“ใช่เพคะฝ่าบาท มิเพียงเจอแต่ในหลงโย่วเท่านั้น แต่ยังรวมถึงในคืนแรกของการเดินทางไปทางใต้ด้วย ตอนที่พวกเราพักค้างแรมในเมืองอวี๋หาง ก็ตกไปอยู่ในกับดักของพวกโจรเข้าเพคะ”“ระบุตัวตนของโจรเหล่านั้นได้แล้วหรือยัง?”“ส่วนใหญ่ได้รับการระบุตัวตนแล้วเพคะ บางส่วนมาจากสำนักอาทิตย์อัสดง บางส่วนก็มาจากสำนักเบญจพิษ และยังมีบางส่วนที่มาจากสำนักบู๊ลิ้มที่มีรากฐานลึกซึ้งเพคะ”ดวงตาของฉินอู๋ต้าวขรึมลง สีหน้าของเขามิสู้ดีนัก เขาเปล่งเสียงเยือกเย็นออกมา “สำนักบางสำนักในยุทธภพกล้าทำร้ายองค์รัชทายาทรึ! พวกมันไปเอาความกล้ามาจากที่ใด!”ฉงชูโม่ยังคงเงียบและมิตอบอะไรฉินอู๋ต้าวถามอีกครั้ง “พวกโจรจากสำนักอาทิตย์อัสดงและสำนักเบญจพิษ มีคำอธิบายหรือไม่ว่าผู้ใดเป็นคนสั่งพวกเขา?”“มีเพคะ! หากอิงตามการส่งมอบงาน พวกเขาได้รับคำสั่งจากอ๋องจิ้นและอ๋องซิ่นตามลำดับเพคะ”เมื่อได้ยินเช่นนั้น สีหน้าของฉินอู๋ต้าวก็มิสู้ดียิ่งกว่าเดิมเขาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วถามว่า “นอกจากเจ้าแล้ว มีใครอีกบ้างที่รู้เรื่องนี้?”ฉงชูโม่ตอบตามความจริง “องค์รัชทายาทเองก็ทรงทราบเพคะ”“พูดอีกอย่างก็คือ ไม่มีใครรู้นอกจากเจ้ากับองค์รัชทายาทใ
หลังจากที่ฉงชูโม่ออกมาจากวัง นางก็มิได้ตรงไปยังตำหนักบูรพา แต่ไปที่จวนชิ่งกั๋วกงก่อนเมื่อมาถึงจวนชิ่งกั๋วกง นางมิได้เข้าทางเข้าหลัก แต่กลับกระโดดขึ้นไปบนกำแพงและข้ามมาที่หน้าต่างห้องส่วนตัวของเซี่ยหลานตอนนี้เซี่ยหลานกำลังอ่านตำราบทกวีอย่างเพลิดเพลินเมื่อเห็นคนผู้หนึ่งปรากฏตัวขึ้นที่นอกหน้าต่าง นางก็ตกใจมากจนถอยหลังไปสองก้าวด้วยใบหน้าซีดเซียวหลังจากที่เห็นชัดเจนว่า คนที่มาคือฉงชูโม่ นางก็ถอนหายใจยาวพลางตบหน้าอกแล้วบ่นว่า “ชูโม่ เจ้าปีนกำแพงข้ามมาได้อย่างไร ทำเอาข้าตกอกตกใจหมด!”“ข้าขี้เกียจทักทายท่านปู่ของเจ้ากับคนอื่น ๆ น่ะ จะร้อนรนอะไรปานนั้น? หรือว่าเจ้าซ่อนบุรุษไว้ในห้อง?”ฉงชูโม่พูดติดตลกแล้วกระโดดข้ามหน้าต่างเข้าไปในห้อง แสร้งทำเป็นตรวจดูห้องส่วนตัวของเซี่ยหลานเซี่ยหลานกลอกตาใส่อีกฝ่ายแล้วพูดอย่างเคือง ๆ “ไปให้พ้นเลย เจ้าต่างหากที่ซ่อนบุรุษเอาไว้ อีกอย่างข้าก็มิได้ร้อนรน ข้าแค่ตกใจที่จู่ ๆ เจ้าก็โผล่พรวดมา ว่าแต่ นี่เจ้ากลับมาตั้งแต่เมื่อใด?”“เพิ่งกลับมาวันนี้ นี่อย่างไรเล่า พอกลับมาข้าก็รีบมาหาเจ้าเลย”“แล้วการเดินทางไปทางใต้ของเจ้าราบรื่นหรือไม่?”“ก็ถือว่าราบรื่
