะวางสายจากรามิล เขาสัญญาว่าจะรีบเคลียร์งานให้เรียบร้อย และจะตามไปหาที่เปเรซภายในสองวัน
เธอรู้สึกไม่สบายใจเมื่อนึกถึงความฝันเมื่อคืนที่ผ่านมา แสงสว่างที่ลอยละล่องในความมืดส่องมาที่เธอ พร้อมกับเสียงกระซิบที่แผ่วเบาแต่ชัดเจน เสียงนั้นไม่ใช่เสียงของใครในโลกนี้ มันเหมือนเสียงที่มาจากที่ไกลโพ้น ฟังดูทั้งใกล้และไกลในเวลาเดียวกัน ‘ถึงเวลาแล้ว…จงทำตามสัญญา’
หญิงสาวไม่ได้บอกใครว่าหลังจากที่เธอ และพี่ชายฟื้นขึ้นมา เธอได้เห็นถึงความศักดิ์สิทธิ์ของหินพ่อมดลาบราดอไลต์ ด้วยความสงสัยและความหวัง เธอแอบพระมารดาเข้าไปในห้องลับ ท่องบทสวดที่เธอแอบจดเอาไว้ และอธิษฐานถึงสิ่งที่อยากรู้ที่สุดในชีวิตตอนนั้น นั่นก็คือการตามหาครอบครัวที่แท้จริง
จากนั้นเธอก็ฝันซ้ำๆ เดิมๆ อยู่หลายครั้งจนมาถึงปัจจุบัน ไม่รู้ว่าบุคคลในฝันเป็นใคร เธอจำเรื่องราวได้ รู้ว่าคนในฝันเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย แต่จำหน้าไม่ได้เลยสักคน และครั้งที่ไปโรงพยาบาลจนเกิดอาการใจสั่น แล้วเจ็บแปลบอย่างรุนแรง จนหมดสติไปในครั้งนั้น ก็ทำให้เธอได้เห็นผู้หญิง ที่มีหน้าตาเหมือนเธอราวกับฝาแฝดชัดเจนเป็นครั้งแรก ในห้วงฝันนั้นหญิงสาวคนนั้นยิ้มให้แล้วถามว่า เธอชื่อรินรดาหรือเปล่า เพราะหน้าตาเหมือนเขาต้องใช่น้องสาวของเขาอย่างแน่นอน
และคืนที่ผ่านมาเธอก็ได้ฝันที่แปลกออกไปจากทุกครั้ง หญิงสาวคนนั้นบอกกับเธอว่าพ่อกับแม่ไม่ได้ทอดทิ้ง แต่เธอถูกคนร้ายลักตัวพาไปตั้งแต่ยังเป็นทารก ซึ่งคนที่ขโมยไปก็คงไม่รู้ว่าแม่ได้คลอดฝาแฝดออกมา แล้วเสียงทรงอำนาจที่อยู่ในแสงประหลาดนั้นก็ดังขึ้นมากลบทุกสรรพเสียง ก่อนที่ภาพความฝันนั้นจะหายไป
เมื่อสักครู่เธอได้เล่าความฝันให้รามิลฟัง และได้เล่าถึงสิ่งที่อธิษฐานกับหินพ่อมดลาบราดอไลต์ ในตอนเด็กนั้นให้เขารับรู้ด้วย และเขาค่อนข้างจะเชื่อในสิ่งที่มองไม่เห็นพิสูจน์ไม่ได้นี้ เพราะเจอเหตุการณ์มากับตัวเอง จนพูดติดตลกว่าถ้าตามไปทุบหินพ่อมดตอนนี้จะทันไหม
“ท่านหญิง นอนหรือยังเพคะ?”
หญิงสาวตื่นจากภวังค์เมื่อได้ยินเสียงเรียกที่หน้าประตู จึงตะโกนตอบไปทันที
“เข้ามาได้เลยค่า ประตูไม่ได้ล็อก!”
พริมโรสเคาะประตูเรียกเจ้าของห้อง เมื่อได้ยินเสียงอนุญาตจึงเปิดเข้าไปทันที เธอขอตัวออกมาจากห้องนักบินหลังจากที่กัปตันกลับมาปฏิบัติหน้าที่ตามปกติ เลยแวะมาคุยกับรินรดาเผื่อว่ายังไม่ได้นอน
“โห! งานเต็มโต๊ะเลย สงสัยว่าคืนนี้ตั้งใจว่าจะไม่นอนแน่ๆ ใช่ไหม?”
“ตั้งใจไว้อย่างนั้นค่ะ อีกไม่กี่ชั่วโมงก็จะถึงแล้ว ค่อยพักทีเดียวก็ได้”
“ฉันสนใจเรื่องความมหัศจรรย์ของหินพ่อมดน่ะค่ะ เลยอยากจะถามให้หายสงสัย ดูเหมือนว่าทั้งเชคฮ์และท่านหญิงจะมีเหตุการณ์ที่น่าเหลือเชื่อกับหินพ่อมดนี้”
“อ๋อ..ใช่ค่ะ จำได้ว่าตอนนั้นฉันอายุประมาณสิบขวบ เห็นพี่ชายกำลังโดนรุมทำร้ายเลยเข้าไปช่วย ทำให้อาการโคม่าทั้งคู่ ท่านแม่เล่าว่าได้ไปขอร้องหัวหน้าเผ่าซูเมอร์ที่เป็นพี่ชาย เพื่อขออนุญาตนำหินศักดิ์สิทธิ์มาช่วยชีวิตลูกทั้งสองคน นั่นจึงเป็นจุดเริ่มต้น ในความเชื่อว่าสิ่งที่น่าอัศจรรย์ มีอยู่จริงบนโลกใบนี้ของเราพี่น้อง”
“ฝ่าบาทเคยเล่าไหมคะว่า ความเชื่อในสิ่งที่เขาเห็นในตอนนั้นคืออะไร?”
“เหมือนจะบอกว่าตอนที่อาการโคม่านั้นเขาได้เห็นผู้หญิงที่หน้าเหมือนกันหลายคนยืนเรียงกันอยู่ หน้าเหมือนกันแต่ความรู้สึกในใจสัมผัสได้ว่าไม่ใช่คนคนเดียวกัน ทั้งยังมีลำแสงบางๆ กั้นไว้ราวกับว่าแต่ละคนมีชีวิตของตัวเองแต่อยู่กันคนละที่ หรืออาจจะคนละโลก ซึ่งเสียงประหลาดที่อยู่ในฝันก็บอกกับเขาว่านี่คือเนื้อคู่ของเขาที่ตามกันมานาน และหนึ่งในนี้กำลังจะมาพบเขาในอนาคต”
“คล้ายมิติคู่ขนานหรือเปล่าคะ?”
“ฉันก็คิดว่าอย่างนั้นนะคะ เพราะในเคสของฉัน..มองเห็นตัวเองกำลังคุยกับเด็กชายคนหนึ่ง เด็กผู้หญิงคนนั้นหน้าเหมือนฉันแต่ไม่ใช่ฉัน แล้วเสียงประหลาดในแสงสว่างก็พูดว่านั่นคือเสี้ยวหนึ่งของดวงจิตของฉันเองที่อยู่ในโลกอนาคต และยังมีที่กระจัดกระจายไปยังมิติอื่นๆ แต่กำลังจะกลับมารวมตัวเป็นหนึ่งเดียวกันในไม่ช้า”
“เป็นอะไรที่น่าเหลือเชื่อจริงๆ!”
“ใช่ค่ะ จริงๆ แล้วมันก็เป็นแค่ความฝัน ไม่ได้เกิดจากการมองเห็นด้วยตาเนื้อ ไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ใดๆ มารองรับ หรือสามารถอธิบายเรื่องนี้ได้เลย”
ตึ้งงง!! ครืนนนน!!
