วาเกียไม่อยู่ในห้อง พริมโรสจึงยันกายลุกขึ้นจากเตียง เมื่อวางเท้าลงพื้นและยืนมั่นคงดีแล้วจึงเดินเลาะช้าๆ ไปตามผนัง เพื่อจะมานั่งริมหน้าต่าง เธอโหยหาธรรมชาติและคาดหวังว่าจะได้เห็นวิวทิวทัศน์อันสวยงามเมื่อมองผ่านกระจกออกไปข้างนอก หญิงสาวยืนอึ้ง มองแสงแดดร้อนแรงสะท้อนระยิบระยับบนพื้นทรายอยู่ไกลลิบตา บรรยากาศภายนอกมีแต่เนินสูงต่ำของภูเขาทรายอยู่มากมาย ไม่ได้เต็มไปด้วยตึกรามบ้านช่องดังเช่นคฤหาสน์ของเชคฮ์อิสราร์เหมือนที่เธอเคยไปพักก่อนหน้านี้ และยิ่งประหลาดใจ ที่เห็นสถานที่แห่งนี้ ตั้งอยู่บนเนินภูเขาหินขนาดใหญ่กลางทะเลทราย เบื้องล่างเป็นทางเวียนขึ้นสู่ตึกขาวมหึมาที่เธอกำลังพักอยู่ วาเกียเดินเข้ามา เห็นร่างบอบบางกำลังพยายามชะเง้อดูอะไรสักอย่างที่นอกหน้าต่าง ใบหน้านวลปราศจากเครื่องสำอางแนบชิดติดกระจกเสียจนน่าขัน "มิสคงอยากจะออกไปข้างนอกเต็มที ไปนั่งเล่นริมระเบียงชมสวนกันไหมเจ้าคะ บ่าวจะพาไป" พริมโรสได้ยินดังนั้นก็พยักหน้า หันตัวยืนรอให้เด็กสาวมาช่วยพยุงร่างอย่างกระตือรือร้น วาเกียนึกขำอยู่ในใจอย่างเอ็นดู ขณะกำลังประคองแขนผู้ป่วยเดินออกมานอกห้องนอน เธอลอบมองอาการตื่นเต้นของหญิงสาวที่กำลังม
“หืม? ฉันทำไม?” พริมโรสชะงักเมื่อได้ยินน้ำเสียงนุ่มนวลอ่อนหวานปานจะหยดเป็นน้ำตาลออกมาให้เห็น สมองยังไม่บรรลุผลการคำนวณถึงผลได้ผลเสีย จึงทำให้น้ำเสียงตะกุกตะกัก โชคดีว่าสัญชาตญาณความลื่นไหลที่มีอยู่ในดีเอ็นเอยังทำงานดีอยู่ ไม่ได้ช็อตตามไปด้วย“เอ่อ..คิดไม่ถึงว่า..จะทรงห่วงใยหม่อมฉันถึงเพียงนี้..แต่..”“มีอะไรก็พูดออกมาตรงๆ เถอะ จากนั้นฉันจะได้พูดบ้าง”“หม่อมฉันไม่คู่ควรกับความห่วงใยของฝ่าบาท เพราะ…”“จะเอาการเป็นคู่หมั้นของมกุฏราชกุมารมาอ้างอย่างนั้นรึ? อย่างที่เธอก็รู้ดีว่า..อิสราร์เขามีคู่หมายที่ทางผู้ใหญ่กำหนดไว้ให้อยู่แล้ว เขาไม่สามารถแต่งงานออกหน้าออกตากับคนนอกศาสนาได้ นอกเสียจากว่าจะรับเป็นสนม ดังนั้นการเป็นสนมของกษัตริย์ที่มีอำนาจที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในแผ่นดินนี้ ศักดิ์และฐานะย่อมดีกว่ากันมากไม่ใช่หรือ? ที่สำคัญฉันจะแต่งตั้งให้เป็นสนมอันดับหนึ่งโดยที่ไม่ต้องรอให้มีลูกชายก่อนด้วยซ้ำ เธอเห็นว่าอย่างไร?”พริมโรสมองมือตัวเองที่ถูกเขากุมไว้แว่บหนึ่งก่อนจะมองสบตา พยายามดึงออกจากการเกาะกุมอย่างสุภาพพร้อมกับพูดว่า“ฝ่าบาท..หม่อมฉันแต่งงานแล้วเพคะ” “อะ..ไรนะ?!?” น้ำเสียงอุทานออกมาคล้ายไม่อ
