รามิลได้แจ้งกับเลขาท่านทูตเปเรซไว้แล้วว่า จะขอพบทันทีที่ท่านคุยธุระเสร็จ จากนั้นเขาก็ไปทักทายท่านนายกฯตามมารยาท แต่ขณะที่กำลังเดินลับมุมตรงหน้าเวที จู่ๆ หญิงสาวคนหนึ่งก็ทำท่าว่ากำลังจะล้ม เขาจึงรีบเดินเข้าชิดโดยอัตโนมัติ เพื่อให้เธอได้เกาะไหล่เขาไว้เป็นหลักพยุงตัว
“ว้าย!! เอ่อ..ขอบคุณค่ะ” น้ำเสียงหวานเอ่ยขอบคุณเขาเป็นภาษาอังกฤษ
รองเท้าส้นสูงของรินรดากำลังพลิก ขาข้างหนึ่งเสียศูนย์ทำให้ตัวเอียง โชคดีว่าสุภาพบุรุษคนนี้ก้าวเข้ามายืนชิดทันทีที่เห็นเหตุการณ์ และจังหวะที่ร่างสูงเบี่ยงตัวเล็กน้อยทำให้เสื้อสูทเปิดออก ฝ่ามือซ้ายของเธอก็ทาบไปที่หน้าอกด้านซ้ายของเขา ผ่านเสื้อเชิ้ตเนื้อบางจนแทบจะเหมือนสัมผัสถูกกับเนื้อหนัง ฝ่ามือใหญ่ข้างหนึ่งของเขาจับข้อศอกเธอไว้ มืออีกข้างทาบลงบนหลังมือของเธออย่างไม่รู้ตัว
“อุ้ปส์!” รินรดาตกใจดึงมือออก เพราะเหมือนกับมีประจุไฟฟ้าช๊อตที่ฝ่ามือแล้วแล่นปราดมาตามแขนพุ่งเข้าสู่หัวใจ
องครักษ์ถลาเข้ามาพยุงให้เธอทรงตัวขึ้น หญิงสาวเหลือบสายตาไปเห็นสีหน้าของสุภาพบุรุษคนนั้น ซึ่งเห็นว่าเขาก็ตกใจเช่นเดียวกัน ดูเหมือนจะตัวแข็งค้างราวกับกำลังเกิดอาการช็อกจากอะไรสักอย่าง เธอกำลังกังวลว่าสาเหตุนั้นเกิดมาจากเธอหรือเปล่า
รดา..?!?
รามิลกำลังเกิดอาการช็อก เขาได้กลิ่นหอมที่คุ้นเคยบนร่างบอบบางระเหยเข้าจมูก ท่ามกลางแสงสลัวเขาเห็นดวงตาอันน่าหลงใหลของเธออยู่ใกล้เพียงไม่กี่นิ้ว ริมฝีปากแดงเนียนเผยอนิดๆ รู้สึกถึงลมหายใจหอมๆ ของเธอเป่ารดที่ริมฝีปาก ใบหน้างดงามนี้เขาจดจำได้ขึ้นใจทั้งในยามที่หลับและตื่น ไม่ว่าจะผ่านไปกี่ปีแล้วก็ตาม
ชายหนุ่มเคยเห็นศศิดาแต่งหน้าออกงานมาแล้ว จึงทำให้แน่ใจได้ทันทีว่า ผู้หญิงคนนี้คือคนที่เขาเฝ้ารอมาตลอดชีวิต คือคนที่ครอบครัวของศิดาคิดว่าไม่มีตัวตนอยู่ในโลกนี้แล้ว และชั่วขณะนั้นคำพูดของเธอก็พาดผ่านเข้ามาในความทรงจำ
…
“ผมจะรู้ได้ยังไง ว่าคุณมาหาผมแล้ว”
“เมื่อฉันหาคุณพบ ฉันจะวางมือที่ตรงนี้!” หญิงสาววางมือเรียวทาบที่ร่างสูง ตรงตำแหน่งเดียวกับหัวใจของเขา “คุณจะรู้สึกได้ทันทีว่าเป็นฉันเอง ขอบคุณนะคะที่ทำตามที่ฉันร้องขอ ไม่ให้ใครมาสัมผัสตรงหัวใจของคุณ!” รามิลวางมือซ้อนทับมือบอบบางของหญิงสาว
“ที่ตรงนี้ สำหรับคุณคนเดียวเท่านั้น! ตั้งแต่ผมเจอคุณครั้งแรกเมื่อตอนยังเด็ก จนถึงปัจจุบันนี้!”
…
หัวใจเขาเต้นโครมจนกระแทกอก แรงจนเกือบจะทำให้เจ็บแปลบ สติสัมปชัญญะที่เหลืออยู่บอกกับเขาว่าควรดึงมือเธอไว้ อย่าให้เธอหลุดลอยไปได้อีก แต่เขากลับไม่ขยับตัว ดวงตาดำลึกล้ำเอาแต่จับจ้องมองอย่างตกตะลึงและคาดไม่ถึง
คุณหญิงภริยาท่านนายก พอเห็นรินรดา ก็ตรงรี่มาแตะที่มือเธอด้วยความดีใจ โดยมองไม่เห็นว่ากำลังเกิดอะไรขึ้น นึกเอาเองว่าเป็นการจับกลุ่มคุยกันตามปกติ
“มิส! เจอตัวแล้ว! รบกวนไปกับดิฉันสักครู่นะคะ มีเจ้านายพระองค์หนึ่งอยากรู้จักคุณมากๆ เลยค่ะ!” หญิงสาวสะดุ้ง เพราะกำลังจ้องกิริยาแปลกๆ ของคนตรงหน้า จึงหันไปตามเสียง
“ได้ค่ะ ด้วยความยินดี เชิญค่ะคุณหญิง” รินรดาก้มศีรษะให้ชายหนุ่มที่ช่วยเธอไว้นิดหนึ่ง มองเขาอย่างเป็นห่วงเล็กน้อย แล้วเดินตามคุณหญิงไป
รามิลได้สติ เห็นหญิงสาวในอุดมคติกำลังจะเดินจากไป จึงก้าวเท้าจะเดินตาม แต่มีมือมารั้งต้นแขนเขาไว้ จึงหันมามองอย่างงุนงง
“คุณรามิล! เป็นอะไรหรือเปล่าครับ?”
“เอ่อ..มะ..ไม่เป็นไรครับ” ชายหนุ่มพูดจบก็หันไปมองยังทิศทางที่ตั้งใจจะไปแต่แรก แต่เขามองไม่เห็นหญิงสาวเสียแล้ว และคืนนี้คนที่ใส่ชุดโทนสีเดียวกัน ก็มีอยู่ไม่น้อย
เขายังยืนเหม่อลอยมองหาเงาของหญิงสาวที่เดินจากไป แต่เพียงชั่วครู่ก็เผยรอยยิ้มโง่งมออกมา ราวกับลอยละล่องอยู่กลางปุยเมฆ รู้สึกมีความสุขและอบอุ่นในหัวใจอย่างบอกไม่ถูก จนแทบอยากตะโกนออกมาดังๆ ให้คนทั้งโลกได้รับรู้ว่าเขาดีใจมากแค่ไหน เธอไม่ได้อยู่แค่ในจินตนาการอีกต่อไปแล้ว เธอมีตัวตนอยู่ในชีวิตจริง และกำลังหายใจในอากาศบริเวณเดียวกันกับเขา
“ท่านทูตว่างแล้วครับ ผมเลยมาเชิญให้คุณไปพบ ว่าแต่คุณไม่เป็นอะไรแน่นะ?”
