ฉินซูพูดอย่างมิสบอารมณ์ว่า “หากเปิดเผยตัวตนออกไป ก็มิสนุกสิ รออีกสักหน่อย แล้วพวกเจ้าก็จำไว้ว่าห้ามทำให้ใครรู้ว่าข้าเป็นใคร จำไว้ให้ดี”พี่น้องตงฟางทั้งสองคนรีบรับคำอย่างเคารพ “พวกเราจำไว้แล้วพ่ะย่ะค่ะ”ในขณะเดียวกันเจ้าของร้านได้ยินว่ามีคนต้องการเข้าร่วมงานในร้าน จึงพูดกับเสี่ยวเอ้อร์ด้วยความรำคาญว่า “ก็หาข้ออ้างปฏิเสธไปสิ พวกแขกที่อยู่ในร้านตอนนี้ล้วนเป็นบัณฑิตชั้นสูง ในภายภาคหน้าพวกเขาอาจสอบได้ตำแหน่งขุนนาง หรือแม้แต่ได้ทำงานในราชสำนัก เราจะทำให้พวกเขามิพอใจมิได้”เสี่ยวเอ้อร์ยิ้มแห้งแล้วอธิบายว่า “แต่คุณชายที่อยู่นอกประตูนั้นดูท่าทางมิธรรมดา หากเขาเป็นลูกหลานขุนนางใหญ่ เราก็มิอาจทำให้เขามิพอใจได้เช่นกันขอรับ”เมื่อได้ยินเช่นนั้น เถ้าแก่จึงพยักหน้าอย่างช้า ๆ “ก็จริง เอาเถอะ ข้าไปดูเองดีกว่า”พูดจบ เขาก็เดินไปยังหน้าประตูร้านสายตาของเขากวาดผ่านร่างสองพี่น้องตระกูลตงฟางไปเฉย ๆ แล้วหยุดลงที่ฉินซูแม้ฉินซูจะแต่งตัวเรียบง่าย แต่ด้วยคิ้วคมเข้มดั่งคมดาบ ดวงตาคมกล้า รูปร่างสง่างาม แม้ยืนอยู่เฉย ๆ เจ้าของร้านก็รู้ได้ทันทีว่าเขามิใช่คนธรรมดา เมื่อสังเกตเห็นเช่นนั้น เขาจึงโค้งคำนับ
"เจ้าบอกว่าตนเป็นสหายของคุณชายซุยหรือ?" ชายหนุ่มแซ่ซุนมองสำรวจฉินซูด้วยความสงสัย จากนั้นก็เอ่ยถามอย่างเคลือบแคลงฉินซูเพียงมองแวบเดียวก็จำอีกฝ่ายได้ทันที ชายผู้นี้มีนามว่าซุนฉี บุตรชายของขุนนางชั้นผู้น้อยกรมพิธีการตอนแรก ฉินซูยังกังวลว่าซุนฉีจะจำตนได้หรือไม่ แต่เมื่อได้ยินคำถามของอีกฝ่าย เขาก็โล่งใจ ความกังวลของฉินซูเป็นสิ่งที่เกินความจำเป็น เพราะถึงแม้ว่าซุนฉีจะสนิทสนมกับซุยห้าว แต่ก็มิเคยมีโอกาสได้พบกับฉินซูอย่างใกล้ชิดมาก่อน ดังนั้นจึงมิแปลกที่อีกฝ่ายจะจำเขามิได้ฉินซูยิ้มเล็กน้อยก่อนตอบเสียงเรียบว่า "ใช่แล้ว"ซุนฉียังคงมองฉินซูด้วยท่าทีสงสัย "แต่สหายของคุณชายซุย ข้ารู้จักทั้งหมด มิเคยเห็นเจ้ามาก่อน เจ้าอยากจะเข้ามาในนี้เพื่อยกฐานะตัวเองใช่หรือไม่?"ฉินซูเกือบจะหลุดหัวเราะออกมา ‘ข้าเป็นถึงรัชทายาท จะมายกฐานะตัวเองในโรงสุรานี้น่ะหรือ น่าขันเสียจริง’ เขาพยายามกลั้นยิ้มและพูดว่า "เจ้านี่ช่างพูดตลกนัก นอกจากคุณชายซุยแล้ว ที่นี่ยังจะมีขุนนางใหญ่โตที่ไหนอีก"ซุนฉีคิดตาม และเห็นด้วยว่าที่ฉินซูพูดนั้นก็มีเหตุผล เขาลูบคางคิดสักพัก จากนั้นก็พูดว่า "สหายของคุณชายซุยล้วนเป็
