หนานกงจื่อซินเหลือบมองมู่หรงจื่อเยียนแล้วจึงอธิบายแผนหลังจากได้ฟังแผนของเขา ดวงตาของมู่หรงฟู่ก็ส่องประกายวาวและยกนิ้วโป้งให้!“จื่อซิน แผนของเจ้าชาญฉลาดมาก หากเป็นเช่นนั้น พวกเขาจะต้องต่อสู้กันอย่างแน่นอน!”มู่หรงจื่อเยียนที่มีท่าทีลังเลพูดว่า “พี่จื่อซิน มันจะเป็นไปได้จริง ๆ หรือ? หม่อมฉันรู้สึกสังหรณ์ใจมิดีอย่างไรมิรู้”หนานกงจื่อซินปลอบเขา “ตราบใดที่กระหม่อมอยู่ที่นี่จะมิมีปัญหาใด ๆ ทั้งสิ้น ท่านแค่ทำตามแผนที่กระหม่อมพูดเมื่อครู่ก็พอ กระหม่อมจะคอยปกป้องท่านในเงามืด และจะมิมีวันปล่อยให้ท่านได้รับบาดเจ็บแม้แต่น้อย”หลังจากได้ยินเช่นนั้น มู่หรงจื่อเยียนก็พยักหน้าอย่างมิเต็มใจ “เช่นนั้นก็ได้ ข้าจะเชื่อพี่จื่อซิน”หนานกงจื่อซินยิ้มราวกับได้เห็นภาพที่ราชวงศ์ต้าเยี่ยนตกอยู่ในความสับสนวุ่นวาย……ภายในตำหนักบูรพาฉินซูขมวดคิ้วเมื่อเห็นยาลูกกลอนที่ฉงชูโม่ส่งมาให้“ยานี่กลิ่นแรงมากเลย ข้ามิกินได้หรือไม่?”ฉงชูโม่ส่ายหัวอย่างเด็ดขาด “แน่นอนว่ามิได้เพคะ แม้อาการบาดเจ็บภายในของท่านจะมิร้ายแรง แต่หากดูแลมิดีก็จะนำไปสู่สาเหตุของโรคอื่น ๆ อย่างหลีกเลี่ยงมิได้ ถึงตอนนั้นคงจะลำบากแน่นอน รี
“หม่อมฉันพูดขู่? เหอะ เช่นนั้นท่านก็ลืมคำเตือนของชูโม่กับหม่อมฉันไปเถิดเพคะ แล้วท่านก็คอยดูว่าผลที่ตามมาจะเป็นอย่างไร”“องค์รัชทายาท คำพูดของเซี่ยหลานหาใช่คำขู่ไม่ การมาของผู้อาวุโสปราชญ์โอสถในครั้งนี้นอกเหนือจากการเข้าเฝ้าถวายพระพรไทเฮาแล้ว อีกจุดประสงค์หนึ่งก็คือการถวายโอสถให้ฝ่าบาทเพคะ ฝ่าบาททรงจำเป็นต้องพึ่งพาเขาเป็นอย่างมาก ดังนั้นอย่าไปทำให้เขาขุ่นเคืองเลยจะดีกว่า มิเช่นนั้นฝ่าบาทอาจจะทรงปลดท่านเดี๋ยวนั้นได้เลยเพคะ”“ถวายโอสถ? ถวายโอสถอะไร?” ฉินซูเริ่มอยากรู้อยากเห็นฉงชูโม่กลอกตาใส่เขาและพูดอย่างมิสบอารมณ์ “เมื่อปลายปีที่แล้ว ฝ่าบาททรงไว้วางพระทัยให้ ผู้อาวุโสปราชญ์โอสถกลั่นโอสถอายุวัฒนะ ซึ่งแน่นอนว่าการที่ผู้อาวุโสมายังเมืองหลงเฉิงก็เพื่อถวายโอสถอายุวัฒนะแด่ฝ่าบาทเพคะ”เมื่อได้ยินเช่นนั้น ก็มีเส้นเลือดดำปูดไปทั่วใบหน้าของฉินซู เขามิรู้จะบ่นอะไรเลยคนที่มองว่ายาเม็ดระดับต้นเป็นสมบัติล้ำค่าจะสกัดโอสถอายุวัฒนะได้อย่างไร?มีแต่คนโง่เท่านั้นที่เชื่อแต่เขาก็มิได้พูดสิ่งที่คิดออกมา หากฝ่าบาทจะเสวยโอสถอายุวัฒนะอะไรนั่นก็เรื่องของพระองค์เถิด“เอาเถอะ นั่งดี ๆ เพคะ หม่อมฉันจะเสร
