เมื่อได้ยินคำพูดของฉินซู หลายคนก็ถึงกับตกตะลึงอ๋องจิ้นส่งคนไปลอบสังหารองค์รัชทายาทอย่างนั้นหรือ?หากเรื่องนี้เป็นความจริง นี่จะเป็นเรื่องที่สั่นสะเทือนไปทั่วทั้งราชสำนัก! และหากความผิดในข้อหาลอบสังหารได้รับการพิสูจน์ แม้จะมิถึงขั้นประหารชีวิต อ๋องจิ้นจะต้องถูกปลดจากตำแหน่งอ๋องอย่างแน่นอน ฉินเหยี่ยนย่อมตระหนักถึงเรื่องนี้ดี เขารีบปฏิเสธทันที “ท่านพูดเหลวไหล ข้าไปส่งคนลอบสังหารท่านเมื่อไร?”“เจ้ามิยอมรับก็มิเป็นไร โอวหยางขุยสารภาพทุกอย่างแล้ว นี่คือคำสารภาพที่เขาเขียนด้วยมือของตัวเอง”ฉินซูพูดพร้อมกับหยิบคำให้การของโอวหยางขุยออกมา และยื่นให้ฉินเหยี่ยนดู“ฉินเหยี่ยน เจ้าคงรู้จักลายมือของโอวหยางขุยดีใช่หรือไม่?”เมื่อเห็นลายมือในคำให้การ ฉินเหยี่ยนก็ถึงกับสะดุ้ง ใบหน้าของเขาซีดเผือดลงทันทีเขารีบปฏิเสธเสียงดัง “มิจริง นี่มันคำสารภาพปลอม ท่านปลอมแปลงมันขึ้นมาเพื่อใส่ร้ายข้า!”“ก็คิดไว้อยู่แล้วว่าเจ้าจะปฏิเสธ แต่ก็เอาเถอะ ข้าได้เตรียมรับมือไว้แล้ว”เมื่อได้ยินว่าฉินซูยังมีแผนสำรอง ฉินเหยี่ยนก็ยิ่งหวาดหวั่น รีบร้องขอความช่วยเหลือจากฉินอู๋ต้าวทันที “เสด็จพ่อ กระหม่อมถูกใส่ร้าย
สายตาของเขาราวกับจะบอกว่า ‘เจ้ามิใช่หรือที่บอกว่าจะให้ข้าตัดสินใจเองทั้งหมด และไม่มีข้อขัดข้อง? แล้วคำพูดเมื่อครู่นี้มันหมายความว่าอย่างไร? เจ้าต้องการให้ข้าลงโทษให้หนักขึ้นใช่หรือไม่?’แม้ว่าฉินอู๋ต้าวจะโกรธกับคำพูดของฉินซู แต่ต่อหน้าปัญหาที่ฉินซูโยนมาให้ มิว่าจะอยากแก้ไขปัญหาหรือไม่ เขาก็ต้องรับไว้หลังจากสงบสติอารมณ์ลง เขากล่าวอย่างช้า ๆ “สิ่งที่องค์รัชทายาทพูดก็มีเหตุผลอยู่บ้าง ฉินเหยี่ยน ข้าจะถามเจ้าอีกครั้ง เจ้าได้ส่งคนไปลอบสังหารองค์รัชทายาทหรือไม่?”ขณะกล่าว เขาแอบส่งสายตาเป็นนัยให้ฉินเหยี่ยนฉินเหยี่ยนเข้าใจทันที รีบส่ายหัวปฏิเสธ “เสด็จพ่อ กระหม่อมถูกใส่ร้าย กระหม่อมไม่มีทางกระทำการอันอุกอาจเช่นนี้ได้แน่พ่ะย่ะค่ะ”“ดี! ในเมื่อเจ้ามิยอมรับ และองค์รัชทายาทก็ไม่มีหลักฐานอื่นใดนอกจากคำให้การนี้ เราจะเลิกประชุมกันก่อน ข้าจะให้สำนักหอดูดาวหลวงไปสืบสวนให้กระจ่างในภายหลัง”หลังจากพูดเสร็จ ฉินอู๋ต้าวก็เตรียมจะลุกออกจากบัลลังก์แต่ฉินซูกลับพูดขึ้นอย่างเหนือความคาดหมาย “เสด็จพ่อ กระหม่อมมิได้มีแค่คำให้การนี้พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมยังมีพยานบุคคลด้วย!”ฉินอู๋ต้าวชะงักเท้า มองฉินซูอย่างด