“ครับ! ขอบคุณครับ ผมสบายดี” เลขาท่านทูตเหลือบสายตามองชายหนุ่มอย่างกังขา ท่าทางเขาดูผิดไปจากเมื่อไม่กี่นาทีที่แล้ว ลักษณะคล้ายคนจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวยังไงพิกลอยู่ ดูไม่น่าจะสบายดีอย่างที่พูดเท่าไหร่นัก
……………………
ท่ามกลางความมืดบอดี้การ์ดในสูทดำทั้งชุดสองคน กำลังเดินนำหน้าบุคคลสำคัญท่านหนึ่งไปยังสวนหย่อมของโรงแรม พอใกล้ถึงที่หมายเขาทั้งสองก็หยุดเดิน แล้วผายมือให้คนสำคัญท่านนั้นเดินไปเพียงลำพัง
ร่างสูงอันน่าเกรงขามเดินไปไม่กี่ก้าวก็หยุดยืนหลังต้นไม้ สายตาคมกริบจับจ้องไปที่ชายหนุ่มในชุดสูทสากลเต็มยศ และหญิงสาวชุดประจำชาติงดงามสง่า ทั้งสองกำลังจุมพิตกันอย่างดูดดื่มท่ามกลางแสงจันทร์โดยไม่สนใจสิ่งใดรอบข้าง บอดี้การ์ดมองหน้ากันเมื่อเห็นเจ้านายหนุ่มกำมือแน่น แล้วทุบไปที่ต้นไม้ตรงหน้าอย่างแรง ก่อนจะหมุนตัวเดินกลับมาทางพวกเขาอย่างฉุนเฉียว
“จับตาดูไว้ทุกฝีเก้า!”
“ครับผม!”
……………………
“ท่านหญิง! ทางฟร้อนแจ้งมาว่าชัยค์เคาะฮ์ไลลามาขอพบเชคฮ์อิสราร์ ตอนนี้รออยู่ที่ล็อบบี้ขอรับ”
“หืม? แหมตามติดไม่ปล่อยเลยแฮะ บอกให้รอสักครู่ จะไปเรียนให้เชคฮ์ทราบก่อน”
“ขอรับ”
“กระหม่อมได้แจ้งท่านหญิงให้ทราบแล้ว ทรงโปรดรอสักครู่!” องครักษ์ที่อยู่ด้านนอกห้องตะโกนต่อกันเป็นทอดๆ
“พี่สาวฉันเป็นใคร! ทำไมต้องให้พวกฉันมานั่งรอ หลีกไปให้หมดเดี๋ยวนี้! อย่ามาขวางทาง!”
เสียงก่นด่าอย่างเกรี้ยวกราดดังแว่วมาแต่ไกล จนค่อยๆ เคลื่อนความเอะอะโวยวายมาอยู่หน้าประตู และต้องมีการเอาปืนมาขู่แน่ๆ เพราะจู่ๆ เสียงห้ามปรามเซ็งแซ่ขององครักษ์ก็เงียบกริบราวกับปิดสวิตช์
ตึงๆๆๆ!!
เสียงตบประตูอย่างรุนแรงดังเข้ามาถึงด้านในห้อง รินรดาถอนหายใจ ความวุ่นวายระหว่างวันของเธอล่วงมาจนถึงยามดึกยามดื่นป่านนี้แล้วก็ยังไม่จบไม่สิ้น เห็นทีคงจะต้องออกไปรับหน้า ก่อนที่พี่ท่านจะกริ้วขึ้นมาจนองค์ลงบนศีรษะเธอ
รินรดาพยักหน้าให้เด็กไปเปิดประตู ทันทีประตูแง้มออกเนญ่าซึ่งโมโหจนควันออกหูมานานแล้ว ก็ผลักเข้ามาอย่างแรงจนเด็กรับใช้เซถลาไปนอนกองกับพื้น บานประตูไปปะทะกันกระแทกจนเกิดเสียงดังสนั่น คณะผู้บุกรุกในยามวิกาลก้าวเข้ามายืนทะมึนกลางห้องรับแขกทั้งนายทั้งบ่าวในลักษณะคุกคาม
“เชคฮ์อยู่ไหน? ไปเชิญออกมาเคลียร์! ทำไมถึงปล่อยให้คู่หมั้นและท่านอาที่เป็นผู้อาวุโสนั่งรออยู่ตั้งหลายชั่วโมงแบบนั้น!!” เนญ่าพูดออกมาเสียงดังอย่างไม่กลัวเกรงใคร เพราะศักดิ์และฐานะของบิดาและตระกูลของเธอ เป็นรองแค่สุลต่านเท่านั้น พอพูดจบก็เดินตรงลิ่วไปยังประตูห้องหนึ่งราวกับดมกลิ่นได้
รินรดารีบเข้ามาขวาง เตรียมจะเอ่ยปากห้ามอย่างสันติ แต่เนญ่าที่กำลังมีอารมณ์คุกรุ่น เมื่อเห็นคนที่ไม่ชอบหน้ามาอยู่ใกล้ๆ จึงยิ่งอารมณ์ขึ้น ผลักอีกฝ่ายหงายหลังไปกระแทกกับบานประตูอย่างไม่เกรงกลัวใดๆ แล้วก็ตรงรี่เข้ามาหมายจะตบสักฉาดสองฉาด เพราะรู้สึกขวางหูขวางตามานานแล้ว
ประตูห้องดังกล่าวถูกกระชากเปิดจากด้านใน ร่างบางของรินรดาหงายหลังไปปะทะอกของพี่ชาย มือแข็งแรงคว้าหมับ ที่ต้นแขนของเนญ่าค้างไว้ แล้วบีบอย่างไม่ปราณี
“โอ๊ย!!” เนญ่าร้องออกมาอย่างเจ็บปวด ใบหน้าเหยเก มองผู้มาใหม่ด้วยความหวาดกลัว
“ใครอนุญาตให้พวกเธอเข้ามาในนี้! ซ้ำยังมาทำร้ายคนของฉัน ไม่กลัวตายกันแล้วใช่ไหม?” น้ำเสียงเยียบเย็นทรงอำนาจ ตวาดลั่น แววตาลุกวาวดุจเปลวไฟ
“ฝ่าบาท! ขอประทานอภัยเพคะ เพราะหม่อมฉันถูกหญิงสามัญชนต่ำต้อยผู้นี้ล่วงเกิน จึงจำเป็นต้องสั่งสอนให้รู้จักที่ต่ำที่สูงเสียบ้าง!” เจ้าชายอิสราร์สะบัดมือที่จับเอาไว้ ราวกับถูกของร้อน มองผู้พูดด้วยสายตาดูแคลน
“ใครมอบความกล้าให้เธอ มาตัดสินว่าคนในตระกูลของฉันควรจะต่ำต้อยหรือสูงส่ง! ก่อนจะทำร้ายน้องสาวฉัน ก็ใคร่ครวญดูด้วยว่าสามารถแบกรับผลที่จะตามมาได้หรือไม่!” น้ำเสียงกร้าวแฝงกลิ่นอายอันตรายอันสุดหยั่งได้ไว้รางๆ เนญ่าตกใจในคำขู่ของเขา หันไปขอความช่วยเหลือจากพี่สาว
“พี่หญิง!”