“ว้าย!!” ทั้งสองสาวอุทานขึ้นพร้อมกัน เมื่อเกิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหวคล้ายเครื่องบินชนเข้ากับอะไรสักอย่าง พร้อมกับการสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงราวกับกำลังตกหลุมอากาศ
“เกิดอะไรขึ้นคะ?” รินรดาเอ่ยปากถาม แต่พริมโรสไม่ได้ตอบ รีบลุกขึ้น เดินทรงตัวไม่ให้ล้ม รีบออกไปด้านนอกทันที
“ไฟไหม้ที่ปีกซ้ายเครื่องบิน!!” พริมโรสได้ยินไฟล์ทแอทเทนแดนท์ตะโกนขึ้นมา จึงรีบเดินตรงไปที่ห้องนักบิน แล้วก็เห็นแอร์เพอร์เซอร์กำลังอินเตอร์โฟนเพื่อแจ้งเหตุให้กัปตันทราบ พอวางสายก็หันมาเห็นเธอที่ยืนอยู่ด้านหลัง
“นายหญิง! หาที่นั่งแล้วคาดเข็มขัดด้วยค่ะ กัปตันต้องเอาเครื่องแลนฉุกเฉิน!” หญิงสาวพูดจบก็ประกาศออกไมค์เพื่อให้ลูกเรือคนอื่นๆ เตรียมตัวเพื่อแลนดิ้งฉุกเฉิน
…
:: ภายในห้องของนักบิน / คอคพิท ::
ขณะเครื่องบินกำลังไต่ลดระดับความสูงเพื่อเตรียมแลนดิ้งที่สนามบินรัฐดีอยู่นั้น จู่ๆ ก็เกิดการเสียงดังสนั่นพร้อมการสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง ไฟเตือนสีแดงบนแผงควบคุมด้านหน้าสว่างวาบขึ้น ตามมาด้วยเสียงเตือนของระบบที่ดังขึ้นอย่างโหยหวน ชวนกระตุกต่อมสติของนักบินให้ต้องรีบแก้ไขปัญหา
“สงสัยว่าเราคงจะบินชนเข้ากับอะไรสักอย่างแน่ๆ!” กัปตันพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบกับนักบินผู้ช่วยซึ่งก็คือเจ้านายของเขาที่กำลังควบคุมเครื่องบินอยู่ ราวกับว่าเป็นเหตุการณ์ปกติธรรมดาที่ไม่น่าหวั่นวิตกอะไรมากนัก แต่ในขณะที่เอื้อมมือไปปิดสวิตซ์เสียงเตือนที่น่าหนวกหูนั้น อินเตอร์โฟนภายในก็ดังขึ้น เขากดเปิดเพื่อรับสาย
“ว่าไงครับ?”
“กัปตันไฟไหม้ที่ปีกซ้ายค่ะ!”
“รับทราบ! แจ้งลูกเรือเหตุดีแคลร์อีเมอเจินซี!!”
เนื่องจากสลับหน้าที่กันกับนักบินผู้ช่วยให้เป็นผู้ควบคุมเครื่องบินแทน ดังนั้นหน้าที่ตรวจสอบการทำงานกับคุยวิทยุจึงเป็นของกัปตัน เขามองไฟสีแดงที่ส่องสว่างอยู่ที่สวิทช์ควบคุมการจ่ายน้ำมัน กับสวิทช์ตัดแหล่งกำเนิดไฟ และอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้อง ทำให้รู้ว่าเครื่องยนต์เครื่องไหนที่กำลังมีปัญหาอยู่ จากนั้นก็มาดูที่อีแคมซึ่งเป็นระบบตรวจสอบการทำงานของเครื่องบินในรูปแบบของจอแสดงผล เพื่อพิจารณาดูลิสต์รายงานการแจ้งเตือนทางหน้าจอว่ากำลังเกิดอะไรขึ้นกับเครื่องบินบ้าง
“เครื่องยนต์ฝั่งซ้ายไฟไหม้!” กัปตันพูดขึ้นเพื่อแจ้งเหตุ เจ้าชายอิสราร์จึงทำการปิดระบบควบคุมเครื่องบินอัตโนมัติหรือออโต้ไพลอทเพื่อขับเคลื่อนเอง จากนั้นค่อยๆ ผ่อนกำลังเครื่องยนต์ลงมาจนถึงรอบเดินเบาเพื่อหยุดความเสียหาย ส่วนกัปตันก็ทำการตัดระบบสำคัญต่างๆ ออกจากเครื่องยนต์ที่ไฟไหม้ เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาลามไปยังระบบอื่นๆ
“ไฟเตือนยังไม่ดับ!” เจ้าชายอิสราร์พูดเตือนขึ้นมา กัปตันจึงเอื้อมมือไปกดปุ่มเอเจ้นท์ที่แผงวงจรด้านบนเหนือศีรษะ ฉีดสารสำหรับดับเพลิงเข้าไปในเครื่องยนต์นั้นถึงสองครั้งจากทั้งสองถังดับเพลิง เพื่อให้เพียงพอต่อการดับไฟ
เมื่อระงับเหตุเฉพาะหน้าได้แล้ว จึงรีบติดต่อเจ้าหน้าที่เอทีซีศูนย์เรดาห์ เพื่อขอเปลี่ยนไปลงฉุกเฉินที่สนามบินรัฐอีแทน ซึ่งเจ้าหน้าที่เอทีซีก็ให้เปลี่ยนคลื่นความถี่ไปคุยกับเอทีซีเรดาห์ขาเข้าของสนามบินรัฐอี กัปตันจึงทำตามคำแนะนำแล้วรีบติดต่อทันที
“เมย์เดย์ๆๆ!! รอยัลนายวันวัน, ตอนนี้กำลังลดระดับจากหนึ่งหมื่นห้าพันฟุต เพื่อที่จะไปห้าพันฟุต แจ้งเหตุฉุกเฉินเครื่องยนต์ซ้ายเกิดไฟลุกไหม้ขอแลนดิ้งที่รันเวย์หนึ่งสองสาม!!"
เจ้าหน้าที่เอทีซีขาเข้าตอบกลับมา พร้อมบอกข้อมูลลมภาคพื้นด้วยว่ามันมาจากทิศทางใด และมีความแรงลมเท่าไหร่ เสริมด้วยคำแนะนำเพื่อให้นักบินตัดสินใจแลนดิ้งได้ง่ายขึ้น
แต่เนื่องจากปลายปีกได้รับความเสียหาย ทำให้เครื่องบินสูญเสียแรงยกทางฝั่งซ้ายไป หัวเครื่องจึงเริ่มเอียงไปทางฝั่งซ้ายมากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้เจ้าชายอิสราร์ต้องทำการชดเชยแรงยกด้วยการเพิ่มกำลังเครื่องยนต์ทางฝั่งขวาให้มากขึ้น เครื่องบินที่เอียงอยู่จึงกลับมาบินตรงได้อีกครั้ง แต่ความสั่นสะเทือนก็ยังคงมีอยู่อย่างต่อเนื่อง และจำเป็นต้องบินประคองแบบนี้ไปให้ได้ตลอดรอดฝั่ง
"โอเค! ถ้างั้นจะแลนดิ้งที่รันเวย์สี่ห้าหก, รอยัลนายวันวัน”
กัปตันตอบรับทราบ พร้อมกับที่นักบินผู้ช่วยลดระดับตามแนวร่อนแล้วตีโค้งเพื่อเข้าหาสัญญาณโลคอลไรท์เซอร์ หรือแนวเส้นกึ่งกลางรันเวย์เพื่อเตรียมทำการแลนดิ้ง
“มีลมต้านแรงเพิ่มความเร็วอีกสิบน็อต!”