ในใจฉินเหยี่ยนเต็มไปด้วยความทุกข์ ใบหน้าซีดเซียวกระซิบอย่างสิ้นหวังว่า "หากโอวหยางขุยเข้าวังมาเป็นพยานจริง ๆ แผนสำรองของข้าก็แทบไม่มีค่าอะไรแล้ว โอ๊ย ตายแน่ ๆ ฉินซูไปทำอิท่าไหนถึงสามารถโน้มน้าวโอวหยางขุยได้กัน"เมื่อได้ยินเช่นนั้น ฉินหยางก็ขมวดคิ้ว สีหน้าเต็มไปด้วยความรำคาญ แล้วถอยห่างจากฉินเหยี่ยนไปสองสามก้าวทันทีเห็นได้ชัดว่าเขาประเมินฉินเหยี่ยนสูงไป แต่เดิมเขาหวังจะใช้ฉินเหยี่ยนโค่นฉินซู แต่เรื่องกลับมิเป็นตามแผน นอกจากจะมิสำเร็จยังพาตัวเองติดบ่วงไปด้วยอีกคนมิเพียงแต่ฉินหยางเหล่าองค์ชายคนอื่น ๆ ก็อดมิได้ที่จะส่ายหัวเบา ๆ อยู่ในใจฉินเหยี่ยนมีแววตาสับสน ความคิดแล่นเร็ว พยายามหาวิธีออกจากสถานการณ์นี้บนบัลลังก์ ฉินอู๋ต้าวจ้องฉินซูด้วยสายตาที่เย็นชา มิปิดบังความโกรธเกรี้ยวภายในใจของเขานั้นโกรธจัด เพราะนานมาแล้วที่ไม่มีใครกล้าทำให้เขาตกอยู่ในสถานการณ์ลำบากเช่นนี้แต่วันนี้ องค์รัชทายาทที่กำลังจะถูกปลดกลับโยนปัญหาหนักอกมาให้เขาต่อหน้าขุนนางทั้งราชสำนัก เขาจึงเริ่มเกลียดฉินซูยิ่งกว่าเดิมหากสายตาสามารถฆ่าคนได้ ฉินซูคงตายไปหลายร้อยหนแล้วในยามนี้แต่แม้จะต้องเผชิญกัยสายตาเย็นช
ฉินอู๋ต้าวกำหมัดแน่นและกล่าวด้วยเสียงเข้มว่า “โอวหยางขุย เจ้าบอกมา ผู้ใดที่สั่งการอยู่เบื้องหลังให้เจ้ามาลอบสังหารองค์รัชทายาท เจ้าอย่าได้กลัว หากมีเหตุผลอันควร ข้าจะพิจารณาโทษของเจ้าอย่างยุติธรรม แต่หากกล่าวหาลอย ๆ ข้าจะสั่งประหารตระกูลของเจ้าเก้าชั่วโคตรทันที!”เมื่อคำพูดของเขาจบลง สายตาของทุกคนในท้องพระโรงก็หันไปจ้องมองโอวหยางขุยทันทีโอวหยางขุยชี้ไปที่ฉินเหยี่ยนแล้วกล่าวด้วยเสียงดัง “ฝ่าบาท กระหม่อมได้รับคำสั่งจากท่านอ๋องจิ้น เมื่อครั้งที่องค์รัชทายาทเสด็จลงใต้ ท่านอ๋องจิ้นก็ส่งคนมายังสำนักอาทิตย์อัสดงเพื่อแจ้งสารถึงกระหม่อม...”ยังมิทันที่เขาจะพูดจบ ฉินเหยี่ยนก็โกรธจนตะโกนขึ้นมาด้วยความอับอาย “โอวหยางขุย เจ้าปั้นเรื่องเจ้าใส่ความข้า ข้ามิเคยส่งคนไปหาเจ้าเลย เรื่องนี้ไม่มีมูลความจริง ข้ากับเจ้าก็ไม่มีเรื่องบาดหมางกัน เจ้าจะกล่าวหาข้าด้วยเหตุใด? บอกมา เป็นองค์รัชทายาทที่ข่มขู่ให้เจ้าทำเช่นนี้ใช่หรือไม่? หากมิพูดออกมา เสด็จพ่อจะประหารเจ้าเก้าชั่วโคตรเชียวนะ!”โอวหยางขุยยังคงนิ่ง สีหน้ามิเปลี่ยนและกล่าวอย่างสงบนิ่งว่า “ฝ่าบาท องค์รัชทายาทมิได้ข่มขู่กระหม่อมแม้แต่น้อย และทุกคำที่กร