ฉงชูโม่มิปฏิเสธและรีบเปลี่ยนอาภรณ์อย่างรวดเร็วเมื่อเห็นฉงชูโม่อยู่ในชุดที่พลิ้วไหว ใจของเซี่ยหลานก็เต็มไปด้วยความอิจฉาริษยาและความเกลียดชัง“ชูโม่ เวลาเจ้าสวมกระโปรงเจ้าเหมือนนางสวรรค์ลงมาจุติยังใต้หล้าเลย เสียดายที่ข้ามิใช่บุรุษ มิเช่นนั้นข้าจะไปสู่ขอเจ้าอย่างแน่นอน”“เจ้าก็พูดชมเกินจริง เจ้าเองก็ดูดี เอาเถอะ ข้ามิพูดกับเจ้าแล้วดีกว่า วันหลังหากข้าว่างจะมาหาเจ้าอีกนะ”หลังจากที่ฉงชูโม่พูดจบ นางก็กระโดดข้ามขอบหน้าต่างแล้วหายตัวไปเซี่ยหลานพึมพำกับตัวเองด้วยท่าทางแปลก ๆ “ชูโม่ รีบร้อนเช่นนี้อีกทั้งยังตั้งใจแต่งตัวผัดหน้าเป็นพิเศษ นางต้องไปหาคนในใจแน่ ๆ มิได้การ ข้าต้องตามไปด้วยเพื่อป้องกันมิให้นางถูกหลอก”แต่หลังจากที่นางออกมาจากประตู ฉงชูโม่ก็หายตัวไปแล้วนางครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็มีความคิดหนึ่งแวบขึ้นมาในหัว นางพูดอย่างมีไหวพริบ “องค์รัชทายาทเดินทางไปยังทางใต้พร้อมกับชูโม่ เขาจะต้องรู้แน่ว่าใครเป็นคนในใจของนาง”พูดจบ นางก็มุ่งหน้าไปยังตำหนักบูรพา……ตำหนักบูรพาหลังจากที่ฉินซูจัดการหางานให้กับสองพี่น้องตงฟางไป๋ เขาก็ได้รู้จากผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาถึงเหตุการณ์สำคัญบา
ฉงชูโม่พูดด้วยความประหลาดใจ “มิจริงน่า? ท่านเดาถูกด้วยหรือนี่!”นางอดมิได้ที่จะพึมพำกับตัวเอง นางทำตัวโจ่งแจ้งไปหรือ?“มันจะยากอะไรเล่า? ตามนิสัยของเจ้า หากมิใช่เพราะรับสั่งของฝ่าบาท เจ้าจะแต่งตัวผัดหน้าสวย ๆ มาอวดข้ารึ?”เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ ฉินซูก็พูดต่อด้วยความขมขื่นเล็กน้อย “ข้าแค่คาดมิถึงว่า เสด็จพ่อตั้งใจจะปล่อยผ่านเหตุการณ์ใหญ่อย่างการลอบสังหารองค์รัชทายาท นี่มันเกินความคาดหมายของข้าจริง ๆ”“องค์รัชทายาท เรื่องนี้เป็นเรื่องร้ายแรง ฝ่าบาทคงจะทรงกังวลว่า หากเรื่องนี้ถูกเผยแพร่ออกไปจะเป็นการทำให้ราชวงศ์เสื่อมเสียชื่อเสียง นอกจากนี้ ท่านก็มิได้เป็นอะไร อีกทั้งคนร้ายก็ถูกจับกุมแล้ว มิว่าจะคิดอย่างไร ท่านก็มิได้เสียเปรียบเลยเพคะ”เมื่อได้ยินเช่นนั้น สายตาของฉินซูที่มองฉงชูโม่ก็กลายเป็นเฉยเมยเมื่อสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงในดวงตาของฉินซู ฉงชูโม่ก็สะดุ้งแล้วถามด้วยสีหน้างุนงง “องค์รัชทายาททรงคิดว่าหม่อมฉันพูดอะไรผิดไปหรือเพคะ?”ฉินซูยิ้มอย่างเย็นชาพลางพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “เจ้าพูดถูกแล้ว อีกทั้งเจ้าก็คงอยากจะพูดด้วยว่า ในสายพระเนตรของฝ่าบาทหรือแม้แต่สายตาของทุกคน ข้าฉินซูนั้นเป
