“ดีเลย อยากจะตบหม่อมฉันสินะ ถ้าอย่างนั้นก็ลงมือสิ หม่อมฉันฉงชูโม่ หากกะพริบตาแม้แต่นิดเดียว ถือว่าท่านชนะ!” ฉงชูโม่พูดอย่างแน่วแน่ พลางยื่นหน้าเข้ามาใกล้ฉินซูเห็นใบหน้าสวยงามน่าทะนุถนอมตรงหน้า สมองพลันร้อนวูบ เขายื่นปากเข้าไปจุมพิตเบา ๆ หนึ่งที“!!!” ฉงชูโม่เบิกตาโต ใบหน้าอ่อนหวานเต็มไปด้วยความมิเชื่อ หลังจากนั้น นางก็สะบัดมือตบออกไปโดยสัญชาตญาณ!“เพียะ… ครืน… โครม!!”ฉินซูถูกนางตบจนลอยทะลุหน้าต่างอีกฝั่ง แล้วร่วงลงมาจากชั้นสองของโรงสุรา“องค์รัชทายาท!!” พี่น้องตระกูลตงฟางหน้าซีดเผือดด้วยความตกใจ รีบกระโดดจากหน้าต่างตามลงไปเซี่ยหลานเองก็ตกตะลึง รีบวิ่งมาหาฉงชูโม่ พลางยกนิ้วโป้งให้“ชูโม่ ทำได้ดีมาก ข้ารู้สึกสะใจเหลือเกินที่เห็นองค์รัชทายาทจอมเจ้าชู้ถูกซัดเยี่ยงนี้!”ฉงชูโม่พูดด้วยความเสียใจ “เมื่อครู่ข้าเผลอใช้พลังเต็มที่ไปหน่อย!”“ว่ากระไรนะ!!” เซี่ยหลานหน้าซีดเผือด หัวใจนางเต้นมิเป็นจังหวะฉงชูโม่มีพลังแข็งแกร่งขนาดไหน ทั้งเมืองยอมรับว่าเป็นรองเพียงเจ้าสำนักหอดูดาวหลวง แล้วองค์รัชทายาทที่อ่อนแอเช่นนั้นจะทนต่อการตบเต็มแรงของนางไหวได้อย่างไร จะมิตายคาที่หรอกหรือ!?เซ
เมื่อเห็นฉงชูโม่หัวเราะอย่างมีความสุขจนตัวสั่นไปทั้งร่าง ฉินซูก็ถึงกับกลอกตาและเริ่มบ่นออกมา "เจ้าตบข้าจนตกจากชั้นสองแล้ว ยังจะมีหน้ามาหัวเราะได้อีก มิรู้สึกผิดบ้างเลยหรือ?""หึ! ท่านสมควรโดนแล้ว ว่าแต่ เหตุใดท่านถึงมิเป็นอะไร?" ฉงชูโม่เอ่ยด้วยความสงสัยในใจเพราะก่อนหน้านี้ นางจำได้อย่างชัดเจนว่าตอนที่ลงมือ นางมิได้ออมแรงไว้แม้แต่น้อยปกติแล้วจอมยุทธ์ทั่วไป หากโดนนางตบไปขนาดนี้ ต่อให้มิตายก็ต้องบาดเจ็บสาหัส แต่ฉินซูตอนนี้กลับมีเพียงรอยฝ่ามือแดงก่ำที่แก้ม และบวมเพียงเล็กน้อยเท่านั้นหรือว่า ฉินซูจะแอบซ่อนฝีมือไว้ แสร้งทำตัวเป็นหมูอ่อนแอ แต่จริง ๆ แล้วเป็นเสือซ่อนเล็บ?ฉงชูโม่คิดในใจอย่างระแวงมากขึ้น ขณะมองฉินซูด้วยสายตาสงสัยฉินซูทำท่าโกรธแล้วพูดว่า "ฟังจากน้ำเสียงของเจ้า การที่ข้ามิเป็นอะไรนี่ ดูเหมือนเจ้าจะผิดหวังมากเลยนะ อย่างนี้เจ้าคงอยากจะฆ่าข้าให้ตายจริง ๆ ล่ะสิ เจ้าคิดหรือว่าจะรับโทษฐานปลงพระชนม์องค์รัชทายาทไหว?"ฉงชูโม่รีบแจง "หม่อมฉันมิได้หมายความเช่นนั้น หม่อมฉันแค่แปลกใจ เหตุใดท่านถึงมิเป็นอะไรเลย ในเมื่อตอนตบ ข้าใช้ลมปราณไปด้วย""เจ้าน่าจะจำผิดแล้วล่ะ หากเจ้าใช้