กลายเป็นว่าการแสดงความสามารถของตนเมื่อครู่นั้นถูกฉินซูชิงไปครึ่งหนึ่ง ซุนฉีกล่าวอย่างมิพอใจ “เมื่อกี้เจ้าคงจะแค่คาดเดาได้เท่านั้น ข้าจะออกคำโคลงอีกบท หากเจ้าสามารถตอบได้จริง ข้าจะยอมให้เจ้าเข้าไป!” เมื่อได้ยินเช่นนั้น คิ้วของฉินซูกระตุกเล็กน้อย สีหน้าปรากฏความมิพอใจ ตงฟางไป๋เมื่อเห็นท่าทางเช่นนั้น จึงก้าวไปข้างหน้าแล้วตะคอกใส่ซุนฉี “เจ้ามันไร้ยางอาย! เมื่อสักครู่เจ้าบอกว่า หากคุณชายของข้าต่อโคลงกลอนได้ จะยอมให้เข้าไป ตอนนี้กลับมากล่าวหาว่า คุณชายของข้าเดาสุ่ม เจ้าเล่นมิเป็น หรือคิดว่าคุณชายของข้าใครจะรังแกก็ได้ใช่หรือไม่?” ขณะที่พูด กำปั้นอันใหญ่โตของเขาก็กำขึ้นจนเกิดเสียงกร๊อบแกร๊บของข้อต่อ แสดงให้เห็นถึงการข่มขู่อย่างเต็มที่ ซุนฉีตอบรับอย่างมิได้รีบร้อนว่า “เขาตอบได้เร็วถึงเพียงนี้ ข้าสงสัยว่าเขาเดาก็มิผิดอะไร หากคุณชายของเจ้ามีความรู้จริง ไฉนจะตอบอีกโคลงมิได้เล่า?” “เจ้า...” ตงฟางไป๋กำลังจะพูดต่อ แต่ฉินซูกลับยกมือห้ามไว้ “พอแล้ว ข้าจะตอบโคลงอีกบทก็ได้ แต่ข้าขอเตือนไว้ก่อน หากเจ้ายังจงใจกลั่นแกล้งอีกละก็ อย่าหาว่าบ่าวทั้งสองคนนี้ของข้ามิเกรงใจ!” “หึ เจ้า
ฉินซูมิแม้แต่จะหันกลับมา และตอบเรียบ ๆ ว่า "ซูฉิน" แต่อันที่จริงเขาสลับชื่อของตัวเอง ทว่าซุนฉีมิได้สังเกตถึงเรื่องนี้ เขาหรี่ตาลงเล็กน้อย แววตาเจือด้วยความโหดเหี้ยมขณะพึมพำอย่างเจ้าเล่ห์ว่า "หึ ซูฉิน ข้าจะจำชื่อเจ้าไว้ หวังว่าเจ้าจะมิพลาดท่าให้ข้าในภายหลังแล้วกัน" พูดจบเขาก็เดินขึ้นไปยังชั้นบนของโรงสุรา เมื่อมาถึงหน้าห้องส่วนตัวห้องหนึ่ง ซุนฉีมิได้เคาะประตู แต่กลับเงี่ยหูฟังอยู่ที่หน้าประตู ผ่านไปประมาณหนึ่งเค่อ เมื่อเสียงในห้องสงบลง เขาจึงเคาะประตู มินาน ประตูก็ส่งเสียง “เอี๊ยด” แล้วเปิดออกชายหนุ่มในชุดหรูหราอีกคนที่ดูทรงพลังเช่นกันถามว่า "ซุนฉี มีอะไรหรือ?" “คุณชายซุย เมื่อครู่มีคนอ้างว่าเป็นสหายของท่าน ข้าทดลองทดสอบดูแล้ว พบว่าผู้นั้นพอมีความรู้ จึงให้เขาเข้ามา” คิ้วของซุยฮ่าวขมวดขึ้นเล็กน้อย เขาถามด้วยความประหลาดใจว่า “โอ้? สหายของข้า? ใครกัน?” “เขาอ้างว่าชื่อซูฉิน” “ซูฉิน?” คิ้วของซุยฮ่าวขมวดลึกยิ่งขึ้น เขาคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพึมพำ "ข้าจำมิได้เลยว่าข้ามีสหายนามว่าซูฉิน" ซุนฉีเหมือนจะนึกอะไรออก เขาจึงพูดอย่างระมัดระวัง “คุณชายซุย หรือว่าผู้นั