เนื่องจากทิศทางลมเข้าที่หัวเครื่องจะมีอันตรายน้อยกว่าลมที่พัดขวางรันเวย์ ซึ่งจะทำให้แลนดิ้งได้ยากมากๆ กัปตันจึงแนะนำนักบินผู้ช่วยด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยราวกับเป็นเรื่องปกติธรรมดาในชีวิตประจำวัน
ความโหดร้ายยังไม่จบเท่านี้ เมื่อลดระดับมาถึงหนึ่งพันฟุต อุณหภูมิผิวพื้นที่เป็นทะเลทรายกับอุณหภูมิของลมชั้นบนแตกต่างกันอย่างสุดขั้ว จึงเกิดกระแสลมที่ไม่ราบเรียบขึ้น ส่งผลให้เครื่องบินโคลงไปโคลงมาพร้อมการสั่นสะเทือนที่รุนแรงกว่าเก่า และทำให้เครื่องบินแฉลบออกจากแนวร่อนไป เพื่อที่จะรักษาแนวร่อนให้คงที่มากที่สุดกัปตันจึงสั่งให้เร่งเครื่องยนต์เพิ่มขึ้นอีก ทำให้ความเร็วจากที่สูงอยู่แล้ว ก็ยิ่งสูงขึ้นตามไปอีก
เวลาทุกวินาทีผ่านไปอย่างระทึก ระบบเสียงของเครื่องบินเริ่มนับถอยหลังที่ระยะห้าร้อยฟุต พอเข้ามาอยู่ในช่วงหนึ่งร้อยฟุตสุดท้าย เครื่องบินร่อนลงมาตามแนวร่อนรันเวย์เตรียมตัวจะแตะพื้นอยู่แล้ว แต่กลับเจอเข้ากับลมที่เกิดการเปลี่ยนแปลงทิศทาง และความเร็วอย่างกระทันหัน
วินด์เชียร์!! วินด์เชียร์!! วินด์เชียร์!!
เสียงระบบแจ้งเตือนอันตรายอย่างฉับพลัน ทำให้ล้อกระแทกรันเวย์อย่างรุนแรงและกระดอนขึ้นจากพื้น แล้วเหวี่ยงตัวจากรันเวย์ไปเล็กน้อยอันเนื่องมาจากผลกระทบของลม
ช่วงที่เครื่องบินกระดอนขึ้นมา เจ้าชายอิสราร์ตัดสินใจไสหัวเครื่องแลนดิ้งลงไปแบบนั้นเลย ทำให้เครื่องบินแตะพื้นด้วยความเร็วที่สูงมาก เขาไม่มีทางเลือกอื่น ถ้าจะไปบินวนใหม่ก็กลัวว่าโครงสร้างของปีกจะทนความร้อนต่อไปไม่ไหว หรือไม่เครื่องยนต์ซ้ายก็อาจจะดับ
ชายหนุ่มดึงคันโยก เพื่อเงยหัวเครื่องไว้พร้อมกับเร่งกำลังเครื่องยนต์ขึ้น จากนั้นก็ค่อยๆ ผ่อนคันเร่งลงจนสุด เครื่องบินจึงแตะพื้นอีกครั้ง เขาใช้ทั้งรีเวิสเซอร์และอีเมอร์เจนซี่เบรกอย่างสุดกำลังพร้อมกับกดเหยียบจนจมฝ่าเท้า เครื่องบินเหวี่ยงแฉลบแล้วเบี่ยงเบนออกจากพื้นผิวรันเวย์ไปมากกว่าเดิมเพราะควบคุมทิศทางไม่ได้ เกิดฝุ่นทรายฟุ้งตลบจนแทบมองอะไรไม่เห็น แต่เครื่องบินก็หยุดสนิทอยู่นอกรันเวย์ได้อย่างปาฏิหารย์
ไฟยังลุกไหม้ที่ปีกเป็นควันขโมง เจ้าชายอิสราร์ปลดเกียร์ว่างทำให้เครื่องบินจอดสนิท แล้วรีบทำขั้นตอนการดับเครื่องยนต์ ส่วนกัปตันก็สั่งลูกเรือให้อพยพทันที
ทุกคนเงยหน้ามองออกไปที่นอกหน้าต่าง พอมองเห็นพื้นรันเวย์และอาคารโดยรอบ ก็ถึงกับส่งเสียงเฮดังลั่น พร้อมกับเสียงปรบมือเกรียวกราว บางคนน้ำตาไหลออกมาด้วยความดีใจ บ้างก็โผเข้ากอดคอกันร้องไห้ ทุกคนต่างก็ยินดีที่ยังมีชีวิตอยู่ แอร์เพอร์เซอร์รีบเปิดประตูเพื่อส่งกัปตันไปกับรถแอมบูแลนซ์ และรีบหนีพายุทรายที่กำลังคืบคลานเข้ามาในไม่ช้า
กัปตันหันมาจับมือเชคแฮนด์กับเจ้านายด้วยความดีใจอย่างเหลือแสน ถึงแม้จะเป็นการแลนดิ้งที่ไม่นิ่มนวลนัก แต่ในความรู้สึกของลูกเรือนับว่าเป็นการแลนที่ใช้แต้มบุญแลกกับความเมตตาจากพระเจ้าเป็นกรณีพิเศษแล้ว ในสถานการณ์ที่สุดแสนจะอันตรายเช่นนี้
“การแลนดิ้งในสภาวะลมกระโชกแรง ถ้าแก้ไขการกระดอนผิดวิธีด้วยการทำในสิ่งตรงกันข้าม จากที่ควรเงยหัวเครื่องขึ้นเป็นกดหัวลง อาจทำให้เครื่องเอียงไปข้างใดหนึ่งจนเสียการควบคุมได้ นับว่าฝ่าบาทมีสติและมีความรู้ความสามารถในการแก้ไขสถานการณ์ได้ดีเยี่ยมเลยทีเดียว!” กัปตันกล่าวชื่นชมจากใจจริง
“ผมเพิ่งจะฝึกบินจากเครื่องซิมูเลเตอร์ในกรณีเดียวกันนี้เมื่อหกเดือนที่แล้วนี่เอง”
“งั้นนับว่าพวกเรามีแต้มบุญที่สูงจริงๆ!!” กัปตันพูดจบก็หัวเราะลั่นอย่างชอบใจ เพราะเขาหมายความตามตัวอักษรนั้นจริงๆ กรณีการเกิดวินด์เชียร์ หรือลมที่เกิดการเปลี่ยนแปลงทิศทางและความเร็วอย่างกระทันหันในขณะแลนดิ้งนั้น ถ้านักบินไม่มีความเชี่ยวชาญพอ ก็สามารถทำให้เกิดผลร้ายที่ไม่อาจคาดการณ์ได้อย่างแน่นอน
……………………
- ECAM - (Electronic Centralized Aircraft Monitor) - เป็นระบบที่ตรวจสอบการทำงานของอากาศยานและแสดงผลออกมาในรูปแบบของจอแสดงผล ของเครื่องบินค่าย Airbus
- Declare Emergency - การประกาศเหตุฉุกเฉินทางการบินเพื่อทำการลงจอด
- Thrust Reveser - หรือตัวกลับแรงดันไอพ่น มีหน้าที่ช่วยในการชะลอความเร็วของเครื่องบินขณะลงจอด
- Localizer - เป็นระบบที่ใช้บอกตำแหน่งของแนวกึ่งกลางของรันเวย์ให้กับเครื่องบิน
- Wind Shear - การเปลี่ยนแปลงความเร็วและหรือทิศทางของลมในระยะสั้นๆ อย่างฉับพลัน สามารถเกิดขึ้นได้ทั้งแนวนอนและแนวตั้ง หรือเกิดพร้อมๆ กันทั้งสองแนวบางครั้งเกิดร่วมกับปรากฎการณ์อุณหภูมิผกผันในระดับต่ำ