ด้านนอกประตูตำหนักบูรพาตงฟางโซ่วและองครักษ์อื่น ๆ กระชับดาบในมือพลางจ้องมองไปทางบันไดด้วยสายตาระแวดระวังณ จุดนั้น มีชายชุดดำกำลังเดินไปมาพร้อมกับมองเข้าไปที่ด้านหลังประตูเป็นครั้งคราวเหมือนกับกำลังร้อนใจเขาสวมงอบและผ้าคลุมสีดำที่ห้อยลงมาปกปิดใบหน้าของเขา ทำให้คนอื่นมิสามารถมองเห็นหน้าตาของเขาได้ชัดเจนเมื่อดูจากรูปร่างของเขาแล้ว เห็นได้ชัดว่าคนผู้นี้เป็นบุรุษฉงชูโม่ที่เห็นบุคคลดังกล่าวก็อดมิได้ที่จะขมวดคิ้ว เพราะนางรู้สึกคุ้นตาเป็นอย่างมากนางจึงถามว่า “เจ้าเป็นใคร มาขอพบองค์รัชทายาทด้วยเรื่องใด?”หลังจากที่ชายชุดดำได้ยินเสียงของฉงชูโม่ เขามิเพียงมิตอบ แต่ยังหันหนีอย่างรวดเร็วอีกด้วยเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายดูมีพิรุธ ฉงชูโม่ก็เริ่มสงสัยมากขึ้นเรื่อย ๆหลังจากมองแผ่นหลังของอีกฝ่ายอย่างพินิจ นางก็อุทานขึ้น “โอวหยางขุย? เจ้านี่เอง!!”“มิจริงน่า? ข้าใส่ชุดคลุมทั้งตัวเช่นนี้ เจ้ายังจะจำข้าได้อีกรึ?!”โอวหยางขุยก็ตกใจมิน้อยไปกว่าฉงชูโม่เขาดึงผ้าบางสีดำที่ติดกับงอบออก เผยให้เห็นรูปลักษณ์ที่แท้จริงของเขาเมื่อเห็นโอวหยางขุย ตงฟางโซ่วก็ขมวดคิ้วและแอบสงสัยว่า เหตุใดตาแก่ใจโฉดจากสำนั
คิ้วของฉงชูโม่ขมวดเข้าหากัน และก้าวเท้าจะเดินตามเข้าไปด้วยตงฟางไป๋รีบพูดว่า “แม่ทัพใหญ่ฉง องค์รัชทายาทเพิ่งเองสั่งว่าห้ามใครเข้าไปโดยมิได้รับอนุญาต”“เจ้าตาบอดรึ? นั่นมันโอวหยางขุย เจ้าสำนักอาทิตย์อัสดง อีกทั้งครั้งก่อนเขาก็ลงมือลอบปลงพระชนม์องค์รัชทายาทด้วยตัวเอง ตอนนี้องค์รัชทายาททรงพบกับเขาเพียงลำพัง เจ้ามิกังวลรึว่าเขาจะเป็นอันตรายต่อองค์รัชทายาท?”“ก็… ที่องค์รัชทายาททรงยอมพบเขาเพียงลำพัง ก็คงเพราะทรงต้องการการสนับสนุนพึ่งพากระมัง”“นั่นสิ ท่านแม่ทัพใหญ่ องค์รัชทายาทมิใช่คนบ้าบิ่นถึงเพียงนั้น คงจะเอาโอวหยางขุยได้อยู่หมัด มิเช่นนั้นพระองค์จะทรงกล้าพบเขาเพียงลำพังได้อย่างไร”ฉงชูโม่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งและรู้สึกว่า สิ่งที่พี่น้องตงฟางไป๋พูดนั้นดูสมเหตุสมผลนางมองเข้าไปในตำหนักบูรพาสองสามครั้งแล้วถอยออกมาเซี่ยหลานถามด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “ชูโม่ เมื่อครู่เจ้าบอกว่า โอวหยางขุยเคยลอบปลงพระชนม์องค์รัชทายาท เกิดเรื่องอันใดขึ้นรึ?”ฉงชูโม่เล่าคร่าว ๆ ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากฟังเรื่องราวจากฉงชูโม่แล้ว เซี่ยหลานก็พูดด้วยความสับสน “ไม่สิ องค์รัชทายาทพบคนที่เคยลอบปลงพระชนม์พระองค์เพ