นางหันมาตะคอกตงฟางไป๋ “ตงฟางไป๋ พวกเจ้าสองพี่น้องสิ้นชีพแล้วรึไร? เหตุใดถึงมิตามไปปกป้ององค์รัชทายาท?”“หา? โอ้ ๆ พวกเราจะไปเดี๋ยวนี้เลยจอรับ”เมื่อเห็นการทะเลาะกันระหว่างฉินซูและฉงชูโม่ ตงฟางไป๋กับตงฟางโซ่วที่เดิมทีอยากจะหาเรื่องสนุก ๆ ทำ แต่สุดท้ายพวกเขาก็ถูกฉงชูโม่ตวาดใส่อย่างไร้เหตุผลทั้งสองเดินตามไปอย่างมิพอใจหลังจากยืนส่งฉินซูไปจนลับสายตา ฉงชูโม่ก็พูดด้วยความโกรธ “คนชั่ว คนสารเลว กล้าทำตัวแย่ ๆ ใส่ข้ารึ หากมิใช่เพราะท่านกำลังลำบาก ข้าจะต่อยให้ฟันร่วงหมดปากเลย”ขณะที่พูดนางก็ยกกำปั้นขึ้นมาด้วยในเวลานี้ เซี่ยหลานที่บังเอิญเดินมาจากอีกฝั่งของหน้าประตูตำหนักบูรพาก็ได้เห็นภาพนี้เข้านางถามด้วยความประหลาดใจ “ชูโม่ เหตุใดถึงได้โกรธปานนั้นเล่า? สีหน้าของเจ้าเต็มไปด้วยความคับข้องใจ หรือว่าองค์รัชทายาทจะรังแกเจ้า?”ฉงชูโม่ที่ยังคงโกรธพูดว่า “อย่าไปพูดถึงเลย ก็แค่คนสารเลวคนหนึ่ง ข้าเห็นว่าเขาทนทุกข์ทรมานมามาก ก็เลยอยากแต่งตัวสวย ๆ แล้วออกไปพักผ่อนกับเขา แต่ผลก็คือเขาทำให้ความปรารถนาดีของข้าพังมิเหลือชิ้นดี!”“เอ๊ะ? ที่เจ้าขอให้ข้าช่วยแต่งตัวผัดหน้าให้เป็นพิเศษก็เพราะองค์รัชทายาท
ตรอกผิงคัง ตั้งอยู่ทางใต้ของพระราชวังในเมืองหลงเฉิง มิไกลจากพระราชวังมากนักที่นี่เต็มไปด้วยโรงน้ำชา โรงสุรา และสถานเริงรมย์มากมาย ทั้งหมดตั้งอยู่ริมแม่น้ำ ทำให้ทิวทัศน์งดงามเป็นพิเศษ ด้วยเหตุนี้ ตรอกผิงคังจึงกลายเป็นแหล่งรวมตัวของบรรดาบัณฑิตและกวีชื่อก้องในหลงเฉิงมาช้านานบ้างก็ชอบเขียนบทกวีในโรงน้ำชาและโรงสุรา บ้างก็อวดฝีมือในสถานเริงรมย์ จนทำให้ชื่อเสียงของตรอกผิงคังเป็นที่เลื่องลือไปทั้งในและนอกเมืองหลงเฉิงนอกจากนี้ วันผู้สูงอายุใกล้เข้ามาแล้ว ประกอบกับการเรียกร้องของจักรพรรดิ ทำให้บัณฑิตจากทั่วทั้งแคว้นต้าเหยียนหลั่งไหลมาที่นี่อย่างมิขาดสาย ทำให้ตรอกผิงคังในเวลานี้คึกคักไปด้วยผู้คนยิ่งกว่าที่เคยฉินซูเดินเดินเตร็ดเตร่อย่างไร้จุดหมาย ทอดสายตามองไปรอบ ๆ ตลาดวันนี้เขาสวมอาภรณ์ธรรมดา ไม่มีใครจดจำเขาได้ ตงฟางไป๋และตงฟางโซ่ว สองพี่น้องคอยเดินตามมิห่าง“มิน่าเชื่อเลยว่า แค่ตลาดธรรมดา ๆ ในหลงเฉิงจะครึกครื้นถึงเพียงนี้ ราวกับช่วงเทศกาลปีใหม่ไม่มีผิด” ตงฟางโซ่วกล่าวด้วยความตื่นเต้นเมื่อมองดูฝูงชนที่พลุกพล่านในตลาดตงฟางไป๋จ้องเขาอย่างดุดันก่อนจะพูดตำหนิด้วยน้ำเสียงเข้ม “อย่าม