มินานนัก ภายนอกก็เริ่มครึกครื้นขึ้นเหล่าบัณฑิตที่ดื่มสุราอยู่ตามห้องส่วนตัวบนชั้นสองและสามต่างก็ทยอยลงมายังโถงใหญ่ชั้นหนึ่ง บางคนถือพัดพับในมือ บางคนถือตำรากวีและวรรณกรรมในมือ ทุกคนล้วนแต่งกายในชุดบัณฑิต เห็นดังนั้น ซุนฉีจึงก้าวขึ้นไปยืนบนโต๊ะ พร้อมกล่าวแก่ฝูงชนด้วยเสียงดังว่า "ทุกท่าน พวกท่านล้วนเป็นผู้ที่มีความรู้สูง วันนี้ที่พวกเรามีโอกาสได้มารวมตัวกัน ข้าขอเสนอว่าเรามาลองประชันปัญญากันสักเล็กน้อย มิทราบว่าทุกท่านคิดเห็นเป็นอย่างไร?" "ดีเลย แม้ในวรรณกรรมจะไม่มีอันดับหนึ่ง แต่การได้แลกเปลี่ยนความรู้กันก็เป็นสิ่งที่ดี" "ใช่แล้ว ใช่แล้ว เช่นนี้เราจะได้เปิดหูเปิดตา แลกเปลี่ยนความรู้กัน" เมื่อเห็นว่าทุกคนเห็นพ้องต้องกัน ซุนฉีก็กล่าวต่อว่า "ถ้าเช่นนั้น นี่ก็ใกล้จะถึงวันผู้สูงอายุแล้ว เรามาใช้ 'ผู้สูงอายุ' เป็นหัวข้อในการประพันธ์บทความกันเถอะ แล้วเราจะนำผลงานทั้งหมดให้คุณชายซุยตรวจสอบและวิจารณ์ มาดูกันว่าใครจะเป็นผู้ที่มีฝีมือยอดเยี่ยมที่สุด!" "ดี ข้าเห็นด้วย เช่นนั้นพวกเราก็อย่าเสียเวลา รีบเริ่มเถอะ ได้รับการวิจารณ์จากคุณชายซุยถือเป็นเกียรติของพวกเราแล้ว" "ถูกต้อง ข้
ซุยฮ่าวพยักหน้ารับอย่างต่อเนื่อง "ใช่แล้ว พี่ชูโม่ ข้าเห็นว่าช่วงนี้มีผู้รู้ทางวรรณศิลป์มารวมตัวกันที่หลงเฉิงมากมาย ข้าก็เลยคิดจะนัดพวกเขามาพบปะกันบ้าง ว่าแต่ท่านกับพี่หญิงเซี่ยหลาน ไฉนจึงมาที่นี่ด้วยเล่า?" เซี่ยหลานหัวเราะ "ข้ากับชูโม่แค่จะมาร่วมสนุกสักหน่อย อยากเห็นว่าพวกบัณฑิตทั้งหลายเช่นเจ้าจะมีฝีมือโดดเด่นเพียงใด มิคิดเลยว่าจะบังเอิญเจอเจ้า" พูดถึงตรงนี้ เซี่ยหลานทำหน้าสงสัย พลางถามว่า "ซุยฮ่าว เหตุใดเจ้าดูหน้าตาดูย่ำแย่เช่นนี้ หรือมิอยากต้อนรับข้ากับชูโม่?" ซุยฮ่าวรีบอธิบาย "หามิได้ มิใช่เช่นนั้น ข้าแค่รู้สึกประหลาดใจนิดหน่อย มิเคยเห็นพวกท่านมาที่นี่มาก่อนเลย" "ดี ถ้าเช่นนั้น พวกเจ้าก็ทำธุระของพวกเจ้าไป ข้ากับชูโม่จะขึ้นไปนั่งที่ชั้นบน จะได้พลางฟังบทกวีและโคลงกลอนของพวกเจ้าไปด้วย" ทันทีที่เซี่ยหลานพูดจบ นางก็ควงแขนฉงชูโม่ขึ้นบันไดไป สายตาของทุกคนต่างจับจ้องสองสาวงามขณะที่เดินขึ้นไป เมื่อร่างของพวกนางหายไปตรงบันได ผู้คนในกลุ่มต่างก็เริ่มตั้งคำถาม "คุณชายซุย สองสาวงามที่พึ่งไปนั้นคือใครหรือ?" "ใช่ หากมิได้เห็นกับตาตนเอง ข้าก็มิอยากจะเชื่อเลยว่าใต้หล้านี้จ
ชายร่างใหญ่มีเคราหนาขมวดคิ้วถามว่า "เป็นแม่ทัพขั้นหนึ่ง ฉงชูโม่คนนั้นใช่หรือมิ?" "ใช่แล้ว เป็นนางนั่นแหละ นางแข็งแกร่งมาก พวกเจ้าจงระวังตัวไว้ อย่าให้ถูกนางจับได้ว่าอยู่ที่นี่" ชายร่างใหญ่มีท่าทางสงสัยและถามอีกครั้ง "แล้วนางมาที่นี่ด้วยเหตุใดกัน?" "พวกนางเพียงแค่ผ่านมา ข้าจะหาทางเบี่ยงเบนความสนใจพวกนางเอง ในระหว่างนี้ พวกท่านจำไว้ว่าห้ามทำอะไรบุ่มบ่าม" ซุยฮ่าวสั่งย้ำอีกสองสามประโยค ก่อนจะหันหลังกลับลงไปชั้นล่าง ในห้องส่วนตัว