“หม่อมฉันพูดขู่? เหอะ เช่นนั้นท่านก็ลืมคำเตือนของชูโม่กับหม่อมฉันไปเถิดเพคะ แล้วท่านก็คอยดูว่าผลที่ตามมาจะเป็นอย่างไร”“องค์รัชทายาท คำพูดของเซี่ยหลานหาใช่คำขู่ไม่ การมาของผู้อาวุโสปราชญ์โอสถในครั้งนี้นอกเหนือจากการเข้าเฝ้าถวายพระพรไทเฮาแล้ว อีกจุดประสงค์หนึ่งก็คือการถวายโอสถให้ฝ่าบาทเพคะ ฝ่าบาททรงจำเป็นต้องพึ่งพาเขาเป็นอย่างมาก ดังนั้นอย่าไปทำให้เขาขุ่นเคืองเลยจะดีกว่า มิเช่นนั้นฝ่าบาทอาจจะทรงปลดท่านเดี๋ยวนั้นได้เลยเพคะ”“ถวายโอสถ? ถวายโอสถอะไร?” ฉินซูเริ่มอยากรู้อยากเห็นฉงชูโม่กลอกตาใส่เขาและพูดอย่างมิสบอารมณ์ “เมื่อปลายปีที่แล้ว ฝ่าบาททรงไว้วางพระทัยให้ ผู้อาวุโสปราชญ์โอสถกลั่นโอสถอายุวัฒนะ ซึ่งแน่นอนว่าการที่ผู้อาวุโสมายังเมืองหลงเฉิงก็เพื่อถวายโอสถอายุวัฒนะแด่ฝ่าบาทเพคะ”เมื่อได้ยินเช่นนั้น ก็มีเส้นเลือดดำปูดไปทั่วใบหน้าของฉินซู เขามิรู้จะบ่นอะไรเลยคนที่มองว่ายาเม็ดระดับต้นเป็นสมบัติล้ำค่าจะสกัดโอสถอายุวัฒนะได้อย่างไร?มีแต่คนโง่เท่านั้นที่เชื่อแต่เขาก็มิได้พูดสิ่งที่คิดออกมา หากฝ่าบาทจะเสวยโอสถอายุวัฒนะอะไรนั่นก็เรื่องของพระองค์เถิด“เอาเถอะ นั่งดี ๆ เพคะ หม่อมฉันจะเสร
ด้านนอกประตูตำหนักบูรพาตงฟางโซ่วและองครักษ์อื่น ๆ กระชับดาบในมือพลางจ้องมองไปทางบันไดด้วยสายตาระแวดระวังณ จุดนั้น มีชายชุดดำกำลังเดินไปมาพร้อมกับมองเข้าไปที่ด้านหลังประตูเป็นครั้งคราวเหมือนกับกำลังร้อนใจเขาสวมงอบและผ้าคลุมสีดำที่ห้อยลงมาปกปิดใบหน้าของเขา ทำให้คนอื่นมิสามารถมองเห็นหน้าตาของเขาได้ชัดเจนเมื่อดูจากรูปร่างของเขาแล้ว เห็นได้ชัดว่าคนผู้นี้เป็นบุรุษฉงชูโม่ที่เห็นบุคคลดังกล่าวก็อดมิได้ที่จะขมวดคิ้ว เพราะนางรู้สึกคุ้นตาเป็นอย่างมากนางจึงถามว่า “เจ้าเป็นใคร มาขอพบองค์รัชทายาทด้วยเรื่องใด?”หลังจากที่ชายชุดดำได้ยินเสียงของฉงชูโม่ เขามิเพียงมิตอบ แต่ยังหันหนีอย่างรวดเร็วอีกด้วยเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายดูมีพิรุธ ฉงชูโม่ก็เริ่มสงสัยมากขึ้นเรื่อย ๆหลังจากมองแผ่นหลังของอีกฝ่ายอย่างพินิจ นางก็อุทานขึ้น “โอวหยางขุย? เจ้านี่เอง!!”“มิจริงน่า? ข้าใส่ชุดคลุมทั้งตัวเช่นนี้ เจ้ายังจะจำข้าได้อีกรึ?!”โอวหยางขุยก็ตกใจมิน้อยไปกว่าฉงชูโม่เขาดึงผ้าบางสีดำที่ติดกับงอบออก เผยให้เห็นรูปลักษณ์ที่แท้จริงของเขาเมื่อเห็นโอวหยางขุย ตงฟางโซ่วก็ขมวดคิ้วและแอบสงสัยว่า เหตุใดตาแก่ใจโฉดจากสำนั