ไลลาที่เฝ้ามองอยู่ด้านหลังเงียบๆ เหลือบตามามองน้องสาวผู้ที่ไม่รู้จักดูกาลเทศะ และประเมินสถานการณ์อย่างเฉยเมย โดยที่ไม่ได้คิดที่จะห้ามปรามเลยแม้แต่น้อย
ราชนิกุลสาวตวัดสายตาเชิงตำหนิที่ใช้มองน้องสาว มาจับจ้องที่ชายหนุ่มตรงหน้า ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่เจ้าตัวพยายามจะทำให้ดูอ่อนโยน แต่ก็ยังคงแฝงความหมายเสียดสีอยู่ในคำพูดอยู่เป็นนิสัย
“น้องสาวหม่อมฉันยังเด็กไม่รู้ความควรไม่ควร ประทานอภัยให้ด้วยเถอะเพคะ หม่อมฉันพักที่นี่ ได้ยินว่าฝ่าบาทก็พักอยู่ที่เดียวกันเลยมาเข้าเฝ้า แต่รออยู่นานแล้วก็ยังไม่ได้พบ ทำให้อดรู้สึกเป็นห่วงไม่ได้ เลยคิดไปเองว่าอาจจะทรงไม่สบายอย่างใดอย่างหนึ่ง เลยหลบหน้าหลบตา ด้วยความวิตกกังวลจึงไม่ได้ห้ามปรามน้องสาว เป็นความผิดของหม่อมฉันเองเพคะ”
“ในเมื่อเห็นแล้วว่าฉันสบายดี ก็กลับไปได้แล้วกระมัง?” ไลลาสะอึก เคยคิดอยู่ว่าเขาไม่ค่อยมีมารยาทของสุภาพบุรุษสักเท่าไหร่นัก แต่ไม่นึกว่าเขาจะขาดแคลนความเป็นผู้ดีมีตระกูล จนไม่มีหลงเหลืออยู่ในนิสัยได้ถึงขนาดนี้
แต่ถึงแม้กิริยาอาการที่ไร้มารยาทของเขา จะทำให้หญิงสาวอึดอัด และรู้สึกไม่พอใจอยู่บ้าง แต่เธอก็เลือกที่จะทำหน้านิ่ง และข่มอารมณ์เอาไว้ บุคลิกหน้าตาความโดดเด่น และความเก่งกาจของเขา ทำให้เธอเสียดาย จนไม่สามารถตัดใจจากความสัมพันธ์นี้ ไปได้ง่ายๆ เพราะทั้งประเทศเธอเห็นเพียงเขาเท่านั้นที่เหมาะสมกับศักดิ์และฐานะของเธอ และเป็นสิ่งที่เขาควรจะตระหนักไว้ด้วยว่าการหมั้นหมายที่ถูกกำหนดไว้แล้วนี้ ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงหรือยกเลิกได้
“ฝ่าบาทคงไม่ได้ลืมไปใช่ไหม ว่าเราเป็นอะไรกัน!”
“เราเคยเป็นอะไรกันด้วยเหรอ?” ชายหนุ่มย้อนถามด้วยน้ำเสียงหยามหยัน
ไลลามองดูสายตาเชือดเฉือน สีหน้ากระด้างเยียบเย็นดุจน้ำแข็ง เสียงทุ้มหนักแฝงแววคุกคามเหยียดหยาม อานุภาพของทุกถ้อยคำที่เอ่ย สามารถทำให้หญิงสาวสูงศักดิ์ สั่นสะท้านขึ้นมาในใจ รู้สึกถึงแรงกดดันที่ถาโถมเข้ามาอย่างบอกไม่ถูก
“ฝ่าบาท! อย่าข่มเหงน้ำใจกันเกินไปนักนะเพคะ หม่อมฉันไม่ได้เป็นคนมีความอดทนสูงสักเท่าไหร่ ถ้าไร้มารยาทมากนัก ก็อย่าหาว่าหม่อมฉันไร้น้ำใจตอบ!” นิ้วมือกำเข้าหากันแน่นโดยไม่รู้ตัว ฝืนข่มระลอกคลื่นในใจลึกๆ เอาไว้
“แล้วแต่เธอจะเห็นสมควรเถอะ! ฉันก็ไม่เห็นด้วยกับกฎของราชวงศ์มาตั้งแต่แรกอยู่แล้ว และปฏิเสธมาตลอดเรื่องที่จะเอาญาติพี่น้องมาทำเมีย!” และเขายังรู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมากที่ตระกูลของอีกฝ่าย กระเหี้ยนกระหือรือบังคับให้เขาต้องเข้าพิธีให้ได้ โดยไม่ฟังคำปฎิเสธเลยแม้แต่น้อย
“ฝ่าบาท!” ไลลาอุทานออกมา ความอดทนของเธอกำลังจะสิ้นสุด การกระทำที่หมิ่นเกียรติของเขา ทำให้เธอแทบอยากจะตัดขาดเสียเดี๋ยวนี้ ได้แต่กล้ำกลืนความไม่พอใจเอาไว้ก่อน สักวันหนึ่งเธอจะเอาความอวดดื้อถือดีของเขา มาสยบลงแทบเท้าแล้วเหยียดหยามอย่างไร้ศักดิ์ศรีให้จงได้
“เจ้าชายอิสราร์! แล้วเราจะได้เห็นดีกัน!” ไลลากัดฟันพูดออกมา แล้วสะบัดหน้าเดินจากไปทันที
เนญ่าที่ตกตะลึงจนทำอะไรไม่ถูก ยืนขาแข็งราวกับถูกสาปให้อยู่กับที่ ในใจพลันแตกสลาย ความวาดหวังที่เคยใฝ่ฝันมาตั้งแต่เริ่มเป็นสาว แตกออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยต่อหน้าต่อตา
เธอริษยาพี่สาว เพราะแอบชอบคู่หมั้นอีกฝ่ายมาโดยตลอด วิธีเดียวที่สามารถจะทำให้ฝันเป็นจริงได้ คือยอมเป็นเบื้องล่างให้อีกฝ่ายกดขี่ เพื่อที่จะอนุญาตให้เธอได้อยู่ใกล้กับเขาในอนาคต
แต่ตอนนี้เล่า?? ทุกอย่างกำลังจะสูญเปล่าไปแล้วใช่ไหม?
