พริมโรสลืมตาตื่นขึ้นมาอย่างสดชื่น เธอหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูเวลา เห็นว่าใกล้จะหกนาฬิกาแล้ว อีกครึ่งชั่วโมงก็จะถึงที่หมาย เมื่อคืนนี้ กว่าเขาจะปล่อยเธอออกจากอ้อมแขน ก็ล่วงเลยไปจนเกือบตีหนึ่งตีสอง ถึงแม้จะนอนเพียงไม่กี่ชั่วโมง แต่กลับไม่มีอาการง่วงงุนเลยแม้แต่น้อย อาจเป็นเพราะตื่นเต้นที่จะได้กลับประเทศบ้านเกิดก็เป็นได้
หญิงสาวลุกขึ้นเตรียมจะไปอาบน้ำ แต่จู่ๆ ก็มีแสงสว่างวาบที่ปลายหางตาจึงเหลียวไปมอง เห็นเป็นข้อความเข้ามาในโทรศัพท์มือถือของเขา จึงหยิบขึ้นมาดูอย่างถือวิสาสะ
[ หม่อมฉันคิดถึงฝ่าบาท คิดถึงคืนนั้นของเรา อนุญาตให้หม่อมฉันไปหาได้ไหมเพคะ? ]
หญิงสาวมองอย่างตื่นตะลึง มือไม้สั่นไปหมดด้วยความโกรธ เพิ่งรู้ว่าตัวเองเป็นสตรีที่โง่งมที่สุดในโลก แถมยังไร้เดียงสาเสียจนเปิดโอกาสให้คนอื่นมารังแกได้ง่ายๆ
เธอเหวี่ยงโทรศัพท์ลงบนที่นอน เดินเข้าห้องน้ำไปด้วยอารมณ์ที่หงุดหงิด ผู้ชายสมควรตายผู้นี้เห็นเธอเป็นตัวอะไร
…
“พี่ชาย! ตื่นแต่เช้าเลย! เป็นเพราะสดชื่นเกินไป หรือเพราะนอนไม่หลับเพคะ”
“หน้าตาดีอย่างนี้ ดูเหมือนคนอดนอนอย่างนั้นรึ?”
“อ๊ะ! ใครว่าไม่ใช่! เดี๋ยวคงต้องสังเกตสีหน้าของพี่สะใภ้ร่วมด้วย ว่าพอกันหรือแย่กว่า” หญิงสาวพูดจบก็หัวเราะออกมาอย่างชอบใจ
“อย่าไปแซวเชียวนะ! เดี๋ยวงานเข้าพี่ชายเธอ เขาค่อนข้างหน้าบาง พูดเรื่องพวกนี้ทีไรต้องโมโหใส่พี่ทุกที!”
“น้องก็พูดปกติที่คนทั่วไปเขาพูดกัน ไม่น่าจะทำให้โกรธได้ ว่าแต่พี่ชายใช้คำพูดแบบไหนกัน ถึงทำให้ผู้หญิงอารมณ์ขึ้น อ๊ะ! ได้ยินเสียงเดินมาแล้ว!”
พริมโรสเดินเข้ามาในห้องอาหาร พอเห็นว่ามีผู้หญิงนั่งอยู่กับเขาด้วย จึงชะงักค้าง ไม่ได้ก้าวเดินต่อ ชายหนุ่มหันมาเห็นจึงกวักมือเรียก แล้วดึงมือให้มานั่งข้างๆ เมื่อเธอเดินเข้ามาใกล้
พริมโรสมองหญิงสาวหน้าตางดงามตรงหน้า ด้วยความหวั่นวิตก พลางคิดถึงข้อความที่ส่งเข้ามาในโทรศัพท์ของเขา
“ที่รัก! นี่น้องสาวของผม รินรดา”
“ท่านหญิงหรือเพคะ? แต่ในภาษาอาหรับไม่มีชื่อแบบนี้นี่นา?”
“ฉันเป็นน้องสาวบุญธรรมของพี่ชายค่ะ”
“ท่านแม่ไปเก็บยัยนี่มาจากกองขยะน่ะ เลยรับเลี้ยงเป็นลูกบุญธรรม”
“ฝ่าบาท! ทำไมพูดแบบนี้กับน้อง!” รินรดาหัวเราะเมื่อเห็นอาการตกใจของว่าที่พี่สะใภ้
“เขาเป็นคนแบบนี้แหละค่ะ อีกหน่อยคุณก็ชิน อีกอย่างนี่เป็นเรื่องจริงค่ะ ฉันถูกเก็บมาจากกองขยะที่ทีแลนด์จริงๆ!”
“ตายแล้ว! คุณไม่โกรธหรือคะ ที่เขาเอาปมด้อยมาพูดเล่น?”
“ตอนเด็กๆ ร้องไห้ทุกครั้งที่เขาพูดแบบนี้ แต่ตอนนี้ ฉันมีภูมิต้านทานเรื่องความหน้าไม่อายของเขาแล้ว ปมพวกนี้ไม่ทำให้ฉันต้องเสียน้ำตาได้อีก!”
“เธอต้องขอบคุณฉันด้วยซ้ำ! ถ้าเลี้ยงเธอแบบปิดหูปิดตา แล้วบังเอิญไปได้ยินใครพูดลับหลัง หรือว่าถูกคนหวังดี แต่เจตนาร้ายนำเรื่องนี้มาโจมตี ความรู้สึกของเธอตอนนั้นจะเป็นยังไง? จะใช้ชีวิตอยู่กับความเป็นจริงได้ไหม? แล้วดูเธอตอนนี้สิ! กินอยู่หลับนอนอย่างมีความสุข ไม่ใช่หรือไง?”
“พี่กำลังทวงบุญคุณ?”
“แค่อยากให้สำนึก! ก่อนที่เธอจะมาเอาคืน โดยการกลั่นแกล้งเมียฉัน ไม่งั้นเธอโดนดีแน่!!”
“ชิ! ไม่หนุกเลย เกลียดคนรู้ทัน!”
“ไม่ใช่ว่าลงมือไปแล้วหรอกนะ?”
“จะเหลือเหรอ! มือชั้นนี้แล้ว สัมภาษณ์ด่วนเลย! น้องไปละ อ้อ! อย่าลืมอ่านสุนทรพจน์นี่สักรอบสองรอบก่อนงานเริ่มล่ะ ผิดพลาดขึ้นมา ขายหน้าชาวโลกเปล่าๆ เจอกันที่งานเลยนะคะ” ประโยคสุดท้ายหญิงสาวหันมาบอกกับพริมโรส ก่อนจะเดินออกไป
“คุณมีอะไรจะถามผมหรือเปล่า?”
“ทำไมถึงคิดว่ามีเพคะ?”
“ผมรู้สึกว่ามีพลังงานบางอย่างวนเวียนอยู่รอบๆ ตัวคุณ จนความเย็นยะเยือกระเหยมาถึงผม สงสัยอะไรยิงคำถามมาได้เลยที่รัก!”
