มินานนัก ภายนอกก็เริ่มครึกครื้นขึ้นเหล่าบัณฑิตที่ดื่มสุราอยู่ตามห้องส่วนตัวบนชั้นสองและสามต่างก็ทยอยลงมายังโถงใหญ่ชั้นหนึ่ง บางคนถือพัดพับในมือ บางคนถือตำรากวีและวรรณกรรมในมือ ทุกคนล้วนแต่งกายในชุดบัณฑิต เห็นดังนั้น ซุนฉีจึงก้าวขึ้นไปยืนบนโต๊ะ พร้อมกล่าวแก่ฝูงชนด้วยเสียงดังว่า "ทุกท่าน พวกท่านล้วนเป็นผู้ที่มีความรู้สูง วันนี้ที่พวกเรามีโอกาสได้มารวมตัวกัน ข้าขอเสนอว่าเรามาลองประชันปัญญากันสักเล็กน้อย มิทราบว่าทุกท่านคิดเห็นเป็นอย่างไร?" "ดีเลย แม้ในวรรณกรรมจะไม่มีอันดับหนึ่ง แต่การได้แลกเปลี่ยนความรู้กันก็เป็นสิ่งที่ดี" "ใช่แล้ว ใช่แล้ว เช่นนี้เราจะได้เปิดหูเปิดตา แลกเปลี่ยนความรู้กัน" เมื่อเห็นว่าทุกคนเห็นพ้องต้องกัน ซุนฉีก็กล่าวต่อว่า "ถ้าเช่นนั้น นี่ก็ใกล้จะถึงวันผู้สูงอายุแล้ว เรามาใช้ 'ผู้สูงอายุ' เป็นหัวข้อในการประพันธ์บทความกันเถอะ แล้วเราจะนำผลงานทั้งหมดให้คุณชายซุยตรวจสอบและวิจารณ์ มาดูกันว่าใครจะเป็นผู้ที่มีฝีมือยอดเยี่ยมที่สุด!" "ดี ข้าเห็นด้วย เช่นนั้นพวกเราก็อย่าเสียเวลา รีบเริ่มเถอะ ได้รับการวิจารณ์จากคุณชายซุยถือเป็นเกียรติของพวกเราแล้ว" "ถูกต้อง ข้
ซุยฮ่าวพยักหน้ารับอย่างต่อเนื่อง "ใช่แล้ว พี่ชูโม่ ข้าเห็นว่าช่วงนี้มีผู้รู้ทางวรรณศิลป์มารวมตัวกันที่หลงเฉิงมากมาย ข้าก็เลยคิดจะนัดพวกเขามาพบปะกันบ้าง ว่าแต่ท่านกับพี่หญิงเซี่ยหลาน ไฉนจึงมาที่นี่ด้วยเล่า?" เซี่ยหลานหัวเราะ "ข้ากับชูโม่แค่จะมาร่วมสนุกสักหน่อย อยากเห็นว่าพวกบัณฑิตทั้งหลายเช่นเจ้าจะมีฝีมือโดดเด่นเพียงใด มิคิดเลยว่าจะบังเอิญเจอเจ้า" พูดถึงตรงนี้ เซี่ยหลานทำหน้าสงสัย พลางถามว่า "ซุยฮ่าว เหตุใดเจ้าดูหน้าตาดูย่ำแย่เช่นนี้ หรือมิอยากต้อนรับข้ากับชูโม่?" ซุยฮ่าวรีบอธิบาย "หามิได้ มิใช่เช่นนั้น ข้าแค่รู้สึกประหลาดใจนิดหน่อย มิเคยเห็นพวกท่านมาที่นี่มาก่อนเลย" "ดี ถ้าเช่นนั้น พวกเจ้าก็ทำธุระของพวกเจ้าไป ข้ากับชูโม่จะขึ้นไปนั่งที่ชั้นบน จะได้พลางฟังบทกวีและโคลงกลอนของพวกเจ้าไปด้วย" ทันทีที่เซี่ยหลานพูดจบ นางก็ควงแขนฉงชูโม่ขึ้นบันไดไป สายตาของทุกคนต่างจับจ้องสองสาวงามขณะที่เดินขึ้นไป เมื่อร่างของพวกนางหายไปตรงบันได ผู้คนในกลุ่มต่างก็เริ่มตั้งคำถาม "คุณชายซุย สองสาวงามที่พึ่งไปนั้นคือใครหรือ?" "ใช่ หากมิได้เห็นกับตาตนเอง ข้าก็มิอยากจะเชื่อเลยว่าใต้หล้านี้จ
