“ท่านปู่ทราบได้อย่างไรเจ้าคะ?” เซี่ยหลานถามอีกครั้งด้วยความประหลาดใจเซี่ยเหอพูดด้วยสีหน้าแปลก ๆ “ตอนนี้ข้ากำลังถามเจ้าอยู่ บอกข้ามาว่าเจ้าไปทำอะไรที่ตำหนักบูรพา”“ข้าไปชูโม่เจ้าค่ะ นางเป็นอาจารย์ขององค์รัชทายาท ข้าก็ต้องไปหานางที่ตำหนักบูรพาน่ะสิเจ้าคะ”“เช่นนั้นวันนี้องค์รัชทายาทได้พบกับเจ้าสำนักอาทิตย์อัสดงหรือไม่?”เซี่ยหลานทำท่าครุ่นคิดแล้วตอบว่า “วันนี้องค์รัชทายาทพบกับชายลึกลับในชุดดำเจ้าค่ะ แต่ข้ามิแน่ใจว่าใช่เจ้าสำนักอาทิตย์อัสดงหรือไม่”ฉินเหยี่ยนรีบหยิบรูปเหมือนออกมาจากแขนเสื้อและถามว่า “เซี่ยหลาน นี่คือคนที่องค์รัชทายาทได้พบในวันนี้หรือไม่?”เซี่ยหลานเหลือบมองภาพนั้นแล้วพยักหน้าช้า ๆ “ใช่เขาเพคะ!”ฉินเหยี่ยนตบฉาดเข้าที่ต้นขาอย่างตื่นเต้นและพูดด้วยความดีใจว่า “ดีมาก คนผู้นี้คือเจ้าสำนักอาทิตย์อัสดง โอวหยางขุย! คราวนี้ฉินซูจบเห่แล้ว เซี่ยหลาน เจ้ายินดีหรือไม่ที่จะมาเป็นพยานชี้ตัวองค์รัชทายาทว่าเขาได้ทำการติดต่อกับคนจากยุทธภพ?”“เอ่อคือ…”เซี่ยหลานหันไปถามเซี่ยเหอผ่านสายตาเขาพูดเสียงทุ้ม “เสี่ยวหลาน หากเจ้าเห็นด้วยตาของตัวเองจริง ๆ ก็ไปเป็นพยานเสีย ส่วนเรื่องอื่นเจ้
การกระทำที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลันของนาง ทำให้สาวใช้ที่อยู่ใกล้ ๆ ถึงกับตกใจจนลนลาน สองสาวใช้หน้าถอดสี รีบทรุดตัวลงคุกเข่ากับพื้น มิกล้าหายใจแม้แต่น้อยภายในห้อง ฉินซูและหลินชิงเหยาก็ถูกทำให้ตกใจเช่นกัน โดยเฉพาะหลินชิงเหยา ที่ถึงกับใบหน้าซีดเผือด รีบซุกตัวเข้าไปในผ้าห่มทันทีเมื่อถูกรบกวนจนเสียอารมณ์ ฉินซูโกรธจัด ตะโกนด่าผู้ที่อยู่ด้านนอกว่า "ใครมันบังอาจขนาดนี้ กล้ามาเตะประตูห้องบรรทมขององค์รัชทายาท อยากตายนักหรืออย่างไร!"เสียงเย็นชาของฉงชูโม่ตอบกลับอย่างเฉยเมย "หึ หากท่านมิออกมา องค์รัชทายาทตำแหน่งนี้ของท่าน คงจะถูกปลดในวันพรุ่งแล้ว!"เมื่อได้ยินเสียงของฉงชูโม่ ฉินซูก็ขมวดคิ้วครู่หนึ่ง ก่อนจะรีบสวมอาภรณ์และปลอบใจหลินชิงเหยาเล็กน้อย แล้วเดินออกไปฉงชูโม่เหลือบมองเขาแวบหนึ่ง ก่อนจะแสดงท่าทางรังเกียจแล้วเบือนหน้าหนีไปฉินซูเลิกคิ้วถาม "ฉงชูโม่ เจ้ากล้ามาเตะประตูห้องข้า เรื่องนี้เดี๋ยวข้าจะสะสางกับเจ้าทีหลัง แต่บอกข้ามาก่อนว่า คำพูดเมื่อครู่ของเจ้าหมายความว่าอย่างไร?"ฉงชูโม่แค่นเสียงเย็น "ไม่มีความหมายอะไร หม่อมฉันมิอยากขัดจังหวะเรื่องสำคัญของท่าน หม่อมฉันขอทูลลา"พูดจบ นางก็ห
