เมื่อเห็นว่าฉินอู๋ต้าวโกรธจัด ขุนนางทุกคนในท้องพระโรงต่างก้มหน้าลง ไม่มีใครกล้าสบสายตาหรือเผชิญหน้ากับความโกรธของจักรพรรดิองค์นี้แม้แต่เหลยเจิ้น เว่ยเจิง และฉงชูโม่ก็ยังต้องเบี่ยงสายตา มิกล้าสบตาตรง ๆมีเพียงฉินซูที่ยังคงมีสีหน้าสงบนิ่ง ยืนหยัดพูดอย่างมีเหตุผลว่า “ฝ่าบาท พยานหลักฐานทั้งหมดประจักษ์ชัดเจนอยู่ตรงหน้า ลูกมิเข้าใจว่ามีอะไรที่ยังต้องตรวจสอบอีก หากแม้แต่เรื่องการลอบสังหารองค์รัชทายาท ร้ายแรงเพียงนี้แล้ว ยังสามารถปล่อยผ่านไปได้ ลูกก็ขอสละตำแหน่งองค์รัชทายาทเสียยามนี้เลยดีกว่า ลูกมิอยากใช้ชีวิตอย่างหวาดระแวง ต้องคอยระวังภัยร้ายจากเหล่าขุนนางทรยศเช่นนี้ หากเป็นเช่นนั้น ลูกขอให้จบเรื่องนี้อย่างเด็ดขาดจะดีกว่าพ่ะย่ะค่ะ”"เจ้า!!" ฉินอู๋ต้าวโกรธจนกัดฟันแน่น สุดท้ายถึงกับไอมิหยุดด้วยความโมโห และกระทืบเท้าด้วยความอับอายและโกรธจัดเฉาฉุนรีบเข้ามาช่วยปลอบประโลม พร้อมกล่าวอย่างวิตกว่า "ฝ่าบาท โปรดรักษาพระวรกาย อย่ามีโทสะเลยพ่ะย่ะค่ะ"ฉินอู๋ต้าวส่งสัญญาณให้เขาถอยไป จากนั้นจึงมองฉินซูด้วยสายตาเคร่งขรึม และถามอย่างเน้นหนักว่า "องค์รัชทายาท เจ้าคิดจะบีบบังคับข้ารึ?"สายตาของเขาเฉี
หากทำตามที่ฉินซูเสนอ ฉินเหยี่ยนถึงแม้จะมิต้องตาย แต่ก็ต้องถูกปลดจากฐานันดรจวิ้นอ๋อง[footnoteRef:0]และถูกลดขั้นเป็นสามัญชน สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ ศักดิ์ศรีของเขาในฐานะกษัตริย์จะไม่มีอยู่อีกต่อไป [0: จวิ้นอ๋อง เป็นตำแหน่งเชื้อพระวงศ์ลำดับที่สอง โดยส่วนมากฮ่องเต้จะแต่งตั้งตำแหน่งนี้ให้กับโอรสที่มิได้มีผ ลงานโดดเด่นเท่าไหร่นัก] แต่หากยังคงปกป้องต่อไป ก็จะทำให้ราษฎรทั้งแผ่นดินเกิดข้อครหาอย่างแน่นอน ที่ร้ายแรงยิ่งกว่านั้น คือ อาจทำให้ขวัญและกำลังใจทหารสั่นคลอนอีกด้วยเมื่อองค์รัชทายาทถูกลอบสังหาร แต่จักรพรรดิกลับเพิกเฉยต่อผู้อยู่เบื้องหลังเช่นนี้ ทหารที่แนวหน้าเขาจะคิดอย่างไร?ฉินอู๋ต้าวรู้ดีถึงความจริงข้อนี้ แม้จะโกรธ แต่สุดท้ายก็ต้องคำนึงถึงผลประโยชน์ส่วนรวมเป็นหลักเพียงแต่ในใจเขายังคงรู้สึกมิพอใจ และมิเข้าใจเลยว่า เหตุใดเรื่องราวถึงได้บานปลายมาถึงจุดที่มิอาจหวนคืนเช่นนี้ได้ถึงแม้ว่าเขาจะมิอยากยอมรับ แต่ในศึกครั้งนี้ ฉินซูเป็นฝ่ายชนะอย่างแท้จริงฉินอู๋ต้าวหลับตาลง สูดลมหายใจยาว เมื่อเขาลืมตาขึ้นอีกครั้ง ความโกรธในสีหน้าของเขาก็มลายหายไป แทนที่ด้วยดวงตาเปี่ยมอำนาจจ้องตรงไปยังฉินซู