ชายร่างใหญ่มีเคราหนาขมวดคิ้วถามว่า "เป็นแม่ทัพขั้นหนึ่ง ฉงชูโม่คนนั้นใช่หรือมิ?" "ใช่แล้ว เป็นนางนั่นแหละ นางแข็งแกร่งมาก พวกเจ้าจงระวังตัวไว้ อย่าให้ถูกนางจับได้ว่าอยู่ที่นี่" ชายร่างใหญ่มีท่าทางสงสัยและถามอีกครั้ง "แล้วนางมาที่นี่ด้วยเหตุใดกัน?" "พวกนางเพียงแค่ผ่านมา ข้าจะหาทางเบี่ยงเบนความสนใจพวกนางเอง ในระหว่างนี้ พวกท่านจำไว้ว่าห้ามทำอะไรบุ่มบ่าม" ซุยฮ่าวสั่งย้ำอีกสองสามประโยค ก่อนจะหันหลังกลับลงไปชั้นล่าง ในห้องส่วนตัว ชายร่างใหญ่หลายคนต่างปิดประตูหน้าต่างอย่างแน่นหนาและระวังตัวมิให้ส่งเสียงดัง เมื่อซุยฮ่าวลงมาถึงชั้นสอง ก็ตรงไปยังห้องที่เซี่ยหลานและฉงชูโม่อยู่ เขาเคาะประตูเบา ๆ แล้วเดินเข้าไป พร้อมยิ้มอย่างสุภาพและกล่าวว่า "พี่หญิงเซี่ยหลาน พี่หญิงชูโม่โรงสุราแห่งนี้สกปรก และพวกท่านก็เห็นแล้ว บัณฑิตที่มาจากเมืองอื่นเหล่านี้ทำตัวเหมือนคนที่มิเคยเห็นหญิงงาม”“ข้าเกรงว่า หากพวกท่านอยู่ต่อไป พวกเขาอาจจะล่วงเกินพวกท่านได้ พวกท่านไปนั่งเล่นที่หอชวนหอม มิดีกว่าหรือ ที่นั่นก็มีบัณฑิตและนักปราชญ์มากมายมาแลกเปลี่ยนความรู้กัน” เซี่ยหลานครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพย
พวกชายฉกรรจ์ต่างมองหน้ากัน แล้วหันกลับไปมองด้านหลัง ทันใดนั้น ชายหนุ่มในชุดขาวก็ก้าวเดินเข้ามาอย่างช้า ๆ เขาประสานมือไว้ด้านหลัง ใบหน้าเต็มไปด้วยความหยิ่งทะนง ชายผู้นี้มิใช่ใครอื่น บุตรแห่งนักปราชญ์ประจำหอดารารักษ์ของเป่ยเยี่ยน หนานกงจื่อชิน! เคียงข้างเขายังมีสตรีอายุประมาณยี่สิบปี นางสวมใส่ชุดกระโปรงยาวสีขาวเรียบง่าย หน้าตางดงาม อ่อนช้อย สตรีคนนี้มิใช่ใครอื่น นางคือบุตรสาวของอ๋องอวี้แห่งเป่ยเยี่ยน นามว่ามู่หรงจื่อเยียน ในขณะนี้ มู่หรงจื่อเยียนกำลังคล้องแขนของหนานกงจื่อชินอย่างสนิทสนม เมื่อทั้งสองก้าวเข้ามา ทุกคนในห้องโถงรวมถึงซุยฮ่าวต่างก็ตกตะลึงไปตาม ๆ กัน ชายหญิงรูปงาม ช่างเป็นคู่กิ่งทองใบหยกที่ลงตัวที่สุด หนานกงจื่อชินมองสำรวจผู้คนในห้องโถงด้วยสายตาหยิ่งยโส จากนั้นก็ยิ้มอย่างเยือกเย็น "ดูเหมือนว่า ที่นี่จะมีแต่บัณฑิตจากต้าเหยียน ในเมื่อข้าก็มาแล้ว คงต้องขอประลองฝีมือกับพวกท่านสักหน่อย" แม้เสียงของเขาจะมิดังมาก แต่ทุกคนในห้องกลับได้ยินอย่างชัดเจน แถมยังรู้สึกเจ็บหูอีกด้วย คำพูดที่หนานกงจื่อชินเอ่ยออกมานั้น แฝงไปด้วยกำลังภายใน เห็นได้ชัดว่า เขาเจ