พริมโรสยื่นโทรศัพท์มือถือของเขาส่งให้ เขาหยิบไปดู จิ้มนิ้วลงบนหน้าจอกดค้างที่ชื่อผู้ส่งเพื่อโทรออกทันที แล้วกดสปีคเกอร์โฟน ได้ยินเสียงเรียกดังอยู่ไม่นานก็มีคนรับสาย
“ฝ่าบาท! ผู้น้อยผิดไปแล้วเพคะ สมควรตาย! อภัยโทษให้หม่อมฉันด้วย หม่อมฉันสำนึกผิดแล้วจริงๆ!” พริมโรสทำหน้าตาเหลอหรา น้ำเสียงสำนึกผิดแต่ใจไม่ได้สำนึกตามไปด้วยนี้ เธอเพิ่งจะได้ยินเมื่อไม่กี่นาทีที่ผ่านมานี่เอง
“มะ..หมายความว่า..”
“ฉันเองค่ะพี่สะใภ้ ยินดีด้วยค่าคุณผ่านการทดสอบ ขอต้อนรับเข้าสู่ตระกูลอัลฟูลันอย่างเป็นทางการ!”
“อย่าให้ฉันเห็นว่าทำอีกนะ ครั้งต่อไปฉันไม่ละเว้นเธอแน่!”
“โรเจอร์ แดท!, บอส!” ปลายสายตอบกลับมาว่ารับทราบแล้วเจ้านาย แล้วกดตัดสายไปทันที
“โตเป็นสาวแล้ว ยังทำตัวกะโหลกกะลาเป็นเด็กๆ อยู่อีก จะขายออกหรือเปล่าก็ไม่รู้!” เขาบ่นตามหลังน้องสาว
“เพราะเป็นลูกบุญธรรม เลยมีตำแหน่งเป็นเพียงท่านหญิงหรือเพคะ?”
“ใช่! ต้องทำความดีความชอบชิ้นใหญ่ ถึงจะได้รับการอวยยศแต่งตั้งให้เป็นเจ้าหญิง อีกอย่างรินรดามีกำเนิดเป็นสามัญชน ถึงจะเป็นท่านหญิงแต่ก็ไม่ต้องใช้ราชาศัพท์”
“แล้วผู้พันอิฟราอิมมีตัวตนอยู่จริงไหมเพคะ?”
“มี เขาเป็นเพื่อนสนิทผมเอง เรียนโรงเรียนนายร้อยที่อังกฤษมาด้วยกัน และเพิ่งจะเสียชีวิตเมื่อปลายปีที่แล้ว เขาตายเพราะเอาตัวรับกระสุนแทนผม แต่เราปิดข่าวการเสียชีวิตของเขาไว้”
“หม่อมฉันต้องเรียกว่าฝ่าบาทว่า..เชคฮ์อิสราร์?”
“แล้วแต่คุณเลย ผมต้องการแค่สามคำ..ฮาบีบี!” หญิงสาวหน้าแดงกับคำพูดของเขา แต่ก็ยังรู้สึกสงสัยจึงถามต่อ
“เหมือนกับคำว่า..‘อิศรา’..ในภาษาถิ่นของหม่อมฉัน แล้วในภาษาอาหรับแปลว่าอะไรเพคะ?
“ความลึกลับ”
“อื้อหือ บุคลิกช่างตรงข้ามกับชื่อเลย! แต่จะตรงกับความหมายในภาษาของหม่อมฉันซึ่งแปลว่า ความเป็นใหญ่”
“ผมยังมีบางมุมที่คุณยังค้นหาไม่พบ จะบอกว่าตรงข้ามกับชื่อได้ยังไง”
“เอ่อ..ฝ่าบาทเพคะ~..” น้ำเสียงหวานปลายเสียงออดอ้อนที่คุ้นหู ดังมาจากหน้าประตู ทำให้พริมโรสขมวดคิ้ว ชายหนุ่มลุกเดินออกไปเปิดเสียเอง เธอจึงได้เห็นหญิงสาวหน้าตาดีคนหนึ่ง ยืนถือพับเสื้อผ้าไว้ในมือ นัยน์ตาใสซื่อช้อนสายตาขึ้นมอง ใบหน้าหล่อเหลาคมคายของเขาอย่างประหม่า แฝงไปด้วยความเคารพและเทิดทูน
“ฮัลดา ว่าไง?”.
“หม่อมฉันนำฉลองพระองค์มาให้ กับอีกชุดสำหรับคุณผู้หญิงเพคะ” เขาหยิบชุดสูทกระโปรงของพริมโรสมาคลี่ดู แล้วหันมาถาม
“คุณจะแต่งชุดนี้หรือ?”
“ไม่เพคะ หม่อมฉันจะใส่กางเกง” เขาพยักหน้า แล้วหันกลับมาหาคนที่หน้าประตู
“ขอบใจฮัลดา ไปได้แล้วล่ะ” เขาพูดแล้วรับพับเสื้อมาถือไว้
ฮัลดารู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมาก ที่เชคฮ์มาเปิดประตูและรับของเสียเอง เพราะหน้าที่เหล่านี้ หญิงผู้นั้นควรจะเป็นคนทำเสียมากกว่า พระชายาตามกฎหมายก็ไม่ใช่ แต่ทำตัวสูงส่งราวกับมีชาติกำเนิดสูงกว่าเจ้าชายเสียอีก ฮัลดาไม่เข้าใจ ว่าเขามองเห็นความดีงามอะไรในตัวของคนผู้นั้น เท่าที่เห็นก็ไม่มีอะไรที่พิเศษไปกว่ารูปร่างหน้าตาภายนอกเลยสักนิด
ถ้าจะเทียบกันตามลำดับฐานะใครมาก่อนหลัง คนผู้นี้ต้องก้มหัวให้เธอด้วยซ้ำ
“เอ่อ..ให้หม่อมฉันช่วยแต่งตัวนะเพคะ~”
“ไม่ต้อง! ฉันมีคนจัดการให้แล้ว ไปเถอะ!” ฮัลดากัดฟัน แต่ไม่ยอมแพ้ เขาจะมาทำแบบได้ใหม่แล้วลืมเก่าอย่างนี้ไม่ได้ เธอไม่ยินยอม
“แต่ว่า..” เขาไม่พูดอะไร เพียงแต่เม้มปาก แล้วมองนิ่งอยู่เหมือนพยายามจะอดทนให้ถึงที่สุด แต่ก็คงใกล้จะถึงขีดจำกัดเต็มทีแล้ว ฮัลดาหลบตาแล้วหันหลังเดินกลับไปคล้ายกับคนกำลังจะหมดแรง
“เสน่ห์ล้นเหลือเสียจริง!”
“หึง?”
“ไม่! แต่หมั่นไส้!”
“ใคร? เด็กคนนั้นน่ะ?”
“หมั่นไส้ฝ่าบาท!” พริมโรสพูดจบก็ตวัดสายตาค้อนเขาวงใหญ่ เขาหัวเราะอย่างร้ายกาจ ก่อนจะใช้มือข้างหนึ่งโอบกระชับร่างบางให้เอนเข้าไปในอ้อมแขน
“ไม่จำเป็นต้องคิดเยอะ! ในโลกของผมมีคุณเพียงคนเดียว สายตาของผมก็จะมองแค่คุณ คำหวานของผมก็จะพูดเพื่อคุณ หัวใจของผมก็เป็นของคุณ แม้แต่ชีวิตของผมก็ยังอยู่ในกำมือคุณ และ…”
หญิงสาวตาเบิกกว้างจนแทบถลน รีบยกมือปิดปากเขาไว้ก่อน
“หยุด! อย่าบอกนะว่า แม้กระทั่งกลายเป็นวิญญาณก็จะมาวนเวียนอยู่รอบๆ ตัวหม่อมฉันน่ะ!!”