- Flight Attendant - พนักงานต้อนรับบนเครื่องบิน บางประเทศจะเรียกว่า Air Hostess, Cabin Crew ทั้งหมดเป็นเพียงชื่อที่แตกต่างกัน แต่หมายถึงงานเดียวกัน
- Autopilot - ระบบควบคุมความสูงของตัวเครื่องบินซึ่งจะทำหน้าที่ควบคุมเครื่องบินแต่ละลำตามที่นักบินกำหนดไว้
- cockpit - ห้องนักบิน
- Flight Simulator - เครื่องจำลองการฝึกบินเต็มรูปแบบ” (Full Flight Simulator/FSS) คือ เป็นเครื่องจำลองการบินที่จะถูกออกแบบมาให้มีสภาพแวดล้อมต่างๆ มีความใกล้เคียงหรือเหมือนกับเครื่องบินจริงมากที่สุด
กัปตันลุกขึ้นแล้วเดินออกประตูไปก่อน ผงกศีรษะให้นิดหนึ่งเมื่อเห็นพริมโรสยืนอยู่หน้าประตู เจ้าชายอิสราร์ยืนมองหญิงสาวผ่านช่องประตูห้องนักบินอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเอื้อมมือมาคว้าแขนเรียวเล็กดึงเข้ามาปะทะอกกว้าง รวบร่างบางเข้ามากอดรัดอย่างแนบแน่น ฝ่ามือข้างหนึ่งประคองไว้หลังศีรษะ แล้วบดขยี้ริมฝีปากร้อนระอุกับริมฝีปากนุ่มอย่างหิวกระหาย เร่าร้อนและดุเดือด เพราะอะดรีนาลีนที่หลั่งออกมาหลังจากเพิ่งจะผ่านเหตุการณ์เฉียดตาย กระตุ้นให้อารมณ์ของเขาพลุ่งพล่าน“อื้อ!..” ปลายลิ้นเงอะงะถูกดูดดุนและเกี่ยวกระหวัดไว้ด้วยลิ้นเร่าร้อนของอีกฝ่ายโดยไม่เปิดโอกาสให้ได้พักหายใจ ทำให้เกิดเสียงประท้วงแผ่วๆ ในลำคอ“ที่รัก~..ผมรักคุณ” เขาถอนริมฝีปากออก กระซิบเสียงแหบพร่าแนบชิดกับริมฝีปากนุ่มอุ่น เรียวลิ้นไล่ระไปบนริมฝีปากของอีกฝ่าย ก่อนประทับริมฝีปากลงมาอีกครั้ง หญิงสาวยกท่อนแขนขึ้นโอบรอบลำคอเขาไว้ ตอบรับจุมพิตด้วยจังหวะที่สอดรับกันเป็นอย่างดี เบียดร่างบอบบางเข้าแนบชิดร่างกำยำอย่างออดอ้อน ฝ่ามือหนาของเขาลูบไล้ไปตามแผ่นหลังไล่ลงไปถึงโค้งสะโพกกลมมนแล้วกดเข้าหาลำตัวตามแรงอารมณ์ที่กำลังเพิ่มมากขึ้น“เอ่อ..ทูลฝ่าบาท พายุท
ไลลานอนตัวอ่อนระทวยอยู่ครู่หนึ่ง สักพักก็ขยับตัวยกศีรษะขึ้นมานอนหนุนแขนแข็งแรงข้างหนึ่งของสามี เบียดเรือนร่างบอบบางเข้าชิดเพื่อขอความอบอุ่นจากร่างกายของเขา ซึ่งชายหนุ่มเองก็เพิ่งผ่อนคลายจากอาการหัวใจเต้นแรง หายใจหอบเหนื่อย เขาพลิกตัวตะแคง รั้งต้นขาของหญิงสาว ให้ขึ้นมาก่ายเกยอยู่ครึ่งๆ บนร่างกายของเขา ขาของเธอเบียดชิดจนเขารู้สึกอบอุ่นและชุ่มชื้นในซอกลี้ลับ ไล้ฝ่ามือจากโค้งสะโพกเลยมาถึงต้นขา ลูบผิวเรียบเนียนไปมาเบาๆ เป็นจังหวะอย่างเพลิดเพลิน พร้อมๆ กับปลอบโยนให้เธอคลายความอ่อนเพลีย เพื่อเข้าสู่โหมดพักผ่อน “ฝ่าบาทเพคะ?” “หืม?” ชายหนุ่มผงกศีรษะขึ้นมองอย่างแปลกใจเมื่อได้ยินเสียงของอีกฝ่าย ซึ่งเขาคิดว่าน่าจะเคลิ้มหลับไปแล้ว“คืนนี้เนญ่าเขาประกาศว่าจะเข้าหอกับฝ่าบาท แล้วทำไมพระองค์ถึงมาหาหม่อมฉันล่ะเพคะ?”“ก็ไม่อยากจะมา ตั้งใจจะสั่งสอนให้รู้สำนึกเสียหน่อยว่า การผลักดันให้ผัวไปมีผู้หญิงอื่น โดยไม่เต็มใจนั้นน่ะมันจะให้ผลยังไง แต่เผอิญว่าเห็นคนบางคน น้ำตาคลอเบ้าเลยมาดูเสียหน่อย ไม่รู้ว่าเสแสร้งแกล้งทำ หรือรู้จักที่จะหึงหวงผัวขึ้นมาบ้างแล้ว!”“หึงจริงๆ น่ะแหละเพคะ” ไลลายอมรับออกไปตรงๆ ถึงแม้ใ
“ตรวจสอบชายสองคนที่สิบสองนาฬิกา ประตูทางเข้าด้านนอก ในมือถือผ้าสีดำห่อหุ้มวัตถุลักษณะเป็นแท่งยาวทรงกระบอก เปลี่ยน!”“แลนด์โรเวอร์สีดำขับเข้ามาจอดหน้าประตูทางเข้าออกของพนักงานชั้นใต้ดินสองคัน คันหนึ่งประมาณห้าคนใส่ชุดพนักงานรักษาความปลอดภัยเดินเข้าไปด้านใน มีอาวุธปืนติดตัว เปลี่ยน!”“ประตูทางออกอาคารผู้โดยสารหนึ่งที่เก้านาฬิกา พนักงานรักษาความปลอดภัยกำลังลากโซ่ตะปูเรือใบมาขวางถนน คาดว่าไม่ใช่เจ้าหน้าที่ของสนามบิน เปลี่ยน!”“ประตูทางออกฉุกเฉินของอาคารผู้โดยสารสอง ทางสะดวก ชาลีทีมเตรียมพร้อม รอรับคำสั่ง เปลี่ยน!” เสียงรายงานผ่านวิทยุสื่อสารเข้ามาเป็นระยะๆ หลังจากที่กระจายกำลังไปประจำตามจุดสำคัญต่างๆ เพื่อสังเกตความเคลื่อนไหวของฝ่ายตรงข้าม“พวกมันเริ่มทยอยกันเข้ามาแล้ว แจ้งเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยให้เตรียมอพยพประชาชนหากมีเหตุฉุกเฉิน! แจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจกับดับเพลิงหรือยัง?”“เรียบร้อยแล้วพ่ะย่ะค่ะ!”“อืม ถ้าพร้อมแล้วก็ไปกันตอนนี้เลย!”“รับคำสั่ง!” องครักษ์รับคำสั่งแล้วแจ้งแต่ละทีมผ่านวิทยุสื่อสารทันที “อัลฟ่าทีมเคลียร์พื้นที่ บราโวเตรียมรถบรรทุกเปิดทางออกแล้วรอรับคำสั่ง ชาลีทีมวีไอพีเ