เมื่อเห็นว่าฉินอู๋ต้าวโกรธจัด ขุนนางทุกคนในท้องพระโรงต่างก้มหน้าลง ไม่มีใครกล้าสบสายตาหรือเผชิญหน้ากับความโกรธของจักรพรรดิองค์นี้แม้แต่เหลยเจิ้น เว่ยเจิง และฉงชูโม่ก็ยังต้องเบี่ยงสายตา มิกล้าสบตาตรง ๆมีเพียงฉินซูที่ยังคงมีสีหน้าสงบนิ่ง ยืนหยัดพูดอย่างมีเหตุผลว่า “ฝ่าบาท พยานหลักฐานทั้งหมดประจักษ์ชัดเจนอยู่ตรงหน้า ลูกมิเข้าใจว่ามีอะไรที่ยังต้องตรวจสอบอีก หากแม้แต่เรื่องการลอบสังหารองค์รัชทายาท ร้ายแรงเพียงนี้แล้ว ยังสามารถปล่อยผ่านไปได้ ลูกก็ขอสละตำแหน่งองค์รัชทายาทเสียยามนี้เลยดีกว่า ลูกมิอยากใช้ชีวิตอย่างหวาดระแวง ต้องคอยระวังภัยร้ายจากเหล่าขุนนางทรยศเช่นนี้ หากเป็นเช่นนั้น ลูกขอให้จบเรื่องนี้อย่างเด็ดขาดจะดีกว่าพ่ะย่ะค่ะ”"เจ้า!!" ฉินอู๋ต้าวโกรธจนกัดฟันแน่น สุดท้ายถึงกับไอมิหยุดด้วยความโมโห และกระทืบเท้าด้วยความอับอายและโกรธจัดเฉาฉุนรีบเข้ามาช่วยปลอบประโลม พร้อมกล่าวอย่างวิตกว่า "ฝ่าบาท โปรดรักษาพระวรกาย อย่ามีโทสะเลยพ่ะย่ะค่ะ"ฉินอู๋ต้าวส่งสัญญาณให้เขาถอยไป จากนั้นจึงมองฉินซูด้วยสายตาเคร่งขรึม และถามอย่างเน้นหนักว่า "องค์รัชทายาท เจ้าคิดจะบีบบังคับข้ารึ?"สายตาของเขาเฉี
หากทำตามที่ฉินซูเสนอ ฉินเหยี่ยนถึงแม้จะมิต้องตาย แต่ก็ต้องถูกปลดจากฐานันดรจวิ้นอ๋อง[footnoteRef:0]และถูกลดขั้นเป็นสามัญชน สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ ศักดิ์ศรีของเขาในฐานะกษัตริย์จะไม่มีอยู่อีกต่อไป [0: จวิ้นอ๋อง เป็นตำแหน่งเชื้อพระวงศ์ลำดับที่สอง โดยส่วนมากฮ่องเต้จะแต่งตั้งตำแหน่งนี้ให้กับโอรสที่มิได้มีผ ลงานโดดเด่นเท่าไหร่นัก] แต่หากยังคงปกป้องต่อไป ก็จะทำให้ราษฎรทั้งแผ่นดินเกิดข้อครหาอย่างแน่นอน ที่ร้ายแรงยิ่งกว่านั้น คือ อาจทำให้ขวัญและกำลังใจทหารสั่นคลอนอีกด้วยเมื่อองค์รัชทายาทถูกลอบสังหาร แต่จักรพรรดิกลับเพิกเฉยต่อผู้อยู่เบื้องหลังเช่นนี้ ทหารที่แนวหน้าเขาจะคิดอย่างไร?ฉินอู๋ต้าวรู้ดีถึงความจริงข้อนี้ แม้จะโกรธ แต่สุดท้ายก็ต้องคำนึงถึงผลประโยชน์ส่วนรวมเป็นหลักเพียงแต่ในใจเขายังคงรู้สึกมิพอใจ และมิเข้าใจเลยว่า เหตุใดเรื่องราวถึงได้บานปลายมาถึงจุดที่มิอาจหวนคืนเช่นนี้ได้ถึงแม้ว่าเขาจะมิอยากยอมรับ แต่ในศึกครั้งนี้ ฉินซูเป็นฝ่ายชนะอย่างแท้จริงฉินอู๋ต้าวหลับตาลง สูดลมหายใจยาว เมื่อเขาลืมตาขึ้นอีกครั้ง ความโกรธในสีหน้าของเขาก็มลายหายไป แทนที่ด้วยดวงตาเปี่ยมอำนาจจ้องตรงไปยังฉินซู
"ฉึก"กริชในมือของฉินซูแทงเข้าไปที่อกของโอวหยางขุยอย่างแน่นหนา!โอวหยางขุยเบิกตากว้าง ใบหน้าเต็มไปด้วยความมิเชื่อร่างของเขาเริ่มโอนเอนสองสามครั้ง แล้วล้มลงไปกับพื้นในทันที!