“ว้า! ไม่รู้ทันสักเรื่องจะได้ไหม? หมดอารมณ์เลย!”
หวานจนเลี่ยน!! ใครก็ได้เอาผู้ชายคนนี้ไปเก็บที!!
“หม่อมฉันว่าโหมดโรแมนติกไม่เหมาะกับฝ่าบาทหรอกเพคะ!”
“ดูเฟคขนาดนั้นเลย?”
พริมโรสทำสีหน้าจริงจัง พยักหน้ารับพร้อมพูดด้วยน้ำเสียงเน้นหนัก
“มากกกกกก!!”
“สตรีที่ขาดจินตนาการอย่างคุณ โชคดีแค่ไหนที่มาลงเอยกับผู้ชายที่ดีพร้อมอย่างผม ไม่งั้นชาตินี้คงขายไม่ออก!”
“ฮึ! พูดเหมือนหม่อมฉันควรจะแคร์! หม่อมฉันไม่ติดนะ บอกไว้ก่อน!”
“แต่ผมติด! ที่รัก~..ผมไม่ได้จูบคุณมากี่นาทีแล้ว?~” แค่ได้ยินเขาพูดด้วยน้ำเสียงออดอ้อน เธอก็รู้สึกใจหวิวๆ ขึ้นมาทันที รีบดันหน้าอกเข้าไว้ไม่ให้เข้ามาใกล้มากกว่านี้
“ไม่เอา! ไปแต่งตัวเร็วเพคะ ใกล้จะแลนดิ้งแล้ว!”
…
พริมโรสผูกเนคไทให้เขาเสร็จเรียบร้อย จึงเดินไปหยิบเสื้อสูทสีน้ำเงินกรมท่าออกมากางเตรียมพร้อมให้เขาสอดแขนเข้าสวมใส่ ช่วยเขาจัดความเรียบร้อยอีกนิดหน่อย จากนั้นก็ถอยออกมายืนมองด้วยสายตาภาคภูมิใจในบุคคลิกที่งามสง่าของเขา
“หล่อไหม?”
“ปรินซ์ ชาร์มมิ่ง!” หญิงสาวชมเขาด้วยประโยคที่ว่าหล่อเหมือนเทพบุตรราวกับหลุดมาจากเทพนิยาย
“แอม ออล ยัวส์” เขาจึงตอบกลับมาว่า เขาเป็นของเธอทั้งตัวและหัวใจ พริมโรสถึงกับใบหน้าแดงซ่านกับการอ่อยได้ตลอดเวลาของเขา
อ๊ะ!
เธอมัวแต่หลบสายตาเพราะเขิน เลยไม่ทันเห็นฝ่ามือที่เอื้อมมาวางที่หลังท้ายทอย แล้วดึงเข้าหาตัวเพื่อประทับจุมพิตอบอุ่น อ่อนโยน
จุมพิตของเขาได้เปิดเปลือยความรู้สึกทั้งหมดที่มี จนทำให้เร่าร้อนไปด้วยกันทั้งคู่ เขาถอนริมฝีปากออกเมื่อเริ่มรู้สึกว่าจะควบคุมตัวเองไม่ได้แล้ว พริมโรสเองก็ยืนหายใจหอบ ใบหน้าแดงก่ำ แววตาฉายประกายปรารถนาชัดเจน
“เราสองคนนี่เคมีตรงกันตลอด ยังพอมีเวลาไหม?~” เขาพูดด้วยน้ำเสียงแหบพร่า แล้วหัวเราะเบาๆ
“ตอนนี้ไม่มี! ถึงโรงแรมก่อนค่อยว่ากันนะ เครื่องแลนดิ้งแล้ว จะไปกันหรือยังเพคะ?”
เขายกยิ้มมุมปากอย่างยินดี ความอบอุ่นสายหนึ่งแผ่ซ่านอยู่ในหัวใจจนล้นอยู่ในช่องอก รู้สึกเต็มตื้นที่เธอยอมรับในตัวเขา จนสามารถพูดคุยเรื่องบนเตียงกันได้อย่างปกติ ฝ่ามือใหญ่เอื้อมไปจับข้อมือบอบบางมากอบกุม นัยน์ตาพราวไปด้วยรอยยิ้ม แล้วจูงมือเดินออกไปด้วยกัน
…………………….
Prince charming - ปกติจะใช้คำนี้ในรูปแบบของนิยาย ถ้าเอามาใช้ในชีวิตจริงก็จะเปรียบเสมือนคนที่ดูดี หนุ่มหล่อ รูปงามเหมือนเทพบุตร คุณสมบัติเพียบพร้อมไปทุกอย่าง หรือหล่ออย่างกับเจ้าชายในฝัน
“Roger that, boss.” – รับทราบครับเจ้านาย (เป็นศัพท์วิทยุสื่อสารของพวกนักบินและทหาร ซึ่งเป็นมาตรฐานการออกเสียงตัวพยัญชนะเผื่อในกรณีสัญญาณไม่ชัดเจน จะได้ไม่เข้าใจผิดกัน)
“พี่ชายมาแล้ว! ตรงเวลาเป๊ะ!” รินรดาอุทานอย่างดีใจ ที่เห็นพี่ชายเดินออกมาจากลิฟต์ เพราะใกล้เวลาที่จะให้สัมภาษณ์กับสื่อเต็มที พลางหันไปมองพนักงานต้อนรับที่เดินตามท้ายขบวนมาด้วย ซึ่งโรงแรมระดับนี้จะอำนวยความสะดวก โดยบริการให้แขกสามารถเช็คอินภายในห้องพักได้เลย เพื่อความเป็นส่วนตัว“มาเช็คอินใช่ไหมคะ เชิญทางห้องหนังสือได้เลยค่ะ มีเจ้าหน้าที่รออยู่แล้ว” พนักงานก้มตัวโค้งแล้วเดินแยกตัวไปเจ้าชายอิสราร์ เดินนำหน้าคณะองครักษ์ ก้าวเข้ามาในห้องสวีทอันหรูหรา ภายในโรงแรมที่เจ้าภาพได้จัดเตรียมไว้ให้ พริมโรสรู้จักโรงแรมนี้เป็นอย่างดี ซึ่งเป็นโรงแรมของแบรนด์ลักซูรีสุดหรูชั้นนำระดับเอเชีย ใช้ต้อนรับบุคคลสำคัญระดับประเทศ หรือเชื้อพระวงศ์ของประเทศต่างๆ และโรงแรมแห่งนี้ยังเคยเป็นที่ตั้งของวังเจ้าฟ้าพระองค์หนึ่ง ของทีแลนด์ในอดีตอีกด้วย แต่ละห้องจะมีธีม ที่เน้นความหรูหราของราชวงศ์ในแต่ละยุค ซึ่งจะต่างกันที่การตกแต่ง และห้องนี้มีเนื้อที่โดยรวมประมาณห้าร้อยห้าสิบตารางเมตร มีทั้งหมดห้าห้องหลัก เฉพาะห้องนั่งเล่นหรือห้องรับแขก ก็กว้างขวางราวกับรวมเอาพื้นที่ของห้องแสตนดาร์ดสองห้องมารวมกัน ราคาห้องพัก อยู่ที่หน