ความร้ายกาจของบิดาที่เธอได้ยินจากปากของคนอื่น เป็นเหมือนหนามแหลมคม ที่คอยทิ่มแทงจิตใจอยู่ตลอด แต่กระบวนการให้อภัย พยายามดิ้นรนที่จะผลักความคิด และความรู้สึกด้านลบเหล่านี้ออกไป ด้วยการจดจ่อกับความรัก และความทรงจำดีๆ นึกถึงช่วงเวลาที่ยากลำบาก ที่เขามักจะแบกรับความเจ็บปวดเหล่านั้นไว้แทนอยู่เสมอ แล้วผลักดันให้เธอก้าวข้ามผ่านช่วงเวลาเลวร้ายนั้นไปให้ได้ ฝึกฝนเธอให้เข้มแข็ง สอนให้ยอมรับทุกความผิดพลาด และความล้มเหลว แล้วเรียนรู้ที่จะเยียวยาตัวเองเพื่อปิดกั้นทุกความเจ็บปวดเธอรู้ดีว่าการยึดติดกับความรู้สึกในทางลบ รังแต่จะเพิ่มความทุกข์ให้กับชีวิตมากขึ้น และขัดขวางไม่ให้หัวใจได้พบกับความสงบสุข แต่การที่จะละวางด้วยการให้อภัยนั้น ก็ทำให้เกิดความรู้สึกผิด ต่อบุคคลที่ต้องเสียชีวิตไปอย่างไม่เป็นธรรมนั้นด้วยเช่นกันแต่เมื่อมองในมุมกลับกัน เขาก็เป็นเพียงแค่มนุษย์คนหนึ่ง ซึ่งไม่ว่าใครก็สามารถทำผิดได้ เธอเองก็ไม่ได้รับการยกเว้น ความผิดหวังมักจะทำให้คนเราจมอยู่กับอดีต จนลืมมองความสุขที่กำลังได้รับอยู่ในปัจจุบัน และกำลังจะตามมาอีกมากมายในอนาคต จึงเป็นความคิดที่โง่เขลาอยู่ไม่ใช่น้อย ถ้าเรายังหยุดอยู่ที่ควา
“ฮัลโหล? ว่าไง?”“ไอ้ชารีฟ! ไอ้ห่วย! สายของแกทำงานยังไงวะถึงได้รายงานผิดพลาด! เป้าหมายไปเส้นทางอื่นไม่ได้เฉียดมาทางนี้เลยด้วยซ้ำ!!”“จะเป็นไปได้ยังไง? ไม่ผิดแน่ๆ!! นายดักซุ่มอยู่ที่นั่นแหละเผื่อว่าจะเป็นแผนลวง!”ชารีฟหรือณัทธร กดปุ่มตัดสาย แล้วดึงหูฟังบลูทูธออกอย่างหงุดหงิด จะเกิดการผิดพลาดไปได้ยังไง ในเมื่อเขาเพิ่งจะได้รับการยืนยันเส้นทางมาจากสายที่แฝงตัวอยู่ในกลุ่มผู้ใต้บังคับบัญชาของเชคฮ์อิสราร์เมื่อไม่กี่นาทีมานี้เองหรือว่าเปลี่ยนเส้นทางกระทันหัน??เขาคิดว่าน่าจะมีการเปลี่ยนแปลงแบบฉุกเฉินมากกว่าการที่อีกฝ่ายจะรู้ตัวว่ามีข่าวรั่วไหลชายหนุ่มยกนาฬิกาข้อมือขึ้น เพื่อดูเวลาก่อนการตัดสินใจ ในเมื่อภารกิจลอบสังหารเชคฮ์อิสราร์ได้ผิดพลาดไปแล้ว เขาเลยคิดว่าไปปิดจ๊อบหนี้เก่าของตัวเองก่อนจะดีกว่า แล้วค่อยกลับไปรายงานภารกิจที่ล้มเหลว ซึ่งถ้ารีบไปตอนนี้ก็น่าจะไปทันเวลากับที่เป้าหมายขับมาถึงในจุดที่เขากำหนดเอาไว้ในแผนพอดี…ชารีฟหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมา เปิดแอพพลิเคชันที่ใช้ตรวจสอบสัญญาณจีพีเอส เพื่อหาตำแหน่งปัจจุบันของรถเป้าหมาย ซึ่งก็เห็นในแผนที่ว่ารถยนต์คันดังกล่าว กำลังจะแล่นผ่านสี่แยกไฟแดง
“ฮ่าๆๆ ไง! ถึงกลับโกรธจนตัวเนื้อสั่นเลยเหรอ เป็นยังไงบ้างล่ะ รสชาติของการสูญเสีย ขมขื่นถึงอกถึงใจดีไหม?” คำพูดประโยคนี้ของเขาทำให้หญิงสาวแน่ใจได้ทันทีว่าอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นนี้ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ“ฉันเกลียดแกจนอยากจะเป็นคนถ่อย จะได้ถ่มถุยใส่หน้าส้นตึกของแกให้สาสมกับความรู้สึกขยะแขยง!” ชารีฟหรือณัทธรสะอึก เมื่อเจอความโกรธเกลียดอย่างรุนแรงจากผู้หญิงที่เขารัก“เกลียดฉันงั้นรึ? ต้องเป็นฉันไหมที่จะพูดประโยคนั้น แทบไม่อยากจะเชื่อเลยว่า เธอจะลืมฉันได้อย่างง่ายดายและไปแต่งงานใหม่!"“ฉันไม่ได้แต่งงานใหม่! นี่เป็นการแต่งงานครั้งแรกและครั้งเดียวของฉัน และอะไรคือลืมได้อย่างง่ายดาย? นายหนีตายไปเป็นปีๆ แล้วฉันจะต้องไปบวชชี เพื่ออุทิศส่วนกุศลให้นายด้วยอย่างนั้นรึ! เรารักกันดูดดื่มขนาดนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่? ก่อนที่นายจะฆ่าพ่อฉัน เขายังพูดไม่ให้ฉันยึดติดกับตัวเขาเลย! ตรรกะของนายมันบิดเบี้ยวเป็นเวย์เดียวกับพวกโรคจิต ที่นายกับฉันมาถึงจุดนี้เป็นเพราะการตัดสินใจเลือกของตัวเองทั้งนั้น อย่าเอาฉันมาเป็นข้ออ้างเพื่อปกปิดยีนขี้แพ้ในตัวหน่อยเลย!”“ไม่ต้องมาทำปากดียั่วอารมณ์ให้ฉันรู้สึกละอายใจหรอก คำพูดยั่วยุของ