ชายร่างใหญ่หลายคนต่างปิดประตูหน้าต่างอย่างแน่นหนาและระวังตัวมิให้ส่งเสียงดัง เมื่อซุยฮ่าวลงมาถึงชั้นสอง ก็ตรงไปยังห้องที่เซี่ยหลานและฉงชูโม่อยู่ เขาเคาะประตูเบา ๆ แล้วเดินเข้าไป พร้อมยิ้มอย่างสุภาพและกล่าวว่า "พี่หญิงเซี่ยหลาน พี่หญิงชูโม่โรงสุราแห่งนี้สกปรก และพวกท่านก็เห็นแล้ว บัณฑิตที่มาจากเมืองอื่นเหล่านี้ทำตัวเหมือนคนที่มิเคยเห็นหญิงงาม”“ข้าเกรงว่า หากพวกท่านอยู่ต่อไป พวกเขาอาจจะล่วงเกินพวกท่านได้ พวกท่านไปนั่งเล่นที่หอชวนหอม มิดีกว่าหรือ ที่นั่นก็มีบัณฑิตและนักปราชญ์มากมายมาแลกเปลี่ยนความรู้กัน” เซี่ยหลานครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพย
พวกชายฉกรรจ์ต่างมองหน้ากัน แล้วหันกลับไปมองด้านหลัง ทันใดนั้น ชายหนุ่มในชุดขาวก็ก้าวเดินเข้ามาอย่างช้า ๆ เขาประสานมือไว้ด้านหลัง ใบหน้าเต็มไปด้วยความหยิ่งทะนง ชายผู้นี้มิใช่ใครอื่น บุตรแห่งนักปราชญ์ประจำหอดารารักษ์ของเป่ยเยี่ยน หนานกงจื่อชิน! เคียงข้างเขายังมีสตรีอายุประมาณยี่สิบปี นางสวมใส่ชุดกระโปรงยาวสีขาวเรียบง่าย หน้าตางดงาม อ่อนช้อย สตรีคนนี้มิใช่ใครอื่น นางคือบุตรสาวของอ๋องอวี้แห่งเป่ยเยี่ยน นามว่ามู่หรงจื่อเยียน ในขณะนี้ มู่หรงจื่อเยียนกำลังคล้องแขนของหนานกงจื่อชินอย่างสนิทสนม เมื่อทั้งสองก้าวเข้ามา ทุกคนในห้องโถงรวมถึงซุยฮ่าวต่างก็ตกตะลึงไปตาม ๆ กัน ชายหญิงรูปงาม ช่างเป็นคู่กิ่งทองใบหยกที่ลงตัวที่สุด หนานกงจื่อชินมองสำรวจผู้คนในห้องโถงด้วยสายตาหยิ่งยโส จากนั้นก็ยิ้มอย่างเยือกเย็น "ดูเหมือนว่า ที่นี่จะมีแต่บัณฑิตจากต้าเหยียน ในเมื่อข้าก็มาแล้ว คงต้องขอประลองฝีมือกับพวกท่านสักหน่อย" แม้เสียงของเขาจะมิดังมาก แต่ทุกคนในห้องกลับได้ยินอย่างชัดเจน แถมยังรู้สึกเจ็บหูอีกด้วย คำพูดที่หนานกงจื่อชินเอ่ยออกมานั้น แฝงไปด้วยกำลังภายใน เห็นได้ชัดว่า เขาเจ
เซวียหมิงมองไปยังทิศทางที่ฉินซูและพรรคพวกจากไปพลางพึมพำกับตัวเอง“คิดมิถึงเลยว่าจะได้เจอกับคนที่สามารถกลืนกินปราณเลือดอาถรรพ์ได้ จีอันหรือ? ข้าจะจำเจ้าเอาไว้!”“แล้วก็ฉินซู เจ้าคอยข้าก่อนเถอะ สักวันข้าจะทำให้เจ้าทุกข์ทรมานจนอยู่ต่อมิไหว จะตายก็มิได้!”“แค่นี้ก็น่าจะพอให้ข้าใช้แล้ว”เขาพูดพลางมองลูกแก้วสีแดงอมม่วงในมือภายในลูกแก้วนั้นคือปราณเลือดอาถรรพ์จุดประสงค์ของการเดินทางครั้งนี้ของเขาคือต้องการหามหาปุโรหิตแห่งสำนักจันทราโรหิต เพื่อขอยืมปราณเลือดอาถรรพ์มาใช้แต่เมื่อเข้าใกล้บริเวณนี้ ก็เห็นเฉินซีถูกฉงชูโม่ล่อลวงไปแล้ว ส่วนสาวกของสำนักจันทราโรหิตก็บาดเจ็บล้มตายกันเป็นเบือ เขาจึงฉวยโอกาสจัดการสาวกที่เหลือของสำนักจันทราโรหิต จากนั้นก็เข้าไปในถ้ำจนได้พบกับแท่นบูชาต่อมาก็ฉวยโอกาสที่ตู๋กูโฉ่วเยวี่ยมิทันระวังจัดการอีกฝ่ายจนสลบไป และเก็บรวบรวมปราณเลือดอาถรรพ์เหล่านี้ได้อย่างง่ายดายจากนั้นเซวียหมิงก็หันหลังเดินออกจากที่นี่ไปเช่นกันขณะที่เขาเดินผ่านป่าแห่งหนึ่ง จู่ ๆ ก็รู้สึกว่าเท้าเหยียบเข้ากับบางสิ่งบางอย่างเมื่อก้มลงมอง ก็พบว่าเป็นขลุ่ยกระดูกสีขาวบริสุทธิ์เขายกมันขึ้นมาด
ในเวลานี้ แสงสีเลือดใต้รอยแตกของผนึกได้หายไปหมดจนแล้ว เหลือเพียงความมืดมิดจีอันลูบก้นพลางเดินเข้ามาเขาหยิบกระดาษยันต์สีเหลืองสองแผ่นออกมาจากอกเสื้อแล้วแปะลงบนรอยแตกของผนึกนั้นลงไปจากนั้นก็เดินไปข้าง ๆ ยกก้อนหินขนาดใหญ่กว่าวัวทั้งตัวขึ้นมาวางทับกระดาษยันต์ทั้งสองแผ่นนั้นไว้ฉินซูได้แต่มองตาค้าง ก้อนหินนั้นอย่างน้อยก็หนักสักตันสองตันกระมัง แต่จีอันกลับยกมันขึ้นมาได้ด้วยมือเปล่าเขามองด้วยความสงสัยเต็มใบหน้าแล้วถามว่า “จีอัน ตอนนี้เจ้าอยู่ระดับใด?”“ข้าน้อยมิรู้ อาจารย์มิได้บอกข้าน้อย”“มิจริงน่า? ระดับของตัวเจ้าเอง เจ้าจะมิรู้ได้อย่างไร?”จีอันพยักหน้าอย่างซื่อ ๆ แล้วถามกลับว่า “ปราณบริสุทธิ์ภายในของท่านเข้มข้นและประหลาดถึงเพียงนี้ พระองค์เล่าอยู่ระดับใด?”ฉินซูยักไหล่ “ข้าก็มิแน่ใจ”“หึ มิพูดก็ช่าง ท่านแข็งแกร่งเพียงนี้ อาจารย์คงแก่จนเลอะเลือนแล้ว ถึงให้ข้าน้อยลงใต้มาคุ้มครองท่าน”จีอันบ่นพึมพำแล้วย่อเข่าลง จากนั้นร่างก็พุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าดุจกระสุนปืนใหญ่ ชั่วพริบตาก็กระโจนขึ้นไปข้างบนฉินซูอดสงสัยมิได้ว่า เจ้านี่น่าจะเลือกเส้นทางสายฝึกกาย มิฉะนั้นจะหนังหนาถึงเพียงนี้ได้อย
ท่ามกลางสายตาที่อยากรู้อยากเห็นของฉินซู ร่างของจีอันก็พุ่งลงไปราวกับกระสุนปืนใหญ่ กระแทกเข้ากับพื้นหุบเหวลึกเบื้องล่าง'ปัง' เสียงดังสนั่น พื้นดินถูกกระแทกจนเกิดหลุมขนาดใหญ่แต่จีอันกลับมิได้รับบาดเจ็บแม้แต่น้อย!พลันเห็นเขาปีนขึ้นมาจากหลุมแล้วตบ ๆ ปัดฝุ่นออกจากตัวอย่างมิยี่หระราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นเมื่อเห็นภาพนั้น ฉินซูยกย่องเขาอย่างสุดซึ้ง ถามด้วยความสงสัยว่า “ชูโม่ จีอันผู้นี้หนังหนาไปหน่อยกระมัง? เขาอยู่ระดับใดหรือ?”