เจ้าชายอิสราร์ลงลายมือชื่อเสร็จ ก็ยื่นปากกาพร้อมกับเลื่อนแฟ้มเอกสารตรงหน้ามาให้พริมโรส เธอรับปากกามาจากมือเขา และจรดเซ็นชื่อและนามสกุลของตัวเอง ลงไปบนกระดาษ จากนั้นส่งต่อให้ท่านหญิง และท่านทูตเปเรซประจำทีแลนด์ลงลายมือชื่อเป็นสักขีพยานรินรดาเตรียมการทุกอย่างเร็วมาก สมกับเป็นเลขาทรงประสิทธิภาพ เพียงได้รับคำสั่งจากพี่ชายทันที ที่เขาขึ้นจากสระน้ำ ก็ใช้เวลาเตรียมการประมาณหนึ่งชั่วโมง ไม่ว่าจะเป็นติดต่อสถานทูต ขอใบรับรอง ยื่นคำร้อง เตรียมบุคคลที่จะร่วมเป็นพยาน จนไปถึงเชิญเจ้าหน้าที่ มาทำการจดทะเบียนสมรสให้ ภายใต้กฎหมายของทีแลนด์ และดำเนินการเสร็จเรียบร้อยทุกอย่างภายในชั่วโมงที่สองเจ้าหน้าที่สถานทูตส่งเอกสารสมรสมาให้สองแผ่น พร้อมคำอวยพรให้กับคู่สมรสใหม่ และชี้แจงว่าเมื่อไปถึงเปเรซไม่จำเป็นต้องจดทะเบียนสมรสซ้ำอีก สามารถนำเอกสารนี้ติดต่อสถานทูตเพื่อขอรับรองการจดทะเบียนได้เลยทันที จากนั้นจึงโค้งกายถวายความเคารพต่อเจ้าชายพร้อมกับท่านทูต ก่อนจะขอตัวกลับออกไป…พริมโรสเดินเข้ามาในห้องนอนชั้นใน เพื่อจะเปลี่ยนชุด แต่แล้วก็รู้สึกว่ามีเรือนกายสูงโปร่ง ของบุรุษในสูทรสากลก้าวเข้ามายืนประกบที่ด้านหลัง
พริมโรสเดินออกจากห้องน้ำ ก็พบว่ามีชุดออกงานวางพาดไว้บนที่นอน หญิงสาวอึ้งไปเล็กน้อยเมื่อเห็นชุดที่เขาจะให้สวม ซึ่งปิดทั้งคอทั้งแขน ตัวกระโปรงก็ยาวมาก คาดว่าคงจะปิดกระทั่งปลายเท้า มีกางเกงขายาวตัวใน มิหนำซ้ำเป็นสีพื้นทั้งชุดเสียอีกแม่เจ้า!! จบงานนี้ฉันคงต้องเตรียมตัวเข้าคอนแวนต์ได้เลย ถ้าให้คลุมผมด้วยก็ไม่ต่างอะไรกับชุดของซิสเตอร์!!เจ้าชายอิสราร์เดินออกมาจากห้องแต่งตัว ถือกล่องกำมะหยี่ทรงแบนขนาดใหญ่คล้ายกล่องเครื่องประดับติดมือมาด้วย"รดาเลือกสีได้ถูกใจผมมาก แต่งตัวเร็วจะสวมเครื่องประดับให้""นี่ชุดประจำชาติหรือเปล่าเพคะ?" หญิงสาวเอ่ยปากถาม หยิบชุดขึ้นมาทาบตัว ทำให้เพิ่งจะเห็นแสงสะท้อนเหลือบประกายมุกของลวดลายบนเนื้อผ้ายามที่แสงไฟตกกระทบ อ้อ! เป็นผ้าไหมทอมือนี่เอง สวยเหมือนกันแฮะ! "รูปแบบน่ะใช่ แต่เนื้อผ้าเป็นของที่นี่ ผมเอาชุดของคุณไปเป็นต้นแบบ คุณจะออกงานในฐานะคู่หมั้นอย่างไม่เป็นทางการ แต่…” นัยน์ตาคมกริบราวกับมีดหรี่ลงคล้ายเตรียมจะแทงให้ทะลุเนื้อหนังมังสา เหลือบมองด้วยหางตา “ดูจากสีหน้าเหมือนคุณจะไม่ถูกใจ คงอยากจะแต่งชุดอื่นที่เปิดเผยเนื้อตัวกว่านี้สินะ?" พริมโรสสะดุ้งในใจ รีบเง
รามิลได้แจ้งกับเลขาท่านทูตเปเรซไว้แล้วว่า จะขอพบทันทีที่ท่านคุยธุระเสร็จ จากนั้นเขาก็ไปทักทายท่านนายกฯตามมารยาท แต่ขณะที่กำลังเดินลับมุมตรงหน้าเวที จู่ๆ หญิงสาวคนหนึ่งก็ทำท่าว่ากำลังจะล้ม เขาจึงรีบเดินเข้าชิดโดยอัตโนมัติ เพื่อให้เธอได้เกาะไหล่เขาไว้เป็นหลักพยุงตัว “ว้าย!! เอ่อ..ขอบคุณค่ะ” น้ำเสียงหวานเอ่ยขอบคุณเขาเป็นภาษาอังกฤษรองเท้าส้นสูงของรินรดากำลังพลิก ขาข้างหนึ่งเสียศูนย์ทำให้ตัวเอียง โชคดีว่าสุภาพบุรุษคนนี้ก้าวเข้ามายืนชิดทันทีที่เห็นเหตุการณ์ และจังหวะที่ร่างสูงเบี่ยงตัวเล็กน้อยทำให้เสื้อสูทเปิดออก ฝ่ามือซ้ายของเธอก็ทาบไปที่หน้าอกด้านซ้ายของเขา ผ่านเสื้อเชิ้ตเนื้อบางจนแทบจะเหมือนสัมผัสถูกกับเนื้อหนัง ฝ่ามือใหญ่ข้างหนึ่งของเขาจับข้อศอกเธอไว้ มืออีกข้างทาบลงบนหลังมือของเธออย่างไม่รู้ตัว“อุ้ปส์!” รินรดาตกใจดึงมือออก เพราะเหมือนกับมีประจุไฟฟ้าช๊อตที่ฝ่ามือแล้วแล่นปราดมาตามแขนพุ่งเข้าสู่หัวใจองครักษ์ถลาเข้ามาพยุงให้เธอทรงตัวขึ้น หญิงสาวเหลือบสายตาไปเห็นสีหน้าของสุภาพบุรุษคนนั้น ซึ่งเห็นว่าเขาก็ตกใจเช่นเดียวกัน ดูเหมือนจะตัวแข็งค้างราวกับกำลังเกิดอาการช็อกจากอะไรสักอย่าง เธอกำ
“อะไรนะ!! มันกล้าพูดออกมาแบบนี้!?!” ท่านอักมัลตะคอกออกมาด้วยน้ำเสียงโกรธขึ้ง รู้สึกอารมณ์เสียแต่เช้าเมื่อรู้ว่าลูกสาวสุดรักสุดหวงถูกเหยียดหยาม ความไม่พอใจจากเหตุการณ์ในอดีตที่ผ่านมา นับจนถึงตอนนี้จึงมีมากเป็นทวีคูณ“เพคะ! ท่านพี่โมโหจนเกือบเสียกิริยาออกไป ท่านพ่อต้องอย่าปล่อยให้เขามาหยามเกียรติตระกูลของเรานะเพคะ!” เนญ่ารู้ว่าการที่สาดน้ำมันราดเข้ากองไฟให้ยิ่งลุกโหม จะทำให้ได้ผลลัพธ์ที่ตัวเองต้องการ เพราะพี่สาวเป็นคนที่ชอบเอาชนะ และบิดาก็จะต้องทำทุกทาง เพื่อให้ลูกสาวคนโปรดได้ทุกอย่างสมดังใจผู้เป็นพ่อมองลูกสาวคนโตที่นั่งเงียบอย่างใช้ความคิด เขาเพิ่งจะได้รับข่าวการเคลื่อนไหว ของคนผู้หนึ่งก่อนที่จะมาทีแลนด์ และไม่แน่ว่าบุคคลผู้นี้ จะนำพาเขาและลูกสาวไปถึงเป้าหมายได้เร็วกว่าการแต่งงานกับอิสราร์เสียอีก เพียงแต่คิดว่าจะทำยังไงให้เธอเห็นด้วยกับวิธีของเขา และยอมทำตามอย่างไม่มีเงื่อนไข“มันหยามเกียรติลูกกี่ครั้งแล้ว นับวันยิ่งหนักข้อขึ้นทุกที แล้วอย่างนี้ยังต้องการแต่งงานกับมันอยู่อีกรึ?” เขาหันไปถามลูกสาวสุดรักสุดหวงอย่างขัดใจ“แต่ลูกมองไม่เห็นใครที่โดดเด่น และเหมาะสมกับลูกเท่ากับเขาอีกแล้ว!”
