“ฮ่าๆๆ ไง! ถึงกลับโกรธจนตัวเนื้อสั่นเลยเหรอ เป็นยังไงบ้างล่ะ รสชาติของการสูญเสีย ขมขื่นถึงอกถึงใจดีไหม?” คำพูดประโยคนี้ของเขาทำให้หญิงสาวแน่ใจได้ทันทีว่าอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นนี้ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ
“ฉันเกลียดแกจนอยากจะเป็นคนถ่อย จะได้ถ่มถุยใส่หน้าส้นตึกของแกให้สาสมกับความรู้สึกขยะแขยง!” ชารีฟหรือณัทธรสะอึก เมื่อเจอความโกรธเกลียดอย่างรุนแรงจากผู้หญิงที่เขารัก
“เกลียดฉันงั้นรึ? ต้องเป็นฉันไหมที่จะพูดประโยคนั้น แทบไม่อยากจะเชื่อเลยว่า เธอจะลืมฉันได้อย่างง่ายดายและไปแต่งงานใหม่!"
“ฉันไม่ได้แต่งงานใหม่! นี่เป็นการแต่งงานครั้งแรกและครั้งเดียวของฉัน และอะไรคือลืมได้อย่างง่ายดาย? นายหนีตายไปเป็นปีๆ แล้วฉันจะต้องไปบวชชี เพื่ออุทิศส่วนกุศลให้นายด้วยอย่างนั้นรึ! เรารักกันดูดดื่มขนาดนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่? ก่อนที่นายจะฆ่าพ่อฉัน เขายังพูดไม่ให้ฉันยึดติดกับตัวเขาเลย! ตรรกะของนายมันบิดเบี้ยวเป็นเวย์เดียวกับพวกโรคจิต ที่นายกับฉันมาถึงจุดนี้เป็นเพราะการตัดสินใจเลือกของตัวเองทั้งนั้น อย่าเอาฉันมาเป็นข้ออ้างเพื่อปกปิดยีนขี้แพ้ในตัวหน่อยเลย!”
“ไม่ต้องมาทำปากดียั่วอารมณ์ให้ฉันรู้สึกละอายใจหรอก คำพูดยั่วยุของเธอไม่ได้มีผลอะไรกับฉัน เพราะถึงยังไงฉันก็จะทำทุกวิถีทางเพื่อให้เธอคลานกลับมาหาฉันให้ได้!”
นัยน์ตาคมกริบ มองสภาพสะบักสะบอมของหญิงสาวอย่างพึงพอใจ พร้อมยื่นฝ่ามือมาที่ประคองที่ข้างแก้ม พริมโรสเบี่ยงหน้าหลบอย่างรังเกียจ แต่เขาก็ไม่ได้ใส่ใจ ลูบไล้ปลายนิ้วลงมาตามลำคอ แล้วจับไว้ที่หัวไหล่ บีบเบาๆ คล้ายเห็นอกเห็นใจ
“เจ็บไหม? ฉันแค่อยากแสดงให้เธอเห็นว่าฉันแคร์เธอมากแค่ไหน” เมื่อได้ยินดังนั้นหญิงสาวจึงแค่นเสียงฮึในลำคอ รู้สึกผะอืดผะอมกับความเห็นใจที่ทำให้เธอเจ็บแทบปางตาย แถมบิดาต้องมาเสียชีวิต
“สู้กันซึ่งๆ หน้าไม่ได้เลยต้องใช้วิธีนี้สินะ! พอได้รู้ตัวตนที่แท้จริงของนาย ฉันก็แทบอยากจะตบตัวเองให้ตาบอด ทุบหัวตัวเองให้สมองไหล โทษฐานที่เคยมอง เคยคิดว่านายเป็นคนดี!”
“หึๆ ฉันก็เป็นคนดีมาตลอดนะ แต่นับตั้งแต่วินาทีที่ฉันรู้ว่าเธอทิ้งฉัน..เธอก็ถูกกำหนดโทษไว้แล้ว รออีกนิดนะ ฉันจะเอาคืนอย่างสาสม จะให้ผัวของเธอมันกระอักเลือด เหมือนที่เธอทำกับฉัน!!”
“เอาดีใส่ตัวเอาชั่วให้คนอื่น! เนรคุณคน ทำร้ายเพื่อน ขายชาติ น่าแปลกใจที่ฉันไม่เคยเห็นนิสัยถาวรของนายมาก่อนเลย สามารถปิดหูปิดตาฉันไว้ได้อย่างแนบเนียน! ไม่รู้ว่าเป็นเพราะฉันอ่อนต่อโลกหรือโง่กันแน่!”
”วงการนี้มันก็เป็นแบบนี้ทั้งนั้น เธอตามเกมคนอื่นไม่ทันเองแล้วจะมาเหมาว่าเขาชั่วเขาเลวได้อย่างไรล่ะ! ดูสิ่งที่พ่อบุญธรรมของเธอได้ทำลงไปสิ แค่ความตายยังเอามาชดใช้ไม่พอเลย! แล้วฉันก็อุตส่าห์ใจดีให้เธอได้เห็นมันตายต่อหน้าต่อตา นอกจากจะไม่ขอบคุณแล้วยังมารังเกียจกันอีก! เฮ้อ! ผู้หญิงเนรคุณอย่างเธอนี่..โดนแค่นี้มันยังเบาไปสินะ!”
พริมโรสสังเกตจากการพูด และพฤติกรรมของเขาที่ผิดไปจากคนปกติจึงพยายามนับหนึ่งถึงร้อยในใจ ชุดความคิดของหมอนี่ผิดเพี้ยนไปหมดแล้ว ต่อปากต่อคำไปก็ไร้ประโยชน์ ปล่อยความเงียบให้กวนส้นตึกคนจำพวกนี้ยังได้ผลเสียกว่า
จู่ๆ ฝ่ามือใหญ่ก็ตะปบมาที่หน้าอกจนพริมโรสสะดุ้ง แต่เรี่ยวแรงที่จะไปป้องกันขัดขืนมีไม่เพียงพอ อีกฝ่ายจึงได้ใจขยำขยี้ไปทั่วอย่างมันมือ ขณะที่ปากก็พ่นวาจาลดคุณค่าของเธอให้ต่ำต้อยด้อยลงไปด้วย
“สมัยก่อนทั้งที่เป็นคู่หมั้นกันแท้ๆ แต่ทำได้มากสุดก็แค่จูบ จะต้องใช้กำลังต่อต้านฉันทุกครั้ง ทำตัวมีค่ายิ่งกว่าเพชร แต่เมื่อเทียบกับวัฒนธรรมชนชั้นสูงของเปเรซ คุณค่าของเธอก็ไม่ต่างอะไรกับเศษกระจก พวกเขาไม่มีวันเชิดชูคนนอกศาสนาให้เป็นเมียเอก แม้แต่ที่ยืนในตำแหน่งเมียลำดับที่สี่ ก็ไม่ได้มีไว้ให้คนอย่างเธอด้วยซ้ำ ฮ่าๆๆๆ สะใจฉันจริงๆ! ตะเกียกตะกายอยากชูคอเป็นคุณนายในพระราชวัง แต่สุดท้ายเป็นได้แค่นางบำเรอในฮาเร็ม! ฮ่าๆๆ!”