หวอออออออ!! บรึ้ม!!เสียงไซเรนเตือนภัยทางอากาศดังยาวเพียงไม่กี่นาที ก็ถูกกลบด้วยเสียงระเบิด ที่ดังสะเทือนเลื่อนลั่นไปทั่วอาคารผู้โดยสารขาเข้าระหว่างประเทศ เสียงกรีดร้องของผู้คน ที่กำลังอยู่ในอาการประสาทสั่นขวัญผวา สอดแทรกขึ้นมาด้วยเสียงร้องโหยหวนอย่างเจ็บปวดทรมานจนเกินจะรับไหวจากผู้เคราะห์ร้าย ที่แทบจะไม่เหลือเรี่ยวแรงใดๆ ให้ร้องขอความช่วยเหลือได้อีกแล้ว บางเสียงแหบระโหยอยู่ภายใต้ร่างของผู้เสียชีวิตที่เต็มไปด้วยเลือดและซากปรักหักพังทับถมกันเป็นชั้นๆ อยู่ด้านบนอย่างสยดสยองนักข่าวคนหนึ่งที่รอดตายอย่างปาฏิหาริย์ ราวกับเป็นลูกรักของพระเจ้า ทั้งๆ ที่อยู่ไกล้จุดเกิดเหตุเพียงไม่กี่เมตร ด้วยความตกใจจนลนลานทำให้มือที่ล้วงเข้าไปในเข้าไปในกระเป๋าเป้สั่นเทาไปหมด ในใจลึกๆ กำลังกระวนกระวาย เพราะกลัวจะพลาดบันทึกเหตุการณ์ระทึกขวัญไม่ทัน แต่พอควานเจอโทรศัพท์มือถืออย่างที่ต้องการ แล้วก็หยิบออกมาบันทึกภาพเหตุการณ์ตรงหน้าทันทีอย่างไม่กลัวลูกหลง นัยน์ตาคมจับจ้องผ่านจอแอลซีดี ในขณะที่ขยับมือแพนกล้อง จับภาพนาทีระทึกของผู้คนที่กำลังวิ่งหนีเอาตัวรอดกันอย่างอลหม่าน บางคนถูกวิ่งชนจนล้มไม่พอ ยังโดนเหยียบย่ำซ
“เหตุระเบิดท่าอากาศยานนานาชาติเอวาเปเรซ สร้างความเสียหายให้แก่บริเวณรับสัมภาระ ของอาคารผู้โดยสารขาเข้าระหว่างประเทศ จากกล้องวงจรปิดได้จับภาพฝูงโดรนคามิกาเซที่บินร่อนอยู่เหนือท่าอากาศยานอยู่หลายนาที ก่อนที่จะร่อนลงสู่เป้าหมาย และจุดระเบิดขึ้นเหตุระเบิดดังกล่าว ทำให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อยสามสิบห้าราย และได้รับบาดเจ็บมากกว่าหนึ่งร้อยแปดสิบราย จากการตรวจสอบของเจ้าหน้าที่ ปรากฏว่าได้มีผู้โดยสายหายไปจากรายชื่อห้าคน และหนึ่งในนั้นคือพระชนนีขององค์สุลต่าน ซึ่งแหล่งที่มาของการโจมตีดังกล่าวยังไม่ชัดเจน แต่ผู้เชี่ยวชาญด้านความมั่นคงคาดการณ์ว่ากลุ่มผู้ก่อการร้ายกลุ่มนี้ อาจเป็นผู้ทำสงครามโมเสลมจากสมาชิกอัลเคดาสาขาเปเรซ ถึงแม้ข้อมูลเหล่านั้นยังไม่ได้รับการยืนยันก็ตาม ขณะนี้เจ้าหน้าที่ทหาร และตำรวจกำลังอยู่ระหว่างการไล่ล่ากลุ่มผู้ก่อการร้าย”เสียงในทีวี รายงานข่าวภาษาอาหรับ เกี่ยวกับสถานการณ์การระเบิดสนามบิน บริเวณอาคารผู้โดยสารขาเข้า และได้ลักพาตัวประกันไปด้วย เพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลทำตามข้อตกลง ตามมาด้วยข่าวการประท้วงที่หน้าสถานทูต เพื่อกดดันและเรียกร้องให้รัฐบาลและฝ่ายผู้ก่อการร้ายยุติสงครามกล
“ฮ่าๆๆ ไง! ถึงกลับโกรธจนตัวเนื้อสั่นเลยเหรอ เป็นยังไงบ้างล่ะ รสชาติของการสูญเสีย ขมขื่นถึงอกถึงใจดีไหม?” คำพูดประโยคนี้ของเขาทำให้หญิงสาวแน่ใจได้ทันทีว่าอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นนี้ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ“ฉันเกลียดแกจนอยากจะเป็นคนถ่อย จะได้ถ่มถุยใส่หน้าส้นตึกของแกให้สาสมกับความรู้สึกขยะแขยง!” ชารีฟหรือณัทธรสะอึก เมื่อเจอความโกรธเกลียดอย่างรุนแรงจากผู้หญิงที่เขารัก“เกลียดฉันงั้นรึ? ต้องเป็นฉันไหมที่จะพูดประโยคนั้น แทบไม่อยากจะเชื่อเลยว่า เธอจะลืมฉันได้อย่างง่ายดายและไปแต่งงานใหม่!"“ฉันไม่ได้แต่งงานใหม่! นี่เป็นการแต่งงานครั้งแรกและครั้งเดียวของฉัน และอะไรคือลืมได้อย่างง่ายดาย? นายหนีตายไปเป็นปีๆ แล้วฉันจะต้องไปบวชชี เพื่ออุทิศส่วนกุศลให้นายด้วยอย่างนั้นรึ! เรารักกันดูดดื่มขนาดนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่? ก่อนที่นายจะฆ่าพ่อฉัน เขายังพูดไม่ให้ฉันยึดติดกับตัวเขาเลย! ตรรกะของนายมันบิดเบี้ยวเป็นเวย์เดียวกับพวกโรคจิต ที่นายกับฉันมาถึงจุดนี้เป็นเพราะการตัดสินใจเลือกของตัวเองทั้งนั้น อย่าเอาฉันมาเป็นข้ออ้างเพื่อปกปิดยีนขี้แพ้ในตัวหน่อยเลย!”“ไม่ต้องมาทำปากดียั่วอารมณ์ให้ฉันรู้สึกละอายใจหรอก คำพูดยั่วยุของ
“ฮัลโหล? ว่าไง?”“ไอ้ชารีฟ! ไอ้ห่วย! สายของแกทำงานยังไงวะถึงได้รายงานผิดพลาด! เป้าหมายไปเส้นทางอื่นไม่ได้เฉียดมาทางนี้เลยด้วยซ้ำ!!”“จะเป็นไปได้ยังไง? ไม่ผิดแน่ๆ!! นายดักซุ่มอยู่ที่นั่นแหละเผื่อว่าจะเป็นแผนลวง!”ชารีฟหรือณัทธร กดปุ่มตัดสาย แล้วดึงหูฟังบลูทูธออกอย่างหงุดหงิด จะเกิดการผิดพลาดไปได้ยังไง ในเมื่อเขาเพิ่งจะได้รับการยืนยันเส้นทางมาจากสายที่แฝงตัวอยู่ในกลุ่มผู้ใต้บังคับบัญชาของเชคฮ์อิสราร์เมื่อไม่กี่นาทีมานี้เองหรือว่าเปลี่ยนเส้นทางกระทันหัน??เขาคิดว่าน่าจะมีการเปลี่ยนแปลงแบบฉุกเฉินมากกว่าการที่อีกฝ่ายจะรู้ตัวว่ามีข่าวรั่วไหลชายหนุ่มยกนาฬิกาข้อมือขึ้น เพื่อดูเวลาก่อนการตัดสินใจ ในเมื่อภารกิจลอบสังหารเชคฮ์อิสราร์ได้ผิดพลาดไปแล้ว เขาเลยคิดว่าไปปิดจ๊อบหนี้เก่าของตัวเองก่อนจะดีกว่า แล้วค่อยกลับไปรายงานภารกิจที่ล้มเหลว ซึ่งถ้ารีบไปตอนนี้ก็น่าจะไปทันเวลากับที่เป้าหมายขับมาถึงในจุดที่เขากำหนดเอาไว้ในแผนพอดี…ชารีฟหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมา เปิดแอพพลิเคชันที่ใช้ตรวจสอบสัญญาณจีพีเอส เพื่อหาตำแหน่งปัจจุบันของรถเป้าหมาย ซึ่งก็เห็นในแผนที่ว่ารถยนต์คันดังกล่าว กำลังจะแล่นผ่านสี่แยกไฟแดง