เสียงของเซี่ยหลานดังขึ้นด้วยความมิพอใจ พร้อมกล่าวเยาะเย้ยว่า “คนอัปลักษณ์ที่เจ้าว่า น่าจะเป็นตัวเจ้าเองมากกว่ากระมัง พวกเจ้ามิใช่ว่าจะประลองกับบัณฑิตแห่งต้าเหยียนของเราหรอกหรือ? จะรออะไรอีก รีบเข้าประเด็นกันเสียทีเถอะ "หึ ข้าจะให้พวกเจ้าได้เห็นว่าเหล่าบัณฑิตต้าเหยียนของพวกเจ้าจะถูกขยี้อย่างไร!" เมื่อมู่หรงจื่อเยียนพูดจบ ก็หันไปมองซุยฮ่าวและบัณฑิตคนอื่น ๆ แล้วกล่าวต่อว่า "เอาเถอะ อย่าหาว่าชาวเป่ยเยี่ยนของเรารังแกพวกเจ้าเลย พวกเจ้ากำหนดหัวข้อเถอะ ประลองกันสามรอบ ใครชนะสองในสามถือเป็นผู้ชนะ" ซุยฮ่าวก็แค่นเสียงเบา ๆ ด้วยความมั่นใจ “ให้บุตรแห่งนักปราชญ์เป็นคนตั้งหัวข้อเองดีกว่า จะได้ไม่มีข้ออ้างเมื่อแพ้ ว่าเราเอาเปรียบ” มู่หรงจื่อเยียนแสยะยิ้มเหยียดหยัน “หึ คนไร้ประโยชน์อย่างพวกเจ้า คิดจะประลองกับพี่จื่อชินของข้ารึ? แค่ข้าคนเดียวก็ล้มพวกเจ้าทั้งหมดได้แล้ว” “หมายความว่าอย่างไร เจ้าก็เป็นเพียงสตรี...”ซุยฮ่าวยังพูดมิทันจบ มู่หรงจื่อเยียนก็พูดขัดขึ้นทันที “แล้วอย่างไรเล่า? พวกเจ้ามิกล้ารึ? หรือกลัวว่าถ้าแพ้ข้าซึ่งเป็นสตรี แล้วจะทำให้บัณฑิตต้าเหยียนเสียหน้า?” เมื่อถูกยั่วเช่น
"เฮ้อ… สาวน้อยเป่ยเยี่ยน เจ้าดูจะตื่นเต้นมิน้อยเลย เจ้าคงมิได้คิดว่าแค่ชนะพวกเขา จะเท่ากับชนะทั้งวงการวรรณกรรมของแผ่นดินต้าเหยียนหรอกใช่หรือไม่?" เมื่อได้ยินเสียงนี้ ทุกคนต่างเงยหน้าขึ้นมอง ก็เห็นชายหนุ่มคนหนึ่งยืนอยู่ตรงหน้าต่างชั้นสอง มองลงมายังมู่หรงจื่อเยียนจากมุมสูง ชายผู้นั้นดูมีอายุราวสามสิบกว่า ร่างกำยำบึกบึน กล้ามเนื้อแขนแข็งแกร่ง ดูก็รู้ว่าเป็นผู้ที่ฝึกฝนตนอย่างชำนาญ ฉงชูโม่ที่อยู่ตรงข้ามก็ขมวดคิ้วทันทีเมื่อได้ยินเสียงของเขา นางรู้สึกว่าเสียงนี้คุ้นเคยอย่างยิ่ง ด้วยความสงสัย นางจึงลุกขึ้นยืนแล้วแอบมองไปที่หน้าต่างฝั่งตรงข้าม ก่อนจะอุทานออกมาด้วยความตกใจ “เป็นเขานี่เอง! เขาก็อยู่ที่นี่ด้วยหรือ?” เซี่ยหลานที่สังเกตเห็นชายร่างใหญ่ที่อยู่หน้าต่างอีกฟากเช่นกัน จึงเอ่ยถามด้วยความสงสัยว่า “ชูโม่ ชายร่างใหญ่คนนั้นเป็นใครกัน เจ้ารู้จักเขาหรือ?” ฉงชูโม่มิได้ตอบคำถามในทันที นางใช้ดวงตาคู่งามกวาดมองด้านหลังของชายร่างใหญ่คนนั้น ราวกับกำลังมองหาใครบางคน ขณะเดียวกัน มู่หรงจื่อเยียนที่อยู่ชั้นล่างก็จ้องชายร่างใหญ่คนนั้น ก่อนจะกล่าวอย่างดูถูก "หึ สาวน้อยเช่นข้าชนะบัณฑิตแห่งต้