เนญ่าแค้นใจในท่าทีของบุรุษตรงหน้า จนแทบจะหลั่งน้ำตา เธอรู้นิสัยของพี่สาวเป็นอย่างดี โอกาสของเธอเป็นไปไม่ได้อีกแล้ว
“อะไรนะ!! มันกล้าพูดออกมาแบบนี้!?!” ท่านอักมัลตะคอกออกมาด้วยน้ำเสียงโกรธขึ้ง รู้สึกอารมณ์เสียแต่เช้าเมื่อรู้ว่าลูกสาวสุดรักสุดหวงถูกเหยียดหยาม ความไม่พอใจจากเหตุการณ์ในอดีตที่ผ่านมา นับจนถึงตอนนี้จึงมีมากเป็นทวีคูณ“เพคะ! ท่านพี่โมโหจนเกือบเสียกิริยาออกไป ท่านพ่อต้องอย่าปล่อยให้เขามาหยามเกียรติตระกูลของเรานะเพคะ!” เนญ่ารู้ว่าการที่สาดน้ำมันราดเข้ากองไฟให้ยิ่งลุกโหม จะทำให้ได้ผลลัพธ์ที่ตัวเองต้องการ เพราะพี่สาวเป็นคนที่ชอบเอาชนะ และบิดาก็จะต้องทำทุกทาง เพื่อให้ลูกสาวคนโปรดได้ทุกอย่างสมดังใจผู้เป็นพ่อมองลูกสาวคนโตที่นั่งเงียบอย่างใช้ความคิด เขาเพิ่งจะได้รับข่าวการเคลื่อนไหว ของคนผู้หนึ่งก่อนที่จะมาทีแลนด์ และไม่แน่ว่าบุคคลผู้นี้ จะนำพาเขาและลูกสาวไปถึงเป้าหมายได้เร็วกว่าการแต่งงานกับอิสราร์เสียอีก เพียงแต่คิดว่าจะทำยังไงให้เธอเห็นด้วยกับวิธีของเขา และยอมทำตามอย่างไม่มีเงื่อนไข“มันหยามเกียรติลูกกี่ครั้งแล้ว นับวันยิ่งหนักข้อขึ้นทุกที แล้วอย่างนี้ยังต้องการแต่งงานกับมันอยู่อีกรึ?” เขาหันไปถามลูกสาวสุดรักสุดหวงอย่างขัดใจ“แต่ลูกมองไม่เห็นใครที่โดดเด่น และเหมาะสมกับลูกเท่ากับเขาอีกแล้ว!”
พริมโรสหันหลังให้เวทีทันที เมื่อเห็นผู้แทนพิเศษจากเปเรซขึ้นไปยืนจับมือกับบรรดาผู้นำแต่ละประเทศ เพื่อให้ผู้สื่อข่าวได้ถ่ายรูป หญิงสาวกวาดสายตามองไปรอบห้อง แสกนหาสิ่งผิดปกติจากความเคลื่อนไหวเพื่อความเรียบร้อย จากนั้นล้วงโทรศัพท์ออกจากกระเป๋าเสื้อ รีบกดเปิดแอปพลิเคชันแชทเลือกชื่อผู้รับ แล้วพิมพ์ข้อความบางอย่างลงไปอย่างรวดเร็ว กดปุ่มส่งแล้วสอดเก็บในเสื้อสูททันทีโดยที่ไม่ได้ดูหน้าจอด้วยซ้ำ“ฉันนี่แทบจะกรีดร้อง! ทำไมเจ้าชายเปเรซถึงงานดีขนาดนี้นะ!” พริมโรสเหลือบตาดูคนตรงหน้า เห็นนักข่าวคนหนึ่งหน้าตาแดงระเรื่อ แววตาคลั่งไคล้ ยกหลังมืออุดปากทำท่าคล้ายอยากจะกรีดร้องออกมาจริงๆ“ใช่ๆ เห็นแล้วน้ำเดิน! งานดีขนาดนี้ไม่ควรมีคนเดียวในโลกจริงๆ!”ข้างบนเวทีถ่ายรูปเสร็จแล้ว และกำลังทยอยเดินกันลงมา เจ้าชายหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดดูข้อความที่เข้ามาก่อนหน้านี้ พลันปากอ้าตาค้าง สีหน้าเปี่ยมไปด้วยความไม่อยากเชื่อ ตะลึงงันจนขาชะงักนิ่งยืนอยู่กับที่ แต่แล้วก็ยกยิ้มมุมปากอย่างยากสังเกตเห็น ความยโสบนใบหน้าหายไปอย่างไร้ร่องรอย แววตาอ่อนโยนทอดมองไปยังแผ่นหลังเล็กบางของคนที่อยู่ข้างหน้าเวทีด้านล่างอย่างอบอุ่น“ตายแล้ว
ฝ่ายองครักษ์ชักปืน ยิงปะทะกับคนร้ายเสียงลั่นสนั่นเมือง จนรถยนต์ที่สัญจรไปมาทางฝั่งคู่ขนาน ต้องหักรถหลบเบี่ยงหนีวิถีกระสุนกันเป็นการใหญ่ ชายหนุ่มสะดุ้งสุดตัว พร้อมกับเปล่งเสียงอุทาน รู้สึกเหมือนถูกบางอย่างกระแทก และเจาะเข้าไปในผิวเนื้อที่ขาอย่างรุนแรง ก่อนจะรู้สึกหนักและชาไปทั้งแถบ แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้คลายแรงที่กอดรัดร่างเล็กบางออกแม้แต่น้อยแต่แล้วเสียงรัวสาดกระสุนนัดแล้วนัดเล่าก็หยุดลง พร้อมกับร่างของคนร้ายที่ถูกระดมยิงจุดตายที่ไร้สิ่งป้องกัน จนเป็นรูพรุนไปทั่วใบหน้า และลำคอ แทบมองไม่เห็นเนื้อดี อาบด้วยสีแดงฉานที่เต็มไปด้วยเลือดทั่วทั้งร่าง นอนแผ่หราท่ามกลางปลอกกระสุน ที่ร่วงกราวราวกับลูกเห็บอย่างน่าสยดสยอง“ฝ่าบาท! ฝ่าบาท! หัวหน้า!” บรรดาองครักษ์ที่รอดชีวิตกรูกันมาดึงร่างที่ไร้ชีวิต ของเพื่อนร่วมงาน ที่นอนทับถมบนตัวของเจ้านายออก “โรส! คุณเป็นไงบ้าง?” เสียงทุ้มกระซิบถามเสียงแผ่วโหย ดูอ่อนแรงอย่างผิดปกติ“หม่อมฉันจะไม่กินกล้วยทับอีกเลยตลอดชีวิต!” หญิงสาวพูดเล่นด้วยความโล่งใจหวังจะให้เขาหัวเราะ แต่เขากลับหน้าซีดจนแทบไม่มีสีเลือด“โอ๊ย!!” ชายหนุ่มร้องออกมาอย่างเจ็บปวด แล้วกัดฟันแน่