คิ้วของฉงชูโม่ขมวดเข้าหากัน และก้าวเท้าจะเดินตามเข้าไปด้วยตงฟางไป๋รีบพูดว่า “แม่ทัพใหญ่ฉง องค์รัชทายาทเพิ่งเองสั่งว่าห้ามใครเข้าไปโดยมิได้รับอนุญาต”“เจ้าตาบอดรึ? นั่นมันโอวหยางขุย เจ้าสำนักอาทิตย์อัสดง อีกทั้งครั้งก่อนเขาก็ลงมือลอบปลงพระชนม์องค์รัชทายาทด้วยตัวเอง ตอนนี้องค์รัชทายาททรงพบกับเขาเพียงลำพัง เจ้ามิกังวลรึว่าเขาจะเป็นอันตรายต่อองค์รัชทายาท?”“ก็… ที่องค์รัชทายาททรงยอมพบเขาเพียงลำพัง ก็คงเพราะทรงต้องการการสนับสนุนพึ่งพากระมัง”“นั่นสิ ท่านแม่ทัพใหญ่ องค์รัชทายาทมิใช่คนบ้าบิ่นถึงเพียงนั้น คงจะเอาโอวหยางขุยได้อยู่หมัด มิเช่นนั้นพระองค์จะทรงกล้าพบเขาเพียงลำพังได้อย่างไร”ฉงชูโม่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งและรู้สึกว่า สิ่งที่พี่น้องตงฟางไป๋พูดนั้นดูสมเหตุสมผลนางมองเข้าไปในตำหนักบูรพาสองสามครั้งแล้วถอยออกมาเซี่ยหลานถามด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “ชูโม่ เมื่อครู่เจ้าบอกว่า โอวหยางขุยเคยลอบปลงพระชนม์องค์รัชทายาท เกิดเรื่องอันใดขึ้นรึ?”ฉงชูโม่เล่าคร่าว ๆ ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากฟังเรื่องราวจากฉงชูโม่แล้ว เซี่ยหลานก็พูดด้วยความสับสน “ไม่สิ องค์รัชทายาทพบคนที่เคยลอบปลงพระชนม์พระองค์เพ
ฉงชูโม่ยังคงรออยู่ด้านนอกประตูตำหนักบูรพาอย่างกระสับกระส่ายเมื่อนางเห็นโอวหยางขุยออกมา นางรีบเข้าไปขวางเขาและถามว่า “เจ้ามีธุระอันใดกันแน่ถึงได้มาขอพบองค์รัชทายาท?”โอวหยางขุยกล่าวด้วยสีหน้าขมขื่น “แม่ทัพใหญ่ฉง เจ้ามิจำเป็นต้องตั้งตัวเป็นศัตรูกับข้าถึงเพียงนี้หรอก ตอนนี้ข้าอยู่ภายใต้การควบคุมขององค์รัชทายาทแล้ว และต่อจากนี้ไปข้าก็จะทำตามที่พระองค์สั่งเท่านั้น”“ว่ากระไรนะ? เจ้าอยู่ภายใต้การควบคุมขององค์รัชทายาทรึ?!”ฉงชูโม่มองโอวหยางขุยด้วยความเหลือเชื่อพร้อมกับถามว่า “เจ้าถูกเขาควบคุมได้อย่างไร? เขาทำอะไรกับเจ้า?”“หากอยากรู้ก็ไปถามองค์รัชทายาทเอาเองเถิด ข้ามีเรื่องที่ต้องทำ ขอตัวก่อน”โอวหยางขุยยกมือคำนับและหันหลังเดินจากไปฉงชูโม่ขมวดคิ้วและเดินเข้าไปด้านในอย่างรวดเร็วทันทีที่นางมาถึงห้องรับรอง นางก็เห็นฉินซูโอบหลินชิงเหยาไว้ในอ้อมแขนและกำลังเตรียมที่จะเข้าห้องนอนเมื่อเห็นพวกเขาทั้งสองใกล้ชิดกัน ฉงชูโม่ก็โกรธขึ้นมาทันทีหลินชิงเหยารีบผละออกจากอ้อมแขนของฉินซูและถามอย่างเขินอาย “พี่หญิงชูโม่ ท่านมาที่นี่ด้วยเหตุใดหรือ?”ฉงชูโม่มิได้สนใจนางและหันไปถามฉินซู “องค์รัชทายาท ท