"ฉึก"กริชในมือของฉินซูแทงเข้าไปที่อกของโอวหยางขุยอย่างแน่นหนา!โอวหยางขุยเบิกตากว้าง ใบหน้าเต็มไปด้วยความมิเชื่อร่างของเขาเริ่มโอนเอนสองสามครั้ง แล้วล้มลงไปกับพื้นในทันที!เมื่อเห็นฉินซูลงมือสังหารโอวหยางขุยตรงนั้น ฉินอู๋ต้าวแม้รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย แต่มิได้พูดอะไรส่วนคนอื่น ๆ ยิ่งมิกล้าเอ่ยอะไรออกมามีเพียงสายตาของเหลยเจิ้นที่มองร่างไร้วิญญาณของโอวหยางขุยด้วยด้วยสายตาครุ่นคิดฉินซูดึงกริชออกมา และโยนคืนให้กับฉงชูโม่อย่างสบาย ๆในบรรดาขุนนางทั้งหลาย นอกจากทหารองครักษ์ที่มีสิทธิ์พกดาบเข้าเฝ้าแล้ว ก็มีเพียงฉงชูโม่ แม่ทัพขั้นหนึ่งที่ได้รับสิทธิ์พกดาบเข้าเฝ้าได้ ดังนั้นฉินซูจึงเตรียมให้นางอยู่ข้างกายตน เพื่อรอช่วงเวลานี้ฉินอู๋ต้าวชำเลืองมองร่างของโอวหยางขุย แล้วกล่าวอย่างเรียบว่า "โอวหยางขุยถูกสังหารแล้ว ให้เขาได้ศพครบสมบูรณ์ ส่วนเรื่องสำนักอาทิตย์อัสดง เหลยเจิ้น เจ้าจงส่งคนไปกวาดล้างให้หมด ทั้งฆ่าล้างตระกูลโอวหยางเก้าชั่วโคตร อย่าให้เหลือรอดแม้แต่คนเดียว!"เหลยเจิ้นก้มหน้ารับคำสั่งอย่างนอบน้อม "กระหม่อมรับพระบัญชา!"ฉินอู๋ต้าวหันไปมองฉินซูอย่างลึกซึ้ง แล้วหมุนตัวออกไปจา
"องค์รัชทายาท รอหม่อมฉันด้วย!"เสียงของฉงชูโม่ดังขึ้นขณะที่วิ่งไล่ตามมาฉินซูถามโดยมิหันกลับไปว่า "ตามข้ามาด้วยเหตุใด ยามนี้เจ้าควรไปเฝ้าฝ่าบาทมิใช่หรือ? อย่างไรพระองค์ก็เป็นนายของเจ้า!""ฉินซู ท่านมิพูดจาทิ่มแทงกันบ้างจะได้หรือไม่ ฝ่าบาทเป็นกษัตริย์ของแผ่นดิน หม่อมฉันในฐานะข้าราชบริพารก็ต้องรับฟังคำสั่ง แต่ตอนนี้หม่อมฉันคืออาจารย์ขององค์รัชทายาท หน้าที่ของหม่อมฉันคืออยู่เคียงข้างท่าน""ตามใจเจ้าแล้วกัน"ฉินซูเดินต่อไปโดยมิหยุดเมื่อเดินไปสักพัก ฉงชูโม่เห็นว่ารอบตัวไร้ผู้คน จึงเอ่ยขึ้นว่า "องค์รัชทายาท ท่านมิทรงคิดหรือว่าวันนี้ท่านทำเกินไป?""เกินไปตรงไหน?" "ยังจะถามอีกหรือ? ท่านมิทรงทราบจริง ๆ หรือแกล้งมิทราบ ท่านกดดันองค์จักรพรรดิจนกริ้วเป็นฟืนเป็นไฟ แม้ว่าท่านจะล้มอ๋องจิ้นสำเร็จ แต่ผลลัพธ์นี้จะเป็นประโยชน์อันใดต่อท่านในภายภาคหน้าเล่า องค์จักรพรรดิคงมิอยากพบหน้าท่านอีกแล้ว ทำเช่นนี้ท่านว่าคุ้มค่าแล้วหรือ?"ฉินซูหยุดเดิน หันกลับมามองฉงชูโม่แล้วถามกลับ "หากวันนี้ข้ามิกดดันพระองค์ ปล่อยให้พระองค์ปกป้องฉินเหยี่ยน เจ้าคิดหรือว่าพระองค์จะกลับมาโปรดปรานข้า? หรือหลังวันชุนเฟินปีหน้