ฉงชูโม่ยังคงรออยู่ด้านนอกประตูตำหนักบูรพาอย่างกระสับกระส่ายเมื่อนางเห็นโอวหยางขุยออกมา นางรีบเข้าไปขวางเขาและถามว่า “เจ้ามีธุระอันใดกันแน่ถึงได้มาขอพบองค์รัชทายาท?”โอวหยางขุยกล่าวด้วยสีหน้าขมขื่น “แม่ทัพใหญ่ฉง เจ้ามิจำเป็นต้องตั้งตัวเป็นศัตรูกับข้าถึงเพียงนี้หรอก ตอนนี้ข้าอยู่ภายใต้การควบคุมขององค์รัชทายาทแล้ว และต่อจากนี้ไปข้าก็จะทำตามที่พระองค์สั่งเท่านั้น”“ว่ากระไรนะ? เจ้าอยู่ภายใต้การควบคุมขององค์รัชทายาทรึ?!”ฉงชูโม่มองโอวหยางขุยด้วยความเหลือเชื่อพร้อมกับถามว่า “เจ้าถูกเขาควบคุมได้อย่างไร? เขาทำอะไรกับเจ้า?”“หากอยากรู้ก็ไปถามองค์รัชทายาทเอาเองเถิด ข้ามีเรื่องที่ต้องทำ ขอตัวก่อน”โอวหยางขุยยกมือคำนับและหันหลังเดินจากไปฉงชูโม่ขมวดคิ้วและเดินเข้าไปด้านในอย่างรวดเร็วทันทีที่นางมาถึงห้องรับรอง นางก็เห็นฉินซูโอบหลินชิงเหยาไว้ในอ้อมแขนและกำลังเตรียมที่จะเข้าห้องนอนเมื่อเห็นพวกเขาทั้งสองใกล้ชิดกัน ฉงชูโม่ก็โกรธขึ้นมาทันทีหลินชิงเหยารีบผละออกจากอ้อมแขนของฉินซูและถามอย่างเขินอาย “พี่หญิงชูโม่ ท่านมาที่นี่ด้วยเหตุใดหรือ?”ฉงชูโม่มิได้สนใจนางและหันไปถามฉินซู “องค์รัชทายาท ท
ฉินซูมิเชื่อเลยแม้แต่น้อยแต่หลินชิงเหยาก็วิเคราะห์อย่างจริงจัง“องค์รัชทายาท ช่วงนี้พี่หญิงชูโม่เอาใจใส่ท่านเป็นพิเศษ อีกทั้งตอนที่ท่านได้รับบาดเจ็บนางก็ไปนำโอสถสรรพโรคมาให้ท่านเสวยและรักษาอาการบาดเจ็บให้ท่านด้วยตัวเอง เมื่อครู่ตอนที่หม่อมฉันเห็นว่าท่านมิได้บอกนางเกี่ยวกับเรื่องของโอวหยางขุย นางดูผิดหวังเสียใจเป็นอย่างมาก การกระทำเหล่านี้ของนางมันทำให้เห็นได้ชัดเจนว่านางใส่ใจท่านมิใช่หรือเพคะ?”“ที่นางรักษาบาดแผลให้ข้าคงเพราะมิอยากรับผิดก็เท่านั้น”“รับผิด?” หลินชิงเหยาถามด้วยความสับสน “องค์รัชทายาท รับผิดหมายถึงอะไรหรือเพคะ?”“หมายถึงยอมรับความผิดนั่นแหละ เจ้าลองคิดดูสิ หากข้าเป็นอะไรขึ้นมา ฝ่าบาทจะทรงยอมปล่อยนางไปง่าย ๆ รึ?”หลินชิงเหยาใช้ความคิดฉินซูกล่าวต่อ “นอกจากนี้นางก็จงภักดีต่อฝ่าบาท ทุกสิ่งที่นางทำล้วนเป็นเพราะทำตามรับสั่ง ที่นางมาอยู่ที่ตำหนักบูรพาแห่งนี้ก็เพื่อเป็นหูเป็นตาให้ฝ่าบาทก็เท่านั้น นางชอบข้าน่ะหรือ? จะเป็นไปได้อย่างไร!”“ที่ท่านตรัสนั้นถือว่ามีเหตุผลเพคะ แต่องค์รัชทายาท สิ่งที่พี่หญิงชูโม่พูดเมื่อครู่ก็มีส่วนถูกเพคะ หากฝ่าบาททรงทราบขึ้นมาว่า ท่านติดต่อกั