“หัวหน้าจากสัญญาณจีพีเอส เป้าหมายอยู่อาคารทางขวามือนี้ครับ!”“เลี้ยวเข้าไปเลย!”คนขับรถได้เลี้ยวเข้าไปในโมเทล และจอดใกล้กับตำแหน่งของหมุดที่ปักอยู่บนแผนที่ในสมาร์ทโฟน ซึ่งอยู่ด้านหน้าที่จอดรถของห้องหนึ่งที่มีม่านปิดบังไว้อย่างมิดชิด ชายฉกรรจ์ร่างกำยำที่มีรอยแผลเป็นตรงกึ่งกลางคิ้วซ้าย ได้เปิดประตูลงมาจากรถเป็นคนแรก พร้อมชักอาวุธออกมาจากซองปืนข้างเอวมาเตรียมพร้อมไว้ในมือ ตามมาด้วยชายคนที่ถือสมาร์ทโฟน เขามีหน้าที่คอยตรวจจับหาสัญญาณจีพีเอสจากชิปติดตามตัวของเชื้อพระวงศ์พระองค์หนึ่ง คนขับรถเปิดประตูลงมาทีหลัง แต่เดินนำหน้าไปก่อนอย่างรวดเร็ว เขายื่นมือกำผ้าม่านที่บังสายตาสะบัดไปข้างหนึ่งให้เปิดออกกว้าง แล้วเบี่ยงตัวหันไปมองชายที่มีรอยแผลเป็นที่เดินตามมาด้านหลัง ซึ่งก็พยักหน้าเป็นการยืนยันทันที ที่เห็นว่าเป็นรถยนต์ของเป้าหมายที่กำลังตามหาอยู่ชายคนที่ทำหน้าที่ตรวจจับสัญญาณ มองที่หน้าจอสมาร์ทโฟน ตรงตำแหน่งปัจจุบันของลูกศร เขาเงยหน้าขึ้นแล้วชี้นิ้วทำสัญญาณมือไปยังห้องที่ปิดสนิทอยู่นั้นคนขับรถชักปืนออกมาเตรียมพร้อม แต่ขณะที่กำลังจะเดินตรงไปที่ประตู กลับมีเสียงโหวกเหวกโวยวายดังขึ้น ที่ด้านหลัง
“ฝ่าบาท…ชัยเคาะฮ์ไลลามาขอพบพ่ะย่ะค่ะ” เจ้าชายอิดรีส กำลังดูข่าวเหตุการณ์ระเบิด ที่ศูนย์ประชุมนานาชาติในทีวี พอได้ยินชื่อของคนที่มาพบจึงเลิกคิ้วสูงอย่างแปลกใจไลลาเดินตามหลังเด็กรับใช้เข้ามาด้านใน ฝืนข่มความรู้สึกหวาดหวั่นอยู่ในใจลึกๆ เนื่องจากเคยได้ยินคำเล่าลือเกี่ยวกับอุปนิสัยของท่านลุงซึ่งเป็นบิดาของเขา ที่มีพฤติกรรมคล้ายกับพวกไซโคพาธ ที่มีความผิดปกติทางจิตใต้สำนึก ขาดความยับยั้งชั่งใจ ไม่เกรงกลัวต่อการกระทำผิด อย่างการลอบวางยาพิษสังหารบิดา ทั้งยังปลอมแปลงพระบรมราชโองการแต่งตั้งตัวเองเป็นกษัตริย์ เขาซึ่งเป็นลูกชายย่อมมียีนที่ไร้จิตสำนึก ของฆาตกรถ่ายทอดมาทางพันธุกรรม มาบ้างเป็นแน่ แต่ระดับของความรุนแรงจะน้อยหรือมาก คงขึ้นอยู่กับการเลี้ยงดูในวัยเด็กประกอบไปด้วยเธอได้ยินมานานแล้วว่า เขาเป็นคนเก็บตัวไม่ออกสื่อ ทั้งยังเป็นพวกชอบต่อต้านสังคม เย็นชาและไม่แยแสกับทุกสิ่งรอบตัว และอีกกระแสหนึ่งก็บอกว่าเขาเป็นพวกเพลย์บอยเจ้าชู้เสเพล เป็นด้านมืดที่ไม่เปิดเผยให้ใครได้เห็น ยิ่งทำให้เธอมั่นใจว่าเขาคงมีความสับสนเกี่ยวกับบุคลิกภาพในตัวเองอยู่พอสมควร และคงได้รับความผิดปกตินั้นมาด้วยเป็นแน่แท้ เพีย
พนักงานส่วนใหญ่เลิกงานแล้ว แต่รามิลกับเลขายังต้องอยู่ล่วงเวลาเป็นประจำทุกวัน เขากำลังเซ็นเอกสารอนุมัติ พลันเหลือบไปเห็นแสงสว่างที่หน้าจอโทรศัพท์มือถือที่วางอยู่ข้างแฟ้ม จึงสไลด์กดรับแล้วเปิดสปีคเกอร์โฟน“พี่ชาย!”“ว่าไง! มีอะไรด่วนหรือเปล่าโทรมาป่านนี้?”“ยายหนูค่ะ อยู่ๆ ก็หลับไปยี่สิบชั่วโมง เป็นแบบนี้มาสองวันแล้ว ศิดากับคุณรามเลยพาแกไปโรงพยาบาล หมอวินิจฉัยว่าเป็นโรคเจ้าหญิงนิทราที่ทำให้อยู่ในภาวะหลับนาน แกตื่นมาตอนหิวแล้วก็กินเยอะมาก จำใครไม่ได้เลยเหมือนกำลังละเมอ แล้วก็หลับไปอีก พี่ชายจะมาเยี่ยมแกหน่อยไหมคะ?”“ภาวะแทรกซ้อนอื่นล่ะ?”“ไม่มีค่ะ แสกนสมองก็ปกติ คุณหมอยังแปลกใจ”“เคยล้มหรือได้รับความกระทบเทือนถึงสมองหรือเปล่า ทำไมหลับมาราธอนขนาดนั้น?”“ไม่เคยเลยค่ะ ศิดายืนยัน! และนี่แหละที่คุณหมอยังหาสาเหตุไม่ได้ เพราะคนในครอบครัว ก็ไม่มีใครมีความผิดปกติในเรื่องนี้เลย.. พี่ชาย! ยังมีอีกเรื่องหนึ่งค่ะ! เลขาศิดาเพิ่งจะเอามาให้ดู มีบทสัมภาษณ์ของเจ้าชายเปเรซพระองค์หนึ่งในแมกกาซีน ทีนี้มีอยู่ภาพหนึ่งถ่ายติดหญิงสาวที่ยืนอยู่ด้านหลังท่าน หน้าเหมือนศิดาราวกับฝาแฝดเลยค่ะ ถึงแม้จะหันข้างแต่ดูยังไง
เขาถอนปากออกมาเล็กน้อย ก่อนจะขยับใบหน้าแนบชิดสัมผัสกับกลีบปากนุ่มอีกครั้ง ขบเม้มอย่างอ้อยอิ่ง บดคลึงแล้วดูดดึงซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนริมฝีปากอิ่มบวมแดงไปหมด ยิ่งสัมผัสก็ยิ่งรู้สึกถึงความหอมหวาน ไม่ว่าจะตักตวงเท่าไหร่ก็ยังรู้สึกว่าไม่เพียงพอร่างเล็กบางประกบอยู่ระหว่างความร้อนผ่าวจากตัวเขา และความแข็งเย็นของผนัง แผงอกหนาภายใต้เนื้อผ้าเสียดสีกับความอวบอิ่มใต้บราเนื้อบางอย่างจงใจต้นขาด้านในถูกความแข็งนูน ที่กำลังร้อนจัดจากร่างของเขาแผดเผาทั้งที่มีเสื้อผ้ากีดขวางอยู่ ความรู้สึกเสียวซ่านยากจะบรรยายเกิดขึ้นจากจุดที่อ่อนไหวแล้วค่อยๆ ลุกลามแผ่ซ่านไปทั่วท้องน้อยพร้อมกับความวาบหวิวที่แทรกซึมไปทั่วทั้งร่าง แรงต่อต้านของเธอแทบจะไม่มีเหลือแล้วชายหนุ่มครางเสียงต่ำในลำคอ ปลายลิ้นว่องไวไล้ความชุ่มชื้นตรงผนังด้านในริมฝีปากล่างนุ่มอุ่น ก่อนจะถอนริมฝีปากออก ลมหายใจเป่ารดอยู่ที่ใบหูบอบบางเบาๆ ขณะที่ฝ่ามือใหญ่ อุ่นร้อนสอดเข้าไปใต้บราเนื้อบางทางด้านหลัง แล้วปลดตะขออย่างคล่องแคล่ว ลูบไล้แผ่นหลังที่ร่างเปลือยเปล่า นุ่มเนียนมืออย่างอดใจไม่ไหว จากนั้นก็ค่อยๆ เลื่อนมาด้านหน้าแล้วกอบกุมไว้เต็มในอุ้งมือ เคล้นคลึงความ