พริมโรสหันหลังให้เวทีทันที เมื่อเห็นผู้แทนพิเศษจากเปเรซขึ้นไปยืนจับมือกับบรรดาผู้นำแต่ละประเทศ เพื่อให้ผู้สื่อข่าวได้ถ่ายรูป หญิงสาวกวาดสายตามองไปรอบห้อง แสกนหาสิ่งผิดปกติจากความเคลื่อนไหวเพื่อความเรียบร้อย จากนั้นล้วงโทรศัพท์ออกจากกระเป๋าเสื้อ รีบกดเปิดแอปพลิเคชันแชทเลือกชื่อผู้รับ แล้วพิมพ์ข้อความบางอย่างลงไปอย่างรวดเร็ว กดปุ่มส่งแล้วสอดเก็บในเสื้อสูททันทีโดยที่ไม่ได้ดูหน้าจอด้วยซ้ำ“ฉันนี่แทบจะกรีดร้อง! ทำไมเจ้าชายเปเรซถึงงานดีขนาดนี้นะ!” พริมโรสเหลือบตาดูคนตรงหน้า เห็นนักข่าวคนหนึ่งหน้าตาแดงระเรื่อ แววตาคลั่งไคล้ ยกหลังมืออุดปากทำท่าคล้ายอยากจะกรีดร้องออกมาจริงๆ“ใช่ๆ เห็นแล้วน้ำเดิน! งานดีขนาดนี้ไม่ควรมีคนเดียวในโลกจริงๆ!”ข้างบนเวทีถ่ายรูปเสร็จแล้ว และกำลังทยอยเดินกันลงมา เจ้าชายหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดดูข้อความที่เข้ามาก่อนหน้านี้ พลันปากอ้าตาค้าง สีหน้าเปี่ยมไปด้วยความไม่อยากเชื่อ ตะลึงงันจนขาชะงักนิ่งยืนอยู่กับที่ แต่แล้วก็ยกยิ้มมุมปากอย่างยากสังเกตเห็น ความยโสบนใบหน้าหายไปอย่างไร้ร่องรอย แววตาอ่อนโยนทอดมองไปยังแผ่นหลังเล็กบางของคนที่อยู่ข้างหน้าเวทีด้านล่างอย่างอบอุ่น“ตายแล้ว
ฝ่ายองครักษ์ชักปืน ยิงปะทะกับคนร้ายเสียงลั่นสนั่นเมือง จนรถยนต์ที่สัญจรไปมาทางฝั่งคู่ขนาน ต้องหักรถหลบเบี่ยงหนีวิถีกระสุนกันเป็นการใหญ่ ชายหนุ่มสะดุ้งสุดตัว พร้อมกับเปล่งเสียงอุทาน รู้สึกเหมือนถูกบางอย่างกระแทก และเจาะเข้าไปในผิวเนื้อที่ขาอย่างรุนแรง ก่อนจะรู้สึกหนักและชาไปทั้งแถบ แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้คลายแรงที่กอดรัดร่างเล็กบางออกแม้แต่น้อยแต่แล้วเสียงรัวสาดกระสุนนัดแล้วนัดเล่าก็หยุดลง พร้อมกับร่างของคนร้ายที่ถูกระดมยิงจุดตายที่ไร้สิ่งป้องกัน จนเป็นรูพรุนไปทั่วใบหน้า และลำคอ แทบมองไม่เห็นเนื้อดี อาบด้วยสีแดงฉานที่เต็มไปด้วยเลือดทั่วทั้งร่าง นอนแผ่หราท่ามกลางปลอกกระสุน ที่ร่วงกราวราวกับลูกเห็บอย่างน่าสยดสยอง“ฝ่าบาท! ฝ่าบาท! หัวหน้า!” บรรดาองครักษ์ที่รอดชีวิตกรูกันมาดึงร่างที่ไร้ชีวิต ของเพื่อนร่วมงาน ที่นอนทับถมบนตัวของเจ้านายออก “โรส! คุณเป็นไงบ้าง?” เสียงทุ้มกระซิบถามเสียงแผ่วโหย ดูอ่อนแรงอย่างผิดปกติ“หม่อมฉันจะไม่กินกล้วยทับอีกเลยตลอดชีวิต!” หญิงสาวพูดเล่นด้วยความโล่งใจหวังจะให้เขาหัวเราะ แต่เขากลับหน้าซีดจนแทบไม่มีสีเลือด“โอ๊ย!!” ชายหนุ่มร้องออกมาอย่างเจ็บปวด แล้วกัดฟันแน่
“หัวหน้าจากสัญญาณจีพีเอส เป้าหมายอยู่อาคารทางขวามือนี้ครับ!”“เลี้ยวเข้าไปเลย!”คนขับรถได้เลี้ยวเข้าไปในโมเทล และจอดใกล้กับตำแหน่งของหมุดที่ปักอยู่บนแผนที่ในสมาร์ทโฟน ซึ่งอยู่ด้านหน้าที่จอดรถของห้องหนึ่งที่มีม่านปิดบังไว้อย่างมิดชิด ชายฉกรรจ์ร่างกำยำที่มีรอยแผลเป็นตรงกึ่งกลางคิ้วซ้าย ได้เปิดประตูลงมาจากรถเป็นคนแรก พร้อมชักอาวุธออกมาจากซองปืนข้างเอวมาเตรียมพร้อมไว้ในมือ ตามมาด้วยชายคนที่ถือสมาร์ทโฟน เขามีหน้าที่คอยตรวจจับหาสัญญาณจีพีเอสจากชิปติดตามตัวของเชื้อพระวงศ์พระองค์หนึ่ง คนขับรถเปิดประตูลงมาทีหลัง แต่เดินนำหน้าไปก่อนอย่างรวดเร็ว เขายื่นมือกำผ้าม่านที่บังสายตาสะบัดไปข้างหนึ่งให้เปิดออกกว้าง แล้วเบี่ยงตัวหันไปมองชายที่มีรอยแผลเป็นที่เดินตามมาด้านหลัง ซึ่งก็พยักหน้าเป็นการยืนยันทันที ที่เห็นว่าเป็นรถยนต์ของเป้าหมายที่กำลังตามหาอยู่ชายคนที่ทำหน้าที่ตรวจจับสัญญาณ มองที่หน้าจอสมาร์ทโฟน ตรงตำแหน่งปัจจุบันของลูกศร เขาเงยหน้าขึ้นแล้วชี้นิ้วทำสัญญาณมือไปยังห้องที่ปิดสนิทอยู่นั้นคนขับรถชักปืนออกมาเตรียมพร้อม แต่ขณะที่กำลังจะเดินตรงไปที่ประตู กลับมีเสียงโหวกเหวกโวยวายดังขึ้น ที่ด้านหลัง