เซี่ยหลานยิ่งมิอยากเชื่อเข้าไปใหญ่ ในความคิดของนาง องค์รัชทายาทฉินซูเป็นเพียงคนโง่ไร้การศึกษา เอาแต่หลงมัวเมาในสุราและนารี จะให้นางเชื่อว่าประโยคกลอนนี้เป็นของฉินซู นางยอมเชื่อเสียเองว่าตัวนางเป็นหญิงงามอันดับหนึ่งแห่งหลงเฉิงยังง่ายเสียกว่า เรื่องนี้เป็นไปมิได้เลยฉงชูโม่กล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า "จากที่ข้าได้รู้จักองค์รัชทายาทช่วงนี้ ข้ามิแปลกใจเลยหากเขาจะสามารถคิดกลอนประโยคที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้ได้""มิจริงหรอก ชูโม่… เจ้าคงถูกองค์รัชทายาทล่อลวงเสียแล้ว ถึงได้เข้าข้างเขาเช่นนี้" เซี่ยหลานมองชูโม่อย่างประหลาดใจ ราวกับนางมิเคยรู้จักสหายของตัวเอง ขณะเดียวกัน "ตงฟางไป๋" ก็เยาะเย้ยขึ้นว่า "อย่างไรเล่า? พวกเจ้าชาวเป่ยเยี่ยนที่เมื่อกี้ทำเป็นกร่าง ตอนนี้กลับต่อกลอนที่คุณชายข้าคิดขึ้นมามิได้แล้วรึ?" มู่หรงจื่อเยียนเริ่มร้อนใจ หันไปกระซิบถามเหล่าบัณฑิตที่มาด้วย "พวกเจ้าคิดกลอนประโยคต่อไปออกหรือยัง? บอกข้ามาเร็ว!" เหล่าบัณฑิตมองหน้ากันไปมา แต่ทุกคนกลับส่ายหัวพร้อมกันอย่างมิเต็มใจ"พวกเจ้ามันไร้ประโยชน์จริง ๆ!" มู่หรงจื่อเยียนตะโกนอย่างหงุดหงิด ก่อนจะหันไปขอความช่วยเหลือจากหนาน
เงาฝ่ามือยังมิทันตกลงมา แต่กระแสลมจากพลังฝ่ามือก็พุ่งเข้าใส่อย่างรวดเร็ว หนานกงจื่อชินหรี่ตาลงทันที ก่อนจะคว้าตัวมู่หรงจื่อเยียนให้หลบไปอยู่ด้านหลัง และในขณะเดียวกันก็เร่งลมปราณขึ้นมาก่อนจะส่งฝ่ามือออกไปเพื่อรับมือกับพลังนั้น"ปัง!!"กระแสลมปราณระเบิดออกอย่างรุนแรง ทำให้กลุ่มคนจากแคว้นเป่ยเยี่ยนต่างกระเด็นลอยออกไปทุกทิศทาง! แม้แต่หนานกงจื่อชินเองก็ยังมิสามารถควบคุมร่างกายได้ เขาถูกแรงกระแทกจนลอยไปชนกับโต๊ะไม้ด้านหลังอย่างแรง"โครม!!"โต๊ะไม้ถูกทุบจนแตกเป็นเสี่ยง ๆ ส่วนหนานกงจื่อชินก็ถูกถูกซากไม้ทับร่างอยู่ในกองเศษไม้ เมื่อเห็นภาพนี้ ทุกคนต่างมองขึ้นไปยังชั้นสองด้วยความตกตะลึงมู่หรงจื่อเยียนเมื่อได้สติ รีบลุกขึ้นแล้ววิ่งไปประคองหนานกงจื่อชินด้วยความร้อนใจ นางถามด้วยความกังวล "พี่จื่อชิน ท่านเป็นอะไรหรือไม่?" "ข้ามิ..." หนานกงจื่อชินยังพูดมิทันจบ ก็รู้สึกว่าพลังลมปราณภายในร่างพลุ่งพล่านมิหยุด สุดท้ายก็รู้สึกคาวในลำคอ เลือดสด ๆ คำหนึ่งไหลออกมาจากมุมปากอย่างมิอาจควบคุมได้"พี่จื่อชิน!!" มู่หรงจื่อเยียนตกใจจนแทบสิ้นสติ ใบหน้าเต็มไปด้วยความตื่นกลัว คนที่สามารถทำร้ายหนานกงจื่อชิ