ฮัลดาเดินตามองครักษ์มายังห้องที่เขาบอกว่าเชคฮ์อิสราร์ให้เธอมาหา ซึ่งอยู่สูงกว่าชั้นที่เธอพักสองชั้น เธอดูข่าวลอบวางระเบิดจากในทีวีรู้สึกเป็นห่วงเขามาก จึงทิ้งงานทุกอย่างในมือแล้วรีบเดินตามมาอย่างรวดเร็วองครักษ์แง้มประตูทิ้งไว้ ทำให้เห็นว่าภายในมืดมาก มีเพียงไฟจากนอกหน้าต่างลอดผ่านเข้ามาได้เท่านั้น เธอค่อนข้างกลัวความมืดจึงเดินเข้าไปด้วยความรู้สึกที่หวาดหวั่นนิดๆ ปัง!!ฮัลดายืนสะดุ้งสุดตัวเมื่อได้ยินเสียงประตูปิดดังสนั่น ยกมือทาบหน้าอก ยืนตัวสั่นเทาอยู่กลางห้องด้วยความตกใจ“ว้าย!” หญิงสาวกระโดดหนีไปทางหนึ่ง เมื่อเห็นเงาวูบวาบเข้ามาใกล้ แต่พอเห็นร่างนั้นถนัดตาก็ยิ่งตกตะลึงเธอจำเขาได้ คืนที่เธอเสียความบริสุทธิ์ครั้งแรกเขาก็ใส่หน้ากากสีทองครึ่งหน้าแบบนี้ ในตอนนั้นเธอไม่รู้ว่าชายลึกลับเป็นใครจึงดิ้นรนขัดขืน ทำให้ไข้ขึ้นนอนซมเพราะป่วยไปหลายวัน เพราะยิ่งดิ้นเขายิ่งกระทำชำเราอย่างรุนแรงจนเจ็บระบมไปหมด เป็นเวลานานกว่าจะหนำใจเขา แล้วก็จากไปท่ามกลางแสงสลัว เหลือเพียงกระดุมเม็ดหนึ่งทิ้งไว้เท่านั้นเธอดูแลเสื้อผ้าเขาอยู่มีหรือจะไม่รู้ว่ากระดุมที่มีตัวอักษรไอเอสนั้นเป็นของใคร และพอไปตรวจดูก็พบว่
“ฮ่าๆๆ ไง! ถึงกลับโกรธจนตัวเนื้อสั่นเลยเหรอ เป็นยังไงบ้างล่ะ รสชาติของการสูญเสีย ขมขื่นถึงอกถึงใจดีไหม?” คำพูดประโยคนี้ของเขาทำให้หญิงสาวแน่ใจได้ทันทีว่าอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นนี้ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ“ฉันเกลียดแกจนอยากจะเป็นคนถ่อย จะได้ถ่มถุยใส่หน้าส้นตึกของแกให้สาสมกับความรู้สึกขยะแขยง!” ชารีฟหรือณัทธรสะอึก เมื่อเจอความโกรธเกลียดอย่างรุนแรงจากผู้หญิงที่เขารัก“เกลียดฉันงั้นรึ? ต้องเป็นฉันไหมที่จะพูดประโยคนั้น แทบไม่อยากจะเชื่อเลยว่า เธอจะลืมฉันได้อย่างง่ายดายและไปแต่งงานใหม่!"“ฉันไม่ได้แต่งงานใหม่! นี่เป็นการแต่งงานครั้งแรกและครั้งเดียวของฉัน และอะไรคือลืมได้อย่างง่ายดาย? นายหนีตายไปเป็นปีๆ แล้วฉันจะต้องไปบวชชี เพื่ออุทิศส่วนกุศลให้นายด้วยอย่างนั้นรึ! เรารักกันดูดดื่มขนาดนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่? ก่อนที่นายจะฆ่าพ่อฉัน เขายังพูดไม่ให้ฉันยึดติดกับตัวเขาเลย! ตรรกะของนายมันบิดเบี้ยวเป็นเวย์เดียวกับพวกโรคจิต ที่นายกับฉันมาถึงจุดนี้เป็นเพราะการตัดสินใจเลือกของตัวเองทั้งนั้น อย่าเอาฉันมาเป็นข้ออ้างเพื่อปกปิดยีนขี้แพ้ในตัวหน่อยเลย!”“ไม่ต้องมาทำปากดียั่วอารมณ์ให้ฉันรู้สึกละอายใจหรอก คำพูดยั่วยุของ
“ฮัลโหล? ว่าไง?”“ไอ้ชารีฟ! ไอ้ห่วย! สายของแกทำงานยังไงวะถึงได้รายงานผิดพลาด! เป้าหมายไปเส้นทางอื่นไม่ได้เฉียดมาทางนี้เลยด้วยซ้ำ!!”“จะเป็นไปได้ยังไง? ไม่ผิดแน่ๆ!! นายดักซุ่มอยู่ที่นั่นแหละเผื่อว่าจะเป็นแผนลวง!”ชารีฟหรือณัทธร กดปุ่มตัดสาย แล้วดึงหูฟังบลูทูธออกอย่างหงุดหงิด จะเกิดการผิดพลาดไปได้ยังไง ในเมื่อเขาเพิ่งจะได้รับการยืนยันเส้นทางมาจากสายที่แฝงตัวอยู่ในกลุ่มผู้ใต้บังคับบัญชาของเชคฮ์อิสราร์เมื่อไม่กี่นาทีมานี้เองหรือว่าเปลี่ยนเส้นทางกระทันหัน??เขาคิดว่าน่าจะมีการเปลี่ยนแปลงแบบฉุกเฉินมากกว่าการที่อีกฝ่ายจะรู้ตัวว่ามีข่าวรั่วไหลชายหนุ่มยกนาฬิกาข้อมือขึ้น เพื่อดูเวลาก่อนการตัดสินใจ ในเมื่อภารกิจลอบสังหารเชคฮ์อิสราร์ได้ผิดพลาดไปแล้ว เขาเลยคิดว่าไปปิดจ๊อบหนี้เก่าของตัวเองก่อนจะดีกว่า แล้วค่อยกลับไปรายงานภารกิจที่ล้มเหลว ซึ่งถ้ารีบไปตอนนี้ก็น่าจะไปทันเวลากับที่เป้าหมายขับมาถึงในจุดที่เขากำหนดเอาไว้ในแผนพอดี…ชารีฟหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมา เปิดแอพพลิเคชันที่ใช้ตรวจสอบสัญญาณจีพีเอส เพื่อหาตำแหน่งปัจจุบันของรถเป้าหมาย ซึ่งก็เห็นในแผนที่ว่ารถยนต์คันดังกล่าว กำลังจะแล่นผ่านสี่แยกไฟแดง
ความร้ายกาจของบิดาที่เธอได้ยินจากปากของคนอื่น เป็นเหมือนหนามแหลมคม ที่คอยทิ่มแทงจิตใจอยู่ตลอด แต่กระบวนการให้อภัย พยายามดิ้นรนที่จะผลักความคิด และความรู้สึกด้านลบเหล่านี้ออกไป ด้วยการจดจ่อกับความรัก และความทรงจำดีๆ นึกถึงช่วงเวลาที่ยากลำบาก ที่เขามักจะแบกรับความเจ็บปวดเหล่านั้นไว้แทนอยู่เสมอ แล้วผลักดันให้เธอก้าวข้ามผ่านช่วงเวลาเลวร้ายนั้นไปให้ได้ ฝึกฝนเธอให้เข้มแข็ง สอนให้ยอมรับทุกความผิดพลาด และความล้มเหลว แล้วเรียนรู้ที่จะเยียวยาตัวเองเพื่อปิดกั้นทุกความเจ็บปวดเธอรู้ดีว่าการยึดติดกับความรู้สึกในทางลบ รังแต่จะเพิ่มความทุกข์ให้กับชีวิตมากขึ้น และขัดขวางไม่ให้หัวใจได้พบกับความสงบสุข แต่การที่จะละวางด้วยการให้อภัยนั้น ก็ทำให้เกิดความรู้สึกผิด ต่อบุคคลที่ต้องเสียชีวิตไปอย่างไม่เป็นธรรมนั้นด้วยเช่นกันแต่เมื่อมองในมุมกลับกัน เขาก็เป็นเพียงแค่มนุษย์คนหนึ่ง ซึ่งไม่ว่าใครก็สามารถทำผิดได้ เธอเองก็ไม่ได้รับการยกเว้น ความผิดหวังมักจะทำให้คนเราจมอยู่กับอดีต จนลืมมองความสุขที่กำลังได้รับอยู่ในปัจจุบัน และกำลังจะตามมาอีกมากมายในอนาคต จึงเป็นความคิดที่โง่เขลาอยู่ไม่ใช่น้อย ถ้าเรายังหยุดอยู่ที่ควา
“ตรวจสอบชายสองคนที่สิบสองนาฬิกา ประตูทางเข้าด้านนอก ในมือถือผ้าสีดำห่อหุ้มวัตถุลักษณะเป็นแท่งยาวทรงกระบอก เปลี่ยน!”“แลนด์โรเวอร์สีดำขับเข้ามาจอดหน้าประตูทางเข้าออกของพนักงานชั้นใต้ดินสองคัน คันหนึ่งประมาณห้าคนใส่ชุดพนักงานรักษาความปลอดภัยเดินเข้าไปด้านใน มีอาวุธปืนติดตัว เปลี่ยน!”“ประตูทางออกอาคารผู้โดยสารหนึ่งที่เก้านาฬิกา พนักงานรักษาความปลอดภัยกำลังลากโซ่ตะปูเรือใบมาขวางถนน คาดว่าไม่ใช่เจ้าหน้าที่ของสนามบิน เปลี่ยน!”“ประตูทางออกฉุกเฉินของอาคารผู้โดยสารสอง ทางสะดวก ชาลีทีมเตรียมพร้อม รอรับคำสั่ง เปลี่ยน!” เสียงรายงานผ่านวิทยุสื่อสารเข้ามาเป็นระยะๆ หลังจากที่กระจายกำลังไปประจำตามจุดสำคัญต่างๆ เพื่อสังเกตความเคลื่อนไหวของฝ่ายตรงข้าม“พวกมันเริ่มทยอยกันเข้ามาแล้ว แจ้งเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยให้เตรียมอพยพประชาชนหากมีเหตุฉุกเฉิน! แจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจกับดับเพลิงหรือยัง?”“เรียบร้อยแล้วพ่ะย่ะค่ะ!”“อืม ถ้าพร้อมแล้วก็ไปกันตอนนี้เลย!”“รับคำสั่ง!” องครักษ์รับคำสั่งแล้วแจ้งแต่ละทีมผ่านวิทยุสื่อสารทันที “อัลฟ่าทีมเคลียร์พื้นที่ บราโวเตรียมรถบรรทุกเปิดทางออกแล้วรอรับคำสั่ง ชาลีทีมวีไอพีเ
ไลลานอนตัวอ่อนระทวยอยู่ครู่หนึ่ง สักพักก็ขยับตัวยกศีรษะขึ้นมานอนหนุนแขนแข็งแรงข้างหนึ่งของสามี เบียดเรือนร่างบอบบางเข้าชิดเพื่อขอความอบอุ่นจากร่างกายของเขา ซึ่งชายหนุ่มเองก็เพิ่งผ่อนคลายจากอาการหัวใจเต้นแรง หายใจหอบเหนื่อย เขาพลิกตัวตะแคง รั้งต้นขาของหญิงสาว ให้ขึ้นมาก่ายเกยอยู่ครึ่งๆ บนร่างกายของเขา ขาของเธอเบียดชิดจนเขารู้สึกอบอุ่นและชุ่มชื้นในซอกลี้ลับ ไล้ฝ่ามือจากโค้งสะโพกเลยมาถึงต้นขา ลูบผิวเรียบเนียนไปมาเบาๆ เป็นจังหวะอย่างเพลิดเพลิน พร้อมๆ กับปลอบโยนให้เธอคลายความอ่อนเพลีย เพื่อเข้าสู่โหมดพักผ่อน “ฝ่าบาทเพคะ?” “หืม?” ชายหนุ่มผงกศีรษะขึ้นมองอย่างแปลกใจเมื่อได้ยินเสียงของอีกฝ่าย ซึ่งเขาคิดว่าน่าจะเคลิ้มหลับไปแล้ว“คืนนี้เนญ่าเขาประกาศว่าจะเข้าหอกับฝ่าบาท แล้วทำไมพระองค์ถึงมาหาหม่อมฉันล่ะเพคะ?”“ก็ไม่อยากจะมา ตั้งใจจะสั่งสอนให้รู้สำนึกเสียหน่อยว่า การผลักดันให้ผัวไปมีผู้หญิงอื่น โดยไม่เต็มใจนั้นน่ะมันจะให้ผลยังไง แต่เผอิญว่าเห็นคนบางคน น้ำตาคลอเบ้าเลยมาดูเสียหน่อย ไม่รู้ว่าเสแสร้งแกล้งทำ หรือรู้จักที่จะหึงหวงผัวขึ้นมาบ้างแล้ว!”“หึงจริงๆ น่ะแหละเพคะ” ไลลายอมรับออกไปตรงๆ ถึงแม้ใ
กัปตันลุกขึ้นแล้วเดินออกประตูไปก่อน ผงกศีรษะให้นิดหนึ่งเมื่อเห็นพริมโรสยืนอยู่หน้าประตู เจ้าชายอิสราร์ยืนมองหญิงสาวผ่านช่องประตูห้องนักบินอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเอื้อมมือมาคว้าแขนเรียวเล็กดึงเข้ามาปะทะอกกว้าง รวบร่างบางเข้ามากอดรัดอย่างแนบแน่น ฝ่ามือข้างหนึ่งประคองไว้หลังศีรษะ แล้วบดขยี้ริมฝีปากร้อนระอุกับริมฝีปากนุ่มอย่างหิวกระหาย เร่าร้อนและดุเดือด เพราะอะดรีนาลีนที่หลั่งออกมาหลังจากเพิ่งจะผ่านเหตุการณ์เฉียดตาย กระตุ้นให้อารมณ์ของเขาพลุ่งพล่าน“อื้อ!..” ปลายลิ้นเงอะงะถูกดูดดุนและเกี่ยวกระหวัดไว้ด้วยลิ้นเร่าร้อนของอีกฝ่ายโดยไม่เปิดโอกาสให้ได้พักหายใจ ทำให้เกิดเสียงประท้วงแผ่วๆ ในลำคอ“ที่รัก~..ผมรักคุณ” เขาถอนริมฝีปากออก กระซิบเสียงแหบพร่าแนบชิดกับริมฝีปากนุ่มอุ่น เรียวลิ้นไล่ระไปบนริมฝีปากของอีกฝ่าย ก่อนประทับริมฝีปากลงมาอีกครั้ง หญิงสาวยกท่อนแขนขึ้นโอบรอบลำคอเขาไว้ ตอบรับจุมพิตด้วยจังหวะที่สอดรับกันเป็นอย่างดี เบียดร่างบอบบางเข้าแนบชิดร่างกำยำอย่างออดอ้อน ฝ่ามือหนาของเขาลูบไล้ไปตามแผ่นหลังไล่ลงไปถึงโค้งสะโพกกลมมนแล้วกดเข้าหาลำตัวตามแรงอารมณ์ที่กำลังเพิ่มมากขึ้น“เอ่อ..ทูลฝ่าบาท พายุท