เขาหัวเราะอย่างสะใจ ในขณะที่ลูบไล้ฝ่ามืออย่างจาบจ้วงลงไปบริเวณหน้าท้อง เลยลงไปถึงจุดที่สงวนที่สุดของผู้หญิง พริมโรสพยายามพลิกกายด้วยความยากลำบาก และเขาก็กดไหล่เธอเอาไว้ด้วยฝ่ามืออีกข้าง ป้องกันไม่ให้ขยับตัวหนี
“ทำไม? รังเกียจนักหรือไง? ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ต้องรอแล้ว ฉันจะยัดเยียดความน่ารังเกียจนี้ให้เธออย่างสาแก่ใจ เธอจะต้องจ่ายค่าตอบแทนที่กล้าทิ้งฉัน! และเธอจะไม่มีวันมีความสุขกับไอ้เดี้ยงนั่นได้อีก!”
“ไอ้เลว! ปล่อยนะ คนอย่างแกมันชั่ว!...” หญิงสาวใช้สองมือยื้อยุดมือข้างหนึ่งของอีกฝ่าย ที่กำลังจะปลดกระดุมกางเกงของเธอออก ในขณะที่มืออีกข้างของเขาก็ดึงเข็มขัดของตัวเองไปด้วย
เอี๊ยดดดดด!! .. โครม!!
“โอ๊ย!!”
เสียงยางรถที่บดไปกับผิวถนนดังสนั่น คล้ายมีเหตุไม่คาดฝันเกิดขึ้น จนทำให้คนขับเหยียบเบรกกระทันหันในระยะกระชั้นชิด ตามมาด้วยเสียงดังโครมของร่างสูงที่เสียหลักพุ่งตัวไปข้างหน้าจนศีรษะไปกระแทกกับผนังกั้นระหว่างคนขับ
“เฮ้ย! เกิดอะไรขึ้นวะ?”
“มีรถมาปาดหน้าแล้วจอดขวางถนน!! เฮ้ย! พวกมันมีปืนด้วยลูกพี่! เอาไงดี!!”
ยังไม่ทันที่ลูกพี่จะตอบ ประตูด้านหลังก็ถูกกระชากให้เปิดออก ความแข็งขึงที่กำลังหื่นกระหายกลับกลายเป็นปลาไหลที่ซีดเผือดเหมือนโดนน้ำร้อนลวก ซึ่งก็คล้ายกับใบหน้าที่กำลังไร้สีเลือดของเจ้าของ ชารีฟคิดไม่ถึงว่าจะมีใครตามรอยมาได้เร็วถึงขนาดนี้ จึงไม่มีแผนสำรองเตรียมไว้ สำหรับทางหนีทีไล่ในกรณีเช่นนี้เลยแม้แต่น้อย
“กำลังจะทำอะไร? นี่ถ้าไม่มีคนแจ้งเชคฮ์ว่ารถเกิดอุบัติเหตุ ป่านนี้ท่านก็ยังคงไม่รู้ว่ากำลังโดนลูกน้องหักหลัง แกเอาความกล้าที่ไหนมาขัดคำสั่งของฝ่าบาท!! หา!!”
ดูเหมือนผู้มาใหม่จะมีตำแหน่งที่เหนือกว่า จึงสามารถตวาดอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงที่คุกคามเช่นนี้ได้ หญิงสาวไม่รู้ว่าคนพวกนี้รวมถึงคู่หมั้นเก่าเป็นคนของฝ่ายใด รู้แต่ว่าผู้ใหม่ต้องพาเธอรอดจากเงื้อมมือของกากเดนผู้นี้ได้แน่นอน
“ฉัน..ฉันก็กำลังจะพาผู้หญิงไปส่งโรงพยาบาลไงเล่า เสร็จแล้วก็จะกลับไปรายงานอุบัติเหตุให้ฝ่าบาทได้ทรงทราบ!”
“ไม่จริง! มันเป็นไอ้โรคจิตที่ขับรถชนฉัน! พอเห็นสภาพบอบช้ำยับเยินมันก็มีอารมณ์ พี่ชายช่วยด้วย! ฉันกำลังจะโดนข่มขืน!”
“หุบปาก! เสียสติไปแล้วหรือไง!!” ชายหนุ่มตะคอกขึ้นมาอย่างเดือดดาล ถลึงตาที่วาวโรจน์ทิ่มแทงใส่หญิงสาวราวกับต้องการจะเข่นฆ่าอย่างเหี้ยมโหด
“ฉันก็เห็นอย่างนั้น ตอบมาสิว่านายปลดเข็มขัดทำไม?” ผู้มาใหม่พยักหน้าให้กับลูกน้องที่อยู่ด้านหลัง จากนั้นก็มีชายอีกสองคนขึ้นมาบนรถแล้วหิ้วปีกผู้ร้ายปากแข็งไว้คนละข้าง
“ไม่จริงนะ!! ผู้หญิงคนนี้ใส่ร้ายฉัน! เฮ้ย! ปล่อยดิวะ! บอกให้ปล่อย!”
“ไปตอบคำถามกับฝ่าบาทเองแล้วกันว่า นายขับรถชนผู้หญิงคนนี้ทำไม! พาตัวมันไป!!”
ชายผู้มาใหม่ตวาดกร้าวด้วยน้ำเสียงทรงอำนาจ จากนั้นเขาก็ขึ้นมาบนรถ แล้วนั่งย่อเข่าข้างหนึ่งลงยันพื้น
“ถ้าคุณไม่ไหวก็หลับตาพักผ่อนเสียก่อน ผมจะส่งคุณไปโรงพยาบาลด้วยตัวเอง สบายใจได้!”
“ขอบคุณค่ะ” หญิงสาวกล่าวขอบคุณเขา พับเก็บความอยากรู้ไว้ก่อนชั่วคราว เธอฝืนร่างที่กำลังบอบช้ำต่อไปไม่ไหวแล้ว แต่ก่อนที่สติจะดับวับ ก็ได้ยินเสียงของคนที่นั่งข้างๆ กำลังโทรศัพท์รายงานใครคนหนึ่ง ช่วงแรกๆ ก็ได้ยินเสียงของเขาพูดอย่างชัดเจน แต่แล้วก็ค่อยๆ เบาลงไปเรื่อยๆ จนจับประเด็นไม่ได้ แล้วทุกอย่างเลือนลางไปในที่สุด
………………….
เจ้าชายอิดรีสเพิ่งจะลงจากเครื่องได้ไม่กี่นาที ก็ได้รับข้อความจากคนของเจ้าชายอิสราร์ นัดให้ไปเจอกันตามโลเคชั่นที่ส่งมา พร้อมกับฝากน้องสาวให้กลับไปกับเจ้าหญิงไลลาด้วย
ระหว่างที่กำลังเดินทางไปยังจุดหมาย องครักษ์ก็รายงานเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนหน้าที่เขาจะมาถึงสนามบินทั้งหมด รวมถึงอุบัติเหตุรถชนกลางสี่แยกนั้นด้วย ชารีฟให้ข้อมูลเพียงครึ่งเดียว โดยไม่มีรายละเอียดของภารกิจที่ได้รับ อีกทั้งยังไม่รายงานแผนการอื่นๆ ของฝ่ายตรงข้าม จนทำให้เกิดเรื่องมากมายกับเชคฮ์อิสราร์และพระคู่หมั้น คาดว่าเขาคงจะหักหลังฝ่ายเราเสียแล้ว
ชายหนุ่มถอนหายใจยาวออกมาอย่างหนักใจ ขนาดระวังตัวแล้วก็ยังไว้ใจคนผิด ทำให้เกิดเรื่องร้ายแรงขึ้นมาอย่างไม่น่าให้อภัยจนได้
ป่านนี้ทางนั้นคงรู้เรื่องอุบัติเหตุแล้วละมัง จะกล่าวโทษเราอย่างไรบ้างก็ไม่รู้!!