“ฮ่าๆๆ ไง! ถึงกลับโกรธจนตัวเนื้อสั่นเลยเหรอ เป็นยังไงบ้างล่ะ รสชาติของการสูญเสีย ขมขื่นถึงอกถึงใจดีไหม?” คำพูดประโยคนี้ของเขาทำให้หญิงสาวแน่ใจได้ทันทีว่าอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นนี้ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ“ฉันเกลียดแกจนอยากจะเป็นคนถ่อย จะได้ถ่มถุยใส่หน้าส้นตึกของแกให้สาสมกับความรู้สึกขยะแขยง!” ชารีฟหรือณัทธรสะอึก เมื่อเจอความโกรธเกลียดอย่างรุนแรงจากผู้หญิงที่เขารัก“เกลียดฉันงั้นรึ? ต้องเป็นฉันไหมที่จะพูดประโยคนั้น แทบไม่อยากจะเชื่อเลยว่า เธอจะลืมฉันได้อย่างง่ายดายและไปแต่งงานใหม่!"“ฉันไม่ได้แต่งงานใหม่! นี่เป็นการแต่งงานครั้งแรกและครั้งเดียวของฉัน และอะไรคือลืมได้อย่างง่ายดาย? นายหนีตายไปเป็นปีๆ แล้วฉันจะต้องไปบวชชี เพื่ออุทิศส่วนกุศลให้นายด้วยอย่างนั้นรึ! เรารักกันดูดดื่มขนาดนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่? ก่อนที่นายจะฆ่าพ่อฉัน เขายังพูดไม่ให้ฉันยึดติดกับตัวเขาเลย! ตรรกะของนายมันบิดเบี้ยวเป็นเวย์เดียวกับพวกโรคจิต ที่นายกับฉันมาถึงจุดนี้เป็นเพราะการตัดสินใจเลือกของตัวเองทั้งนั้น อย่าเอาฉันมาเป็นข้ออ้างเพื่อปกปิดยีนขี้แพ้ในตัวหน่อยเลย!”“ไม่ต้องมาทำปากดียั่วอารมณ์ให้ฉันรู้สึกละอายใจหรอก คำพูดยั่วยุของ
“ฮัลโหล? ว่าไง?”“ไอ้ชารีฟ! ไอ้ห่วย! สายของแกทำงานยังไงวะถึงได้รายงานผิดพลาด! เป้าหมายไปเส้นทางอื่นไม่ได้เฉียดมาทางนี้เลยด้วยซ้ำ!!”“จะเป็นไปได้ยังไง? ไม่ผิดแน่ๆ!! นายดักซุ่มอยู่ที่นั่นแหละเผื่อว่าจะเป็นแผนลวง!”ชารีฟหรือณัทธร กดปุ่มตัดสาย แล้วดึงหูฟังบลูทูธออกอย่างหงุดหงิด จะเกิดการผิดพลาดไปได้ยังไง ในเมื่อเขาเพิ่งจะได้รับการยืนยันเส้นทางมาจากสายที่แฝงตัวอยู่ในกลุ่มผู้ใต้บังคับบัญชาของเชคฮ์อิสราร์เมื่อไม่กี่นาทีมานี้เองหรือว่าเปลี่ยนเส้นทางกระทันหัน??เขาคิดว่าน่าจะมีการเปลี่ยนแปลงแบบฉุกเฉินมากกว่าการที่อีกฝ่ายจะรู้ตัวว่ามีข่าวรั่วไหลชายหนุ่มยกนาฬิกาข้อมือขึ้น เพื่อดูเวลาก่อนการตัดสินใจ ในเมื่อภารกิจลอบสังหารเชคฮ์อิสราร์ได้ผิดพลาดไปแล้ว เขาเลยคิดว่าไปปิดจ๊อบหนี้เก่าของตัวเองก่อนจะดีกว่า แล้วค่อยกลับไปรายงานภารกิจที่ล้มเหลว ซึ่งถ้ารีบไปตอนนี้ก็น่าจะไปทันเวลากับที่เป้าหมายขับมาถึงในจุดที่เขากำหนดเอาไว้ในแผนพอดี…ชารีฟหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมา เปิดแอพพลิเคชันที่ใช้ตรวจสอบสัญญาณจีพีเอส เพื่อหาตำแหน่งปัจจุบันของรถเป้าหมาย ซึ่งก็เห็นในแผนที่ว่ารถยนต์คันดังกล่าว กำลังจะแล่นผ่านสี่แยกไฟแดง
ความร้ายกาจของบิดาที่เธอได้ยินจากปากของคนอื่น เป็นเหมือนหนามแหลมคม ที่คอยทิ่มแทงจิตใจอยู่ตลอด แต่กระบวนการให้อภัย พยายามดิ้นรนที่จะผลักความคิด และความรู้สึกด้านลบเหล่านี้ออกไป ด้วยการจดจ่อกับความรัก และความทรงจำดีๆ นึกถึงช่วงเวลาที่ยากลำบาก ที่เขามักจะแบกรับความเจ็บปวดเหล่านั้นไว้แทนอยู่เสมอ แล้วผลักดันให้เธอก้าวข้ามผ่านช่วงเวลาเลวร้ายนั้นไปให้ได้ ฝึกฝนเธอให้เข้มแข็ง สอนให้ยอมรับทุกความผิดพลาด และความล้มเหลว แล้วเรียนรู้ที่จะเยียวยาตัวเองเพื่อปิดกั้นทุกความเจ็บปวดเธอรู้ดีว่าการยึดติดกับความรู้สึกในทางลบ รังแต่จะเพิ่มความทุกข์ให้กับชีวิตมากขึ้น และขัดขวางไม่ให้หัวใจได้พบกับความสงบสุข แต่การที่จะละวางด้วยการให้อภัยนั้น ก็ทำให้เกิดความรู้สึกผิด ต่อบุคคลที่ต้องเสียชีวิตไปอย่างไม่เป็นธรรมนั้นด้วยเช่นกันแต่เมื่อมองในมุมกลับกัน เขาก็เป็นเพียงแค่มนุษย์คนหนึ่ง ซึ่งไม่ว่าใครก็สามารถทำผิดได้ เธอเองก็ไม่ได้รับการยกเว้น ความผิดหวังมักจะทำให้คนเราจมอยู่กับอดีต จนลืมมองความสุขที่กำลังได้รับอยู่ในปัจจุบัน และกำลังจะตามมาอีกมากมายในอนาคต จึงเป็นความคิดที่โง่เขลาอยู่ไม่ใช่น้อย ถ้าเรายังหยุดอยู่ที่ควา