ฉินซูมิเชื่อเลยแม้แต่น้อยแต่หลินชิงเหยาก็วิเคราะห์อย่างจริงจัง“องค์รัชทายาท ช่วงนี้พี่หญิงชูโม่เอาใจใส่ท่านเป็นพิเศษ อีกทั้งตอนที่ท่านได้รับบาดเจ็บนางก็ไปนำโอสถสรรพโรคมาให้ท่านเสวยและรักษาอาการบาดเจ็บให้ท่านด้วยตัวเอง เมื่อครู่ตอนที่หม่อมฉันเห็นว่าท่านมิได้บอกนางเกี่ยวกับเรื่องของโอวหยางขุย นางดูผิดหวังเสียใจเป็นอย่างมาก การกระทำเหล่านี้ของนางมันทำให้เห็นได้ชัดเจนว่านางใส่ใจท่านมิใช่หรือเพคะ?”“ที่นางรักษาบาดแผลให้ข้าคงเพราะมิอยากรับผิดก็เท่านั้น”“รับผิด?” หลินชิงเหยาถามด้วยความสับสน “องค์รัชทายาท รับผิดหมายถึงอะไรหรือเพคะ?”“หมายถึงยอมรับความผิดนั่นแหละ เจ้าลองคิดดูสิ หากข้าเป็นอะไรขึ้นมา ฝ่าบาทจะทรงยอมปล่อยนางไปง่าย ๆ รึ?”หลินชิงเหยาใช้ความคิดฉินซูกล่าวต่อ “นอกจากนี้นางก็จงภักดีต่อฝ่าบาท ทุกสิ่งที่นางทำล้วนเป็นเพราะทำตามรับสั่ง ที่นางมาอยู่ที่ตำหนักบูรพาแห่งนี้ก็เพื่อเป็นหูเป็นตาให้ฝ่าบาทก็เท่านั้น นางชอบข้าน่ะหรือ? จะเป็นไปได้อย่างไร!”“ที่ท่านตรัสนั้นถือว่ามีเหตุผลเพคะ แต่องค์รัชทายาท สิ่งที่พี่หญิงชูโม่พูดเมื่อครู่ก็มีส่วนถูกเพคะ หากฝ่าบาททรงทราบขึ้นมาว่า ท่านติดต่อกั
ครึ่งชั่วยามต่อมาซุนฉีมาที่ห้องตำราของฉินเหยี่ยนด้วยสีหน้าเปี่ยมสุข“ท่านอ๋องจิ้น ข่าวดีพ่ะย่ะค่ะ ข่าวดี!”ฉินเหยี่ยนถามด้วยความอยากรู้ “เจ้าพบโอวหยางขุยแล้วหรือ?”“หามิได้พ่ะย่ะค่ะ ยังมิพบตัวหยางขุย แต่เราพบพยานที่สามารถยืนยันได้ว่าองค์รัชทายาทติดต่อกับผู้มีอำนาจในยุทธภพพ่ะย่ะค่ะ!”“พยานรึ? ผู้ใดกัน?!”“เซี่ยหลาน หลานสาวของชิ่งกั๋วกงพ่ะย่ะค่ะ!”“เป็นนางหรือ? นางเห็นฉินซูพบกับโอวหยางขุยด้วยสองตาของตัวเองรึ?”ซุนฉีพยักหน้า “พ่ะย่ะค่ะ ตามข้อมูลจากสายลับที่เราส่งไปแฝงตัว เซี่ยหลานบังเอิญอยู่หน้าประตูตำหนักบูรพาในตอนที่องค์รัชทายาทพบกับโอวหยางขุย มิรู้ว่านางเดินผ่านมาหรือว่าอะไร แต่ถึงอย่างไรนางก็ผู้ที่เห็นเหตุการณ์พ่ะย่ะค่ะ”ฉินเหยี่ยนดีใจจนตบขาดังฉาดและพูดอย่างตื่นเต้น “ฮ่า ๆ สวรรค์เข้าข้างข้าสินะ ไปรีบเตรียมเกี้ยวให้พร้อม ข้าจะไปจวนชิ่งกั๋วกงเสียหน่อย”“เกี้ยวถูกเตรียมไว้แล้วพ่ะย่ะค่ะ แต่ท่านอ๋อง ชิ่งกั๋วกงผู้นั้นสนิทกับอ๋องฉีมานาน อีกทั้งยังถือตัวอวดดีเป็นอย่างมาก ท่านอ๋องเสด็จไปหาเขาในครั้งนี้โปรดอย่าทำให้เขาขุ่นเคืองได้ง่าย ๆ มิเช่นนั้นเราอาจจะมิได้ความช่วยเหลือจากเซี่ยหลา
หลังจากที่เซี่ยเหอพูดจบ ก็ออกไปรับแขกที่หน้าประตูด้านเซี่ยหลานกลับมาที่ห้องส่วนตัวทันทีที่นางลงกลอนประตู ก็มีคนปิดตาของนางจากด้านหลัง ขณะเดียวกัน คนผู้นั้นก็พูดด้วยน้ำเสียงแหบห้าว “สาวน้อย จงรีบถอดอาภรณ์และมาปรนนิบัติคุณชายเช่นข้าอย่างว่าง่ายเสีย!”“บ้า! ชูโม่ เจ้ากลายเป็นคนติดตลกขนาดนี้ไปตั้งแต่เมื่อไรกัน แล้วไหนจะคุณชายอะไรนั่นอีก มิรู้จักอายเอาเสียเลย!”