“ถึงแล้วกระหม่อม”
ชายหนุ่มเอียงศีรษะเข้าไปชิดประตูรถ มองผ่านกระจกไปรอบๆ สถานที่ที่เป็นจุดนัดหมาย ซึ่งไม่ต่างอะไรกับชุมชนแออัด จากนั้นก็ก้มลงมองเสื้อผ้าเรียบหรู ที่ตัดเย็บอย่างประณีตของตัวเอง ถ้าเดินเข้าไปทั้งอย่างนี้คงจะทำให้ชุมชนแตกตื่นและตกเป็นเป้าสายตา หรืออาจถึงขั้นแสดงความไม่เป็นมิตรก็เป็นได้
“ถอดเสื้อของนายส่งมาซิ!” เขาออกคำสั่งกับองครักษ์ที่ทำหน้าที่เป็นคนขับรถ ซึ่งกำลังทำสีหน้างุนงงกับความต้องการของเจ้านาย แต่ก็น้อมรับทำตามคำสั่ง ถอดเสื้อเชิ้ตที่สวมอยู่ออกอย่างรวดเร็ว
“สั่งให้ทุกคนถอดเสื้อสูทแล้วตามฉันมา!” เขาออกคำสั่งขณะที่กำลังติดกระดุมเม็ดสุดท้ายไปด้วย
“พ่ะย่ะค่ะ!”
เจ้าชายอิดรีสเปิดประตูลงไปยืนข้างรถ ยกมือทั้งสองข้างขึ้นเท้าสะเอว มองสภาพแวดล้อมโดยรอบอีกครั้งหนึ่ง ก่อนที่จะก้าวเดินไปข้างหน้าอย่างมั่นคง
ขณะที่เขาเดินผ่านตรอกซอกซอยที่คับแคบและแออัด เขาเห็นถึงสิ่งที่ผู้คนเหล่านี้ต้องเผชิญในแต่ละวัน เห็นครอบครัวที่ยากจนและเด็กๆ ที่ต้องอยู่อย่างยากลำบาก ขาดการศึกษา บางวันอาจได้รับสารอารหารที่ไม่เพียงพอด้วยซ้ำ ผู้พิการและผู้สูงอายุมีสภาพความเป็นอยู่ที่ย่ำแย่ และมีความเสี่ยงสูงต่อการเกิดโรคต่างๆ
ชายหนุ่มรู้สึกสะเทือนใจกับสิ่งที่เขาได้เห็น เขาไม่เข้าใจว่าความยากจนและความทุกข์ยากทั้งหมดนี้ หลบซ่อนอยู่ได้อย่างไรในรัฐที่อยู่ใกล้กันกับเมืองหลวง ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของความเจริญรุ่งเรืองและความก้าวหน้า คล้ายกับว่าพวกเขาเป็นกลุ่มคนนอกศาสนาที่สังคมส่วนใหญ่ไม่พึงประสงค์ ซ้ำยังถูกภาครัฐทอดทิ้ง ทำราวกับพวกเขาเป็นพลเมืองวรรณะต่ำของประเทศ
เขาตั้งปฏิญาณเอาไว้ในใจอย่างเงียบๆ ว่าจะต้องสร้างสังคมเสมอภาคให้เกิดขึ้นให้ได้ในอนาคต เพื่อลดช่องว่างระหว่างความร่ำรวยและความยากจนในสังคมนั้นให้มากที่สุด โดยไม่คำนึงถึงภูมิหลัง ศาสนา และเชื้อชาติ
“ตามแผนที่ คือบ้านหลังนี้พ่ะย่ะค่ะ” องครักษ์พูดจบก็เดินไปตบประตูเรียกคนที่อยู่ด้านใน
ตึง!! ตึง!! ตึง!!
“มีใครอยู่บ้าง! เปิดประตู…!” องครักษ์พูดยังไม่ทันจบ ประตูก็เปิดแง้มออก พอเห็นว่าผู้ที่ยืนอยู่ด้านหลังเป็นใคร จึงเปิดกว้างออกทั้งสองบาน เชื้อเชิญให้ผู้สูงศักดิ์เข้าไปด้านใน
“เชิญกระหม่อม เชคฮ์กำลังรออยู่!”
เจ้าชายอิดรีส ก้าวเข้ามายืนอยู่กลางห้องรับแขกที่เก่าคร่ำคร่า แต่เฟอร์นิเจอร์และอุปกรณ์อำนวยความสะดวกทุกอย่างยังอยู่ในสภาพดีและพร้อมใช้งาน เขาก้าวไปที่โซฟาเตรียมจะนั่งลง ก็พอดีกับที่เจ้าชายอิสราร์เดินออกมาจากห้องด้านใน
“ไงเพื่อน! สีหน้าดูไม่สดใสเลยนี่!” เจ้าชายอิสราร์เดินตรงมาจับมือของผู้มาใหม่ ทักทายอย่างสนิทสนม
“นี่คือสิ่งที่นายต้องการให้ฉันเห็น?”
“ก็เป็นสิ่งที่นายควรจะได้เห็น ก่อนเริ่มงานใหญ่ไม่ใช่หรือ? หลังจากนี้จะมีผู้คนที่ต้องสูญเสียอีกมาก และอาจนำไปสู่ความทุกข์อันแสนสาหัสในระยะยาวอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และนี่คือสิ่งที่พวกเราต้องแก้ไขหลังลงมือดำเนินการไปแล้ว!”
“อืม สัญญาด้วยเกียรติ ฉันจะทำให้พวกเขามีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นให้ได้ด้วยมือของฉันเอง!”