เมื่อเห็นฉินซูลงมือสังหารโอวหยางขุยตรงนั้น ฉินอู๋ต้าวแม้รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย แต่มิได้พูดอะไรส่วนคนอื่น ๆ ยิ่งมิกล้าเอ่ยอะไรออกมามีเพียงสายตาของเหลยเจิ้นที่มองร่างไร้วิญญาณของโอวหยางขุยด้วยด้วยสายตาครุ่นคิดฉินซูดึงกริชออกมา และโยนคืนให้กับฉงชูโม่อย่างสบาย ๆในบรรดาขุนนางทั้งหลาย นอกจากทหารองครักษ์ที่มีสิทธิ์พกดาบเข้าเฝ้าแล้ว ก็มีเพียงฉงชูโม่ แม่ทัพขั้นหนึ่งที่ได้รับสิทธิ์พกดาบเข้าเฝ้าได้ ดังนั้นฉินซูจึงเตรียมให้นางอยู่ข้างกายตน เพื่อรอช่วงเวลานี้ฉินอู๋ต้าวชำเลืองมองร่างของโอวหยางขุย แล้วกล่าวอย่างเรียบว่า "โอวหยางขุยถูกสังหารแล้ว ให้เขาได้ศพครบสมบูรณ์ ส่วนเรื่องสำนักอาทิตย์อัสดง เหลยเจิ้น เจ้าจงส่งคนไปกวาดล้างให้หมด ทั้งฆ่าล้างตระกูลโอวหยางเก้าชั่วโคตร อย่าให้เหลือรอดแม้แต่คนเดียว!"เหลยเจิ้นก้มหน้ารับคำสั่งอย่างนอบน้อม "กระหม่อมรับพระบัญชา!"ฉินอู๋ต้าวหันไปมองฉินซูอย่างลึกซึ้ง แล้วหมุนตัวออกไปจา
"องค์รัชทายาท รอหม่อมฉันด้วย!"เสียงของฉงชูโม่ดังขึ้นขณะที่วิ่งไล่ตามมาฉินซูถามโดยมิหันกลับไปว่า "ตามข้ามาด้วยเหตุใด ยามนี้เจ้าควรไปเฝ้าฝ่าบาทมิใช่หรือ? อย่างไรพระองค์ก็เป็นนายของเจ้า!""ฉินซู ท่านมิพูดจาทิ่มแทงกันบ้างจะได้หรือไม่ ฝ่าบาทเป็นกษัตริย์ของแผ่นดิน หม่อมฉันในฐานะข้าราชบริพารก็ต้องรับฟังคำสั่ง แต่ตอนนี้หม่อมฉันคืออาจารย์ขององค์รัชทายาท หน้าที่ของหม่อมฉันคืออยู่เคียงข้างท่าน""ตามใจเจ้าแล้วกัน"ฉินซูเดินต่อไปโดยมิหยุดเมื่อเดินไปสักพัก ฉงชูโม่เห็นว่ารอบตัวไร้ผู้คน จึงเอ่ยขึ้นว่า "องค์รัชทายาท ท่านมิทรงคิดหรือว่าวันนี้ท่านทำเกินไป?""เกินไปตรงไหน?" "ยังจะถามอีกหรือ? ท่านมิทรงทราบจริง ๆ หรือแกล้งมิทราบ ท่านกดดันองค์จักรพรรดิจนกริ้วเป็นฟืนเป็นไฟ แม้ว่าท่านจะล้มอ๋องจิ้นสำเร็จ แต่ผลลัพธ์นี้จะเป็นประโยชน์อันใดต่อท่านในภายภาคหน้าเล่า องค์จักรพรรดิคงมิอยากพบหน้าท่านอีกแล้ว ทำเช่นนี้ท่านว่าคุ้มค่าแล้วหรือ?"ฉินซูหยุดเดิน หันกลับมามองฉงชูโม่แล้วถามกลับ "หากวันนี้ข้ามิกดดันพระองค์ ปล่อยให้พระองค์ปกป้องฉินเหยี่ยน เจ้าคิดหรือว่าพระองค์จะกลับมาโปรดปรานข้า? หรือหลังวันชุนเฟินปีหน้
เซวียหมิงมองไปยังทิศทางที่ฉินซูและพรรคพวกจากไปพลางพึมพำกับตัวเอง“คิดมิถึงเลยว่าจะได้เจอกับคนที่สามารถกลืนกินปราณเลือดอาถรรพ์ได้ จีอันหรือ? ข้าจะจำเจ้าเอาไว้!”“แล้วก็ฉินซู เจ้าคอยข้าก่อนเถอะ สักวันข้าจะทำให้เจ้าทุกข์ทรมานจนอยู่ต่อมิไหว จะตายก็มิได้!”