ฉินซูพูดต่อว่า "งามขนาดนี้ แต่มิให้คนมอง มันเกินไปหน่อยนะ"“ถุย! เลิกพูดจาป้อยอหว่านล้อมเถอะ ปัญหาใหญ่มาถึงหน้าประตูบ้านท่านแล้วรู้บ้างหรือไม่?” “ปัญหาใหญ่? ปัญหาใหญ่อะไร?”ฉงชูโม่พูดอย่างมิพอใจ "เรื่องที่ท่านพบโอวหยางขุยตามลำพัง ตอนนี้ข่าวไปถึงหูท่านอ๋องจิ้นแล้ว ท่านอ๋องจิ้นเสด็จไปหาชิ่งกั๋วกง และยังพูดจาหว่านล้อมให้เซี่ยหลานมาเป็นพยานอีกด้วย"ฉินซูขมวดคิ้วแล้วถามว่า "เจ้ามาบอกเรื่องเพียงแค่นี้รึ?""มิเช่นนั้นแล้วจะมีอะไรอีกเล่า? นี่มิใช่เรื่องใหญ่หรือไร? อย่าลืมสิว่าฝ่าบาททรงมีรับสั่งอย่างชัดเจน ห้ามคนในราชสำนักและเชื้อพระวงศ์คบค้ากับคนในยุทธภพ ท่านนี่รู้ทั้งรู้ยังฝ่าฝืน ท่านทรงคิดว่าอ๋องจิ้นกับพรรคพวกจะจัดการท่านอย่างไร?"“จะไปเดายากอะไร พวกเขาจะต้องรีบฉวยโอกาสโจมตีข้าแน่ วันพรุ่งคงยื่นฎีกาว่าร้ายข้าแน่นอน”"ในเมื่อรู้อยู่แล้ว เหตุใดท่านถึงทำเหมือนมิแยแสสิ่งใดเลยเล่า หรือคิดจะปล่อยให้เป็นไปตามยถากรรม?"ฉงชูโม่มองฉินซูด้วยความผิดหวัง ในใจคิดว่าเขาคงยอมแพ้จริง ๆแต่ฉินซูกลับหัวเราะแล้วพูดว่า "ที่แท้เจ้าก็แอบห่วงข้านี่เอง ข้านึกว่าเจ้าเป็นเพียงสายลับที่ฝ่าบาทส่งมาสอดส่องข้าเส
อ๋องจิ้นกล่าวออกมาอย่างมิเกรงกลัวว่า “ตำหนักบูรพา องค์รัชทายาทฉินซูพ่ะย่ะค่ะ!”” พูดจบ เขาก็ชี้นิ้วไปทางฉินซูเมื่อทุกคนได้ยิน ต่างก็ตกใจไปตาม ๆ กัน!ฉินอู๋ต้าวเอนหลังพิงบนบัลลังก์มังกร และรับสั่งด้วยความสนใจว่า "เหตุใดเจ้าถึงต้องการฟ้องร้ององค์รัชทายาท?"อ๋องจิ้นพูดอย่างโกรธแค้นว่า “เสด็จพ่อ เมื่อวานนี้องค์รัชทายาทลอบพบปะกับชาวยุทธภพในตำหนักบูรพา ซึ่งเป็นการฝ่าฝืนรับสั่งของฝ่าบาทอย่างโจ่งแจ้ง ขอเสด็จพ่อทรงพิจารณาลงโทษด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ!”“ว่ากระไรนะ! องค์รัชทายาทกล้าคบค้ากับชาวยุทธภพรึ?”“เป็นไปมิได้ องค์รัชทายาทซึ่งเป็นผู้สืบบัลลังก์ของแผ่นดิน จะกล้าฝ่าฝืนรับสั่งของฝ่าบาทเช่นนี้หรือ?”“จะผู้สืบบัลลังก์อะไรกัน ก็เป็นแค่องค์รัชทายาทที่รอวันถูกปลดเท่านั้น”“แต่ก่อนที่จะถูกปลด พระองค์ก็ยังเป็นองค์รัชทายาทอยู่ การที่พระองค์คบค้ากับชาวยุทธภพเช่นนี้ หรือว่าพระองค์ทรงคิดจะใช้กำลังจากยุทธภพเพื่อแย่งชิงบัลลังก์?”ในท้องพระโรง บรรดาขุนนางทั้งฝ่ายบุ๋นและบู๊ต่างพากันวิพากษ์วิจารณ์เมื่อได้ยินเสียงเหล่านี้ ใบหน้าของฉินอู๋ต้าวก็เริ่มเคร่งขรึมลง นัยน์ตาอันเย็นเยียบจับจ้องไปที่ฉินซู แต่กลั