เจ้าชายอิสราร์มองแววตาที่มุ่งมั่นของเพื่อนสนิท จึงยกยิ้มขึ้นที่มุมปาก พร้อมกระชับมือที่จับกันไว้แน่น ยกมืออีกข้างขึ้นตบไหล่ของอีกฝ่ายเพื่อเป็นการสนับสนุนในความตั้งใจนั้น
หวอออออออ!! บรึ้ม!!เสียงไซเรนเตือนภัยทางอากาศดังยาวเพียงไม่กี่นาที ก็ถูกกลบด้วยเสียงระเบิด ที่ดังสะเทือนเลื่อนลั่นไปทั่วอาคารผู้โดยสารขาเข้าระหว่างประเทศ เสียงกรีดร้องของผู้คน ที่กำลังอยู่ในอาการประสาทสั่นขวัญผวา สอดแทรกขึ้นมาด้วยเสียงร้องโหยหวนอย่างเจ็บปวดทรมานจนเกินจะรับไหวจากผู้เคราะห์ร้าย ที่แทบจะไม่เหลือเรี่ยวแรงใดๆ ให้ร้องขอความช่วยเหลือได้อีกแล้ว บางเสียงแหบระโหยอยู่ภายใต้ร่างของผู้เสียชีวิตที่เต็มไปด้วยเลือดและซากปรักหักพังทับถมกันเป็นชั้นๆ อยู่ด้านบนอย่างสยดสยองนักข่าวคนหนึ่งที่รอดตายอย่างปาฏิหาริย์ ราวกับเป็นลูกรักของพระเจ้า ทั้งๆ ที่อยู่ไกล้จุดเกิดเหตุเพียงไม่กี่เมตร ด้วยความตกใจจนลนลานทำให้มือที่ล้วงเข้าไปในเข้าไปในกระเป๋าเป้สั่นเทาไปหมด ในใจลึกๆ กำลังกระวนกระวาย เพราะกลัวจะพลาดบันทึกเหตุการณ์ระทึกขวัญไม่ทัน แต่พอควานเจอโทรศัพท์มือถืออย่างที่ต้องการ แล้วก็หยิบออกมาบันทึกภาพเหตุการณ์ตรงหน้าทันทีอย่างไม่กลัวลูกหลง นัยน์ตาคมจับจ้องผ่านจอแอลซีดี ในขณะที่ขยับมือแพนกล้อง จับภาพนาทีระทึกของผู้คนที่กำลังวิ่งหนีเอาตัวรอดกันอย่างอลหม่าน บางคนถูกวิ่งชนจนล้มไม่พอ ยังโดนเหยียบย่ำซ
“เหตุระเบิดท่าอากาศยานนานาชาติเอวาเปเรซ สร้างความเสียหายให้แก่บริเวณรับสัมภาระ ของอาคารผู้โดยสารขาเข้าระหว่างประเทศ จากกล้องวงจรปิดได้จับภาพฝูงโดรนคามิกาเซที่บินร่อนอยู่เหนือท่าอากาศยานอยู่หลายนาที ก่อนที่จะร่อนลงสู่เป้าหมาย และจุดระเบิดขึ้นเหตุระเบิดดังกล่าว ทำให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อยสามสิบห้าราย และได้รับบาดเจ็บมากกว่าหนึ่งร้อยแปดสิบราย จากการตรวจสอบของเจ้าหน้าที่ ปรากฏว่าได้มีผู้โดยสายหายไปจากรายชื่อห้าคน และหนึ่งในนั้นคือพระชนนีขององค์สุลต่าน ซึ่งแหล่งที่มาของการโจมตีดังกล่าวยังไม่ชัดเจน แต่ผู้เชี่ยวชาญด้านความมั่นคงคาดการณ์ว่ากลุ่มผู้ก่อการร้ายกลุ่มนี้ อาจเป็นผู้ทำสงครามโมเสลมจากสมาชิกอัลเคดาสาขาเปเรซ ถึงแม้ข้อมูลเหล่านั้นยังไม่ได้รับการยืนยันก็ตาม ขณะนี้เจ้าหน้าที่ทหาร และตำรวจกำลังอยู่ระหว่างการไล่ล่ากลุ่มผู้ก่อการร้าย”เสียงในทีวี รายงานข่าวภาษาอาหรับ เกี่ยวกับสถานการณ์การระเบิดสนามบิน บริเวณอาคารผู้โดยสารขาเข้า และได้ลักพาตัวประกันไปด้วย เพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลทำตามข้อตกลง ตามมาด้วยข่าวการประท้วงที่หน้าสถานทูต เพื่อกดดันและเรียกร้องให้รัฐบาลและฝ่ายผู้ก่อการร้ายยุติสงครามกล
ติ๊ง!!ประตูลิฟต์เปิดออกที่ชั้นหนึ่ง ชายหนุ่มหันไปมองทันที เมื่อได้ยินเสียง เขาหายใจเข้าแรงแล้วสะดุดไปในทันที เมื่อเห็นหญิงสาวเอวบางร่างน้อย นัยน์ตากลมโต ใบหน้าคมหวาน ผมดำยาวสลวยสยายเต็มหลัง สวมชุดแม็กซี่เดรสสีขาวปักฉลุลายดอกไม้ตัวยาวจนถึงข้อเท้า แขนยาวสามส่วนเลียนแบบชุดอาบายะห์ แต่จะออกไปในสไตล์ตะวันตกมากกว่า ซึ่งเข้ากันได้ดีกับรองเท้าผ้าหุ้มส้นพิมพ์ลายดอกไม้วินเทจสีเทา กำลังเดินเข็นกระเป๋าเดินทางออกมาจากลิฟต์ รูปร่างหน้าตาของหญิงสาวโดดเด่นเสียจนดึงดูดสายตาของผู้คนทั้งชายและหญิง ที่นั่งอยู่ในล็อบบี้ให้มองมาอย่างสนใจใคร่รู้ ดวงตาคมกริบล้ำลึกของชายหนุ่ม กำลังถูกตรึงจนไม่อาจถอนสายตาไปมองที่อื่นได้ พูดอะไรไม่ออกอยู่ชั่วครู่ราวกับวิญญาณของเขาก็กำลังถูกดูดกลืนหายไปด้วยเสียอย่างนั้น ก่อนที่จะได้สติเมื่อหญิงสาวเดินเข้ามาใกล้ เขาจึงรีบลุกขึ้นเดินเข้าไปทักทายด้วยหัวใจที่กำลังเต้นรัวแรง “มิสนรากร?” เขาทักขึ้นก่อน เพื่อยืนยันว่าใช่คนที่กำลังรออยู่หรือเปล่านัยน์ตากลมโตมองชายหนุ่ม ที่มีใบหน้าเต็มไปด้วยหนวดเคราจนดูครึ้มไปหมด แต่กลับรู้สึกสะดุดที่นัยน์ตายาวรีคู่นั้น ถึงแม้จะดูคมกริบดุดันในนาทีแรก