“แค่นี้ก็น่าจะพอให้ข้าใช้แล้ว”เขาพูดพลางมองลูกแก้วสีแดงอมม่วงในมือภายในลูกแก้วนั้นคือปราณเลือดอาถรรพ์จุดประสงค์ของการเดินทางครั้งนี้ของเขาคือต้องการหามหาปุโรหิตแห่งสำนักจันทราโรหิต เพื่อขอยืมปราณเลือดอาถรรพ์มาใช้แต่เมื่อเข้าใกล้บริเวณนี้ ก็เห็นเฉินซีถูกฉงชูโม่ล่อลวงไปแล้ว ส่วนสาวกของสำนักจันทราโรหิตก็บาดเจ็บล้มตายกันเป็นเบือ เขาจึงฉวยโอกาสจัดการสาวกที่เหลือของสำนักจันทราโรหิต จากนั้นก็เข้าไปในถ้ำจนได้พบกับแท่นบูชาต่อมาก็ฉวยโอกาสที่ตู๋กูโฉ่วเยวี่ยมิทันระวังจัดการอีกฝ่ายจนสลบไป และเก็บรวบรวมปราณเลือดอาถรรพ์เหล่านี้ได้อย่างง่ายดายจากนั้นเซวียหมิงก็หันหลังเดินออกจากที่นี่ไปเช่นกันขณะที่เขาเดินผ่านป่าแห่งหนึ่ง จู่ ๆ ก็รู้สึกว่าเท้าเหยียบเข้ากับบางสิ่งบางอย่างเมื่อก้มลงมอง ก็พบว่าเป็นขลุ่ยกระดูกสีขาวบริสุทธิ์เขายกมันขึ้นมาด
ในเวลานี้ แสงสีเลือดใต้รอยแตกของผนึกได้หายไปหมดจนแล้ว เหลือเพียงความมืดมิดจีอันลูบก้นพลางเดินเข้ามาเขาหยิบกระดาษยันต์สีเหลืองสองแผ่นออกมาจากอกเสื้อแล้วแปะลงบนรอยแตกของผนึกนั้นลงไปจากนั้นก็เดินไปข้าง ๆ ยกก้อนหินขนาดใหญ่กว่าวัวทั้งตัวขึ้นมาวางทับกระดาษยันต์ทั้งสองแผ่นนั้นไว้ฉินซูได้แต่มองตาค้าง ก้อนหินนั้นอย่างน้อยก็หนักสักตันสองตันกระมัง แต่จีอันกลับยกมันขึ้นมาได้ด้วยมือเปล่าเขามองด้วยความสงสัยเต็มใบหน้าแล้วถามว่า “จีอัน ตอนนี้เจ้าอยู่ระดับใด?”“ข้าน้อยมิรู้ อาจารย์มิได้บอกข้าน้อย”“มิจริงน่า? ระดับของตัวเจ้าเอง เจ้าจะมิรู้ได้อย่างไร?”จีอันพยักหน้าอย่างซื่อ ๆ แล้วถามกลับว่า “ปราณบริสุทธิ์ภายในของท่านเข้มข้นและประหลาดถึงเพียงนี้ พระองค์เล่าอยู่ระดับใด?”ฉินซูยักไหล่ “ข้าก็มิแน่ใจ”“หึ มิพูดก็ช่าง ท่านแข็งแกร่งเพียงนี้ อาจารย์คงแก่จนเลอะเลือนแล้ว ถึงให้ข้าน้อยลงใต้มาคุ้มครองท่าน”จีอันบ่นพึมพำแล้วย่อเข่าลง จากนั้นร่างก็พุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าดุจกระสุนปืนใหญ่ ชั่วพริบตาก็กระโจนขึ้นไปข้างบนฉินซูอดสงสัยมิได้ว่า เจ้านี่น่าจะเลือกเส้นทางสายฝึกกาย มิฉะนั้นจะหนังหนาถึงเพียงนี้ได้อย
ท่ามกลางสายตาที่อยากรู้อยากเห็นของฉินซู ร่างของจีอันก็พุ่งลงไปราวกับกระสุนปืนใหญ่ กระแทกเข้ากับพื้นหุบเหวลึกเบื้องล่าง'ปัง' เสียงดังสนั่น พื้นดินถูกกระแทกจนเกิดหลุมขนาดใหญ่แต่จีอันกลับมิได้รับบาดเจ็บแม้แต่น้อย!พลันเห็นเขาปีนขึ้นมาจากหลุมแล้วตบ ๆ ปัดฝุ่นออกจากตัวอย่างมิยี่หระราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นเมื่อเห็นภาพนั้น ฉินซูยกย่องเขาอย่างสุดซึ้ง ถามด้วยความสงสัยว่า “ชูโม่ จีอันผู้นี้หนังหนาไปหน่อยกระมัง? เขาอยู่ระดับใดหรือ?”