“วาเกีย! เป็นยังไงบ้าง?” ขาของพริมโรสยังไม่แข็งแรง จึงไม่สามารถลุกเดินเหินได้เหมือนปกติ ทำได้เพียงยื่นมือไปข้างหน้าด้วยความเป็นห่วง เด็กสาวเข้าใจทันทีจึงรีบยันตัวลุกขึ้น แล้วเดินเข้าไปหา และนั่งลงพินอบพิเทาที่พื้นข้างโซฟา แต่พริมโรสดึงตัวขึ้นเพื่อให้มานั่งด้วยกันวาเกียกุมมือเรียว ที่หยิบยื่นความเห็นอกเห็นใจมาให้เธอไว้แน่นทั้งสองมือ สายตาคมจับจ้องสีหน้า ที่เต็มไปด้วยความกังวลและห่วงใยนั้นอย่างซาบซึ้ง แม้แต่น้ำเสียง ก็ยังนุ่มนวลอ่อนโยน พลันน้ำตาแห่งความปลื้มปิติ ก็ไหลทะลักออกมา เหมือนทำนบแตกอย่างอดกลั้นไม่ไหว นอกจากมารดาแล้ว ไม่มีใครให้ความรักความปรารถนาดีอย่างจริงใจกับเธอเช่นนี้มาก่อนเลย “ลุกเถอะ! อยู่ลับตาคนอื่นเราเป็นเพื่อนกัน เล่ามาสิว่าเกิดอะไรขึ้น?” วาเกียไม่ขัดขืน ลุกขึ้นมานั่งอย่างว่าง่าย เพราะเห็นว่าอีกฝ่ายเป็นคนไม่ถือตัว อาจเพราะเป็นคนต่างชาติ เลยไม่เห็นความสำคัญของการแบ่งความเหลื่อมล้ำต่ำสูงวาเกียกลั้นสะอื้น นัยน์ตาทอแววหม่นหมอง ยกหลังมือขึ้นปาดน้ำตา พลางเล่าเหตุการณ์ให้ฟัง ด้วยน้ำเสียงที่ยังสั่นเครือ“บ่าวคิดไม่ถึงว่าองค์สุลต่าน จะใช้
รินรดากำลังตรวจสอบดิจิตอลปรู๊ฟ ของตัวอย่างงานใบปลิวอยู่ที่หน้าแท่นพิมพ์ก่อนการพิมพ์จริง หลังจากที่ฝ่ายพรีเพรสหรือแผนกเตรียมพิมพ์ได้ส่งไฟล์งาน ที่จัดวางรูปแบบเรียบร้อยแล้วมาให้ จากนี้ก็จะส่งทำเพลต และเข้าสู่ขั้นตอนการพิมพ์ต่อไปซึ่งงานใบปลิวที่กำลังจะพิมพ์นี้เป็นความลับ และแน่นอนว่าออฟฟิศของโรงพิมพ์ย่อยชั้นใต้ดินนี้ คนในบริษัทที่ไม่มีหน้าที่เกี่ยวข้องกับงานพิมพ์ ก็ไม่มีใครรู้เช่นกันสำนักข่าวของรินรดา นอกจากจะมีสถานีโทรทัศน์ ผ่านดาวเทียม เคเบิลทีวี และสำนักข่าวผ่านสื่อออนไลน์ทุกช่องทางเป็นของตัวเองแล้ว ยังรวมการทำงานออฟไลน์ สื่อสิ่งพิมพ์แบบครบวงจรเข้าไว้ด้วยกัน รวมถึงมีโรงพิมพ์เป็นของตัวเองด้วย“โอเค! กดสั่งพิมพ์ได้เลย บอกเด็กๆ ทำโอทีวันนี้ฉันให้สองแรง ช่วยเร่งมือกันหน่อย” หญิงสาวหันไปสั่งเลขา แล้วเตรียมจะเดินออกประตู“เอ่อ! บอสคะ! ประชาสัมพันธ์ส่งข้อความมาบอกว่า มีแขกต่างประเทศมาขอพบค่ะ” รินรดาเลิกคิ้วอย่างฉงน ยกข้อมือดูเวลาเพื่อความแน่ใจ ซึ่งมันก็เลยเวลาทำงานปกติไปแล้วจริงๆ แต่ก็พยักหน้าเป็นเชิงอนุญาต เลขาจึงโทรไปแจ้งประชาสัมพันธ์ ให้พาแขกไปร