เหลยเจิ้นกล่าวช้า ๆ ว่า "ฝ่าบาท ก่อนหน้านี้ทั่วทั้งในและนอกวังต่างกล่าวว่าองค์รัชทายาทเป็นคนเสเพล ฟุ่มเฟือยเกินไป เอาแต่หมกมุ่นในสุรานารี จนกระทั่งบรรดาแคว้นเพื่อนบ้านเกิดความทะเยอทะยานและคิดจะรุกรานเรา""แต่ในตอนนี้ เมื่อองค์รัชทายาทก่อเหตุวุ่นวายเช่นนี้ ก็ทำให้บรรดาคนที่คิดร้ายได้เห็นว่า ราชวงศ์ต้าเหยียนมิได้มีแต่คนขลาดเขลา องค์รัชทายาทหาได้เป็นอย่างที่ลือกันไม่""เช่นนั้นแล้ว หากพวกเขาคิดจะรุกรานต้าเหยียน ก็ต้องคิดให้รอบคอบเสียก่อน"ฉินอู๋ต้าวขมวดคิ้วแล้วถามว่า "เจ้าหมายความว่าองค์รัชทายาทที่กดดันข้า ก็เพื่อแสดงให้เห็นถึงความยิ่งใหญ่ของแผ่นดินหรือ? ถุย! เหลวไหลสิ้นดี!"แม้จะบ่นอย่างหงุดหงิด แต่ความรู้สึกของฉินอู๋ต้าวก็ดูจะผ่อนคลายลงกว่าก่อนหน้านี้มากเมื่อคิดอย่างละเอียด สิ่งที่เหลยเจิ้นพูดก็มิใช่เรื่องเหลวไหลเสียทีเดียวหากราชสำนักต้าเหยียนเต็มไปด้วยการทุจริต และราชวงศ์อ่อนแอไร้ซึ่งความสามารถ แผ่นดินข้างเคียงก็จะหาจังหวะเข้ามาโจมตีได้โดยง่ายทว่ายามนี้กลับตรงกันข้าม องค์จักรพรรดิเองก็เด็ดขาดถึงขั้นลงโทษลูกชายตัวเองด้วยการเนรเทศออกจากเมืองหลวง การตัดสินอย่างยุติธรรมเช่นนี้ย่อ
เหลยเจิ้นยิ้มบาง ๆ แล้วกล่าวว่า “ข้าจะมีความคิดเห็นอะไรได้เล่า ขุนนางอาวุโสเว่ย หน้าที่ของพวกเราคือช่วยแบ่งเบาภาระให้ฝ่าบาท ส่วนเรื่องอื่น ๆ พวกเราก็ควรดูสถานการณ์ต่อไปก็พอ”เมื่อพูดอย่างมีนัยจบ เขาก็เดินจากไปโดยมิหันกลับมาเว่ยเจิงขมวดคิ้วเล็กน้อย พลางพึมพำกับตัวเองว่า “เจ้าลอยตัวเหนือปัญหา หากในราชสำนักเกิดการเปลี่ยนแปลง ข้ากับสำนักขุนนางใหญ่นี่แหละที่จะต้องรับศึกหนัก เห็นทีว่าข้าคงต้องหาวิธีเองเสียแล้ว...”…… “ถวายพระพรฝ่าบาทเพคะ”เมื่อฉงชูโม่มาถึงห้องทรงพระอักษร นางก็ถวายความเคารพอย่างนอบน้อมฉินอู๋ต้าวมองตรงไปที่นาง ถามด้วยน้ำเสียงเรียบๆ ว่า “ชูโม่ องค์รัชทายาทมีใครอยู่เบื้องหลังคอยให้คำชี้แนะเขาหรือไม่?”“ฝ่าบาท จากที่หม่อมฉันทราบ ไม่มีผู้ใดอยู่เบื้องหลังองค์รัชทายาทเลยเพคะ”“เจ้ามั่นใจหรือ?”ฉงชูโม่พยักหน้าแล้วกล่าวว่า “มั่นใจเพคะ หากมีผู้ใดคอยชี้แนะองค์รัชทายาท หม่อมฉันย่อมสังเกตเห็นเป็นแน่ เว้นเสียแต่องค์รัชทายาทเลือกที่จะติดต่อกับบุคคลนั้นเฉพาะเวลาที่หม่อมฉันมิอยู่”เมื่อได้ยินเช่นนี้ ฉินอู๋ต้าวขมวดคิ้วแล้วถามว่า “เช่นนั้น เจ้ามิได้เฝ้าดูองค์รัชทายาทตลอดเวลาอย่างนั