ครึ่งชั่วยามต่อมาซุนฉีมาที่ห้องตำราของฉินเหยี่ยนด้วยสีหน้าเปี่ยมสุข“ท่านอ๋องจิ้น ข่าวดีพ่ะย่ะค่ะ ข่าวดี!”ฉินเหยี่ยนถามด้วยความอยากรู้ “เจ้าพบโอวหยางขุยแล้วหรือ?”“หามิได้พ่ะย่ะค่ะ ยังมิพบตัวหยางขุย แต่เราพบพยานที่สามารถยืนยันได้ว่าองค์รัชทายาทติดต่อกับผู้มีอำนาจในยุทธภพพ่ะย่ะค่ะ!”“พยานรึ? ผู้ใดกัน?!”“เซี่ยหลาน หลานสาวของชิ่งกั๋วกงพ่ะย่ะค่ะ!”“เป็นนางหรือ? นางเห็นฉินซูพบกับโอวหยางขุยด้วยสองตาของตัวเองรึ?”ซุนฉีพยักหน้า “พ่ะย่ะค่ะ ตามข้อมูลจากสายลับที่เราส่งไปแฝงตัว เซี่ยหลานบังเอิญอยู่หน้าประตูตำหนักบูรพาในตอนที่องค์รัชทายาทพบกับโอวหยางขุย มิรู้ว่านางเดินผ่านมาหรือว่าอะไร แต่ถึงอย่างไรนางก็ผู้ที่เห็นเหตุการณ์พ่ะย่ะค่ะ”ฉินเหยี่ยนดีใจจนตบขาดังฉาดและพูดอย่างตื่นเต้น “ฮ่า ๆ สวรรค์เข้าข้างข้าสินะ ไปรีบเตรียมเกี้ยวให้พร้อม ข้าจะไปจวนชิ่งกั๋วกงเสียหน่อย”“เกี้ยวถูกเตรียมไว้แล้วพ่ะย่ะค่ะ แต่ท่านอ๋อง ชิ่งกั๋วกงผู้นั้นสนิทกับอ๋องฉีมานาน อีกทั้งยังถือตัวอวดดีเป็นอย่างมาก ท่านอ๋องเสด็จไปหาเขาในครั้งนี้โปรดอย่าทำให้เขาขุ่นเคืองได้ง่าย ๆ มิเช่นนั้นเราอาจจะมิได้ความช่วยเหลือจากเซี่ยหลา
หลังจากที่เซี่ยเหอพูดจบ ก็ออกไปรับแขกที่หน้าประตูด้านเซี่ยหลานกลับมาที่ห้องส่วนตัวทันทีที่นางลงกลอนประตู ก็มีคนปิดตาของนางจากด้านหลัง ขณะเดียวกัน คนผู้นั้นก็พูดด้วยน้ำเสียงแหบห้าว “สาวน้อย จงรีบถอดอาภรณ์และมาปรนนิบัติคุณชายเช่นข้าอย่างว่าง่ายเสีย!”“บ้า! ชูโม่ เจ้ากลายเป็นคนติดตลกขนาดนี้ไปตั้งแต่เมื่อไรกัน แล้วไหนจะคุณชายอะไรนั่นอีก มิรู้จักอายเอาเสียเลย!”“มิจริงน่า ข้าอุตส่าห์เปลี่ยนเสียง เจ้ายังจำข้าได้อีกหรือ?”ฉงชูโม่ปล่อยมืออย่างประหลาดใจเซี่ยหลานพูดด้วยความโกรธ “เจ้ากับข้าเติบโตมาด้วยกัน คิดว่าข้าจะจำกลิ่นกายเจ้ามิได้หรือไร!”“กลิ่นกายข้า?” ฉงชูโม่ดมตัวเองโดยมิรู้ตัวพลางบ่นพึมพำ “มีที่ไหนเล่า เจ้าก็พูดไปเรื่อย”“ชิชิ บนตัวเจ้าน่ะมีกลิ่นหอมจาง ๆ ช่างเถิด มิต้องพูดเรื่องนี้แล้ว เมื่อครู่ตอนที่ข้ากลับมาข้าบังเอิญได้ยินว่าอ๋องจิ้นมาที่นี่ มิรู้ว่ามาหาท่านปู่ของข้าด้วยธุระอันใด”“อ๋องจิ้น?”ดวงตาที่งดงามของฉงชูโม่กะพริบถี่ ๆ จากนั้นนางก็พูดเสียงเบา “เจ้านอนไปก่อน เดี๋ยวข้าไปดูเองว่าพวกเขาคุยอะไรกัน”“ข้าก็อยากไปด้วย!”“ข้าจะไปแอบฟัง หากเจ้าตามข้ามาแล้วถูกจับได้จะทำอย่า