“มิจริงน่า ข้าอุตส่าห์เปลี่ยนเสียง เจ้ายังจำข้าได้อีกหรือ?”ฉงชูโม่ปล่อยมืออย่างประหลาดใจเซี่ยหลานพูดด้วยความโกรธ “เจ้ากับข้าเติบโตมาด้วยกัน คิดว่าข้าจะจำกลิ่นกายเจ้ามิได้หรือไร!”“กลิ่นกายข้า?” ฉงชูโม่ดมตัวเองโดยมิรู้ตัวพลางบ่นพึมพำ “มีที่ไหนเล่า เจ้าก็พูดไปเรื่อย”“ชิชิ บนตัวเจ้าน่ะมีกลิ่นหอมจาง ๆ ช่างเถิด มิต้องพูดเรื่องนี้แล้ว เมื่อครู่ตอนที่ข้ากลับมาข้าบังเอิญได้ยินว่าอ๋องจิ้นมาที่นี่ มิรู้ว่ามาหาท่านปู่ของข้าด้วยธุระอันใด”“อ๋องจิ้น?”ดวงตาที่งดงามของฉงชูโม่กะพริบถี่ ๆ จากนั้นนางก็พูดเสียงเบา “เจ้านอนไปก่อน เดี๋ยวข้าไปดูเองว่าพวกเขาคุยอะไรกัน”“ข้าก็อยากไปด้วย!”“ข้าจะไปแอบฟัง หากเจ้าตามข้ามาแล้วถูกจับได้จะทำอย่า
ฉินเหยี่ยนพูดอย่างมิรีบร้อน “องค์รัชทายาทฝ่าฝืนรับสั่งของเสด็จพ่อด้วยการติดต่อกับคนในยุทธภพอย่างลับ ๆ และเซี่ยหลานก็เป็นพยานในเรื่องนี้”“มิจริงกระมังพ่ะย่ะค่ะ องค์รัชทายาททรงไปหามาสู่กับคนจากยุทธภพน่ะหรือพ่ะย่ะค่ะ ท่านอ๋องจิ้น นี่เป็นเรื่องจริงหรือพ่ะย่ะค่ะ?”เซี่ยเหอแทบมิอยากเชื่อหลังจากได้ยินเรื่องราวเนื่องจากฝ่าบาทมีรับสั่งซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าห้ามมิให้ขุนนางราชสำนักและสมาชิกราชวงศ์มีปฏิสัมพันธ์กับคนจากยุทธภพโดยเด็ดขาดแต่ตอนนี้องค์รัชทายาทกลับกล้ากระทำผิดทั้งที่รู้อยู่แก่ใจ นี่เท่ากับรนหาที่ตายมิใช่หรือ?ฉินเหยี่ยนพูดอย่างเคร่งเครียด “แน่นอนว่าเป็นเรื่องจริง วันนี้องค์รัชทายาทได้พบกับโอวหยางขุย เจ้าสำนักอาทิตย์อัสดงที่ตำหนักบูรพา เซี่ยหลานบังเอิญอยู่หน้าประตูตำหนักบูรพาในเวลานั้นพอดีและได้เห็นเหตุการณ์ทุกอย่าง!”“หากเป็นเช่นนั้นจริงก็ยอดเยี่ยมอย่างยิ่ง ขอท่านอ๋องโปรดรอสักครู่ กระหม่อมจะรีบให้คนไปเรียกเสี่ยวหลานมาพ่ะย่ะค่ะ”หลังจากที่เซี่ยเหอพูดจบ เขาก็ตะโกนไปที่ประตู “ใครก็ได้ ไปเรียกคุณหนูมาทีซิ บอกว่าข้ามีเรื่องสำคัญจะถาม”“ขอรับ!”ตำแหน่งบนหลังคา ณ ขณะนี้ เซี่ยหลานถามเสีย
มู่หรงจื่อเยียนตกตะลึง ก่อนถามด้วยสีหน้าประหลาดใจ "เสด็จพี่ พี่จื่อชินเขายังมิได้กลับมาหรอกหรือ?"“ไม่ เกิดเรื่องอันใดขึ้น? พวกเจ้ามิได้กลับมาด้วยกันหรอกหรือ?”“เป็นไปมิได้ หากพูดตามเหตุผล เขาควรจะกลับมาเร็วกว่าหม่อมฉันสิ หรือว่าระหว่างจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นจึงทำให้เขากลับมาล่าช้า?”มู่หรงจื่อเยียนครุ่นคิดในใจ ตนและฉินซูติดอยู่ในดินแดนแห่งความฝันนานขนาดนั้น หนานกงจื่อชินก็น่าจะกลับมาตั้งนานแล้วถึงจะถูกหรือว่า เขาจะยังตามหาตนอยู่ที่บริเวณขอบผานั่น?