“หม่อมฉันก็มิแน่ใจ แต่ในบรรดาศิษย์ทั้งเจ็ดคนของหัวหน้าโหรหลวงเขาแข็งแกร่งที่สุดแล้วเพคะ”“เช่นนี้นี่เอง เจ้าอยู่ดูแลตู๋กูโฉ่วเยวี่ยที่นี่ไปนะ ข้าจะลงไปช่วยเขา”ฉินซูพูดจบก็กระโดดลงไปเช่นกันต่างจากจีอัน ฉินซูในยามนี้ราวกับขนนกเบาหวิวที่ลอยลงไปอย่างแผ่วเบาเมื่อมาถึงก้นหุบเหว เขาก็ตกใจเมื่อพบว่าพื้นของแท่นบูชานี้เต็มไปด้วยอักขระเวทสีแดงในยามนี้อักขระเวทเหล่านี้ล้วนเปล่งแสงสีแดงเลือด ทั้งมีเสน่ห์แบบลึกลับและทั้งแปลกประหลาดจีอันมองฉินซูผาดหนึ่ง แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ท่านคอยอยู่ตรงนั้น อย่าเข้ามา”พูดจบเขาก็สาวเท้าเข้าไปหาแสงโลหิตนั้นอย่างรวดเร็ว
แรงกดดันน่าสะพรึงกลัวที่แฝงอยู่ในนั้น แม้จะอยู่ห่างไกลก็ยังรับรู้ได้อย่างชัดเจนฉินซูกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “ท้องฟ้าเกิดปรากฏการณ์ประหลาด เกรงว่าจะเกิดเรื่องใหญ่แล้ว มิควรอยู่ที่นี่แล้ว รีบไปกันก่อนเถิด”“มิได้ ตู๋กูโฉ่วเยวี่ยยังอยู่ที่เขาหัวสิงห์ ที่นั่นต้องเกิดเรื่องกระไรขึ้นแน่ รีบไปดูกันเถิดเพคะ”ฉงชูโม่ยังมิทันจะพูดจบ ก็ใช้วิชาตัวเบาพุ่งไปยังทิศทางของเขาหัวสิงห์แล้วเมื่อเห็นเช่นนั้น ฉินซูก็จำต้องตามไปด้วยเมื่อสังเกตว่าความเร็วของฉงชูโม่เร็วกว่าเดิมมาก ฉินซูก็อุทานด้วยความประหลาดใจว่า “ชูโม่ มิได้เจอกันนาน พลังของเจ้าเพิ่มขึ้นเร็วถึงเพียงนี้ได้อย่างไร?”“หม่อมฉันกินโอสถลับของสำนักหอดูดาวหลวง โอสถลูกกลอนนั้นสามารถเพิ่มความคล่องแคล่วของกระบวนท่าได้เพคะ”“เช่นนี้นี่เอง!”ฉินซูจดจำเรื่องนี้ไว้ในใจเงียบ ๆทั้งสองใช้ทักษะการเคลื่อนไหวที่รวดเร็วราวกับภูตผี เพียงแค่ชั่วครู่ก็มาถึงตีนเขาหัวสิงห์เมื่อเงยหน้ามอง แสงสีแดงฉานที่พุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้ายังคงแรงกล้ามิได้เจือจางลงแม้แต่น้อย ในความว่างเปล่านั้นเต็มไปด้วยเมฆดำและเสียงฟ้าร้องดังสนั่นเมื่อเห็นสถานการณ์อันน่าพิศวงนี้ ฉินซูก็
ฉินซูกล่าวด้วยท่าทางจริงจังว่า “เฮ้อ เจ้าอย่าได้หึงหวงนักเลย เจ้าเป็นถึงพระชายาองค์รัชทายาทของข้านะ”“ถุย ใครเขาตอบตกลงเป็นพระชายาองค์รัชทายาทของท่านกัน อย่าแม้แต่จะคิดเชียว”“ชูโม่อย่าล้อเล่นสิ ข้าพูดจริงนะ เจ้ายังมิเข้าใจความรู้สึกที่ข้ามีต่อเจ้าอีกหรือ?”ฉงชูโม่หยุดเดิน พลันหันขวับกลับไปกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “ฉินซู หากท่านมิอยากให้ฝ่าบาททรงระแวง ท่านก็ควรกลืนคำพูดเมื่อครู่นี้กลับลงท้องไปเสีย”ฉินซูขมวดคิ้ว “ข้าชอบเจ้า แล้วมันผิดด้วยหรือ?”เมื่อเห็นฉินซูแสดงความในใจ ฉงชูโม่ก็อดมิได้ที่จะรู้สึกยินดีเล็กน้อย แต่ก็ยังคงส่ายหน้าพลางอธิบายอย่างอดทน“ผิดสิเพคะ ท่านลองไตร่ตรองดู ท่านเป็นถึงองค์รัชทายาท กลับคิดจะรับแม่ทัพขั้นหนึ่งมาเป็นพระชายาองค์รัชทายาท หากองค์จักรพรรดิทรงทราบเรื่องนี้ พระองค์จะทรงรู้สึกอย่างไร? อย่าลืมว่าเรื่องวันชุนเฟินปีหน้ายังมิจบสิ้น ดังนั้นมิว่าจะมองอย่างไร ยามนี้ก็มิใช่เวลาที่จะพูดถึงเรื่องนี้เพคะ”“แต่… แต่ข้าได้ยึดครองหนานเยวี่ยทั้งหมดมาเป็นของต้าเหยียน ด้วยความดีความชอบเช่นนี้ การรับเจ้ามาเป็นพระชายาองค์รัชทายาทก็มิ...”ยังมิทันที่ฉินซูจะพูดจบ เขาก็เข