ฉินซูพูดอย่างมิสบอารมณ์ว่า “หากเปิดเผยตัวตนออกไป ก็มิสนุกสิ รออีกสักหน่อย แล้วพวกเจ้าก็จำไว้ว่าห้ามทำให้ใครรู้ว่าข้าเป็นใคร จำไว้ให้ดี”พี่น้องตงฟางทั้งสองคนรีบรับคำอย่างเคารพ “พวกเราจำไว้แล้วพ่ะย่ะค่ะ”ในขณะเดียวกันเจ้าของร้านได้ยินว่ามีคนต้องการเข้าร่วมงานในร้าน จึงพูดกับเสี่ยวเอ้อร์ด้วยความรำคาญว่า “ก็หาข้ออ้างปฏิเสธไปสิ พวกแขกที่อยู่ในร้านตอนนี้ล้วนเป็นบัณฑิตชั้นสูง ในภายภาคหน้าพวกเขาอาจสอบได้ตำแหน่งขุนนาง หรือแม้แต่ได้ทำงานในราชสำนัก เราจะทำให้พวกเขามิพอใจมิได้”เสี่ยวเอ้อร์ยิ้มแห้งแล้วอธิบายว่า “แต่คุณชายที่อยู่นอกประตูนั้นดูท่าทางมิธรรมดา หากเขาเป็นลูกหลานขุนนางใหญ่ เราก็มิอาจทำให้เขามิพอใจได้เช่นกันขอรับ”เมื่อได้ยินเช่นนั้น เถ้าแก่จึงพยักหน้าอย่างช้า ๆ “ก็จริง เอาเถอะ ข้าไปดูเองดีกว่า”พูดจบ เขาก็เดินไปยังหน้าประตูร้านสายตาของเขากวาดผ่านร่างสองพี่น้องตระกูลตงฟางไปเฉย ๆ แล้วหยุดลงที่ฉินซูแม้ฉินซูจะแต่งตัวเรียบง่าย แต่ด้วยคิ้วคมเข้มดั่งคมดาบ ดวงตาคมกล้า รูปร่างสง่างาม แม้ยืนอยู่เฉย ๆ เจ้าของร้านก็รู้ได้ทันทีว่าเขามิใช่คนธรรมดา เมื่อสังเกตเห็นเช่นนั้น เขาจึงโค้งคำนับ
"เจ้าบอกว่าตนเป็นสหายของคุณชายซุยหรือ?" ชายหนุ่มแซ่ซุนมองสำรวจฉินซูด้วยความสงสัย จากนั้นก็เอ่ยถามอย่างเคลือบแคลงฉินซูเพียงมองแวบเดียวก็จำอีกฝ่ายได้ทันที ชายผู้นี้มีนามว่าซุนฉี บุตรชายของขุนนางชั้นผู้น้อยกรมพิธีการตอนแรก ฉินซูยังกังวลว่าซุนฉีจะจำตนได้หรือไม่ แต่เมื่อได้ยินคำถามของอีกฝ่าย เขาก็โล่งใจ ความกังวลของฉินซูเป็นสิ่งที่เกินความจำเป็น เพราะถึงแม้ว่าซุนฉีจะสนิทสนมกับซุยห้าว แต่ก็มิเคยมีโอกาสได้พบกับฉินซูอย่างใกล้ชิดมาก่อน ดังนั้นจึงมิแปลกที่อีกฝ่ายจะจำเขามิได้ฉินซูยิ้มเล็กน้อยก่อนตอบเสียงเรียบว่า "ใช่แล้ว"ซุนฉียังคงมองฉินซูด้วยท่าทีสงสัย "แต่สหายของคุณชายซุย ข้ารู้จักทั้งหมด มิเคยเห็นเจ้ามาก่อน เจ้าอยากจะเข้ามาในนี้เพื่อยกฐานะตัวเองใช่หรือไม่?"ฉินซูเกือบจะหลุดหัวเราะออกมา ‘ข้าเป็นถึงรัชทายาท จะมายกฐานะตัวเองในโรงสุรานี้น่ะหรือ น่าขันเสียจริง’ เขาพยายามกลั้นยิ้มและพูดว่า "เจ้านี่ช่างพูดตลกนัก นอกจากคุณชายซุยแล้ว ที่นี่ยังจะมีขุนนางใหญ่โตที่ไหนอีก"ซุนฉีคิดตาม และเห็นด้วยว่าที่ฉินซูพูดนั้นก็มีเหตุผล เขาลูบคางคิดสักพัก จากนั้นก็พูดว่า "สหายของคุณชายซุยล้วนเป็