ในทุกๆ ปี ของเดือนถือศีลอด ไลลาจะเปิดโรงทานบริจาคซะกาดไปตามรัฐต่างๆ ที่เป็นชุมชนที่มีรายได้น้อย นำสาวใช้ในวังและอาสาสมัครที่เป็นญาติพี่น้องสตรี มาช่วยกันจัดเตรียมอาหารสำหรับให้ชาวบ้านที่ถือศีลอดเหล่านั้น ได้บริโภคหลังพระอาทิตย์ตกดิน นอกจากจะจัดสถานที่ให้ทานกันที่มัสยิดแล้ว ยังสามารถนำภาชนะมาใส่ เพื่อนำกลับไปทานที่บ้าน กับครอบครัวได้ด้วย และยังมีมากพอ ที่จะแจกจ่ายไปตามมัสยิดต่างๆ ในระยะทางโดยรอบที่โรงทานตั้งอยู่ กลิ่นหอมของอาหารเลิศรส อบอวลในอากาศเย้ายวนใจทุกคนที่ผ่านไปมา ทำให้ถนนคึกคักไปด้วยผู้คนที่มายืนเข้าแถวรุมล้อม บรรยากาศในชุมชนเต็มไปด้วยความตื่นเต้น และเตรียมพร้อมรับการบริจาคด้วยความยินดี บรรดาสาวๆ อาสาสมัคร ก็ทำงานกันอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย การบริจาคทานในเดือนถือศีลอดนี้ เป็นการให้ที่บริสุทธิ์ทำให้จิตใจของพวกเขาเบิกบาน ต่างก็พูดคุยและหัวเราะ ขณะที่มือก็กำลังทำงานไปด้วย บางส่วนช่วยกันจัดโต๊ะยาว คลุมด้วยผ้าปูโต๊ะสีขาวบริสุทธิ์ และเนื่องจากมีผู้คนมารับบริจาคเป็นจำนวนมาก จึงต้องปูผ้ายางบนพื้นเพิ่มขึ้นอีก ขณะที่อาสาสมัครอีกทีมก็กำลังสับผัก และคนหม้อสตูว์ที่หอมกรุ่น เมื่อดวงอ
“คุณหมอ! สวัสดีค่ะ ถึงวันนัดแล้วหรือคะ? ลืมไปเลย” พริมโรสกำลังนั่งเล่นอยู่ที่ศาลากลางสวน เห็นคนคุ้นหน้าเดินมาแต่ไกลเลยเพ่งสายตามอง พอเห็นว่าเป็นคุณหมอจึงเอ่ยปากทักอย่างยินดี“หน้าตาดูสดใสขึ้นนะครับ ขาเป็นไงบ้าง?”“ยังเหมือนเดิมเลยค่ะ ต้องมีคนช่วยพยุงตลอด เอ่อ..วาเกีย ขอชาให้คุณหมอหน่อยนะจ๊ะ”“เจ้าค่ะ” วาเกียค้อมศีรษะแล้วเดินห่างออกไปอย่างรู้กาลเทศะ เธอเข้าใจทันทีว่าเจ้านายสาวขอเวลาส่วนตัวแค่ชั่วระยะเวลาที่เธอเดินไปเอาชามาเท่านั้น ซึ่งจะได้ไม่มีอะไรเป็นที่ผิดสังเกตให้คนที่ซุ่มอยู่เอาไปรายงานได้“พอดีผมมีเพื่อนที่อยู่ในวงการแพทย์ทางเลือกจากทีแลนด์ เขาแนะนำให้ลองเพิ่มการรักษาที่นอกเหนือไปจากกายภาพบำบัดปกติ ด้วยการนวดกดจุด เพื่อเร่งการฟื้นฟูกล้ามเนื้อให้ฟื้นตัวได้เร็วขึ้น ผมเห็นด้วยเลยเสนอไปทางองค์สุลต่าน และท่านก็ได้ประทานอนุญาตแล้ว ผมจึงพาผู้เชี่ยวชาญมาด้วยวันนี้ และจะอยู่เป็นพยาบาลพิเศษจนกว่าคุณจะหายดี”“อยู่ไหนคะ เห็นแต่คุณหมอเดินมาคนเดียว”“พระชนนีกับราชินีกำลังตรวจสอบอยู่ครับ สักพักคงจะมา อ้อ! หนังสือเล่มที่คุณแนะนำให้ผมลองอ่าน ผมหาเจอแล้วนะครับ อ่านจนจบเล่มแล้ว แต่หมือนผมจะไม่ได้รั
กรี๊ดๆๆๆๆ!! พริมโรสกับญาณินรีบสาวเท้าเดินเข้าไปในห้องโถงอย่างเร่งรีบ ยิ่งเข้าใกล้เสียงกรีดร้องยิ่งดังขึ้นเรื่อยๆ พริมโรสใจสั่นไปหมดด้วยความเป็นห่วง นึกอยากจะเสกขาตัวเองออกมาอีกสักข้างเพื่อช่วยเร่งให้เดินเร็วขึ้น ปากก็พึมพำภาวนาขออย่าให้มีเรื่องร้ายแรงเกิดขึ้นกับเด็กน้อย เมื่อเดินเข้ามาภายใน สายตาพลันปะทะเข้ากับเด็กรับใช้สี่ห้าคนรวมถึงวาเกียที่ยืนอื้งกันไปหมด ต่างก็กำลังจ้องมองสิ่งแปลกประหลาดที่ตั้งโดดเด่นอยู่กลางห้องเขม็ง