“หม่อมฉันก็มิแน่ใจ แต่ในบรรดาศิษย์ทั้งเจ็ดคนของหัวหน้าโหรหลวงเขาแข็งแกร่งที่สุดแล้วเพคะ”“เช่นนี้นี่เอง เจ้าอยู่ดูแลตู๋กูโฉ่วเยวี่ยที่นี่ไปนะ ข้าจะลงไปช่วยเขา”ฉินซูพูดจบก็กระโดดลงไปเช่นกันต่างจากจีอัน ฉินซูในยามนี้ราวกับขนนกเบาหวิวที่ลอยลงไปอย่างแผ่วเบาเมื่อมาถึงก้นหุบเหว เขาก็ตกใจเมื่อพบว่าพื้นของแท่นบูชานี้เต็มไปด้วยอักขระเวทสีแดงในยามนี้อักขระเวทเหล่านี้ล้วนเปล่งแสงสีแดงเลือด ทั้งมีเสน่ห์แบบลึกลับและทั้งแปลกประหลาดจีอันมองฉินซูผาดหนึ่ง แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ท่านคอยอยู่ตรงนั้น อย่าเข้ามา”พูดจบเขาก็สาวเท้าเข้าไปหาแสงโลหิตนั้นอย่างรวดเร็ว
แรงกดดันน่าสะพรึงกลัวที่แฝงอยู่ในนั้น แม้จะอยู่ห่างไกลก็ยังรับรู้ได้อย่างชัดเจนฉินซูกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “ท้องฟ้าเกิดปรากฏการณ์ประหลาด เกรงว่าจะเกิดเรื่องใหญ่แล้ว มิควรอยู่ที่นี่แล้ว รีบไปกันก่อนเถิด”“มิได้ ตู๋กูโฉ่วเยวี่ยยังอยู่ที่เขาหัวสิงห์ ที่นั่นต้องเกิดเรื่องกระไรขึ้นแน่ รีบไปดูกันเถิดเพคะ”ฉงชูโม่ยังมิทันจะพูดจบ ก็ใช้วิชาตัวเบาพุ่งไปยังทิศทางของเขาหัวสิงห์แล้วเมื่อเห็นเช่นนั้น ฉินซูก็จำต้องตามไปด้วยเมื่อสังเกตว่าความเร็วของฉงชูโม่เร็วกว่าเดิมมาก ฉินซูก็อุทานด้วยความประหลาดใจว่า “ชูโม่ มิได้เจอกันนาน พลังของเจ้าเพิ่มขึ้นเร็วถึงเพียงนี้ได้อย่างไร?”“หม่อมฉันกินโอสถลับของสำนักหอดูดาวหลวง โอสถลูกกลอนนั้นสามารถเพิ่มความคล่องแคล่วของกระบวนท่าได้เพคะ”“เช่นนี้นี่เอง!”ฉินซูจดจำเรื่องนี้ไว้ในใจเงียบ ๆทั้งสองใช้ทักษะการเคลื่อนไหวที่รวดเร็วราวกับภูตผี เพียงแค่ชั่วครู่ก็มาถึงตีนเขาหัวสิงห์เมื่อเงยหน้ามอง แสงสีแดงฉานที่พุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้ายังคงแรงกล้ามิได้เจือจางลงแม้แต่น้อย ในความว่างเปล่านั้นเต็มไปด้วยเมฆดำและเสียงฟ้าร้องดังสนั่นเมื่อเห็นสถานการณ์อันน่าพิศวงนี้ ฉินซูก็
ฉินซูกล่าวด้วยท่าทางจริงจังว่า “เฮ้อ เจ้าอย่าได้หึงหวงนักเลย เจ้าเป็นถึงพระชายาองค์รัชทายาทของข้านะ”“ถุย ใครเขาตอบตกลงเป็นพระชายาองค์รัชทายาทของท่านกัน อย่าแม้แต่จะคิดเชียว”“ชูโม่อย่าล้อเล่นสิ ข้าพูดจริงนะ เจ้ายังมิเข้าใจความรู้สึกที่ข้ามีต่อเจ้าอีกหรือ?”ฉงชูโม่หยุดเดิน พลันหันขวับกลับไปกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “ฉินซู หากท่านมิอยากให้ฝ่าบาททรงระแวง ท่านก็ควรกลืนคำพูดเมื่อครู่นี้กลับลงท้องไปเสีย”ฉินซูขมวดคิ้ว “ข้าชอบเจ้า แล้วมันผิดด้วยหรือ?”เมื่อเห็นฉินซูแสดงความในใจ ฉงชูโม่ก็อดมิได้ที่จะรู้สึกยินดีเล็กน้อย แต่ก็ยังคงส่ายหน้าพลางอธิบายอย่างอดทน“ผิดสิเพคะ ท่านลองไตร่ตรองดู ท่านเป็นถึงองค์รัชทายาท กลับคิดจะรับแม่ทัพขั้นหนึ่งมาเป็นพระชายาองค์รัชทายาท หากองค์จักรพรรดิทรงทราบเรื่องนี้ พระองค์จะทรงรู้สึกอย่างไร? อย่าลืมว่าเรื่องวันชุนเฟินปีหน้ายังมิจบสิ้น ดังนั้นมิว่าจะมองอย่างไร ยามนี้ก็มิใช่เวลาที่จะพูดถึงเรื่องนี้เพคะ”“แต่… แต่ข้าได้ยึดครองหนานเยวี่ยทั้งหมดมาเป็นของต้าเหยียน ด้วยความดีความชอบเช่นนี้ การรับเจ้ามาเป็นพระชายาองค์รัชทายาทก็มิ...”ยังมิทันที่ฉินซูจะพูดจบ เขาก็เข