“ตรวจสอบชายสองคนที่สิบสองนาฬิกา ประตูทางเข้าด้านนอก ในมือถือผ้าสีดำห่อหุ้มวัตถุลักษณะเป็นแท่งยาวทรงกระบอก เปลี่ยน!”“แลนด์โรเวอร์สีดำขับเข้ามาจอดหน้าประตูทางเข้าออกของพนักงานชั้นใต้ดินสองคัน คันหนึ่งประมาณห้าคนใส่ชุดพนักงานรักษาความปลอดภัยเดินเข้าไปด้านใน มีอาวุธปืนติดตัว เปลี่ยน!”“ประตูทางออกอาคารผู้โดยสารหนึ่งที่เก้านาฬิกา พนักงานรักษาความปลอดภัยกำลังลากโซ่ตะปูเรือใบมาขวางถนน คาดว่าไม่ใช่เจ้าหน้าที่ของสนามบิน เปลี่ยน!”“ประตูทางออกฉุกเฉินของอาคารผู้โดยสารสอง ทางสะดวก ชาลีทีมเตรียมพร้อม รอรับคำสั่ง เปลี่ยน!” เสียงรายงานผ่านวิทยุสื่อสารเข้ามาเป็นระยะๆ หลังจากที่กระจายกำลังไปประจำตามจุดสำคัญต่างๆ เพื่อสังเกตความเคลื่อนไหวของฝ่ายตรงข้าม“พวกมันเริ่มทยอยกันเข้ามาแล้ว แจ้งเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยให้เตรียมอพยพประชาชนหากมีเหตุฉุกเฉิน! แจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจกับดับเพลิงหรือยัง?”“เรียบร้อยแล้วพ่ะย่ะค่ะ!”“อืม ถ้าพร้อมแล้วก็ไปกันตอนนี้เลย!”“รับคำสั่ง!” องครักษ์รับคำสั่งแล้วแจ้งแต่ละทีมผ่านวิทยุสื่อสารทันที “อัลฟ่าทีมเคลียร์พื้นที่ บราโวเตรียมรถบรรทุกเปิดทางออกแล้วรอรับคำสั่ง ชาลีทีมวีไอพีเ
ไลลานอนตัวอ่อนระทวยอยู่ครู่หนึ่ง สักพักก็ขยับตัวยกศีรษะขึ้นมานอนหนุนแขนแข็งแรงข้างหนึ่งของสามี เบียดเรือนร่างบอบบางเข้าชิดเพื่อขอความอบอุ่นจากร่างกายของเขา ซึ่งชายหนุ่มเองก็เพิ่งผ่อนคลายจากอาการหัวใจเต้นแรง หายใจหอบเหนื่อย เขาพลิกตัวตะแคง รั้งต้นขาของหญิงสาว ให้ขึ้นมาก่ายเกยอยู่ครึ่งๆ บนร่างกายของเขา ขาของเธอเบียดชิดจนเขารู้สึกอบอุ่นและชุ่มชื้นในซอกลี้ลับ ไล้ฝ่ามือจากโค้งสะโพกเลยมาถึงต้นขา ลูบผิวเรียบเนียนไปมาเบาๆ เป็นจังหวะอย่างเพลิดเพลิน พร้อมๆ กับปลอบโยนให้เธอคลายความอ่อนเพลีย เพื่อเข้าสู่โหมดพักผ่อน “ฝ่าบาทเพคะ?” “หืม?” ชายหนุ่มผงกศีรษะขึ้นมองอย่างแปลกใจเมื่อได้ยินเสียงของอีกฝ่าย ซึ่งเขาคิดว่าน่าจะเคลิ้มหลับไปแล้ว“คืนนี้เนญ่าเขาประกาศว่าจะเข้าหอกับฝ่าบาท แล้วทำไมพระองค์ถึงมาหาหม่อมฉันล่ะเพคะ?”“ก็ไม่อยากจะมา ตั้งใจจะสั่งสอนให้รู้สำนึกเสียหน่อยว่า การผลักดันให้ผัวไปมีผู้หญิงอื่น โดยไม่เต็มใจนั้นน่ะมันจะให้ผลยังไง แต่เผอิญว่าเห็นคนบางคน น้ำตาคลอเบ้าเลยมาดูเสียหน่อย ไม่รู้ว่าเสแสร้งแกล้งทำ หรือรู้จักที่จะหึงหวงผัวขึ้นมาบ้างแล้ว!”“หึงจริงๆ น่ะแหละเพคะ” ไลลายอมรับออกไปตรงๆ ถึงแม้ใ
กัปตันลุกขึ้นแล้วเดินออกประตูไปก่อน ผงกศีรษะให้นิดหนึ่งเมื่อเห็นพริมโรสยืนอยู่หน้าประตู เจ้าชายอิสราร์ยืนมองหญิงสาวผ่านช่องประตูห้องนักบินอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเอื้อมมือมาคว้าแขนเรียวเล็กดึงเข้ามาปะทะอกกว้าง รวบร่างบางเข้ามากอดรัดอย่างแนบแน่น ฝ่ามือข้างหนึ่งประคองไว้หลังศีรษะ แล้วบดขยี้ริมฝีปากร้อนระอุกับริมฝีปากนุ่มอย่างหิวกระหาย เร่าร้อนและดุเดือด เพราะอะดรีนาลีนที่หลั่งออกมาหลังจากเพิ่งจะผ่านเหตุการณ์เฉียดตาย กระตุ้นให้อารมณ์ของเขาพลุ่งพล่าน“อื้อ!..” ปลายลิ้นเงอะงะถูกดูดดุนและเกี่ยวกระหวัดไว้ด้วยลิ้นเร่าร้อนของอีกฝ่ายโดยไม่เปิดโอกาสให้ได้พักหายใจ ทำให้เกิดเสียงประท้วงแผ่วๆ ในลำคอ“ที่รัก~..ผมรักคุณ” เขาถอนริมฝีปากออก กระซิบเสียงแหบพร่าแนบชิดกับริมฝีปากนุ่มอุ่น เรียวลิ้นไล่ระไปบนริมฝีปากของอีกฝ่าย ก่อนประทับริมฝีปากลงมาอีกครั้ง หญิงสาวยกท่อนแขนขึ้นโอบรอบลำคอเขาไว้ ตอบรับจุมพิตด้วยจังหวะที่สอดรับกันเป็นอย่างดี เบียดร่างบอบบางเข้าแนบชิดร่างกำยำอย่างออดอ้อน ฝ่ามือหนาของเขาลูบไล้ไปตามแผ่นหลังไล่ลงไปถึงโค้งสะโพกกลมมนแล้วกดเข้าหาลำตัวตามแรงอารมณ์ที่กำลังเพิ่มมากขึ้น“เอ่อ..ทูลฝ่าบาท พายุท