พริมโรสรู้สึกหิวน้ำ จึงลืมตาตื่นขึ้นมาอย่างงัวเงีย พยายามตั้งสติอยู่ชั่วครู่ โฟกัสไปรอบๆ ห้อง คิดอยู่ในใจว่าน่าจะเป็นบ้านของโฮสต์เลยคลายความระวังตัว ลุกขึ้นเดินจะไปเปิดประตู แต่แล้วก็ต้องชะงัก เมื่อสายตาไปปะทะกับร่างสูงที่นอนหลับสนิทเหยียดยาวอยู่บนโซฟาหญิงสาวระงับความไม่พอใจเอาไว้ หลังจากได้คิดว่าคงเป็นการแสดงบทบาทให้สมจริงของเขาอีกแล้ว เพื่อให้ข้อมูลสอดคล้องกันตั้งแต่เริ่มแรก เธอมองเขาด้วยสายตาเฉยเมย ก่อนที่จะเปิดประตูออกไปข้างนอก“มิสนรากร สวัสดีตอนเช้าค่ะ” พริมโรสคิดในใจว่าผู้หญิงหน้าตาเป็นมิตรคนนี้คงจะเป็นภรรยาเจ้าของบ้าน จึงยิ้มตอบอย่างอบอุ่น“สวัสดีตอนเช้าค่ะ มิสซิสซัลมาใช่ไหมคะ?”“ค่ะ ฉันชื่ออัลวานี ส่วนสามีฉันบาซิม” บาซิมซึ่งอยู่ไม่ไกล หันมายิ้มอย่างสุภาพ พริมโรสยิ้มตอบ แล้วผงกศีรษะนิดหนึ่ง“เรียกฉันว่าพริมก็ได้ค่ะ เอ่อ..พอดีหิวน้ำ อยากจะหาน้ำดื่มสักแก้ว”“อ๋อ ได้สิคะ น้ำเย็นหรือน้ำอุ่นดีคะ?” อัลวานีกุลีกุจอหยิบแก้วใสทรงดอกทิวลิปมาวางตรงหน้าพร้อมจานรอง“อะไรก็ได้ค่ะ”“งั้นแนะนำให้เป็นชาดีกว่า ชาวเปเรซชอบดื่มชาค่ะ จะมีติดบ้านไว้เสมอ”“ได้ค่ะ ขอบคุณ” อัลวานีเดินกระฉับกระเฉงไป
พริมโรสนอนหอบหายใจแรงอยู่กับพื้น ในขณะที่มือทั้งสองข้างถูกเขากดไว้ข้างตัว ขาทั้งสองข้างถูกทับไว้ด้วยขาของเขาจนยกแทบไม่ขึ้น“จะยอมได้หรือยัง? พยศเป็นม้าบ้าเลยนี่!”“คุณมันชอบเอาชนะผู้หญิง! หาความเป็นสุภาพบุรุษไม่มี!” หญิงสาวตะโกนตอบโต้ทั้งๆ ที่ยังหายใจหอบ“แล้วสุภาพสตรีที่ไหน เขาเล่นแรงกันแบบนี้ล่ะ! ถ้าสู้ไม่ได้อาจถึงขั้นพิการได้เลยนะ!”“ใครใช้ให้คุณมาทำรุ่มร่ามกับฉันล่ะ! คุณมันทุเรศ! ไอ้คนบ้า! ไอ้หน้ารังแกผู้หญิง!”“ถ้าไม่เลิกสบถใส่ผม คุณโดนดีแน่!”“กล้าดีก็ลองดู! ฉันจะอัดไอ้หนูคุณให้น่วมจนพิการเลย! ไอ้คน.. อื๊อ!”พริมโรสตกใจเพราะเขากดจุมพิตหนักหน่วงลงมาทั้งๆ ที่ยังพูดไม่จบ เป็นจุมพิตที่ต้องการจะลงโทษ มากกว่าจะอยู่ในอารมณ์พิศวาสเธอพยายามจะดิ้นหนี แต่ก็สู้แรงที่แข็งดังหินของเขาไม่ได้ จึงทำได้เพียงเบี่ยงศีรษะออก เป็นผลให้เขาไถลจุมพิตลงมาที่ข้างแก้ม แล้วไล้เลยมาถึงซอกคอ จู่ๆ แรงจุมพิตของเขาอ่อนโยนขึ้นอย่างเห็นได้ชัด วนเวียนซุกไซ้ไปมาอย่างหลงไหล เธอดิ้นขลุกขลักอยู่เป็นครู่ ทำได้แค่ดึงขาออกจากการพันธนาการได้เท่านั้นขณะที่เขากำลังไล้จุมพิตมาถึงแอ่งหลังใบหู ประตูห้องก็เปิดออก ทั้งสี่ชีวิตย
“ยังไม่หายโกรธผมอีกรึ?” อิฟราอิมเดินตามมาทัน จึงรั้งแขนไว้ แล้วจับไหล่ให้หันมาเผชิญหน้า แต่หญิงสาวเบี่ยงตัวออก“ฉันดูลักษณะเหมือนคนเจ้าคิดเจ้าแค้นอย่างนั้นหรือ?” หญิงสาวพูดด้วยสีหน้าเฉยเมย ไร้ความรู้สึก“ไม่เอาน่า! เราเป็นทีมเดียวกันไม่ใช่หรือไง? โกรธกันข้ามวันมันไม่ดีต่อความสัมพันธ์นะ”“ผู้พันคะ! ฉันคิดว่าคุณจะอินกับบทบาทมากเกินไปหน่อยแล้ว ฉันจะขอบคุณมาก..ถ้าเราจะทำให้สถานที่นี้ปลอดจากยุงที่เกิดมาจากบทละครน้ำเน่าของคุณ! แค่นี้ฉันก็เบื่อจนถึงรังไข่แล้ว…อึ๊!”หญิงสาวตกใจไม่ทันป้องกันตัว เมื่อเขาดันตัวเธอติดผนัง จับข้อมือทั้งสองข้างของเธอยกขึ้น แล้วรวบไว้ด้วยมือข้างเดียว ใช้มืออีกข้างปิดปากที่กำลังพร่ำบ่นไม่หยุด “ผมจะเลี้ยงอาหารที่แพงที่สุดในเมืองนี้เพื่อเป็นการไถ่โทษดีไหม?” ชายหนุ่มพยายามต่อรองพริมโรสได้ยินดังนั้นก็ชะงักขาที่กำลังจะยกตั้งขึ้นเพื่อทำการใหญ่ เขาปล่อยมือที่ปิดปากออก แต่ยังคงจับข้อมือสองข้างรั้งไว้“ก็..ก็ยุติธรรมดี แต่ไม่ใช่ว่าคนอย่างฉันจะเห็นแก่กิน หรือติดสินบนอะไรได้ง่ายๆ หรอกนะ อย่าเข้าใจผิด! แค่อยากเรียนรู้เรื่องวัฒนธรรมอาหารการกินของคนที่นี่ก็แค่นั้น!” อิฟราอิมเบ้ป
“ผู้พันคะ!” หญิงสาวทัก เมื่อเห็นเขานั่งชันศอกข้างหนึ่งค้ำประตู ปลายนิ้วเขี่ยริมฝีปากล่างไปมาอย่างใช้ความคิด เธอสังเกตเขามาพักใหญ่แล้ว ตั้งแต่ออกรถมาจนถึงตอนนี้ “หืม?” เขาทำเสียงตอบในลำคอ แต่ไม่ได้หันมา ยังคงมองตรงทางข้างหน้านิ่งเธอมั่นใจว่าไม่ได้ไปขัดใจอะไรเขา จะให้ปลอมเป็นคู่หมั้นก็รับปาก ชุดนี้ก็เป็นเขาเองที่บอกว่าดีแล้ว แต่ก็มานิ่งเงียบแบบนี้ จนทำให้เธอเริ่มวิตก“คุณเป็นอะไรหรือเปล่าคะ?” “เปล่า! ไม่ได้เป็นอะไร! ผมกำลังคิดอะไรเพลินไปหน่อย คุณถามอะไรแล้วผมไม่ได้ตอบกลับหรือเปล่า?” หญิงสาวถอนใจ บางทีเขาอาจไม่สะดวกใจอะไรบางอย่างอยู่ก็ได้ เลยคิดจะเปลี่ยนเรื่องคุย“คุณได้ข้อมูลเรื่องพิกัดหรือยังคะ?”“เราจะไม่คุยเรื่องงานกันตอนนี้ที่รัก” พริมโรสเลิกคิ้ว เริ่มหงุดหงิดนิดๆ โน่นก็ไม่ได้! นี่ก็ไม่ได้! หมอนี่เป็นคนยังไงกันแน่!! เอาใจยากชะมัด!!เธอเริ่มไม่พอใจ จึงหันหน้ามองออกไปนอกหน้าต่างรถ ยกแขนขึ้นกอดอก ยกขาขึ้นนั่งไขว่ห้างอย่างเจ้าอารมณ์เต็มที่ ทำให้ขอบซับในร่นลงมามากกว่าเดิม เผยให้เห็นท่อนขาเรียวสวยขาวนวลเนียนอยู่ภายใต้เนื้อผ้ารำไร ชายหนุ่มเห็นการเคลื่อนไหวอยู่ปลายหางตา จึงเหลือบมองอย่า