เพราะเซี่ยเหอปู่ของนาง นับตั้งแต่ที่ฉินซูได้รับการแต่งตั้งเป็นองค์รัชทายาท เขาได้ยื่นฎีกาต่อหน้าธารกำนัลมากกว่าหนึ่งครั้งเพื่อถอดถอนฉินซู และเสนอให้แต่งตั้งอ๋องฉีเป็นองค์รัชทายาทแทนหากฉินซูได้รับความโปรดปรานจากองค์จักรพรรดิคืนมา คนแรกที่เขาต้องจัดการต้องเป็นปู่ของนางอย่างแน่นอน!เมื่อคิดได้เช่นนั้น เซี่ยหลานก็มิได้มีท่าทีแข็งกระด้างแล้วและฝืนยิ้มด้วยความยากลำบากอย่างยิ่ง“โอ้ องค์รัชทายาท หม่อมฉันเพียงแค่เย้าเล่นเท่านั้น จะทรงจริงจังอะไรถึงเพียงนั้นเล่าเพคะ จริง ๆ เลย มาเพคะ ให้หม่อมฉันตรวจดูหน่อยว่าท่านบาดเจ็บที่ใดหรือไม่”เซี่ยหลานนั่งยอง ๆ ข้างฉินซูพร้อมรอยยิ้ม จากนั้นจึงเริ่มตรวจร่างกายให้อีกฝ่ายฉินซูที่ถูกห้อมล้อมไปด้วยสตรีงามทั้งสองมีสีหน้าเรียบเฉย แต่ในใจกลับรู้สึกมีความสุขในเวลานี้ทั้งเซี่ยหลานและฉงชูโม่ต่างก็ก้มตัวลงมา โดยมีความงามที่ไม่มีที่สิ้นสุดปรากฏอยู่ใต้คออันนวลเนียนฉินซูส่งเสริมหลักการที่ว่า หากจะมิมองก็น่าเสียดาย เขาจึงเหลือบมองเป็นครั้งคราวเซี่ยหลานกำลังยุ่งอยู่กับการตรวจร่างกายของฉินซู จึงมิทันสังเกตเห็นสายตาแปลก ๆ ของเขาฉงชูโม่ตระหนักรู้ดีว่ามีบางอย่
“ชูโม่ พระ… พระองค์คงมิได้แกล้งทำใช่หรือไม่?”เมื่อเห็นฉินซูกระอักเป็นเลือด เซี่ยหลานก็พูดขึ้นอย่างตื่นตระหนกแต่ในขณะเดียวกัน นางก็กังวลว่านี่อาจเป็นกลอุบายของฉินซู ดังนั้นนางจึงเอ่ยถามฉงชูโม่หันกลับมาโดยมิพูดอะไร พร้อมกับพุ่งมาหาฉินซูและคว้าข้อมือของอีกฝ่ายด้วยมือข้างเดียวจากนั้นนางก็ใช้วิชายุทธ์อย่างเงียบ ๆ และปราณบริสุทธิ์ก็ซึมผ่านข้อมือของฉินซูเข้าไปหลังจากนั้นมินาน สีหน้าของฉงชูโม่ก็แปรเปลี่ยนเป็นจริงจังเพราะนางตรวจพบว่า ลมปราณในร่างกายของฉินซูนั้นผิดปกติเป็นอย่างมาก ขณะเดียวกันนางก็สังเกตเห็นว่าใบหน้าของฉินซูซีดลงกว่าเดิมนางถามด้วยความมิอยากเชื่อ “ท่านได้รับบาดเจ็บภายในสาหัสถึงเพียงนี้ได้อย่างไร?!”“ถามมาได้ เมื่อครู่ใครตบข้าจนร่วงเล่า… แค่ก แค่ก...”ฉินซูพูดได้เพียงครึ่งประโยคก่อนที่เขาจะที่จะไออีกครั้งเขามิได้เสแสร้ง ด้วยกลัวว่าจะถูกเปิดเผยว่าตนเป็นจอมยุทธ์ ดังนั้นตอนที่ฉงชูโม่ตบเขาที่โรงเตี๊ยมเมื่อครู่ เขามิได้ต่อต้าน แต่ใช้กายเนื้อเพื่อรับแรงตบเนื่องจากกำลังภายในของฉงชูโม่ถูกใช้หมดแล้ว ฉินซูจึงได้รับบาดเจ็บภายในมานิดหน่อย แต่ก็มิได้เบาหรือสาหัสอะไรฉงชูโม่