ความร้ายกาจของบิดาที่เธอได้ยินจากปากของคนอื่น เป็นเหมือนหนามแหลมคม ที่คอยทิ่มแทงจิตใจอยู่ตลอด แต่กระบวนการให้อภัย พยายามดิ้นรนที่จะผลักความคิด และความรู้สึกด้านลบเหล่านี้ออกไป ด้วยการจดจ่อกับความรัก และความทรงจำดีๆ นึกถึงช่วงเวลาที่ยากลำบาก ที่เขามักจะแบกรับความเจ็บปวดเหล่านั้นไว้แทนอยู่เสมอ แล้วผลักดันให้เธอก้าวข้ามผ่านช่วงเวลาเลวร้ายนั้นไปให้ได้ ฝึกฝนเธอให้เข้มแข็ง สอนให้ยอมรับทุกความผิดพลาด และความล้มเหลว แล้วเรียนรู้ที่จะเยียวยาตัวเองเพื่อปิดกั้นทุกความเจ็บปวดเธอรู้ดีว่าการยึดติดกับความรู้สึกในทางลบ รังแต่จะเพิ่มความทุกข์ให้กับชีวิตมากขึ้น และขัดขวางไม่ให้หัวใจได้พบกับความสงบสุข แต่การที่จะละวางด้วยการให้อภัยนั้น ก็ทำให้เกิดความรู้สึกผิด ต่อบุคคลที่ต้องเสียชีวิตไปอย่างไม่เป็นธรรมนั้นด้วยเช่นกันแต่เมื่อมองในมุมกลับกัน เขาก็เป็นเพียงแค่มนุษย์คนหนึ่ง ซึ่งไม่ว่าใครก็สามารถทำผิดได้ เธอเองก็ไม่ได้รับการยกเว้น ความผิดหวังมักจะทำให้คนเราจมอยู่กับอดีต จนลืมมองความสุขที่กำลังได้รับอยู่ในปัจจุบัน และกำลังจะตามมาอีกมากมายในอนาคต จึงเป็นความคิดที่โง่เขลาอยู่ไม่ใช่น้อย ถ้าเรายังหยุดอยู่ที่ควา
“ตรวจสอบชายสองคนที่สิบสองนาฬิกา ประตูทางเข้าด้านนอก ในมือถือผ้าสีดำห่อหุ้มวัตถุลักษณะเป็นแท่งยาวทรงกระบอก เปลี่ยน!”“แลนด์โรเวอร์สีดำขับเข้ามาจอดหน้าประตูทางเข้าออกของพนักงานชั้นใต้ดินสองคัน คันหนึ่งประมาณห้าคนใส่ชุดพนักงานรักษาความปลอดภัยเดินเข้าไปด้านใน มีอาวุธปืนติดตัว เปลี่ยน!”“ประตูทางออกอาคารผู้โดยสารหนึ่งที่เก้านาฬิกา พนักงานรักษาความปลอดภัยกำลังลากโซ่ตะปูเรือใบมาขวางถนน คาดว่าไม่ใช่เจ้าหน้าที่ของสนามบิน เปลี่ยน!”“ประตูทางออกฉุกเฉินของอาคารผู้โดยสารสอง ทางสะดวก ชาลีทีมเตรียมพร้อม รอรับคำสั่ง เปลี่ยน!” เสียงรายงานผ่านวิทยุสื่อสารเข้ามาเป็นระยะๆ หลังจากที่กระจายกำลังไปประจำตามจุดสำคัญต่างๆ เพื่อสังเกตความเคลื่อนไหวของฝ่ายตรงข้าม“พวกมันเริ่มทยอยกันเข้ามาแล้ว แจ้งเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยให้เตรียมอพยพประชาชนหากมีเหตุฉุกเฉิน! แจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจกับดับเพลิงหรือยัง?”“เรียบร้อยแล้วพ่ะย่ะค่ะ!”“อืม ถ้าพร้อมแล้วก็ไปกันตอนนี้เลย!”“รับคำสั่ง!” องครักษ์รับคำสั่งแล้วแจ้งแต่ละทีมผ่านวิทยุสื่อสารทันที “อัลฟ่าทีมเคลียร์พื้นที่ บราโวเตรียมรถบรรทุกเปิดทางออกแล้วรอรับคำสั่ง ชาลีทีมวีไอพีเ
ไลลานอนตัวอ่อนระทวยอยู่ครู่หนึ่ง สักพักก็ขยับตัวยกศีรษะขึ้นมานอนหนุนแขนแข็งแรงข้างหนึ่งของสามี เบียดเรือนร่างบอบบางเข้าชิดเพื่อขอความอบอุ่นจากร่างกายของเขา ซึ่งชายหนุ่มเองก็เพิ่งผ่อนคลายจากอาการหัวใจเต้นแรง หายใจหอบเหนื่อย เขาพลิกตัวตะแคง รั้งต้นขาของหญิงสาว ให้ขึ้นมาก่ายเกยอยู่ครึ่งๆ บนร่างกายของเขา ขาของเธอเบียดชิดจนเขารู้สึกอบอุ่นและชุ่มชื้นในซอกลี้ลับ ไล้ฝ่ามือจากโค้งสะโพกเลยมาถึงต้นขา ลูบผิวเรียบเนียนไปมาเบาๆ เป็นจังหวะอย่างเพลิดเพลิน พร้อมๆ กับปลอบโยนให้เธอคลายความอ่อนเพลีย เพื่อเข้าสู่โหมดพักผ่อน “ฝ่าบาทเพคะ?” “หืม?” ชายหนุ่มผงกศีรษะขึ้นมองอย่างแปลกใจเมื่อได้ยินเสียงของอีกฝ่าย ซึ่งเขาคิดว่าน่าจะเคลิ้มหลับไปแล้ว“คืนนี้เนญ่าเขาประกาศว่าจะเข้าหอกับฝ่าบาท แล้วทำไมพระองค์ถึงมาหาหม่อมฉันล่ะเพคะ?”“ก็ไม่อยากจะมา ตั้งใจจะสั่งสอนให้รู้สำนึกเสียหน่อยว่า การผลักดันให้ผัวไปมีผู้หญิงอื่น โดยไม่เต็มใจนั้นน่ะมันจะให้ผลยังไง แต่เผอิญว่าเห็นคนบางคน น้ำตาคลอเบ้าเลยมาดูเสียหน่อย ไม่รู้ว่าเสแสร้งแกล้งทำ หรือรู้จักที่จะหึงหวงผัวขึ้นมาบ้างแล้ว!”“หึงจริงๆ น่ะแหละเพคะ” ไลลายอมรับออกไปตรงๆ ถึงแม้ใ