“อะไรนะ! เชคฮ์ อิสราร์ มาที่วังตะวันออกอย่างนั้นรึ? ทำไมไม่มีใครบอกฉันเลยสักคน!”“อะไรกันเนญ่า! การข่าวของตระกูลเธอรวดเร็วฉับไวที่สุดในพระราชวังไม่ใช่หรือ ทำไมถึงได้รู้เป็นตระกูลสุดท้ายล่ะ!” แล้วสาวๆ ประมาณสามสิบกว่าคน ที่กำลังเลือกลวดลายและสีสันของเนื้อผ้าอยู่ในห้องโถงใหญ่ ต่างก็หัวเราะออกมาอย่างครึกครื้นสาวๆ กลุ่มนี้เป็นญาติพี่น้องที่ร่วมสกุลเดียวกันทั้งหมด บางคนพ่อเดียวกันแต่คนละแม่ บางคนพ่อแม่เดียวกันแต่มีลูกสาวหลายคน ซึ่งก็มีความอิจฉาริษยา แก่งแย่งชิงดีชิงเด่นกันตามธรรมดาของผู้หญิง ถึงแม้จะเป็นญาติพี่น้อง แต่ก็ไม่มีใครอยากให้ใครมีความความดีโดดเด่นเกินหน้าเกินตาไปกว่าใคร ฉะนั้นถ้ามีคนใดสะดุดล้ม หรือทำในสิ่งที่ผิดพลาด แม้เพียงเล็กน้อย ที่เหลือก็จะช่วยกันซ้ำเติมทันทีอย่างไม่ลังเล“นี่! ฉันยังได้ข่าวมาว่าไม่ได้เสด็จมาเพียงลำพังอีกด้วยนะ”“ใช่ๆ ฉันก็ได้ยินมาเหมือนกัน เขาพูดกันว่ามากับผู้หญิงคนหนึ่ง สวยราวกับมิสยูนิเวิร์สเลยนะ!”“อ๊ะ! แล้วเชคฮ์พาผู้หญิงมาทำไมล่ะ?”“เขาปิดกันให้แซ่ดว่า พาลูกสะใภ้ในอนาคตมาแนะนำกับพระมารดาไงล่ะ!”“ตายจริง! คลับคล้ายคลับคลาว่าพระชายาในอนาคตจะอยู่แถวนี้นะ
“ฮ่าๆๆ ไง! ถึงกลับโกรธจนตัวเนื้อสั่นเลยเหรอ เป็นยังไงบ้างล่ะ รสชาติของการสูญเสีย ขมขื่นถึงอกถึงใจดีไหม?” คำพูดประโยคนี้ของเขาทำให้หญิงสาวแน่ใจได้ทันทีว่าอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นนี้ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ“ฉันเกลียดแกจนอยากจะเป็นคนถ่อย จะได้ถ่มถุยใส่หน้าส้นตึกของแกให้สาสมกับความรู้สึกขยะแขยง!” ชารีฟหรือณัทธรสะอึก เมื่อเจอความโกรธเกลียดอย่างรุนแรงจากผู้หญิงที่เขารัก“เกลียดฉันงั้นรึ? ต้องเป็นฉันไหมที่จะพูดประโยคนั้น แทบไม่อยากจะเชื่อเลยว่า เธอจะลืมฉันได้อย่างง่ายดายและไปแต่งงานใหม่!"“ฉันไม่ได้แต่งงานใหม่! นี่เป็นการแต่งงานครั้งแรกและครั้งเดียวของฉัน และอะไรคือลืมได้อย่างง่ายดาย? นายหนีตายไปเป็นปีๆ แล้วฉันจะต้องไปบวชชี เพื่ออุทิศส่วนกุศลให้นายด้วยอย่างนั้นรึ! เรารักกันดูดดื่มขนาดนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่? ก่อนที่นายจะฆ่าพ่อฉัน เขายังพูดไม่ให้ฉันยึดติดกับตัวเขาเลย! ตรรกะของนายมันบิดเบี้ยวเป็นเวย์เดียวกับพวกโรคจิต ที่นายกับฉันมาถึงจุดนี้เป็นเพราะการตัดสินใจเลือกของตัวเองทั้งนั้น อย่าเอาฉันมาเป็นข้ออ้างเพื่อปกปิดยีนขี้แพ้ในตัวหน่อยเลย!”“ไม่ต้องมาทำปากดียั่วอารมณ์ให้ฉันรู้สึกละอายใจหรอก คำพูดยั่วยุของ
“ฮัลโหล? ว่าไง?”“ไอ้ชารีฟ! ไอ้ห่วย! สายของแกทำงานยังไงวะถึงได้รายงานผิดพลาด! เป้าหมายไปเส้นทางอื่นไม่ได้เฉียดมาทางนี้เลยด้วยซ้ำ!!”“จะเป็นไปได้ยังไง? ไม่ผิดแน่ๆ!! นายดักซุ่มอยู่ที่นั่นแหละเผื่อว่าจะเป็นแผนลวง!”ชารีฟหรือณัทธร กดปุ่มตัดสาย แล้วดึงหูฟังบลูทูธออกอย่างหงุดหงิด จะเกิดการผิดพลาดไปได้ยังไง ในเมื่อเขาเพิ่งจะได้รับการยืนยันเส้นทางมาจากสายที่แฝงตัวอยู่ในกลุ่มผู้ใต้บังคับบัญชาของเชคฮ์อิสราร์เมื่อไม่กี่นาทีมานี้เองหรือว่าเปลี่ยนเส้นทางกระทันหัน??เขาคิดว่าน่าจะมีการเปลี่ยนแปลงแบบฉุกเฉินมากกว่าการที่อีกฝ่ายจะรู้ตัวว่ามีข่าวรั่วไหลชายหนุ่มยกนาฬิกาข้อมือขึ้น เพื่อดูเวลาก่อนการตัดสินใจ ในเมื่อภารกิจลอบสังหารเชคฮ์อิสราร์ได้ผิดพลาดไปแล้ว เขาเลยคิดว่าไปปิดจ๊อบหนี้เก่าของตัวเองก่อนจะดีกว่า แล้วค่อยกลับไปรายงานภารกิจที่ล้มเหลว ซึ่งถ้ารีบไปตอนนี้ก็น่าจะไปทันเวลากับที่เป้าหมายขับมาถึงในจุดที่เขากำหนดเอาไว้ในแผนพอดี…ชารีฟหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมา เปิดแอพพลิเคชันที่ใช้ตรวจสอบสัญญาณจีพีเอส เพื่อหาตำแหน่งปัจจุบันของรถเป้าหมาย ซึ่งก็เห็นในแผนที่ว่ารถยนต์คันดังกล่าว กำลังจะแล่นผ่านสี่แยกไฟแดง