ร่างเล็กของยาร่ากำลังกระโดดโลดเต้นกรีดร้องด้วยความตื่นเต้นไปรอบๆ เจ้าสิ่งนั้น คล้ายเผ่าอินเดียนแดงที่กำลังเต้นรอบกองไฟเพื่อเฉลิมฉลองพริมโรสอึ้ง มองเครื่องเล่นเกมอาเขตตู้ใหญ่อย่างทำอะไรไม่ถูก หันไปมองสบตากับญาณิณอยู่ชั่วครู่แล้วหันตัวกลับหลัง ญาณินหันตัวตาม เอนตัวจนศีรษะเกือบจะชิด กระซิบกระซาบเสียงเบาที่ได้ยินกันเพียงสองคน“เธอนึกอยากลองจับตัวเด็กมาเรียกค่าไถ่ดูบ้างไหม ฉันจะเป็นแบคอัพให้!” พริมโรสถาม พร้อมเสนอตัวให้ความร่วมมือโดยที่ไม่ต้องร้องขอ“พ่อเด็กหูตาเป็นสัปปะรด คงรอดออกไปได้ยาก! จับฆ่าหมกสวนยังจะง่ายเสียกว่า!” ญาณินเสนอทางออกที่สะดวกที่สุด“อี๋!! ไม่เอาแบบ
ยาร่านอนกระสับกระส่ายอยู่บนเตียง พยายามข่มตานอนมาหลายชั่วโมงแล้วแต่ก็ยังนอนไม่หลับ สุดท้ายเด็กหญิงก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป ร่างเล็กยันกายลุกขึ้นชะโงกหน้าลงมามองพี่เลี้ยงที่นอนหลับสนิทอยู่ที่พื้น แล้วค่อยๆ ลุกจากเตียง เขย่งปลายเท้าตรงไปที่ประตู หมุนลูกบิดช้าๆ เพื่อให้ประตูเปิดออกโดยไม่มีเสียง นัยน์ตากลมโตมองฝ่าความมืดสลัวเข้าไปในห้องโถง ขณะที่เอียงหูฟังเสียงรอบกายไปด้วย เมื่อแน่ใจว่าทางสะดวกแล้ว จึงย่องออกจากห้องและเดินไปที่ห้องนั่งเล่นทันทีร่างกลมเล็กยืนอยู่หน้าตู้เกม หัวใจเต้นแรงด้วยความตื่นเต้น ถึงจะไม่เคยเล่นเกมแบบนี้มาก่อน แต่ก็ไม่ใช่เรื่องยากสำหรับคอเกมอย่างเธอ หลังจากเสียบปลั๊กแล้ว ก็หยิบเหรียญหนึ่งที่วางไว้บนแผงอะคลิลิคใส่เข้าไปในเครื่อง เมื่อตู้เกมเริ่มทำงาน แสงไฟจากจอแอลซีดีทำให้ห้องสว่างไสวขึ้นเล็กน้อย เด็กสาวเลือกเกมโปรดของเธอและเริ่มเล่นอย่างใจจดใจจ่อ เสียงของเกมขณะกดปุ่มดังขึ้นทั่วห้อง และเด็กน้อยก็หายไปในโลกของเกมโดยไม่สนสิ่งใดๆ รอบข้างอีกเลยยาร่าหมกมุ่นกับเกมอยู่เป็นชั่วโมง แต่ทันใดนั้นเธอก็ได้ยินเสียงเอี๊ยดอ๊าดค่อนข้างดังมาจากทางประตูหน้าของโถงทางเดิน จึงเหลียวหลังไปจ้องมอ
ค่ำคืนแห่งพระเกียรติ ถูกจัดขึ้นอย่างสมพระเกียรติ ณ พระราชวังขององค์สุลต่าน งานเลี้ยงวันคล้ายวันพระราชสมภพถูกเนรมิตขึ้น อย่างวิจิตรตระการตา ทุกซอกทุกมุมของพระราชวังส่องประกายด้วยโคมไฟแก้วเจียระไนระยิบระยับ พรมแดงทอดยาวจากบันไดสู่โถงต้อนรับ โต๊ะอาหารเรียงรายอย่างเป็นระเบียบ พร้อมเครื่องเงินแท้ที่ขัดเงาจนแวววาว เมนูรสเลิศจากเชฟมิชลิน ถูกเสิร์ฟแบบคอร์ส เคียงคู่กับเครื่องดื่มชั้นสูงจากทั่วทุกมุมโลก ขับกล่อมด้วยเสียงดนตรีออร์เคสตร้า ที่บรรเลงอย่างไพเราะ ทำให้ค่ำคืนนี้ สมพระเกียรติขององค์สุลต่านอย่างถึงที่สุด บรรดาผู้นำจากนานาประเทศ และทูตานุทูต ต่างตบเท้าเข้าร่วมงาน แขกเหรื่อล้วนเอ่ยปากชื่นชม ถึงบรรยากาศที่ได้รับการจัดเตรียมมาอย่างไร้ที่ติ และผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของงานนี้ก็ไม่ใช่ใครอื่น เจ้าหญิงไลลา สตรีหมายเลขหนึ่ง พระชายาของเจ้าชายอิดรีส ผู้ลงมาดูแลทุกอย่างด้วยตนเอง อย่างละเอียดถี่ถ้วน บางคนถึงกับกล่าวชมต่อหน้าเจ้าชายอิดรีส ซึ่งดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี แม้เขาจะยังคงยืนสงบนิ่งในท่าทีสุขุมเช่นเคย แต่ในใจลึกๆ กลับรู้สึกภาคภูมิใจเป็นอย่างยิ่ง ที่ตนเลือกคู่ครองไม่ผิด สายตาของอิดรีส
แสงสว่างที่ลอยละล่องในความมืดส่องมาที่รินรดา พร้อมกับเสียงกระซิบที่แผ่วเบาแต่ชัดเจน เสียงนั้นไม่ใช่เสียงของใครในโลกนี้ มันเหมือนเสียงที่มาจากที่ไกลโพ้น ฟังดูทั้งใกล้ และไกลในเวลาเดียวกัน“ถึงเวลาแล้ว...จงทำตามสัญญา!”รินรดารู้สึกเหมือนร่างกายของเธอกำลังล่องลอย แต่ในขณะเดียวกัน ก็ตกลงไปในความเวิ้งว้างอันไร้จุดสิ้นสุด เธอพยายามมองหาเจ้าของเสียงแต่ไม่พบใครเธอหลับตาลงแล้วทันใดนั้น ภาพอดีตของเธอเมื่ออายุสิบห้าปีก็ย้อนกลับมา เธอเห็นตัวเองยืนอยู่หน้าหินพ่อมดลาบราดอไลต์ ที่ตั้งตระหง่านอยู่ในห้องลับใต้พระราชวัง ความศักดิ์สิทธิ์ของมันทำให้เธอรู้สึกได้ ถึงพลังลี้ลับที่ซ่อนอยู่ภายใน เธอท่องบทสวดที่แอบจดจำไว้ พร้อมกับอธิษฐานถึงสิ่งที่อยากรู้ที่สุดในชีวิต นั่นคือ..การตามหาครอบครัวที่แท้จริงจากนั้นเธอก็เริ่มฝันซ้ำๆ เดิมๆ อยู่หลายครั้ง จนกระทั่งถึงปัจจุบันเธอค่อยๆ ลืมตาขึ้น พบว่าตัวเองยืนอยู่ในอุโมงค์ที่ทอดยาวไปสู่แสงสว่างที่อยู่เบื้องหน้า เธอรู้ว่านี่คือจุดที่ผู้ตายต้องเดินผ่านไปยังภพหน้า แต่แล้วเสียงอันศักดิ์สิทธิ์ก็ดังขึ้นอีกครั้ง“รินรดา เธอยังมีสิทธิ์เลือกเส้นทางของตนเองอยู่นะ”เบื้องหน้าของเ
ค่ำคืนแห่งความสุขมาถึง... ท้องฟ้ายามราตรีของอาณาจักรเปเรซประดับไปด้วยแสงจันทร์และดวงดาวระยิบระยับ ขณะที่ปราสาทหลวง ถูกประดับด้วยผ้าม่านสีขาว และทอง ลวดลายอาหรับอันวิจิตร เจิดจรัสด้วยแสงไฟนวลอบอุ่น ของไฟระย้าคริสตัลสะท้อนแสง จนดูงดงามราวสรวงสวรรค์ ดอกไม้หายากจากทั่วทั้งอาณาจักร ถูกจัดวางประดับประดาไปทั่วบริเวณ สร้างบรรยากาศที่งดงาม ราวกับหลุดออกมาจากเทพนิยาย ภายในห้องโถงใหญ่ของพระราชวัง พรมเนื้อละเอียดทอดยาวตั้งแต่ประตูไปจนถึงแท่นพิธี โต๊ะเลี้ยงอาหารค่ำประดับด้วยผ้าปักทอง ดอกกุหลาบและลิลลี่ขาวบริสุทธิ์ให้กลิ่นหอมอ่อนๆ ตัดกับแสงเทียนที่กระพริบไหว ม่านบางเบาปลิวไสวไปตามสายลมเย็นของค่ำคืน พระราชพิธีอภิเษกสมรส