มู่หรงฟู่มองไปรอบ ๆ แล้วพูดว่า "ที่นี่เต็มไปด้วยสายลับ เข้าไปคุยข้างในดีกว่า"มู่หรงจื่อเยียนพยักหน้าเห็นด้วย และเดินตามมู่หรงฟู่เข้าไปข้างในทันทีที่นางนั่งลง มู่หรงฟู่ก็ถามขึ้นด้วยความร้อนใจ "เป็นอย่างไรบ้าง? ทำสำเร็จหรือไม่? ฉินซูถูกกำจัดเรียบร้อยแล้วใช่หรือไม่?"มู่หรงจื่อเยียนลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนตอบว่า "มิสำเร็จ ตอนที่พี่จื่อชินกำลังจะลงมือก็มีกลุ่มปีศาจภูเขาเข้ามาก่อกวน ต่อมา… หม่อมฉันก็พลัดหลงกับเขา ส่วนเรื่องหลังจากนั้น หม่อมฉันก็มิรู้แล้ว”มู่หรงฟู่ขมวดคิ้วรู้สึกว่า คำพูดของมู่หรงจื่อเยียนดูมิค่อยสมเหตุสมผลกันเขาขมวดคิ้วแ
ส่วนครอบครัวและคนสนิทของทั่วป๋าชื่อทั้งหมดถูกตวนมู่สั่งคนไปจัดการประหารจนหมดสิ้นแล้วอีกทั้งตวนมู่ยังได้แต่งตั้งคนสนิทของตนขึ้นมาควบคุมกลุ่มชาติพันธุ์ต่าง ๆ ภายในชนเผ่าฉินซูพยักหน้าอย่างเงียบ ๆ ตวนมู่ทำงานอย่างเฉียบขาด รวดเร็ว สามารถรวบรวมกำลังอำนาจของตนได้ภายในเวลาอันสั้นเพียงนี้ อีกทั้งยังกล้าหาญ นับว่าเป็นบุคคลที่ทำการใหญ่ได้ทันใดนั้น เขาก็นึกอะไรบางอย่างได้ จึงถามอย่างสงสัย "ตวนมู่ ชนเผ่าโครยอของเจ้ามีทหารเพียงสองหมื่นนายเท่านั้น แต่ทั่วป๋าชื่อเอาความกล้าจากที่ใดมาคิดสังหารข้ากัน"“องค์รัชทายาท ก่อนที่ท่านจะเสด็จมา ทั่วป๋าชื่อได้รับจดหมายจากผู้สูงศักดิ์ท่านหนึ่ง ในนั้นมีการสัญญาว่า ขอเพียงทั่วป๋าชื่อสามารถกำจัดองค์รัชทายาทได้ วันหน้าเมื่อผู้สูงศักดิ์ท่านนั้นได้ขึ้นครองบัลลังก์ เขาจะมอบเมืองให้ชนเผ่าโครยอของเราสองสามเมืองเพื่อฟื้นฟูชนเผ่าพ่ะย่ะค่ะ”“ผู้สูงศักดิ์? คือผู้ใด?”“เรื่องนี้ ทั่วป๋าชื่อมิได้บอกอย่างชัดเจน เขาบอกเพียงว่าเป็นหนึ่งในพระโอรสขององค์จักรพรรดิ อ้อ ใช่แล้ว จดหมายฉบับนั้นน่าจะอยู่ในห้องตำราของทั่วป๋าชื่อ ข้าน้อยจะไปค้นหามาให้พ่ะย่ะค่ะ”หลังจากที่ตวนมู่พูดจ
ฉินซูโบกมือแล้วตะโกนสั่งกับทหารผู้นั้น "ไป นำตัวตวนมู่หาให้ข้า!"“รับพระบัญชา!”ทหารผู้นั้นรับคำอย่างนอบน้อมแล้วนำคนอีกสองคนเดินอย่างรวดเร็วไปยังคุกเพียงชั่วครู่ ตวนมู่ก็ถูกนำตัวมาในตอนนี้ เขาถูกใส่โซ่ตรวนที่มือและเท้า ดูคล้ายกับนักโทษอย่างไรอย่างนั้นฉินซูเลิกคิ้ว พลันถามว่า "ตวนมู่ ข้าได้ยินมาว่า ทั่วป๋าชื่อสั่งให้เจ้าฆ่าข้า มีเรื่องเช่นนี้จริงหรือ?"ตวนมู่กวาดสายตามองสถานการณ์ภายในลาน เมื่อเห็นเศษแขนขาที่กระจัดกระจายอยู่บนพื้น ม่านตาของเขาก็หดตัวในฉับพลันความคิดในหัวของเขาแล่นอย่างรวดเร็ว มินานก็วิเคราะห์สถานการณ์ตรงหน้าได้เมื่อตั้งสติได้ เขาจึงรีบเอ่ยตอบ "องค์รัชทายาท เป็นความจริงพ่ะย่ะค่ะ”“เช่นนั้น เหตุใดเจ้าจึงมิทำตามคำสั่งของเขา?”