เมื่อเห็นว่าศพแห้งทำกระไรฉินซูมิได้ เสียงขลุ่ยของเฉินซีก็เปลี่ยนทำนองกะทันหัน ศพแห้งเหล่านั้นหันหลังวิ่งหนีป่าราบทันที“ชีวิตน้อย ๆ ของเจ้ากับศพแห้งเหล่านี้ ข้าจะเอาไปทั้งหมด!”เมื่อฉินซูพูดจบ ก็ตบฝ่ามือใส่เฉินซีรูม่านตาของเฉินซีหดเล็กลง ยังมิทันได้ลงมือก็ 'ฟู่' ถูกตบจนกลายเป็นหมอกเลือดในทันใดเมื่อเห็นเช่นนั้น ชายชุดดำก็ใจหายวาบ รีบวิ่งหนีสุดชีวิตโดยมิลังเลฉินซูหัวเราะเย็นชา จากนั้นก็โบกมือชายชุดดำวิ่งออกไปได้มิไกลนัก ร่างก็ชะงักกึก จากนั้นก็ถูกแรงดึงดูดลากให้ลอยกลับไปยังมิทันเข้าใจว่าเกิดอันใดขึ้น คอของเขาก็ถูกฉินซูบีบเอาไว้เสียแล้ว“บัดนี้เพิ่งคิดจะหนี มิคิดว่าสายเกินไปหน่อยรึ?” ฉินซูมองเขาด้วยสีหน้าเรียบเฉยชายชุดดำตกใจจนหน้าซีดเผือด กล่าวด้วยความยากลำบากว่า “อย่า อย่าฆ่าข้าเลย....”“ใครส่งเจ้ามา?”“ประ… ประมุขแห่งยุทธภพหนานเยวี่ย”ฉินซูหัวเราะเย็นชา “สำเนียงหลงเฉิงของเจ้าชัดถ้อยชัดคำเช่นนี้ ใกล้ตายแล้วยังคิดจะหลอกข้าอีกรึ? ในเมื่อเจ้ามิรู้สำนึก ข้าก็จะให้เจ้ารู้จักสิ่งที่เรียกว่าตายทั้งเป็น”เมื่อเขาพูดจบ ก็จิ้มไปที่จุดตันจงบนหน้าอกของชายชุดดำอย่างแรงเสี้ยวขณะต่
ชายชุดดำพยักหน้าขึงขัง “ข้าเห็นกับตาตัวเอง จะเป็นเรื่องเท็จได้อย่างไร”เฉินซีกลับหัวเราะแล้วส่ายหน้า กล่าวอย่างมิเห็นด้วยว่า “ตบยอดฝีมือระดับสวรรค์ให้กลายเป็นหมอกเลือดด้วยฝ่ามือเดียว เป็นไปได้อย่างไร ข้าว่านี่เป็นเพียงกลอุบายพวกภาพมายาเท่านั้น”ชายชุดดำคิดดูแล้วก็เห็นด้วยเฉินซีมองฉินซูอย่างดูถูก “เจ้ารัชทายาทผู้รอวันปลด ยามนี้ข้างกายข้ามียอดฝีมือระดับสวรรค์เพิ่มมาอีกคน เมื่อสถานการณ์เป็นเช่นนี้แล้ว เจ้ายังมิรีบยอมจำนนแต่โดยดีอีก รอกระไรอยู่เล่า?”“ใช่แล้ว ฉินซู เจ้าฆ่าตัวตายไปเสียยังดีเสียกว่า เช่นนั้นจะได้มิต้องทนทุกข์ทรมานมากนัก”ฉินซูกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบว่า “พวกเจ้าสองคนพูดมากเกินไปแล้ว!”พูดจบ เขาก็หันกลับไปถามฉงชูโม่ว่า “จะเก็บไว้สอบปากคำหรือไม่?”เมื่อได้ยินเช่นนั้น ฉงชูโม่ก็ชะงักไปแต่แล้วก็ส่ายหน้าส่วนเฉินซีโกรธขึ้งจนแค่นหัวเราะออกมาแทน “เจ้ารัชทายาทผู้รอวันปลด เจ้านี่ช่างปากกล้าเหลือเกิน สงสัยจะอวดอ้างเกินจริงเสียแล้วกระมัง ในเมื่อเจ้าอยากตายนัก ข้าก็จะให้เจ้าได้เห็นวิธีการอันน่าสะพรึงกลัวของสำนักจันทราโรหิตของข้า!”จากนั้นเขาก็หยิบขลุ่ยกระดูกออกมาจากอกเสื้อก่อ