ถูกจัดขึ้นตามขนบธรรมเนียม เป็นพิธีนิกะห์อันศักดิ์สิทธิ์ของโมเสลม ภายใต้กฎหมายชารีอะห์ และธรรมเนียมของราชวงศ์ ซึ่งแสดงถึงความงดงาม และเปี่ยมไปด้วยความหมาย นักวิชาการศาสนา(อุละมาอ์) ผู้ประกอบพิธี นั่งอยู่บนแท่นหินอ่อน ด้านข้างมีพยานฝ่ายเจ้าบ่าวและเจ้าสาว พร้อมด้วยบุคคลสำคัญจากราชวงศ์และข้าราชบริพาร เจ้าชายอิสราร์ ประทับยืนในชุดทางการขององค์มกุฏราชกุมาร เสด็จเข้ามายังแท่นพิธี พระอ
บรรยากาศภายในพระราชวังเปเรซวันนี้ เต็มไปด้วยความสงบและเรียบง่าย แต่แฝงไปด้วยความหมายลึกซึ้ง ครบหนึ่งร้อยวันแห่งการจากไปของเจ้าหญิงรินรดา องค์สุลต่านทรงมีพระราชดำริให้จัด ‘โรงทานขนาดใหญ่’ เพื่อแจกจ่ายอาหาร และสิ่งของจำเป็นแก่ประชาชนผู้ยากไร้ ถือเป็นการอุทิศส่วนกุศลให้แก่ดวงวิญญาณของผู้ล่วงลับ ภายในโรงทานถูกจัดขึ้นอย่างเป็นระเบียบ เต็นท์ขนาดใหญ่ถูกกางเรียงรายภายในลานกว้างของลานพิธีหน้าพระราชวัง โต๊ะยาวหลายตัวถูกตั้งไว้ สำหรับแจกจ่ายอาหารร้อนที่ปรุงสำเร็จ และขนมหวานอาหรับ เช่น บาสบูซาและกุนาฟา รวมถึงน้ำดื่มเย็นๆ สำหรับประชาชนที่มาร่วมรับแจกอาหาร บรรดาข้าราชบริพาร และอาสาสมัครจากประชาชน ต่างช่วยกันแจกจ่ายด้วยรอยยิ้ม แม้จะเป็นวันแห่งความอาลัย แต่ทุกคนก็เต็มใจทำความดี เพื่อเป็นบุญกุศล ให้แก่เจ้าหญิงผู้ล่วงลับ นอกจากอาหารแล้ว ยังมีจุดแจกอาหารแห้ง และของใช้จำเป็น เช่น อินทผลัม ข้าวสาร น้ำมันพืช เครื่องปรุงรส สบู่ และยาสามัญ เพื่อให้ผู้ยากไร้สามารถนำกลับไปใช้ที่บ้านได้ ภายในงานยังมีแพทย์อาสา คอยตรวจสุขภาพเบื้องต้นให้กับประชาชน ซึ่งเป็นหนึ่งในโครงการช่วยเหลือสังคม ที่เจ้าหญิงรินรดาเคยผลักดั
เสียงไซเรนรถพยาบาลแผดก้องไปทั่วท้องถนน แต่รามิลไม่ได้ยินอะไรทั้งนั้น หูของเขาอื้อไปหมด มีเพียงเสียงลมหายใจบางเบาของรินรดา ที่กำลังแผ่วลงทุกขณะ เป็นสิ่งเดียวที่เขากำลังโฟกัส เลือดของเธอเปรอะเปื้อนเต็มมือเขา ลามไปตามแขนเสื้อ แผ่นอก และหยดลงเป็นทางบนเปลพยาบาล ร่างเล็กที่เคยเปี่ยมไปด้วยชีวิตชีวา บัดนี้กลับนอนแน่นิ่ง แต่ถึงอย่างนั้น เธอยังคงยิ้มให้เขา “คุณ..รามิล…” เสียงของเธอเบาหวิวแทบไม่ได้ยิน “รดา! เดี๋ยวเราก็ถึงโรงพยาบาลแล้ว… แค่ทนไว้ก่อนนะรดา อย่าหลับนะ ได้ยินผมไหม!?” รามิลกุมมือหญิงสาวแน่น น้ำเสียงสั่นเครือ ความกลัวถาโถมเข้าใส่จนเขาหายใจแทบไม่ออก รินรดาไอออกมาเป็นเลือด ก่อนจะระบายลมหายใจบางเบา “ท่านพี่… ปลอดภัยไหม?” หัวใจของรามิลเหมือนถูกบีบจนแหลกสลาย เธอกำลังอาการสาหัส แต่ยังเป็นห่วงพี่ชายมากกว่าชีวิตตัวเองเสียอีก “ปลอดภัย! เขาปลอดภัย..” รามิลเม้มริมฝีปากแน่น พยายามกลั้นสะอื้น “ทำไมต้องทำแบบนี้ ทำไมต้องเสี่ยงขนาดนี้ด้วยฮึ!?” “เพราะเขาคือ… พี่ชายของฉัน” รินรดายิ้มจางๆ เสียงเธอขาดหายเป็นช่วงๆ เปลือกตาของเธอหนักอึ้งลงทุกที “รดา! อย่าหลับนะ! มองผมสิ มองผม!” มือของเธอใน