ความร้ายกาจของบิดาที่เธอได้ยินจากปากของคนอื่น เป็นเหมือนหนามแหลมคม ที่คอยทิ่มแทงจิตใจอยู่ตลอด แต่กระบวนการให้อภัย พยายามดิ้นรนที่จะผลักความคิด และความรู้สึกด้านลบเหล่านี้ออกไป ด้วยการจดจ่อกับความรัก และความทรงจำดีๆ นึกถึงช่วงเวลาที่ยากลำบาก ที่เขามักจะแบกรับความเจ็บปวดเหล่านั้นไว้แทนอยู่เสมอ แล้วผลักดันให้เธอก้าวข้ามผ่านช่วงเวลาเลวร้ายนั้นไปให้ได้ ฝึกฝนเธอให้เข้มแข็ง สอนให้ยอมรับทุกความผิดพลาด และความล้มเหลว แล้วเรียนรู้ที่จะเยียวยาตัวเองเพื่อปิดกั้นทุกความเจ็บปวดเธอรู้ดีว่าการยึดติดกับความรู้สึกในทางลบ รังแต่จะเพิ่มความทุกข์ให้กับชีวิตมากขึ้น และขัดขวางไม่ให้หัวใจได้พบกับความสงบสุข แต่การที่จะละวางด้วยการให้อภัยนั้น ก็ทำให้เกิดความรู้สึกผิด ต่อบุคคลที่ต้องเสียชีวิตไปอย่างไม่เป็นธรรมนั้นด้วยเช่นกันแต่เมื่อมองในมุมกลับกัน เขาก็เป็นเพียงแค่มนุษย์คนหนึ่ง ซึ่งไม่ว่าใครก็สามารถทำผิดได้ เธอเองก็ไม่ได้รับการยกเว้น ความผิดหวังมักจะทำให้คนเราจมอยู่กับอดีต จนลืมมองความสุขที่กำลังได้รับอยู่ในปัจจุบัน และกำลังจะตามมาอีกมากมายในอนาคต จึงเป็นความคิดที่โง่เขลาอยู่ไม่ใช่น้อย ถ้าเรายังหยุดอยู่ที่ควา
“ตรวจสอบชายสองคนที่สิบสองนาฬิกา ประตูทางเข้าด้านนอก ในมือถือผ้าสีดำห่อหุ้มวัตถุลักษณะเป็นแท่งยาวทรงกระบอก เปลี่ยน!”“แลนด์โรเวอร์สีดำขับเข้ามาจอดหน้าประตูทางเข้าออกของพนักงานชั้นใต้ดินสองคัน คันหนึ่งประมาณห้าคนใส่ชุดพนักงานรักษาความปลอดภัยเดินเข้าไปด้านใน มีอาวุธปืนติดตัว เปลี่ยน!”“ประตูทางออกอาคารผู้โดยสารหนึ่งที่เก้านาฬิกา พนักงานรักษาความปลอดภัยกำลังลากโซ่ตะปูเรือใบมาขวางถนน คาดว่าไม่ใช่เจ้าหน้าที่ของสนามบิน เปลี่ยน!”“ประตูทางออกฉุกเฉินของอาคารผู้โดยสารสอง ทางสะดวก ชาลีทีมเตรียมพร้อม รอรับคำสั่ง เปลี่ยน!” เสียงรายงานผ่านวิทยุสื่อสารเข้ามาเป็นระยะๆ หลังจากที่กระจายกำลังไปประจำตามจุดสำคัญต่างๆ เพื่อสังเกตความเคลื่อนไหวของฝ่ายตรงข้าม“พวกมันเริ่มทยอยกันเข้ามาแล้ว แจ้งเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยให้เตรียมอพยพประชาชนหากมีเหตุฉุกเฉิน! แจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจกับดับเพลิงหรือยัง?”“เรียบร้อยแล้วพ่ะย่ะค่ะ!”“อืม ถ้าพร้อมแล้วก็ไปกันตอนนี้เลย!”“รับคำสั่ง!” องครักษ์รับคำสั่งแล้วแจ้งแต่ละทีมผ่านวิทยุสื่อสารทันที “อัลฟ่าทีมเคลียร์พื้นที่ บราโวเตรียมรถบรรทุกเปิดทางออกแล้วรอรับคำสั่ง ชาลีทีมวีไอพีเ
ไลลานอนตัวอ่อนระทวยอยู่ครู่หนึ่ง สักพักก็ขยับตัวยกศีรษะขึ้นมานอนหนุนแขนแข็งแรงข้างหนึ่งของสามี เบียดเรือนร่างบอบบางเข้าชิดเพื่อขอความอบอุ่นจากร่างกายของเขา ซึ่งชายหนุ่มเองก็เพิ่งผ่อนคลายจากอาการหัวใจเต้นแรง หายใจหอบเหนื่อย เขาพลิกตัวตะแคง รั้งต้นขาของหญิงสาว ให้ขึ้นมาก่ายเกยอยู่ครึ่งๆ บนร่างกายของเขา ขาของเธอเบียดชิดจนเขารู้สึกอบอุ่นและชุ่มชื้นในซอกลี้ลับ ไล้ฝ่ามือจากโค้งสะโพกเลยมาถึงต้นขา ลูบผิวเรียบเนียนไปมาเบาๆ เป็นจังหวะอย่างเพลิดเพลิน พร้อมๆ กับปลอบโยนให้เธอคลายความอ่อนเพลีย เพื่อเข้าสู่โหมดพักผ่อน “ฝ่าบาทเพคะ?” “หืม?” ชายหนุ่มผงกศีรษะขึ้นมองอย่างแปลกใจเมื่อได้ยินเสียงของอีกฝ่าย ซึ่งเขาคิดว่าน่าจะเคลิ้มหลับไปแล้ว“คืนนี้เนญ่าเขาประกาศว่าจะเข้าหอกับฝ่าบาท แล้วทำไมพระองค์ถึงมาหาหม่อมฉันล่ะเพคะ?”“ก็ไม่อยากจะมา ตั้งใจจะสั่งสอนให้รู้สำนึกเสียหน่อยว่า การผลักดันให้ผัวไปมีผู้หญิงอื่น โดยไม่เต็มใจนั้นน่ะมันจะให้ผลยังไง แต่เผอิญว่าเห็นคนบางคน น้ำตาคลอเบ้าเลยมาดูเสียหน่อย ไม่รู้ว่าเสแสร้งแกล้งทำ หรือรู้จักที่จะหึงหวงผัวขึ้นมาบ้างแล้ว!”“หึงจริงๆ น่ะแหละเพคะ” ไลลายอมรับออกไปตรงๆ ถึงแม้ใ
กัปตันลุกขึ้นแล้วเดินออกประตูไปก่อน ผงกศีรษะให้นิดหนึ่งเมื่อเห็นพริมโรสยืนอยู่หน้าประตู เจ้าชายอิสราร์ยืนมองหญิงสาวผ่านช่องประตูห้องนักบินอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเอื้อมมือมาคว้าแขนเรียวเล็กดึงเข้ามาปะทะอกกว้าง รวบร่างบางเข้ามากอดรัดอย่างแนบแน่น ฝ่ามือข้างหนึ่งประคองไว้หลังศีรษะ แล้วบดขยี้ริมฝีปากร้อนระอุกับริมฝีปากนุ่มอย่างหิวกระหาย เร่าร้อนและดุเดือด เพราะอะดรีนาลีนที่หลั่งออกมาหลังจากเพิ่งจะผ่านเหตุการณ์เฉียดตาย กระตุ้นให้อารมณ์ของเขาพลุ่งพล่าน“อื้อ!..” ปลายลิ้นเงอะงะถูกดูดดุนและเกี่ยวกระหวัดไว้ด้วยลิ้นเร่าร้อนของอีกฝ่ายโดยไม่เปิดโอกาสให้ได้พักหายใจ ทำให้เกิดเสียงประท้วงแผ่วๆ ในลำคอ“ที่รัก~..ผมรักคุณ” เขาถอนริมฝีปากออก กระซิบเสียงแหบพร่าแนบชิดกับริมฝีปากนุ่มอุ่น เรียวลิ้นไล่ระไปบนริมฝีปากของอีกฝ่าย ก่อนประทับริมฝีปากลงมาอีกครั้ง หญิงสาวยกท่อนแขนขึ้นโอบรอบลำคอเขาไว้ ตอบรับจุมพิตด้วยจังหวะที่สอดรับกันเป็นอย่างดี เบียดร่างบอบบางเข้าแนบชิดร่างกำยำอย่างออดอ้อน ฝ่ามือหนาของเขาลูบไล้ไปตามแผ่นหลังไล่ลงไปถึงโค้งสะโพกกลมมนแล้วกดเข้าหาลำตัวตามแรงอารมณ์ที่กำลังเพิ่มมากขึ้น“เอ่อ..ทูลฝ่าบาท พายุท