“องค์รัชทายาท ท่านคือรัชทายาทผู้สืบทอดราชบัลลังก์แห่งแผ่นดิน หากลงมือกับท่านก็เท่ากับการก่อกบฏ เป็นที่สาปแช่งทั้งฟ้าดิน ข้าน้อยยอมตายเสียดีกว่าทำเรื่องที่ไร้ความจงรักภักดีและอกตัญญูเช่นนี้พ่ะย่ะค่ะ”คำพูดของตวนมู่แฝงความมิจริงใจอยู่บ้าง แต่เขารู้ดีว่าบัดนี้ฉินซูได้กุมอำนาจในสถานการณ์นี้ไว้แล้วดังนั้นหากมิแสดงความจงรักภักดีเสียตอนนี้แล
ฝ่ายตรงข้ามเพียงแค่พูดมิกี่คำก็สามารถทำให้ผู้ใต้บังคับบัญชาของตนหันดาบมาทำร้ายตนได้ นี่ถือเป็นความอัปยศอย่างใหญ่หลวง!อูมู่โกรธจนตัวสั่น เขาตะโกนสั่งกลุ่มพลธนูของเขาว่า "ยิงธนู ฆ่าพวกทรยศพวกนี้ให้หมด!"ฟิ้ว ฟิ้ว ฟิ้ว!ลูกธนูนับสิบพุ่งทะลวงกลางอากาศไปอย่างรวดเร็วทหารที่ทรยศเหล่านั้นส่งเสียงร้องด้วยความเจ็บปวดขณะที่ถูกยิงจนเต็มไปด้วยลูกธนูล้มลงไปนอนในแอ่งเลือดอูมู่ตวาดลั่น "เห็นหรือยัง นี่คือจุดจบของคนทรยศ ใครกล้าชี้ดาบใส่คนในเผ่าตนอีก ข้าจะฆ่ามันมิปรานี!"เมื่อเห็นดังนั้น เหล่าทหารก็พากันหวาดกลัวจนมิกล้าขยับตัว“นี่ ข้ามอบของดีให้พวกเจ้า!”เสียงหัวเราะเย้ยหยันของฉินซูดังขึ้นอย่างกะทันหัน จากนั้นก็โยนบางสิ่งไปยังตำแหน่งของกลุ่มพลธนูเหล่านั้นอูมู่ซึ่งมีปฏิกิริยารวดเร็ว คว้ามันไว้ในมือทันที!เมื่อมองดูชัด ๆ จึงพบว่ามันคือลูกเหล็กกลม ๆ ลูกหนึ่ง!ปลายด้านบนของลูกกลมยังคงพ่นควันโชยออกมาเขามองดูสิ่งของแปลกประหลาดในมือ และกำลังจะเอ่ยถามด้วยสีหน้าฉงนสงสัยแต่ยังมิทันที่จะได้ถาม ก็ได้ยินเสียง…ตูม เสียงครึกโครมดังสนั่น ลูกกลมในมือของอูมู่ระเบิดอย่างรุนแรง!ร่างของอูมู่ถูกระเบ
ถานเหวยโกรธจนกัดฟันกรอด พลันตะโกนด่าด้วยความโมโห "ทั่วป๋าชื่อ เจ้านี่ช่างบ้าบิ่น การลอบปลงพระชนม์องค์รัชทายาทคือโทษประหารล้างชั่วโคตร! หากพวกเจ้ากล้าก่อเรื่องในวันนี้ ก็จงรอรับมือกองทัพจากราชสำนักที่จะมากวาดล้างพวกเจ้าทั้งเผ่าโครยอให้สิ้นซากได้เลย!”“หึ ในเมื่อข้ากล้าลงมือ ข้าก็เตรียมพร้อมทุกอย่างไว้หมดแล้ว เจ้าคิดว่ามีใครในพวกเจ้าในวันนี้จะหนีรอดไปได้หรือ?”อูมู่ยังหัวเราะเยาะหยัน "เพียงแค่พวกเราฆ่าพวกเจ้าทั้งหมด องค์จักรพรรดิจะมีหลักฐานอะไรที่พิสูจน์ได้ว่าเป็นฝีมือพวกเรา?"“ใช่แล้ว แถบพื้นที่ฉงซานมีสัตว์ร้ายอาละวาดหนัก ถึงตอนนั้นทุกคนคงคิดว่ารัชทายาทผู้ตกอับถูกสัตว์ร้ายฆ่าตาย ใครเล่าจะสงสัยมาถึงพวกเราชนเผ่าโครยอ?”กานรุ่ยสีหน้าเคร่งขรึม และเอ่ยเสียงเบา "องค์รัชทายาท พวกเขาพูดถูกพ่ะย่ะค่ะ เมื่อพวกเขากล้าลงมือ แสดงว่าต้องวางแผนไว้อย่างรัดกุมแล้ว อีกเดี๋ยวท่านโปรดหาโอกาสหลบหนี พวกเราจะยอมสละชีวิตเพื่อเปิดทางให้เองพ่ะย่ะค่ะ"หลังจากพูดจบ เขาก็ชักดาบออกจากฝักเหล่าทหารที่ติดตามต่างก็ชักกระบี่ออกมาเช่นกันด้วยท่าทีพร้อมสละชีวิตทั่วป๋าชื่อตะโกนเสียงดัง "ฉินซู ยังมิรีบปลิดชีพตนอีกรึ จ