“ที่ท่านนำยาพิษออกมาก็เพื่อให้พวกเรากินมันเข้าไปรึ?!”ซุยฮ่าวพยักหน้าพร้อมรอยยิ้มจาง ๆ “ถูกต้อง แต่พวกเจ้ามิต้องกังวลมากเกินไปหรอก พวกนี้เป็นยาพิษที่ออกฤทธิ์ช้า ตราบใดที่กินยาแก้พิษเป็นระยะ ๆ ก็จะไม่มีทางตายเพราะพิษ”“คุณชายซุย แม้ข้าต้องการจะทำอาชีพขุนนางอย่างสดใส ทว่าหากต้องกินยาพิษและถูกควบคุมโดยคนอื่น ชาตินี้ข้าก็มิอยากเป็นขุนนางแล้ว”“ข้าก็เช่นกัน หากมิมีอิสระ ข้าก็ขอไปอยู่อย่างสันโดษในป่าในเขาดีกว่า”“ข้าเองก็มิเอาด้วย ขอลา!”ขณะพูด คนส่วนใหญ่ก็พากันหันหลังกลับซุยฮ่าวยิ้มเย็นพลางพูดว่า “มาถึงขนาดนี้แล้ว พวกเจ้าคิดว่าจะออกไปได้หรือ?”พูดจบ หน้าต่างบนชั้นสามก็ถูกใครบางคนเปิดออกหลังจากนั้น ชายฉกรรจ์หลายคนก็กระโดดลงมาจากชั้นบนและขวางทางเหล่าบัณฑิตเมื่อเห็นดาบใหญ่แวววาวในมือของอีกฝ่าย บรรดาบัณฑิตทั้งหลายก็หน้าซีดด้วยความหวาดกลัว มิกล้าแม้แต่จะหายใจซุยฮ่าวไพล่มือไว้ด้านหลังแล้วพูดอย่างใจเย็น “ข้าว่าพวกเจ้าเข้าใจอะไรผิดไปกระมัง ที่ข้าให้พวกเจ้ากินยาพิษที่ออกฤทธิ์ช้าชนิดนี้ก็เพื่อให้พวกเจ้าเชื่อฟังมากขึ้นและมิทรยศตระกูลซุย ตราบใดที่พวกเจ้าเชื่อฟัง ข้ารับประกันว่ามิเพียงชีวิ
ซุยฮ่าวหัวเราะเยาะ “เหอะ ๆ พวกเจ้าคิดว่าฝ่าบาททรงเรียกบัณฑิตจากทั่วหล้ามารวมตัวกันที่เมืองหลงเฉิงเพื่อกราบไหว้ขงจื๊อเพียงเท่านั้นรึ?”ทุกคนถามพร้อมกันว่า “มิใช่หรอกหรือขอรับ?”“แน่นอนว่ามิใช่ จุดประสงค์ของฝ่าบาทคือการคัดเลือกคนที่มีความสามารถมากที่สุดจากเหล่าบัณฑิตและราชบัณฑิต จากนั้นก็จะทำการแต่งตั้งให้เป็นตัวแทนของต้าเหยียนไปเข้าร่วมการประชุมระหว่างแคว้นที่จะจัดขึ้นในอีกมิกี่เดือน”“ว่ากระไรนะ?! กล่าวอีกนัยหนึ่งคือเรามีโอกาสที่จะได้เข้าร่วมการประชุมระหว่างแคว้นหรือขอรับ?”ทุกคนถามขึ้นมาอย่างตื่นเต้นซุยฮ่าวพยักหน้าช้า ๆ “ถูกต้อง ข้าเชื่อว่าพวกเจ้าทุกคนคงรู้ว่าสิ่งนี้หมายความว่าอย่างไร เท่าที่ข้าทราบ ฝ่าบาทจะทรงจัดการสอบวรรณกรรมก่อนเทศกาลวันผู้สูงอายุ ถึงตอนนั้นพวกเจ้าจะต้องโดดเด่นออกมา ใครสามารถผ่านการสอบวรรณกรรมและได้เข้าร่วมการประชุมระหว่างแคว้น ตระกูลซุยของข้าจะตกรางวัลให้อย่างงาม!”“คุณชายซุยวางใจได้ ข้าจะพยายามอย่างเต็มที่ขอรับ!”“มิเลวนี่ หากเจ้าได้เป็นตัวแทนของต้าเหยียนไปเข้าร่วมการประชุมระหว่างแคว้น ก็จะถือเป็นเกียรติแก่บรรพบุรุษและวงศ์ตระกูลของเจ้าด้วย”“ใช่ขอรับ ๆ น