เมื่อเห็นว่าศพแห้งทำกระไรฉินซูมิได้ เสียงขลุ่ยของเฉินซีก็เปลี่ยนทำนองกะทันหัน ศพแห้งเหล่านั้นหันหลังวิ่งหนีป่าราบทันที“ชีวิตน้อย ๆ ของเจ้ากับศพแห้งเหล่านี้ ข้าจะเอาไปทั้งหมด!”เมื่อฉินซูพูดจบ ก็ตบฝ่ามือใส่เฉินซีรูม่านตาของเฉินซีหดเล็กลง ยังมิทันได้ลงมือก็ 'ฟู่' ถูกตบจนกลายเป็นหมอกเลือดในทันใดเมื่อเห็นเช่นนั้น ชายชุดดำก็ใจหายวาบ รีบวิ่งหนีสุดชีวิตโดยมิลังเลฉินซูหัวเราะเย็นชา จากนั้นก็โบกมือชายชุดดำวิ่งออกไปได้มิไกลนัก ร่างก็ชะงักกึก จากนั้นก็ถูกแรงดึงดูดลากให้ลอยกลับไปยังมิทันเข้าใจว่าเกิดอันใดขึ้น คอของเขาก็ถูกฉินซูบีบเอาไว้เสียแล้ว“บัดนี้เพิ่งคิดจะหนี มิคิดว่าสายเกินไปหน่อยรึ?” ฉินซูมองเขาด้วยสีหน้าเรียบเฉยชายชุดดำตกใจจนหน้าซีดเผือด กล่าวด้วยความยากลำบากว่า “อย่า อย่าฆ่าข้าเลย....”“ใครส่งเจ้ามา?”“ประ… ประมุขแห่งยุทธภพหนานเยวี่ย”ฉินซูหัวเราะเย็นชา “สำเนียงหลงเฉิงของเจ้าชัดถ้อยชัดคำเช่นนี้ ใกล้ตายแล้วยังคิดจะหลอกข้าอีกรึ? ในเมื่อเจ้ามิรู้สำนึก ข้าก็จะให้เจ้ารู้จักสิ่งที่เรียกว่าตายทั้งเป็น”เมื่อเขาพูดจบ ก็จิ้มไปที่จุดตันจงบนหน้าอกของชายชุดดำอย่างแรงเสี้ยวขณะต่
ชายชุดดำพยักหน้าขึงขัง “ข้าเห็นกับตาตัวเอง จะเป็นเรื่องเท็จได้อย่างไร”เฉินซีกลับหัวเราะแล้วส่ายหน้า กล่าวอย่างมิเห็นด้วยว่า “ตบยอดฝีมือระดับสวรรค์ให้กลายเป็นหมอกเลือดด้วยฝ่ามือเดียว เป็นไปได้อย่างไร ข้าว่านี่เป็นเพียงกลอุบายพวกภาพมายาเท่านั้น”ชายชุดดำคิดดูแล้วก็เห็นด้วยเฉินซีมองฉินซูอย่างดูถูก “เจ้ารัชทายาทผู้รอวันปลด ยามนี้ข้างกายข้ามียอดฝีมือระดับสวรรค์เพิ่มมาอีกคน เมื่อสถานการณ์เป็นเช่นนี้แล้ว เจ้ายังมิรีบยอมจำนนแต่โดยดีอีก รอกระไรอยู่เล่า?”“ใช่แล้ว ฉินซู เจ้าฆ่าตัวตายไปเสียยังดีเสียกว่า เช่นนั้นจะได้มิต้องทนทุกข์ทรมานมากนัก”ฉินซูกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบว่า “พวกเจ้าสองคนพูดมากเกินไปแล้ว!”พูดจบ เขาก็หันกลับไปถามฉงชูโม่ว่า “จะเก็บไว้สอบปากคำหรือไม่?”เมื่อได้ยินเช่นนั้น ฉงชูโม่ก็ชะงักไปแต่แล้วก็ส่ายหน้าส่วนเฉินซีโกรธขึ้งจนแค่นหัวเราะออกมาแทน “เจ้ารัชทายาทผู้รอวันปลด เจ้านี่ช่างปากกล้าเหลือเกิน สงสัยจะอวดอ้างเกินจริงเสียแล้วกระมัง ในเมื่อเจ้าอยากตายนัก ข้าก็จะให้เจ้าได้เห็นวิธีการอันน่าสะพรึงกลัวของสำนักจันทราโรหิตของข้า!”จากนั้นเขาก็หยิบขลุ่ยกระดูกออกมาจากอกเสื้อก่อ