“ดวนมู่ เจ้าคิดมากเกินไป หากทุกคนเหมือนเจ้า คอยแต่ลังเลเช่นนี้ แล้วจะสร้างความสำเร็จได้อย่างไร!”“ถูกต้อง หากมิทำการรวดเร็วเด็ดขาด เราชาวเผ่าโครยอจะต้องรออีกนานเพียงใดจึงจะฟื้นฟูชนเผ่าของเราได้ พวกเรารอมาหลายสิบปีแล้ว จะให้รอไปอีกหลายสิบปีหรือ?”ตวนมู่ยังคิดจะโต้แย้ง แต่ในตอนนั้นทั่วป๋าชื่อก็พลันโบกมือขัดจังหวะด้วยท่าทีแน่วแน่!“หยุดพูดเรื่องนี้ได้แล้ว ในเมื่อพวกเราตัดสินใจจะร่วมมือกับท่านผู้สูงศักดิ์ผู้นั้นเราก็ต้องแสดงความจริงใจ มิเช่นนั้นจะเอาอะไรไปต่อรองในภายหลัง”หลี่ว์ชุ่นและอูมู่เอ่ยพร้อมกันว่า "ท่านหัวหน้าฉลาดล้ำ!"เมื่อเห็นว่าทั่วป๋าชื่อตัดสินใจแน่วแน่แล้ว ตวนมู่จึงได้แต่ถอนหายใจและมิพูดอะไรอีกทั่วป๋าชื่อสั่งหลี่ว์ชุ่น รีบรวบรวมทหารทั้งหมด รวมตัวกันที่ลานฝึกซ้อม ข้าจะให้รัชทายาทผู้รอวันถูกปลดนั้นได้เห็นถึงความเก่งกาจของเผ่าเรา!""ขอรับ!"หลี่ว์ชุ่นรับคำสั่งด้วยความเคารพก่อนจะเดินออกไปอย่างรวดเร็วอูมู่พูดด้วยท่าทีเคร่งขรึม "ท่านหัวหน้า สตรีที่ติดตามเจ้าชายนั้นดูเหมือนจะมีฝีมือมิธรรมดา ข้าจะนำกองพลธนูไปจับตาดูนางเป็นพิเศษ""ดีมาก ไปเถอะ!"อูมู่โค้งคำนับแล้วจึงเดินออ
หลังจากที่ฉินซูพูดจบ เขาก็หยิบของว่างบนโต๊ะขึ้นมากินขณะที่เขากำลังจะเอามันเข้าปาก ถานเหวยก็รีบเตือน "องค์รัชทายาท เกรงว่าทั่วป๋าชื่ออาจจะเล่นตุกติกกับอาหารและเครื่องดื่มเหล่านี้ โปรดระวังด้วยพ่ะย่ะค่ะ"“หากทั่วป๋าชื่อหาญกล้าเช่นนั้น ตอนที่ถูกข้าดูหมิ่นเมื่อครู่ เขาคงสั่งให้ทหารสองหมื่นนายของเขาลงมือไปแล้ว”ฉินซูพูดพลางเริ่มกินอย่างมิสนใจใบหน้าของถานเหวยเต็มไปด้วยความอึดอัดใจ คิดในใจว่าองค์รัชทายาทประมาทเกินไป จึงรีบหันไปส่งสายตาให้กู้เสวี่ยเจี้ยนกู้เสวี่ยเจี้ยนเอ่ยขึ้นเรียบ ๆ "ไม่มีพิษ สบายใจได้"เมื่อได้ยินนางพูดเช่นนั้น ถานเหวยก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกเขารู้ดีว่ากู้เสวี่ยเจี้ยนมีความเชี่ยวชาญด้านการแพทย์ หากมีพิษในอาหาร ต้องไม่มีทางรอดพ้นสายตาอันเฉียบคมของนางไปได้แน่หลังจากนั้น ถานเหวยและคนอื่น ๆ ก็เริ่มกินตามเช่นกันพวกเขากินดื่มอยู่ข้างลานฝึกทหารพลางมองดูเหล่ากองทหารของชนเผ่าโครยอฝึกซ้อมประจำวันฉินซูเดาะลิ้นแล้วเอ่ยชมเชย "ทหารโครยอเหล่านี้ช่างมิธรรมดาจริง ๆ แต่ละคนล้วนแข็งแรงกำยำ ทั้งยังมีทักษะธนูที่ยอดเยี่ยมอีกด้วย"“ใช่แล้ว ดูจากการฝึกซ้อมแบบนี้แล้ว เรียกได้ว่าเป็