รินรดานั่งเหม่อกำโทรศัพท์ไว้ในมือ หลังจากเพิ่งจะวางสายจากรามิล เขาสัญญาว่าจะรีบเคลียร์งานให้เรียบร้อย และจะตามไปหาที่เปเรซภายในสองวันเธอรู้สึกไม่สบายใจเมื่อนึกถึงความฝันเมื่อคืนที่ผ่านมา แสงสว่างที่ลอยละล่องในความมืดส่องมาที่เธอ พร้อมกับเสียงกระซิบที่แผ่วเบาแต่ชัดเจน เสียงนั้นไม่ใช่เสียงของใครในโลกนี้ มันเหมือนเสียงที่มาจากที่ไกลโพ้น ฟังดูทั้งใกล้และไกลในเวลาเดียวกัน ‘ถึงเวลาแล้ว…จงทำตามสัญญา’หญิงสาวไม่ได้บอกใครว่าหลังจากที่เธอ และพี่ชายฟื้นขึ้นมา เธอได้เห็นถึงความศักดิ์สิทธิ์ของหินพ่อมดลาบราดอไลต์ ด้วยความสงสัยและความหวัง เธอแอบพระมารดาเข้าไปในห้องลับ ท่องบทสวดที่เธอแอบจดเอาไว้ และอธิษฐานถึงสิ่งที่อยากรู้ที่สุดในชีวิตตอนนั้น นั่นก็คือการตามหาครอบครัวที่แท้จริงจากนั้นเธอก็ฝันซ้ำๆ เดิมๆ อยู่หลายครั้งจนมาถึงปัจจุบัน ไม่รู้ว่าบุคคลในฝันเป็นใคร เธอจำเรื่องราวได้ รู้ว่าคนในฝันเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย แต่จำหน้าไม่ได้เลยสักคน และครั้งที่ไปโรงพยาบาลจนเกิดอาการใจสั่น แล้วเจ็บแปลบอย่างรุนแรง จนหมดสติไปในครั้งนั้น ก็ทำให้เธอได้เห็นผู้หญิง ที่มีหน้าตาเหมือนเธอราวกับฝาแฝดชัดเจนเป็นครั้งแรก ในห้วงฝ
“อะไรนะ!! แล้วได้ลงจอดฉุกเฉินไหม? งั้นถ้าจำเป็นต้องเปลี่ยนแผนโยกย้ายคนจากรัฐดีไปรัฐอีก็ดำเนินการได้เลย! อืม..ฉันอยู่บนเครื่องบินแล้ว คงจะถึงไล่ๆ กัน!...ได้!…เอาตามนั้น!”เจ้าชายอิดรีสชะงักมือที่กำลังวางโทรศัพท์บนโต๊ะหัวเตียง ขณะที่ปรายหางตาเห็นหุ่นอรชรอ้อนแอ้นกำลังเยื้องกรายเข้ามาในห้องด้วยกิริยาท่าทางที่ยั่วยวนหญิงสาวเข้ามายืนห่างจากเตียงไปประมาณหนึ่งช่วงแขน ค่อยๆ ปลดอาภรณ์ออกจากตัวทีละชิ้นอย่างเชื่องช้า พร้อมช้อนสายตาขึ้นมองชายหนุ่มอย่างเย้ายวนชวนเชิญเจ้าชายอิดรีสหยิบหมอนสองใบมาซ้อนหลัง นั่งกึ่งเอนพิงพนักหัวเตียงพาดแขนไว้บนเข่าข้างหนึ่งที่ตั้งชันขึ้น หรี่ตามองด้วยสีหน้าเรียบเฉยแต่ดูเยือกเย็น กิริยาภายนอกยังคงสงบนิ่ง รอบกายยังเผยความเย่อหยิ่งจองหองออกมาด้วยเขาเหลือบตามองนาฬิกาที่โต๊ะหัวเตียง ทำให้รู้ว่าอีกฝ่ายเลือกเวลาได้เหมาะเจาะ ไลลาไปสั่งงานกับเด็กรับใช้ได้สักพักใหญ่ๆ แล้ว และคงกำลังใกล้จะกลับมา เลยเปิดโอกาสให้น้องสาวสวมบทบาทน้องรักหักเหลี่ยมโหดเพื่อทำร้ายจิตใจผู้เป็นพี่ได้อย่างถูกที่ถูกเวลา เขาปล่อยให้อีกฝ่ายทำตามใจ โดยไม่ได้ปริปากเอ่ยทักท้วง เพื่อจะรอดูว่าเธอจะเปิดเผยเนื้อตั
"ฝ่าบาท! แย่แล้วเพคะ! กัปตันถูกทำร้ายขอความช่วยเหลือจากฝ่าบาทด่วนเลยเพคะ!" เจ้าชายอิสราร์ลุกพรวดขึ้น พริมโรสผวาลุกตามแล้วพยุงแขนเขาไว้ข้างหนึ่ง"เกิดอะไรขึ้น?" ชายหนุ่มถามขณะก้าวเท้าออกเดินได้ไม่เร็วนัก มือเรียวจึงจับแขนเขายกขึ้นแล้วก้มตัวลอดศีรษะเข้าไปใต้แขนแข็งแรง ก่อนจะวางแขนเขาให้เกาะไหล่เธอไว้เพื่อช่วยพยุง ทำให้ชายหนุ่มเดินได้เร็วขึ้นกว่าเดิม"นักบินผู้ช่วยลอบทำร้ายกัปตันเพคะ! โชคดีว่าอยู่ในความสูงที่กัปตันเปิดโหมดออโต้ไพลอทเอาไว้ ทันทีที่เกิดเรื่องเขากดอันล็อกประตูทำให้พวกเราได้ยินเสียงและเข้าไปช่วยเหลือเขาไว้ได้ทันเวลา ตอนนี้องครักษ์ลากตัวหมอนั่นออกไปแล้วเพคะ!""ทำไมไม่ตามนักบินเสริมให้ขึ้นมาแทน?""หม่อมฉันไปปลุกแล้วไม่ตื่นเลยทั้งสองคน ไฟล์ทเนิร์ซกำลังดูอาการพวกเขาอยู่ กัปตันเลยให้มาขอความช่วยเหลือจากฝ่าบาทเพคะ!"ลูกเรือต่างก็เห็นพ้องต้องกันทุกคนว่า นาทีนี้ไม่มีใครจะเหมาะสมเท่ากับเจ้านายพระองค์นี้อีกแล้ว เขามีชั่วโมงบินของการเป็นนักบินเอฟสามสิบห้า ของกองทัพรวมห้าพันแปดสิบห้าชั่วโมง ในจำนวนนี้ มีชั่วโมงของการทำหน้าที่นักบินผู้ช่วย อยู่แปดร้อยแปดสิบสี่ชั่วโมงกับเครื่องบินรุ่นนี้