เสียงโกลาหลของฝูงชนยังคงดังก้องทั่วลานพิธี แต่แล้วจู่ๆ ผู้คนก็เริ่มแหวกออกเป็นสองทาง ราวกับคลื่นน้ำที่ถูกแบ่งออกโดยพลังที่มองไม่เห็น ท่ามกลางช่องว่างที่เปิดออก ปรากฏร่างของชายคนหนึ่ง เขายืนอยู่ในเงามืด แฝงตัวอยู่ในกลุ่มประชาชนที่กำลังแตกตื่น ในมือของเขากำปืนไรเฟิล ที่บรรจุกระสุนเจาะเกราะแน่น สายตาคมกริบกวาดไปรอบบริเวณอย่างระแวดระวัง ก่อนจะกลับมาตรึงอยู่ที่เป้าหมาย บุรุษผู้ตายยากที่สุดเท่าที่เขาเคยสังหารมา ร่างสูงสง่าของเจ้าชายอิสราร์ ยืนเด่นอยู่บนลานพิธียกพื้น ราวกับถูกจัดวางให้อยู่ในระยะยิงอย่างเหมาะเจาะ โอกาสมีเพียงครั้งเดียว ทุกอย่างจะต้องเกิดขึ้นเร็วที่สุด และต้องสร้างผลกระทบที่รุนแรงที่สุด ถ้าจะต้องถูกจับหลังจากเหนี่ยวไก อย่างน้อยก็ขอให้มันได้ตาย..เพื่อสังเวยผู้ที่ข้ารักและเคารพเหนือสิ่งอื่นใด ผู้ที่สมควรได้รับทุกสิ่งที่ปรารถนาบนโลกใบนี้!! “ตอนนี้แหละ!!” อาซีฟพึมพำกับตัวเองก่อนจะรีบยกปืนขึ้น ปึ่ก! แรงกระชากอย่างรุนแรง ทำให้ปืนในมือของอาซีฟหายไปในพริบตา เขาตวัดสายตาไปด้านข้าง แววตาเปลี่ยนเป็นโทสะสีเข้มจัด แต่แล้วเขาก็ต้องชะงัก เมื่อเห็นใบหน้าของผู้ที่ชิงอาวุธไปจากมือเขา
ท้องฟ้าเหนือลานพิธี ถูกย้อมด้วยแสงสีทองของอาทิตย์ยามสายัณห์ แต่ภายใต้ความสว่างนั้น กลับอบอวลไปด้วยบรรยากาศอันหนักอึ้ง เสียงกระซิบกระซาบแผ่วเบา ของประชาชนเริ่มดังขึ้นเป็นระลอก เมื่อหญิงสูงศักดิ์ผู้หนึ่งก้าวเข้ามาในบริเวณลานพิธีอย่างสง่างาม พระชนนีแห่งเปเรซ ทรงฉลองพระองค์อย่างวิจิตร แต่ละย่างก้าวของพระนางแผ่รัศมีแห่งอำนาจ ทรงเชิดพระพักตร์เล็กน้อย ดวงเนตรเจิดจ้า เต็มไปด้วยความแน่วแน่และภาคภูมิ เสียงกระซิบเริ่มดังขึ้นทีละน้อย จากวงนอก ค่อยๆ แพร่กระจายออกไป “พระชนนีเสด็จ!” “พระนางมาเพื่อกอบกู้เปเรซ!” “พระมารดาของพวกเรา!” เสียงเรียกขานพระนามดังขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งแผ่กระจายไปทั่วบริเวณ มีเสียงโห่ร้องต้อนรับทุกที่ที่พระนางก้าวย่างผ่านไป ราวกับคลื่นมหาชนที่กำลังโหมกระหน่ำ พระชนนีทอดพระเนตรภาพตรงหน้าแล้ว ไม่อาจห้ามรอยแย้มสรวลที่เต็มไปด้วยความพึงพอใจ พระนางประสบความสำเร็จแล้ว ประชาชนกำลังเทิดทูนพระองค์ และนี่คือโอกาส ที่พระองค์จะประกาศตน ในฐานะผู้นำที่จะกอบกู้เอกราชของชาวเปเรซ จากเงื้อมมือแห่งความอยุติธรรม ขององค์สุลต่าน แต่แล้ว... เสียงอื้ออึงของฝูงชนก็เปลี่ยนไป จากเสียงเชียร์เป็น