กัปตันลุกขึ้นแล้วเดินออกประตูไปก่อน ผงกศีรษะให้นิดหนึ่งเมื่อเห็นพริมโรสยืนอยู่หน้าประตู เจ้าชายอิสราร์ยืนมองหญิงสาวผ่านช่องประตูห้องนักบินอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเอื้อมมือมาคว้าแขนเรียวเล็กดึงเข้ามาปะทะอกกว้าง รวบร่างบางเข้ามากอดรัดอย่างแนบแน่น ฝ่ามือข้างหนึ่งประคองไว้หลังศีรษะ แล้วบดขยี้ริมฝีปากร้อนระอุกับริมฝีปากนุ่มอย่างหิวกระหาย เร่าร้อนและดุเดือด เพราะอะดรีนาลีนที่หลั่งออกมาหลังจากเพิ่งจะผ่านเหตุการณ์เฉียดตาย กระตุ้นให้อารมณ์ของเขาพลุ่งพล่าน“อื้อ!..” ปลายลิ้นเงอะงะถูกดูดดุนและเกี่ยวกระหวัดไว้ด้วยลิ้นเร่าร้อนของอีกฝ่ายโดยไม่เปิดโอกาสให้ได้พักหายใจ ทำให้เกิดเสียงประท้วงแผ่วๆ ในลำคอ“ที่รัก~..ผมรักคุณ” เขาถอนริมฝีปากออก กระซิบเสียงแหบพร่าแนบชิดกับริมฝีปากนุ่มอุ่น เรียวลิ้นไล่ระไปบนริมฝีปากของอีกฝ่าย ก่อนประทับริมฝีปากลงมาอีกครั้ง หญิงสาวยกท่อนแขนขึ้นโอบรอบลำคอเขาไว้ ตอบรับจุมพิตด้วยจังหวะที่สอดรับกันเป็นอย่างดี เบียดร่างบอบบางเข้าแนบชิดร่างกำยำอย่างออดอ้อน ฝ่ามือหนาของเขาลูบไล้ไปตามแผ่นหลังไล่ลงไปถึงโค้งสะโพกกลมมนแล้วกดเข้าหาลำตัวตามแรงอารมณ์ที่กำลังเพิ่มมากขึ้น“เอ่อ..ทูลฝ่าบาท พายุท
รินรดานั่งเหม่อกำโทรศัพท์ไว้ในมือ หลังจากเพิ่งจะวางสายจากรามิล เขาสัญญาว่าจะรีบเคลียร์งานให้เรียบร้อย และจะตามไปหาที่เปเรซภายในสองวันเธอรู้สึกไม่สบายใจเมื่อนึกถึงความฝันเมื่อคืนที่ผ่านมา แสงสว่างที่ลอยละล่องในความมืดส่องมาที่เธอ พร้อมกับเสียงกระซิบที่แผ่วเบาแต่ชัดเจน เสียงนั้นไม่ใช่เสียงของใครในโลกนี้ มันเหมือนเสียงที่มาจากที่ไกลโพ้น ฟังดูทั้งใกล้และไกลในเวลาเดียวกัน ‘ถึงเวลาแล้ว…จงทำตามสัญญา’หญิงสาวไม่ได้บอกใครว่าหลังจากที่เธอ และพี่ชายฟื้นขึ้นมา เธอได้เห็นถึงความศักดิ์สิทธิ์ของหินพ่อมดลาบราดอไลต์ ด้วยความสงสัยและความหวัง เธอแอบพระมารดาเข้าไปในห้องลับ ท่องบทสวดที่เธอแอบจดเอาไว้ และอธิษฐานถึงสิ่งที่อยากรู้ที่สุดในชีวิตตอนนั้น นั่นก็คือการตามหาครอบครัวที่แท้จริงจากนั้นเธอก็ฝันซ้ำๆ เดิมๆ อยู่หลายครั้งจนมาถึงปัจจุบัน ไม่รู้ว่าบุคคลในฝันเป็นใคร เธอจำเรื่องราวได้ รู้ว่าคนในฝันเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย แต่จำหน้าไม่ได้เลยสักคน และครั้งที่ไปโรงพยาบาลจนเกิดอาการใจสั่น แล้วเจ็บแปลบอย่างรุนแรง จนหมดสติไปในครั้งนั้น ก็ทำให้เธอได้เห็นผู้หญิง ที่มีหน้าตาเหมือนเธอราวกับฝาแฝดชัดเจนเป็นครั้งแรก ในห้วงฝ
“อะไรนะ!! แล้วได้ลงจอดฉุกเฉินไหม? งั้นถ้าจำเป็นต้องเปลี่ยนแผนโยกย้ายคนจากรัฐดีไปรัฐอีก็ดำเนินการได้เลย! อืม..ฉันอยู่บนเครื่องบินแล้ว คงจะถึงไล่ๆ กัน!...ได้!…เอาตามนั้น!”เจ้าชายอิดรีสชะงักมือที่กำลังวางโทรศัพท์บนโต๊ะหัวเตียง ขณะที่ปรายหางตาเห็นหุ่นอรชรอ้อนแอ้นกำลังเยื้องกรายเข้ามาในห้องด้วยกิริยาท่าทางที่ยั่วยวนหญิงสาวเข้ามายืนห่างจากเตียงไปประมาณหนึ่งช่วงแขน ค่อยๆ ปลดอาภรณ์ออกจากตัวทีละชิ้นอย่างเชื่องช้า พร้อมช้อนสายตาขึ้นมองชายหนุ่มอย่างเย้ายวนชวนเชิญเจ้าชายอิดรีสหยิบหมอนสองใบมาซ้อนหลัง นั่งกึ่งเอนพิงพนักหัวเตียงพาดแขนไว้บนเข่าข้างหนึ่งที่ตั้งชันขึ้น หรี่ตามองด้วยสีหน้าเรียบเฉยแต่ดูเยือกเย็น กิริยาภายนอกยังคงสงบนิ่ง รอบกายยังเผยความเย่อหยิ่งจองหองออกมาด้วยเขาเหลือบตามองนาฬิกาที่โต๊ะหัวเตียง ทำให้รู้ว่าอีกฝ่ายเลือกเวลาได้เหมาะเจาะ ไลลาไปสั่งงานกับเด็กรับใช้ได้สักพักใหญ่ๆ แล้ว และคงกำลังใกล้จะกลับมา เลยเปิดโอกาสให้น้องสาวสวมบทบาทน้องรักหักเหลี่ยมโหดเพื่อทำร้ายจิตใจผู้เป็นพี่ได้อย่างถูกที่ถูกเวลา เขาปล่อยให้อีกฝ่ายทำตามใจ โดยไม่ได้ปริปากเอ่ยทักท้วง เพื่อจะรอดูว่าเธอจะเปิดเผยเนื้อตั
"ฝ่าบาท! แย่แล้วเพคะ! กัปตันถูกทำร้ายขอความช่วยเหลือจากฝ่าบาทด่วนเลยเพคะ!" เจ้าชายอิสราร์ลุกพรวดขึ้น พริมโรสผวาลุกตามแล้วพยุงแขนเขาไว้ข้างหนึ่ง"เกิดอะไรขึ้น?" ชายหนุ่มถามขณะก้าวเท้าออกเดินได้ไม่เร็วนัก มือเรียวจึงจับแขนเขายกขึ้นแล้วก้มตัวลอดศีรษะเข้าไปใต้แขนแข็งแรง ก่อนจะวางแขนเขาให้เกาะไหล่เธอไว้เพื่อช่วยพยุง ทำให้ชายหนุ่มเดินได้เร็วขึ้นกว่าเดิม"นักบินผู้ช่วยลอบทำร้ายกัปตันเพคะ! โชคดีว่าอยู่ในความสูงที่กัปตันเปิดโหมดออโต้ไพลอทเอาไว้ ทันทีที่เกิดเรื่องเขากดอันล็อกประตูทำให้พวกเราได้ยินเสียงและเข้าไปช่วยเหลือเขาไว้ได้ทันเวลา ตอนนี้องครักษ์ลากตัวหมอนั่นออกไปแล้วเพคะ!""ทำไมไม่ตามนักบินเสริมให้ขึ้นมาแทน?""หม่อมฉันไปปลุกแล้วไม่ตื่นเลยทั้งสองคน ไฟล์ทเนิร์ซกำลังดูอาการพวกเขาอยู่ กัปตันเลยให้มาขอความช่วยเหลือจากฝ่าบาทเพคะ!"ลูกเรือต่างก็เห็นพ้องต้องกันทุกคนว่า นาทีนี้ไม่มีใครจะเหมาะสมเท่ากับเจ้านายพระองค์นี้อีกแล้ว เขามีชั่วโมงบินของการเป็นนักบินเอฟสามสิบห้า ของกองทัพรวมห้าพันแปดสิบห้าชั่วโมง ในจำนวนนี้ มีชั่วโมงของการทำหน้าที่นักบินผู้ช่วย อยู่แปดร้อยแปดสิบสี่ชั่วโมงกับเครื่องบินรุ่นนี้