เจ้าห้าเป็นจอมยุทธ์ระดับสวรรค์อย่างแท้จริง แต่กลับถูกฉินซูตบจนมิเหลือซาก แสดงให้เห็นชัดเจนว่าวรยุทธ์ของฉินซูน่าสะพรึงกลัวเพียงใดในฐานะที่เป็นจอมยุทธ์ระดับสวรรค์เช่นกัน เขาใช้วิชาตัวเบาหลบหนีอย่างสุดกำลัง ความเร็วยิ่งยวดจนน่าตกใจเช่นกันชั่วขณะหนึ่ง ฉินซูถึงกับตามมิทันได้ในทันทีแต่ยามนี้ฉินซูตั้งเป้าอีกฝ่ายไว้อย่างแน่วแน่ และไล่หลังตามติดไปอย่างมิยอมปล่อยหลังจากไล่ล่ากันไปได้ครึ่งชั่วยาม อีกด้านหนึ่งก็มีเสียงบันดาลดังขึ้นว่า “สารเลว หากมีฝีมือก็อย่าหนี ข้าจะให้เจ้าได้เห็นฤทธิ์เดชของสำนักจันทราโรหิตของข้าเสียบ้าง!”“หากเจ้ามีฝีมือก็อย่าตามมาสิ!”เมื่อได้ยินเสียงที่คุ้นเคยนี้ ฉินซูก็มิได้ไล่ตามชายชุดดำคนนั้นต่อไป แต่กลับพุ่งไปยังต้นทางของเสียงนั้นมินานนัก ร่างที่คุ้นเคยก็ปรากฏแก่สายตาฉินซูกระโดดออกมาจากหลังต้นไม้ ถามด้วยความประหลาดใจว่า “ชูโม่ เกิดอันใดขึ้น?”“องค์รัชทายาท ไฉนท่านจึงมาอยู่ที่นี่?” ฉงชูโม่หยุดชะงักอย่างอดมิได้นางล่อเฉินซีลงมาจากเขาหัวสิงห์ได้สำเร็จ แต่กลับสลัดอีกฝ่ายมิหลุดมินึกเลยว่าเมื่อวิ่งมาถึงที่นี่ กลับมาเจอเข้ากับฉินซูเมื่อเห็นนางหยุด เฉินซีก็หัวเ
ด้วยปฏิกิริยาที่รวดเร็วยิ่งยวด ชายชุดดำคว้าลูกธนูที่ชิวก่วนยิงออกมาไว้ในมือได้แต่เขามองข้ามปัญหาที่ร้ายแรงไปอย่างหนึ่ง นั่นคือลูกธนูนั้นผูกติดอยู่กับระเบิดสายฟ้าไม้ไผ่ยังมิทันสิ้นถ้อยคำดูแคลนของเขา ระเบิดสายฟ้าก็ระเบิดขึ้นอย่างรุนแรงร่างของเขากระเด็นออกไปทันทีพร้อมกับเสียงระเบิดดังสนั่น กระแทกลงพื้นดินที่อยู่ไกลออกไปอย่างแรงแขนขวาและแก้มครึ่งซีกของเขาถูกระเบิดจนเนื้อตัวเหวอะหวะ อาภรณ์ขาดวิ่นทั้งตัว ดูน่าสังเวชอย่างยิ่งเมื่อเห็นภาพนั้น สหายของเขามีสีหน้าตกตะลึง รีบถามว่า “เจ้าห้า เจ้าเป็นกระไรหรือไม่?”“แค่ก ๆ ...ยังมิตาย บัดซบ ข้าประมาทไปหน่อย”ชายชุดดำที่ถูกเรียกว่าเจ้าห้าสบถแล้วตะเกียกตะกายลุกขึ้น“เจ้าถ่วงเวลาเจ้ารัชทายาทผู้รอวันปลดนั่นไว้ ข้าจะจัดการเจ้าสารเลวนั่นแล้วไปช่วยเจ้า!”เมื่อเจ้าห้าพูดจบ ก็ใช้วิชาตัวเบาพุ่งเข้าใส่ชิวก่วนเมื่อเห็นเช่นนั้น ชิวก่วนก็หนังตากระตุกอย่างอดมิได้ รีบง้างธนูใส่ศรเตรียมยิงแต่ฉินซูกลับกล่าวว่า “อีกฝ่ายเป็นยอดฝีมือ หากมันตั้งรับ ลูกธนูของเจ้าก็ทำกระไรมันมิได้ จงหลบไปอยู่ห่าง ๆ”ขณะพูด ฉินซูก็กระโดดตัวลอยพุ่งเข้าหาเจ้าห้าทันทีเมื่อ