“ดูเหมือนพวกเราจะมาผิดงานแล้วล่ะ?” พริมโรสพูดพลางกวาดตามองรอบตัว พวกนักโทษที่ตามมาหยุดเดินทันที มองหน้ากันเลิ่กลั่ก เห็นได้ชัดว่าการกระโจนเข้ากลางวงล้อม ของมือสังหารกับตำรวจที่ติดอาวุธครบมือไม่ใช่แผนที่ดีที่สุดสำหรับพวกเขา “เอ่อ..พวกเรา… ฉันว่าเราควรจะให้พวกเขาจัดการกันเองไหม?” นักโทษคนหนึ่งกระซิบกับพรรคพวก “ใช่ๆ เรามันแค่คนผ่านทางมา อย่าไปขวางมือขวางเท้าพวกเขาเลย” อีกคนพยักหน้าเห็นด้วย ก่อนที่คนอื่นๆ จะค่อยๆ ถอยออกห่างกลุ่มลูกพี่ ไปรอดูอยู่รอบนอก พริมโรสเดินนำเตวิชกับจักรินข้ามถนนมา แล้วเดินทะลุเข้าไปกลางวงล้อมที่กำลังตึงเครียดอย่างไม่รู้สึกรู้สา รอยยิ้มเจ้าเล่ห์แต้มอยู่บนริมฝีปาก ก่อนจะปรายตามองไปยังชายหนุ่มที่ยืนอยู่ข้างรินรดา “โอ๊ะ!” พริมโรสยกมือเท้าสะเอว “นี่รุ่นพี่กลายเป็นมอเตอร์ไซค์รับจ้างไปแล้วหรอ?” รามิลเลิกคิ้ว หัวเราะเบาๆ“แล้วทำไมสภาพเธอ ถึงเหมือนคนหลงทางอย่างนี้ล่ะ?” พริมโรสหัวเราะออกมา “ฉันเดินมาไกลมากเลยนะ จากพระราชวังมาถึงโรงพยาบาลนู่นน่ะ” “นี่!..เอาไว้ค่อยทักทายกันทีหลังได้ไหม พวกเรายังติดอยู่ในวงล้อมอยู่นะ!” เตวิชพูดเสียงเครียด สายตาเหลือบไปเห็นกลุ่มคนร
“ยังมีเรื่องด่วนอีกเรื่องนึงค่ะ หน่วยข่าวกรองแจ้งมาว่ามีสายลับคนหนึ่ง ต้องการพบบอสเป็นการส่วนตัวด่วน เขาอ้างว่ามีรายงานลับจากองค์สุลต่าน ส่งถึงบอสโดยตรงค่ะ”“องค์สุลต่าน?” รินรดาค่อนข้างแปลกใจ ร้อยวันพันปีไม่เคยมีเรื่องมีราวให้ต้องติดต่อกัน แต่ครั้งนี้กลับส่งสารมาถึงเธอโดยตรง “นี่ค่ะ สถานที่นัดพบ” เลขาปัดแท็บเล็ตบนมือนายสาว เพื่อให้ดูพิกัดของจุดนัดพบ รามิลเดินมาหยุดยืนข้างหลัง สายตาเหลือบมองในแท็บเล็ต ก่อนเอ่ยเสียงเครียด“คุณจะไปหรือไง?” ชายหนุ่มถามด้วยความสงสัย“คงต้องไปค่ะ เขาอาจจะติดต่อท่านพี่ไม่ได้ จึงต้องส่งผ่านมาทางฉัน” “แน่ใจได้ยังไงว่าไม่มีอะไรที่ซับซ้อน? รามิลจ้องหญิงสาวเขม็ง จนเธอถอนหายใจเบาๆ “บอกตามตรงว่าไม่แน่ใจเลย เขาเป็นมนุษย์ที่เซ้นส์ผู้หญิงอย่างฉัน ไม่เคยตรวจจับอะไรได้เลย”“งั้นผมจะไปด้วย ผมเป็นห่วงคุณ”“ฉันก็เป็นห่วงคุณเหมือนกันนะคะ คุณเป็นชาวต่างชาติ ฉันไม่อยากให้มีอะไรที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้นกับคุณ ฉันเติบโตที่นี่ รู้ทางหนีทีไล่ดีกว่า ไม่มีอะไรให้ต้องกังวลหรอกค่ะ คุณรอท่านพี่อิดรีสอยู่ที่นี่เถอะนะคะ”“ไม่กังวลได้ยังไง เครือข่ายในเมืองถูกทำลาย แล้วผมจะติดต่อกับคุณยั