“ถวายบังคมองค์ชายห้าพ่ะย่ะค่ะ!” เหล่าผู้ติดตามก็คุกเข่าทำความเคารพเช่นกันมู่หรงฟู่ตกตะลึงไปครู่หนึ่ง แล้วถามด้วยความประหลาดใจ “จื่อเยียน จื่อซิน พวกเจ้ามาที่นี่ได้อย่างไร?”“พี่ห้า พวกเราทำตามรับสั่งของฝ่าบาทและมาที่นี่เพื่อสร้างความวุ่น…”ก่อนที่มู่หรงจื่อเยียนจะพูดจบ หนานกงจื่อชินก็รีบขัดจังหวะ “จื่อเยียน พวกเราไปหาที่เงียบ ๆ คุยรายละเอียดกันเถิด เดี๋ยวมีใครได้ยินเข้า”จากนั้นมู่หรงจื่อเยียนก็กลับมาได้สติ เมื่อเหลือบเห็นผู้คนที่เดินขวักไขว่กันตามถนน เขาก็เกิดความกลัวขึ้นมาหากเมื่อครู่เขาเปิดเผยจุดประสงค์ออกมา กลุ่มของพวกเขาคงจะถูกกักบริเวณให้อยู่แต่ในที่พักเป็นแน่เมื่อคิดได้เช่นนั้น นางก็พยักหน้าอย่างรวดเร็ว “ก็ถูก พี่ห้า โรงเตี๊ยมแห่งนี้ปลอดภัยหรือไม่เพคะ?”“ตอนนี้ข้าเป็นคนเดียวที่อาศัยอยู่ในโรงเตี๊ยม และทางราชสำนักต้าเหยียนก็ได้เลือกสาวใช้มาให้สองคน ไปพูดคุยกับที่เรือนหลังเถอะ ที่นั่นมิมีใครมารบกวนแน่นอน”เมื่อมาถึงเรือนหลัง มู่หรงฟู่ก็พามู่หรงจื่อเยียนและหนานกงจื่อชินเข้าไปในศาลาคนที่เหลือคอยเฝ้าตรงทางเข้าเรือนหลังเพื่อป้องกันมิให้บุคคลภายนอกเข้ามามู่หรงฟู่ถามว่า “ต
หนานกงจื่อซินเหลือบมองมู่หรงจื่อเยียนแล้วจึงอธิบายแผนหลังจากได้ฟังแผนของเขา ดวงตาของมู่หรงฟู่ก็ส่องประกายวาวและยกนิ้วโป้งให้!“จื่อซิน แผนของเจ้าชาญฉลาดมาก หากเป็นเช่นนั้น พวกเขาจะต้องต่อสู้กันอย่างแน่นอน!”มู่หรงจื่อเยียนที่มีท่าทีลังเลพูดว่า “พี่จื่อซิน มันจะเป็นไปได้จริง ๆ หรือ? หม่อมฉันรู้สึกสังหรณ์ใจมิดีอย่างไรมิรู้”หนานกงจื่อซินปลอบเขา “ตราบใดที่กระหม่อมอยู่ที่นี่จะมิมีปัญหาใด ๆ ทั้งสิ้น ท่านแค่ทำตามแผนที่กระหม่อมพูดเมื่อครู่ก็พอ กระหม่อมจะคอยปกป้องท่านในเงามืด และจะมิมีวันปล่อยให้ท่านได้รับบาดเจ็บแม้แต่น้อย”หลังจากได้ยินเช่นนั้น มู่หรงจื่อเยียนก็พยักหน้าอย่างมิเต็มใจ “เช่นนั้นก็ได้ ข้าจะเชื่อพี่จื่อซิน”หนานกงจื่อซินยิ้มราวกับได้เห็นภาพที่ราชวงศ์ต้าเยี่ยนตกอยู่ในความสับสนวุ่นวาย……ภายในตำหนักบูรพาฉินซูขมวดคิ้วเมื่อเห็นยาลูกกลอนที่ฉงชูโม่ส่งมาให้“ยานี่กลิ่นแรงมากเลย ข้ามิกินได้หรือไม่?”ฉงชูโม่ส่ายหัวอย่างเด็ดขาด “แน่นอนว่ามิได้เพคะ แม้อาการบาดเจ็บภายในของท่านจะมิร้ายแรง แต่หากดูแลมิดีก็จะนำไปสู่สาเหตุของโรคอื่น ๆ อย่างหลีกเลี่ยงมิได้ ถึงตอนนั้นคงจะลำบากแน่นอน รี