เซี่ยหลานนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวด้วยท่าทีลังเลว่า “ฝ่าบาท องค์รัชทายาทนั้นมีสถานะสูงส่ง หม่อมฉันเกรงว่า...”ฉินอู๋ต้าวขัดจังหวะทันทีว่า “มิต้องกังวล! เมื่อข้าจะส่งเจ้าไปที่ตำหนักบูรพา ข้าย่อมมิให้เจ้าไปในฐานะคนธรรมดา ฟังให้ดี ข้าจะตั้งเจ้าเป็นอาจารย์ขององค์รัชทายาทตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เจ้าจะต้องร่วมมือกับชูโม่ เฝ้าดูการเคลื่อนไหวขององค์รัชทายาท แล้วรายงานทุกอย่างให้ข้าทราบ เจ้าตกลงหรือไม่?”เซี่ยหลานพยักหน้าอย่างหนักแน่นโดยมิต้องคิดนาน “ตกลงเพคะ หม่อมฉันยินดีอย่างยิ่ง!”“ดีมาก นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เจ้าก็จะเป็นอาจารย์ขององค์รัชทายาท ข้าต้องการให้พวกเจ้าสืบหาว่าผู้ใดคอยให้คำชี้แนะแก่เขาอยู่เบื้องหลัง!”เมื่อฉินอู๋ต้าวพูดจบ ดวงตาก็แสดงออกถึงความเย็นชาอย่างชัดเจนเซี่ยหลานรู้สึกตกใจและหวาดกลัว พลางหันไปมองฉงชูโม่ฉงชูโม่มีสีหน้าอับจนหนทาง แต่ทั้งสองก็น้อมรับคำสั่งด้วยความเคารพหลังออกจากวัง ฉงชูโม่ก็กล่าวขอโทษด้วยความรู้สึกผิดว่า “เซี่ยหลาน ข้าขอโทษเจ้าด้วย ข้ามิคิดว่าฝ่าบาทจะดึงเจ้ามาเกี่ยวข้อง”“ชูโม่ เจ้าอย่าได้โทษตัวเอง เรื่องนี้มิใช่ความผิดของเจ้า อีกทั้งการที่ฝ่าบา
เซี่ยหลานเดินมาทางด้านนี้พร้อมรอยยิ้มฉินซูทำหน้านิ่งและพูดเสียงเย็น “ข้ารู้ว่าเจ้ากำลังคิดแผนอะไรอยู่ จากนี้ไป นอกเหนือจากห้องรับรองของตำหนักบูรพา ห้องโถงด้านข้าง และหอฉงเหวิน เจ้ามิได้รับอนุญาตให้เข้าออกที่อื่น!”“แม้สิ่งที่ท่านพูดจะมีเหตุผล แต่หม่อมฉันก็คงต้องฟังรับสั่งของฝ่าบาทใช่หรือไม่? ฝ่าบาทตรัสว่า หม่อมฉันสามารถไปที่ใดก็ได้ในตำหนักบูรพาตามที่ใจต้องการ รวมถึงห้องบรรทมของท่านด้วย! หากท่านมีข้อโต้แย้ง ก็เชิญเข้าวังไปทูลฝ่าบาทได้เลย แต่ก่อนหน้านั้นท่านไม่มีสิทธิ์ห้ามหม่อมฉันเพคะ”“โอ้โห แม้แต่เจ้าก็ยังกล้ายกฝ่าบาทมากดดันข้ารึ?”เซี่ยหลานเชิดหน้าเล็กน้อยและพูดอย่างเย่อหยิ่ง “นี่คืออำนาจขององค์จักรพรรดิที่ได้รับอนุญาตเป็นพิเศษต่างหากเพคะ ฝ่าบาทยังตรัสด้วยว่า หากท่านกระทำความผิดใด ๆ หม่อมฉันก็สามารถลงมือตีท่านได้เลย จากนี้ไปองค์รัชทายาทต้องระวังตัวให้ดีด้วยเพคะ อย่าปล่อยให้หม่อมฉันคว้าโอกาสได้เชียว!”ฉินซูกัดฟันด้วยความเกลียดชัง เขากระทืบเท้าด้วยความโกรธและพูดว่า “หึ เก่งนักนะ บุรุษผู้สง่างามเขามิต่อสู้กับสตรีหรอก ข้าขี้คร้านจะเถียงกับเจ้า ชิงเหยา ไปแช่น้ำกันเถอะ!”ใบหน้าของหลิ