เซี่ยหลานมองภาพวาดก่อนจะพยักหน้าอย่างช้า ๆ “ใช่เพคะ เป็นเขาคนนี้”“เสด็จพ่อ นี่คือภาพวาดของเจ้าสำนักอาทิตย์อัสดง โอวหยางขุย นั่นหมายความว่า เมื่อวานนี้องค์รัชทายาทได้พบกับเขาจริง ๆ เขาจงใจฝ่าฝืนรับสั่งของเสด็จพ่อ เสด็จพ่อต้องลงโทษอย่างหนัก มิเช่นนั้นจะเป็นการยากที่จะทำให้ขุนนางอยู่ในโอวาทได้พ่ะย่ะค่ะ”ทันทีที่ฉินเหยี่ยนกล่าวจบ เซี่ยเหอก็ยืนขึ้นแล้วกล่าวอย่างหนักแน่นว่า “ฝ่าบาท องค์รัชทายาทเป็นถึงผู้สืบทอดราชบัลลังก์ แต่กลับจงใจฝ่าฝืนเช่นนี้ กระหม่อมขอเสนอให้ปลดองค์รัชทายาทจากตำแหน่งพ่ะย่ะค่ะ!”“ข้าน้อยเห็นด้วยพ่ะย่ะค่ะ!” “ข้าน้อยก็เห็นด้วยพ่ะย่ะค่ะ!”ในทันใดนั้น บรรดาขุนนางที่เป็นพรรคพวกของอ๋องจิ้นและอ๋องฉีต่างก็ออกมาสนับสนุนเขาฉินอู๋ต้าวมองฉินซูด้วยสายตาเย็นเยียบและถามด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “องค์รัชทายาท เจ้ามีอะไรจะพูดหรือไม่?”“ทูลเสด็จพ่อ ลูกไม่มีสิ่งใดจะพูด”เมื่อได้ยินคำตอบนี้ หญิงสาวที่อยู่ข้างฉินซูอย่างฉงชูโม่ก็อึ้งไปเล็กน้อย นางมองเขาด้วยความประหลาดใจฉินอู๋ต้าวแค่นเสียงเย็นชา “หึ เช่นนั้นเจ้าก็ยอมรับแล้วว่าได้พบปะกับโอวหยางขุยเมื่อวานนี้ใช่หรือไม่?”“นั่นเป็นความจร
เมื่อได้ยินคำพูดของฉินซู หลายคนก็ถึงกับตกตะลึงอ๋องจิ้นส่งคนไปลอบสังหารองค์รัชทายาทอย่างนั้นหรือ?หากเรื่องนี้เป็นความจริง นี่จะเป็นเรื่องที่สั่นสะเทือนไปทั่วทั้งราชสำนัก! และหากความผิดในข้อหาลอบสังหารได้รับการพิสูจน์ แม้จะมิถึงขั้นประหารชีวิต อ๋องจิ้นจะต้องถูกปลดจากตำแหน่งอ๋องอย่างแน่นอน ฉินเหยี่ยนย่อมตระหนักถึงเรื่องนี้ดี เขารีบปฏิเสธทันที “ท่านพูดเหลวไหล ข้าไปส่งคนลอบสังหารท่านเมื่อไร?”“เจ้ามิยอมรับก็มิเป็นไร โอวหยางขุยสารภาพทุกอย่างแล้ว นี่คือคำสารภาพที่เขาเขียนด้วยมือของตัวเอง”ฉินซูพูดพร้อมกับหยิบคำให้การของโอวหยางขุยออกมา และยื่นให้ฉินเหยี่ยนดู“ฉินเหยี่ยน เจ้าคงรู้จักลายมือของโอวหยางขุยดีใช่หรือไม่?”เมื่อเห็นลายมือในคำให้การ ฉินเหยี่ยนก็ถึงกับสะดุ้ง ใบหน้าของเขาซีดเผือดลงทันทีเขารีบปฏิเสธเสียงดัง “มิจริง นี่มันคำสารภาพปลอม ท่านปลอมแปลงมันขึ้นมาเพื่อใส่ร้ายข้า!”“ก็คิดไว้อยู่แล้วว่าเจ้าจะปฏิเสธ แต่ก็เอาเถอะ ข้าได้เตรียมรับมือไว้แล้ว”เมื่อได้ยินว่าฉินซูยังมีแผนสำรอง ฉินเหยี่ยนก็ยิ่งหวาดหวั่น รีบร้องขอความช่วยเหลือจากฉินอู๋ต้าวทันที “เสด็จพ่อ กระหม่อมถูกใส่ร้าย