รินรดานั่งเหม่อกำโทรศัพท์ไว้ในมือ หลังจากเพิ่งจะวางสายจากรามิล เขาสัญญาว่าจะรีบเคลียร์งานให้เรียบร้อย และจะตามไปหาที่เปเรซภายในสองวันเธอรู้สึกไม่สบายใจเมื่อนึกถึงความฝันเมื่อคืนที่ผ่านมา แสงสว่างที่ลอยละล่องในความมืดส่องมาที่เธอ พร้อมกับเสียงกระซิบที่แผ่วเบาแต่ชัดเจน เสียงนั้นไม่ใช่เสียงของใครในโลกนี้ มันเหมือนเสียงที่มาจากที่ไกลโพ้น ฟังดูทั้งใกล้และไกลในเวลาเดียวกัน ‘ถึงเวลาแล้ว…จงทำตามสัญญา’หญิงสาวไม่ได้บอกใครว่าหลังจากที่เธอ และพี่ชายฟื้นขึ้นมา เธอได้เห็นถึงความศักดิ์สิทธิ์ของหินพ่อมดลาบราดอไลต์ ด้วยความสงสัยและความหวัง เธอแอบพระมารดาเข้าไปในห้องลับ ท่องบทสวดที่เธอแอบจดเอาไว้ และอธิษฐานถึงสิ่งที่อยากรู้ที่สุดในชีวิตตอนนั้น นั่นก็คือการตามหาครอบครัวที่แท้จริงจากนั้นเธอก็ฝันซ้ำๆ เดิมๆ อยู่หลายครั้งจนมาถึงปัจจุบัน ไม่รู้ว่าบุคคลในฝันเป็นใคร เธอจำเรื่องราวได้ รู้ว่าคนในฝันเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย แต่จำหน้าไม่ได้เลยสักคน และครั้งที่ไปโรงพยาบาลจนเกิดอาการใจสั่น แล้วเจ็บแปลบอย่างรุนแรง จนหมดสติไปในครั้งนั้น ก็ทำให้เธอได้เห็นผู้หญิง ที่มีหน้าตาเหมือนเธอราวกับฝาแฝดชัดเจนเป็นครั้งแรก ในห้วงฝ
“อะไรนะ!! แล้วได้ลงจอดฉุกเฉินไหม? งั้นถ้าจำเป็นต้องเปลี่ยนแผนโยกย้ายคนจากรัฐดีไปรัฐอีก็ดำเนินการได้เลย! อืม..ฉันอยู่บนเครื่องบินแล้ว คงจะถึงไล่ๆ กัน!...ได้!…เอาตามนั้น!”เจ้าชายอิดรีสชะงักมือที่กำลังวางโทรศัพท์บนโต๊ะหัวเตียง ขณะที่ปรายหางตาเห็นหุ่นอรชรอ้อนแอ้นกำลังเยื้องกรายเข้ามาในห้องด้วยกิริยาท่าทางที่ยั่วยวนหญิงสาวเข้ามายืนห่างจากเตียงไปประมาณหนึ่งช่วงแขน ค่อยๆ ปลดอาภรณ์ออกจากตัวทีละชิ้นอย่างเชื่องช้า พร้อมช้อนสายตาขึ้นมองชายหนุ่มอย่างเย้ายวนชวนเชิญเจ้าชายอิดรีสหยิบหมอนสองใบมาซ้อนหลัง นั่งกึ่งเอนพิงพนักหัวเตียงพาดแขนไว้บนเข่าข้างหนึ่งที่ตั้งชันขึ้น หรี่ตามองด้วยสีหน้าเรียบเฉยแต่ดูเยือกเย็น กิริยาภายนอกยังคงสงบนิ่ง รอบกายยังเผยความเย่อหยิ่งจองหองออกมาด้วยเขาเหลือบตามองนาฬิกาที่โต๊ะหัวเตียง ทำให้รู้ว่าอีกฝ่ายเลือกเวลาได้เหมาะเจาะ ไลลาไปสั่งงานกับเด็กรับใช้ได้สักพักใหญ่ๆ แล้ว และคงกำลังใกล้จะกลับมา เลยเปิดโอกาสให้น้องสาวสวมบทบาทน้องรักหักเหลี่ยมโหดเพื่อทำร้ายจิตใจผู้เป็นพี่ได้อย่างถูกที่ถูกเวลา เขาปล่อยให้อีกฝ่ายทำตามใจ โดยไม่ได้ปริปากเอ่ยทักท้วง เพื่อจะรอดูว่าเธอจะเปิดเผยเนื้อตั
"ฝ่าบาท! แย่แล้วเพคะ! กัปตันถูกทำร้ายขอความช่วยเหลือจากฝ่าบาทด่วนเลยเพคะ!" เจ้าชายอิสราร์ลุกพรวดขึ้น พริมโรสผวาลุกตามแล้วพยุงแขนเขาไว้ข้างหนึ่ง"เกิดอะไรขึ้น?" ชายหนุ่มถามขณะก้าวเท้าออกเดินได้ไม่เร็วนัก มือเรียวจึงจับแขนเขายกขึ้นแล้วก้มตัวลอดศีรษะเข้าไปใต้แขนแข็งแรง ก่อนจะวางแขนเขาให้เกาะไหล่เธอไว้เพื่อช่วยพยุง ทำให้ชายหนุ่มเดินได้เร็วขึ้นกว่าเดิม"นักบินผู้ช่วยลอบทำร้ายกัปตันเพคะ! โชคดีว่าอยู่ในความสูงที่กัปตันเปิดโหมดออโต้ไพลอทเอาไว้ ทันทีที่เกิดเรื่องเขากดอันล็อกประตูทำให้พวกเราได้ยินเสียงและเข้าไปช่วยเหลือเขาไว้ได้ทันเวลา ตอนนี้องครักษ์ลากตัวหมอนั่นออกไปแล้วเพคะ!""ทำไมไม่ตามนักบินเสริมให้ขึ้นมาแทน?""หม่อมฉันไปปลุกแล้วไม่ตื่นเลยทั้งสองคน ไฟล์ทเนิร์ซกำลังดูอาการพวกเขาอยู่ กัปตันเลยให้มาขอความช่วยเหลือจากฝ่าบาทเพคะ!"ลูกเรือต่างก็เห็นพ้องต้องกันทุกคนว่า นาทีนี้ไม่มีใครจะเหมาะสมเท่ากับเจ้านายพระองค์นี้อีกแล้ว เขามีชั่วโมงบินของการเป็นนักบินเอฟสามสิบห้า ของกองทัพรวมห้าพันแปดสิบห้าชั่วโมง ในจำนวนนี้ มีชั่วโมงของการทำหน้าที่นักบินผู้ช่วย อยู่แปดร้อยแปดสิบสี่ชั่วโมงกับเครื่องบินรุ่นนี้