รินรดานั่งเหม่อกำโทรศัพท์ไว้ในมือ หลังจากเพิ่งจะวางสายจากรามิล เขาสัญญาว่าจะรีบเคลียร์งานให้เรียบร้อย และจะตามไปหาที่เปเรซภายในสองวันเธอรู้สึกไม่สบายใจเมื่อนึกถึงความฝันเมื่อคืนที่ผ่านมา แสงสว่างที่ลอยละล่องในความมืดส่องมาที่เธอ พร้อมกับเสียงกระซิบที่แผ่วเบาแต่ชัดเจน เสียงนั้นไม่ใช่เสียงของใครในโลกนี้ มันเหมือนเสียงที่มาจากที่ไกลโพ้น ฟังดูทั้งใกล้และไกลในเวลาเดียวกัน ‘ถึงเวลาแล้ว…จงทำตามสัญญา’หญิงสาวไม่ได้บอกใครว่าหลังจากที่เธอ และพี่ชายฟื้นขึ้นมา เธอได้เห็นถึงความศักดิ์สิทธิ์ของหินพ่อมดลาบราดอไลต์ ด้วยความสงสัยและความหวัง เธอแอบพระมารดาเข้าไปในห้องลับ ท่องบทสวดที่เธอแอบจดเอาไว้ และอธิษฐานถึงสิ่งที่อยากรู้ที่สุดในชีวิตตอนนั้น นั่นก็คือการตามหาครอบครัวที่แท้จริงจากนั้นเธอก็ฝันซ้ำๆ เดิมๆ อยู่หลายครั้งจนมาถึงปัจจุบัน ไม่รู้ว่าบุคคลในฝันเป็นใคร เธอจำเรื่องราวได้ รู้ว่าคนในฝันเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย แต่จำหน้าไม่ได้เลยสักคน และครั้งที่ไปโรงพยาบาลจนเกิดอาการใจสั่น แล้วเจ็บแปลบอย่างรุนแรง จนหมดสติไปในครั้งนั้น ก็ทำให้เธอได้เห็นผู้หญิง ที่มีหน้าตาเหมือนเธอราวกับฝาแฝดชัดเจนเป็นครั้งแรก ในห้วงฝ
“อะไรนะ!! แล้วได้ลงจอดฉุกเฉินไหม? งั้นถ้าจำเป็นต้องเปลี่ยนแผนโยกย้ายคนจากรัฐดีไปรัฐอีก็ดำเนินการได้เลย! อืม..ฉันอยู่บนเครื่องบินแล้ว คงจะถึงไล่ๆ กัน!...ได้!…เอาตามนั้น!”เจ้าชายอิดรีสชะงักมือที่กำลังวางโทรศัพท์บนโต๊ะหัวเตียง ขณะที่ปรายหางตาเห็นหุ่นอรชรอ้อนแอ้นกำลังเยื้องกรายเข้ามาในห้องด้วยกิริยาท่าทางที่ยั่วยวนหญิงสาวเข้ามายืนห่างจากเตียงไปประมาณหนึ่งช่วงแขน ค่อยๆ ปลดอาภรณ์ออกจากตัวทีละชิ้นอย่างเชื่องช้า พร้อมช้อนสายตาขึ้นมองชายหนุ่มอย่างเย้ายวนชวนเชิญเจ้าชายอิดรีสหยิบหมอนสองใบมาซ้อนหลัง นั่งกึ่งเอนพิงพนักหัวเตียงพาดแขนไว้บนเข่าข้างหนึ่งที่ตั้งชันขึ้น หรี่ตามองด้วยสีหน้าเรียบเฉยแต่ดูเยือกเย็น กิริยาภายนอกยังคงสงบนิ่ง รอบกายยังเผยความเย่อหยิ่งจองหองออกมาด้วยเขาเหลือบตามองนาฬิกาที่โต๊ะหัวเตียง ทำให้รู้ว่าอีกฝ่ายเลือกเวลาได้เหมาะเจาะ ไลลาไปสั่งงานกับเด็กรับใช้ได้สักพักใหญ่ๆ แล้ว และคงกำลังใกล้จะกลับมา เลยเปิดโอกาสให้น้องสาวสวมบทบาทน้องรักหักเหลี่ยมโหดเพื่อทำร้ายจิตใจผู้เป็นพี่ได้อย่างถูกที่ถูกเวลา เขาปล่อยให้อีกฝ่ายทำตามใจ โดยไม่ได้ปริปากเอ่ยทักท้วง เพื่อจะรอดูว่าเธอจะเปิดเผยเนื้อตั
"ฝ่าบาท! แย่แล้วเพคะ! กัปตันถูกทำร้ายขอความช่วยเหลือจากฝ่าบาทด่วนเลยเพคะ!" เจ้าชายอิสราร์ลุกพรวดขึ้น พริมโรสผวาลุกตามแล้วพยุงแขนเขาไว้ข้างหนึ่ง"เกิดอะไรขึ้น?" ชายหนุ่มถามขณะก้าวเท้าออกเดินได้ไม่เร็วนัก มือเรียวจึงจับแขนเขายกขึ้นแล้วก้มตัวลอดศีรษะเข้าไปใต้แขนแข็งแรง ก่อนจะวางแขนเขาให้เกาะไหล่เธอไว้เพื่อช่วยพยุง ทำให้ชายหนุ่มเดินได้เร็วขึ้นกว่าเดิม"นักบินผู้ช่วยลอบทำร้ายกัปตันเพคะ! โชคดีว่าอยู่ในความสูงที่กัปตันเปิดโหมดออโต้ไพลอทเอาไว้ ทันทีที่เกิดเรื่องเขากดอันล็อกประตูทำให้พวกเราได้ยินเสียงและเข้าไปช่วยเหลือเขาไว้ได้ทันเวลา ตอนนี้องครักษ์ลากตัวหมอนั่นออกไปแล้วเพคะ!""ทำไมไม่ตามนักบินเสริมให้ขึ้นมาแทน?""หม่อมฉันไปปลุกแล้วไม่ตื่นเลยทั้งสองคน ไฟล์ทเนิร์ซกำลังดูอาการพวกเขาอยู่ กัปตันเลยให้มาขอความช่วยเหลือจากฝ่าบาทเพคะ!"ลูกเรือต่างก็เห็นพ้องต้องกันทุกคนว่า นาทีนี้ไม่มีใครจะเหมาะสมเท่ากับเจ้านายพระองค์นี้อีกแล้ว เขามีชั่วโมงบินของการเป็นนักบินเอฟสามสิบห้า ของกองทัพรวมห้าพันแปดสิบห้าชั่วโมง ในจำนวนนี้ มีชั่วโมงของการทำหน้าที่นักบินผู้ช่วย อยู่แปดร้อยแปดสิบสี่ชั่วโมงกับเครื่องบินรุ่นนี้