สายตาของเขาราวกับจะบอกว่า ‘เจ้ามิใช่หรือที่บอกว่าจะให้ข้าตัดสินใจเองทั้งหมด และไม่มีข้อขัดข้อง? แล้วคำพูดเมื่อครู่นี้มันหมายความว่าอย่างไร? เจ้าต้องการให้ข้าลงโทษให้หนักขึ้นใช่หรือไม่?’แม้ว่าฉินอู๋ต้าวจะโกรธกับคำพูดของฉินซู แต่ต่อหน้าปัญหาที่ฉินซูโยนมาให้ มิว่าจะอยากแก้ไขปัญหาหรือไม่ เขาก็ต้องรับไว้หลังจากสงบสติอารมณ์ลง เขากล่าวอย่างช้า ๆ “สิ่งที่องค์รัชทายาทพูดก็มีเหตุผลอยู่บ้าง ฉินเหยี่ยน ข้าจะถามเจ้าอีกครั้ง เจ้าได้ส่งคนไปลอบสังหารองค์รัชทายาทหรือไม่?”ขณะกล่าว เขาแอบส่งสายตาเป็นนัยให้ฉินเหยี่ยนฉินเหยี่ยนเข้าใจทันที รีบส่ายหัวปฏิเสธ “เสด็จพ่อ กระหม่อมถูกใส่ร้าย กระหม่อมไม่มีทางกระทำการอันอุกอาจเช่นนี้ได้แน่พ่ะย่ะค่ะ”“ดี! ในเมื่อเจ้ามิยอมรับ และองค์รัชทายาทก็ไม่มีหลักฐานอื่นใดนอกจากคำให้การนี้ เราจะเลิกประชุมกันก่อน ข้าจะให้สำนักหอดูดาวหลวงไปสืบสวนให้กระจ่างในภายหลัง”หลังจากพูดเสร็จ ฉินอู๋ต้าวก็เตรียมจะลุกออกจากบัลลังก์แต่ฉินซูกลับพูดขึ้นอย่างเหนือความคาดหมาย “เสด็จพ่อ กระหม่อมมิได้มีแค่คำให้การนี้พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมยังมีพยานบุคคลด้วย!”ฉินอู๋ต้าวชะงักเท้า มองฉินซูอย่างด
ในใจฉินเหยี่ยนเต็มไปด้วยความทุกข์ ใบหน้าซีดเซียวกระซิบอย่างสิ้นหวังว่า "หากโอวหยางขุยเข้าวังมาเป็นพยานจริง ๆ แผนสำรองของข้าก็แทบไม่มีค่าอะไรแล้ว โอ๊ย ตายแน่ ๆ ฉินซูไปทำอิท่าไหนถึงสามารถโน้มน้าวโอวหยางขุยได้กัน"เมื่อได้ยินเช่นนั้น ฉินหยางก็ขมวดคิ้ว สีหน้าเต็มไปด้วยความรำคาญ แล้วถอยห่างจากฉินเหยี่ยนไปสองสามก้าวทันทีเห็นได้ชัดว่าเขาประเมินฉินเหยี่ยนสูงไป แต่เดิมเขาหวังจะใช้ฉินเหยี่ยนโค่นฉินซู แต่เรื่องกลับมิเป็นตามแผน นอกจากจะมิสำเร็จยังพาตัวเองติดบ่วงไปด้วยอีกคนมิเพียงแต่ฉินหยางเหล่าองค์ชายคนอื่น ๆ ก็อดมิได้ที่จะส่ายหัวเบา ๆ อยู่ในใจฉินเหยี่ยนมีแววตาสับสน ความคิดแล่นเร็ว พยายามหาวิธีออกจากสถานการณ์นี้บนบัลลังก์ ฉินอู๋ต้าวจ้องฉินซูด้วยสายตาที่เย็นชา มิปิดบังความโกรธเกรี้ยวภายในใจของเขานั้นโกรธจัด เพราะนานมาแล้วที่ไม่มีใครกล้าทำให้เขาตกอยู่ในสถานการณ์ลำบากเช่นนี้แต่วันนี้ องค์รัชทายาทที่กำลังจะถูกปลดกลับโยนปัญหาหนักอกมาให้เขาต่อหน้าขุนนางทั้งราชสำนัก เขาจึงเริ่มเกลียดฉินซูยิ่งกว่าเดิมหากสายตาสามารถฆ่าคนได้ ฉินซูคงตายไปหลายร้อยหนแล้วในยามนี้แต่แม้จะต้องเผชิญกัยสายตาเย็นช