เจ้าห้าเป็นจอมยุทธ์ระดับสวรรค์อย่างแท้จริง แต่กลับถูกฉินซูตบจนมิเหลือซาก แสดงให้เห็นชัดเจนว่าวรยุทธ์ของฉินซูน่าสะพรึงกลัวเพียงใดในฐานะที่เป็นจอมยุทธ์ระดับสวรรค์เช่นกัน เขาใช้วิชาตัวเบาหลบหนีอย่างสุดกำลัง ความเร็วยิ่งยวดจนน่าตกใจเช่นกันชั่วขณะหนึ่ง ฉินซูถึงกับตามมิทันได้ในทันทีแต่ยามนี้ฉินซูตั้งเป้าอีกฝ่ายไว้อย่างแน่วแน่ และไล่หลังตามติดไปอย่างมิยอมปล่อยหลังจากไล่ล่ากันไปได้ครึ่งชั่วยาม อีกด้านหนึ่งก็มีเสียงบันดาลดังขึ้นว่า “สารเลว หากมีฝีมือก็อย่าหนี ข้าจะให้เจ้าได้เห็นฤทธิ์เดชของสำนักจันทราโรหิตของข้าเสียบ้าง!”“หากเจ้ามีฝีมือก็อย่าตามมาสิ!”เมื่อได้ยินเสียงที่คุ้นเคยนี้ ฉินซูก็มิได้ไล่ตามชายชุดดำคนนั้นต่อไป แต่กลับพุ่งไปยังต้นทางของเสียงนั้นมินานนัก ร่างที่คุ้นเคยก็ปรากฏแก่สายตาฉินซูกระโดดออกมาจากหลังต้นไม้ ถามด้วยความประหลาดใจว่า “ชูโม่ เกิดอันใดขึ้น?”“องค์รัชทายาท ไฉนท่านจึงมาอยู่ที่นี่?” ฉงชูโม่หยุดชะงักอย่างอดมิได้นางล่อเฉินซีลงมาจากเขาหัวสิงห์ได้สำเร็จ แต่กลับสลัดอีกฝ่ายมิหลุดมินึกเลยว่าเมื่อวิ่งมาถึงที่นี่ กลับมาเจอเข้ากับฉินซูเมื่อเห็นนางหยุด เฉินซีก็หัวเ
ด้วยปฏิกิริยาที่รวดเร็วยิ่งยวด ชายชุดดำคว้าลูกธนูที่ชิวก่วนยิงออกมาไว้ในมือได้แต่เขามองข้ามปัญหาที่ร้ายแรงไปอย่างหนึ่ง นั่นคือลูกธนูนั้นผูกติดอยู่กับระเบิดสายฟ้าไม้ไผ่ยังมิทันสิ้นถ้อยคำดูแคลนของเขา ระเบิดสายฟ้าก็ระเบิดขึ้นอย่างรุนแรงร่างของเขากระเด็นออกไปทันทีพร้อมกับเสียงระเบิดดังสนั่น กระแทกลงพื้นดินที่อยู่ไกลออกไปอย่างแรงแขนขวาและแก้มครึ่งซีกของเขาถูกระเบิดจนเนื้อตัวเหวอะหวะ อาภรณ์ขาดวิ่นทั้งตัว ดูน่าสังเวชอย่างยิ่งเมื่อเห็นภาพนั้น สหายของเขามีสีหน้าตกตะลึง รีบถามว่า “เจ้าห้า เจ้าเป็นกระไรหรือไม่?”“แค่ก ๆ ...ยังมิตาย บัดซบ ข้าประมาทไปหน่อย”ชายชุดดำที่ถูกเรียกว่าเจ้าห้าสบถแล้วตะเกียกตะกายลุกขึ้น“เจ้าถ่วงเวลาเจ้ารัชทายาทผู้รอวันปลดนั่นไว้ ข้าจะจัดการเจ้าสารเลวนั่นแล้วไปช่วยเจ้า!”เมื่อเจ้าห้าพูดจบ ก็ใช้วิชาตัวเบาพุ่งเข้าใส่ชิวก่วนเมื่อเห็นเช่นนั้น ชิวก่วนก็หนังตากระตุกอย่างอดมิได้ รีบง้างธนูใส่ศรเตรียมยิงแต่ฉินซูกลับกล่าวว่า “อีกฝ่ายเป็นยอดฝีมือ หากมันตั้งรับ ลูกธนูของเจ้าก็ทำกระไรมันมิได้ จงหลบไปอยู่ห่าง ๆ”ขณะพูด ฉินซูก็กระโดดตัวลอยพุ่งเข้าหาเจ้าห้าทันทีเมื่อ