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ทั่วป๋าชื่อก็เหลือบมองฉินซูอย่างสงสัยในใจเขาเต็มไปด้วยความฉงน มิเข้าใจว่าการกระทำของฉินซูมีจุดประสงค์อะไรกันแน่หรือเขาจะคิดว่าตนกำลังวางแผนกบฏ ดังนั้นองค์จักรพรรดิจึงให้เขานำกองทหารมาปราบปราม?เมื่อคิดถึงตรงนี้ ทั่วป๋าชื่อก็รีบร้อนอธิบาย "องค์รัชทายาทกล่าวเกินไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ ทหารของพวกเราเหล่านี้จะนับเป็นกองทหารมีฝีมือได้อย่างไร ก็แค่กลุ่มคนหนุ่มที่รวมตัวกันเองเพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยภายในเผ่าเท่านั้น เพราะเมื่อคนมากขึ้น ความขัดแย้งก็ย่อมมากขึ้นตามไปด้วย”“จะเป็นกองกำลังฝีมือดี หรือเป็นแค่กลุ่มที่รวมตัวกันเองก็ตามที วันนี้ตัวข้าก็อยากจะดูสักหน่อย หัวหน้าทั่วป๋าผลัดข้ออ้างไปมา หรือว่าเจ้ามีอะไรบางอย่างที่มิอยากให้ข้ารู้?”“หามิได้ ๆ พ่ะย่ะค่ะ หากองค์รัชทายาทต้องการชม เช่นนั้นก็เชิญเสด็จไปที่ลานฝึกทหารเถิดพ่ะย่ะค่ะ”ทั่วป๋าชื่อพูดพลางทำท่าทางเชื้อเชิญด้วยความสุภาพ แล้วจึงนำคณะของฉินซูไปยังลานฝึกทหารลานฝึกนั้นมีขนาดกว้างขวาง อุปกรณ์ฝึกซ้อมต่าง ๆ ถูกจัดเตรียมไว้อย่างครบครันในลานยังมีคนจำนวนมิน้อยกำลังฝึกซ้อมอยู่ทั่วป๋าชื่อทำใจดีสู้เสือพลางเอ่ย "เหล่าคนหน
ทั่วป๋าชื่อคิดว่าตนเองปกปิดมันไว้อย่างดีแล้ว แต่หารู้ไม่ว่า ฉินซูมองเห็นเจตนาสังหารในแววตาของเขาได้อย่างชัดเจนฉินซูหรี่ตาลงเล็กน้อย ก่อนจะยกเท้าออกจากอกของทั่วป๋าชื่อเมื่อพ้นจากพันธนาการ ทั่วป๋าชื่อก็ลุกขึ้นยืนด้วยการพยุงของเหล่าผู้นำผู้นำคนหนึ่งกระซิบข้างหูทั่วป๋าชื่อ "ท่านหัวหน้า องค์รัชทายาทหยิ่งผยองถึงเพียงนี้ ย่อมต้องมีบางสิ่งในมือเป็นที่พึ่งพา มิแน่ว่าทัพหลวงของราชสำนักอาจซุ่มอยู่รอบ ๆ นอกเผ่า ขอเพียงเรายอมถอยก่อน ย่อมมิเสียเปรียบ”สีหน้าของทั่วป๋าชื่อเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา แต่สุดท้ายก็ยังพยักหน้าเบา ๆจากนั้นเขาก็นำบรรดาผู้นำเหล่านั้นคุกเข่าลงต่อหน้าฉินซูด้วยความเคารพนอบน้อม“ข้าน้อยขอคารวะองค์รัชทายาท”เหล่าทหารรักษาการณ์และชาวบ้านที่ผ่านไปมาก็รีบคุกเข่าตามเช่นกันฉินซูไพล่มือไว้ด้านหลังแล้วมองดูพวกเขาอย่างเย็นชา แต่มิได้สั่งให้พวกเขาลุกขึ้นทันทีเมื่อเห็นว่าฉินซูจงใจทำให้ตนอับอาย ทั่วป๋าชื่อก็ก้มศีรษะต่ำลงอีกเล็กน้อย ใบหน้าเต็มไปด้วยความคับแค้นบรรดาผู้นำที่อยู่ข้างหลังเขากัดฟันคำนับแก่ฉินซูถานเหวยมองเจตนาของฉินซูออก จึงพูดกับทั่วป๋าชื่ออย่างเย็นชา "ทั่วป๋าชื่อ เจ้า