ที่โรงอาบน้ำ มีไอน้ำฟุ้งกระจายไปทั่วอากาศอุ่นทำให้เหงื่อหอม ๆ ของเซี่ยหลานไหลออกมาจนทำให้อาภรณ์ของนางเปียกโชกนางเช็ดเหงื่อพลางพึมพำในใจในบ่อน้ำที่ร้อนอบอ้าวเช่นนี้ การทำเรื่องน่าอายเยี่ยงนั้นจะมิทำให้หายใจติดขัดหรอกหรือ?นางย่อตัวหลบตามอ่างอาบน้ำและสิ่งกำบังอื่น ๆ และค่อย ๆ เดินอย่างระมัดระวังไปทางบ่อน้ำมินานนางก็เห็นร่างร่างหนึ่งในอ่างอาบน้ำเมื่อเห็นเงาร่างขมุกขมัว เซี่ยหลานก็ใจเต้นแรงขึ้นมาเป็นทวีคูณ นางแค่เห็นราง ๆ ก็ดูออกว่าคนที่แช่ตัวอยู่ในบ่อน้ำคือฉินซู!แต่ที่บ่อน้ำแห่งนี้มีฉินซูอยู่เพียงคนเดียวเท่านั้น และมิเห็นร่องรอยของหลินชิงเหยา “หรือว่าหลินชิงเหยาไปช่วยฉินซูส่งข่าว?”เมื่อคิดได้เช่นนั้น เซี่ยหลานก็คิดที่จะออกไปจับหลินชิงเหยาให้ได้คาหนังคาเขาทว่าขณะนั้นเอง นางก็เหยียบขันน้ำโดยมิทันระวังจากนั้นนางก็ลื่นล้มลงไปในบ่อน้ำ“ว้าย!!”นางกรีดร้องด้วยความตกใจ แต่ก็มิอาจหลีกเลี่ยงชะตากรรมที่ต้องตกน้ำได้!น้ำในบ่อมิได้ลึกมาก แต่ด้วยความตื่นตระหนกนางจึงลุกขึ้นยืนมิได้ไปชั่วขณะ จนเผลอกลืนน้ำไปหลายอึกในขณะที่พยายามดิ้นรนนางสำลักซ้ำแล้วซ้ำเล่า และใช้มือปัดป่ายน้ำในบ
เซี่ยหลานกลัวมาก ตอนนี้นางมิอยากสนอะไรแล้ว นางจึงทำปากจู๋และจูบเบา ๆ ที่ข้างแก้มของฉินซูเมื่อเป็นเช่นนั้น ใบหน้าที่งดงามของนางก็เปลี่ยนเป็นสีแดงทันทีแต่ฉินซูกลับพูดอย่างคนได้คืบจะเอาศอก “เจ้าทำเร็วเกิน ข้ามิรู้สึกอะไรเลย”“หม่อมฉัน... ฮือ ฮือ องค์รัชทายาท หม่อมฉันกลัวแล้ว ต่อไปหม่อมฉันจะมิจับตาดูท่านแล้ว พอพระทัยแล้วหรือไม่เพคะ? ท่านรีบอุ้มหม่อมฉันขึ้นไปเถิด หม่อมฉันกลัวมากจริง ๆ…”“มิได้ ในเมื่อเจ้ามิจูบข้าอีกรอบ เช่นนั้นก็ปีนขึ้นไปเองแล้วกัน ข้าเองก็มิได้เป็นคนดีอะไร”“ท่าน!!”เซี่ยหลานโกรธจนเหลือจะทน แต่นางก็มิกล้าปล่อยฉินซูและทำให้ตัวเองตกน้ำ ดังนั้นนางจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องกัดฟันจำใจจูบข้างแก้มของฉินซูอีกครั้งฉินซูยิ้มร้ายและหันหน้าไป!และริมฝีปากสีแดงนวลเนียนของเซี่ยหลานก็จูบที่ปากของอีกฝ่ายพอดิบพอดี!หลังจากที่สัมผัสได้ถึงริมฝีปากสีแดงอันอ่อนนุ่มของนาง ฉินซูก็อดมิได้ที่จะยื่นมือไปโอบเอวบางของนางร่างกายอันบอบบางของเซี่ยหลานสั่นเเทา และหัวใจของนางก็เต้นเร็วขึ้นเรื่อย ๆนางรีบอ้าปากพูดด้วยความโกรธ “หม่อมฉันทำตามที่ท่านบอกแล้ว ตอนนี้จะอุ้มหม่อมฉันออกไปจากตรงนี
ชั่วขณะนั้น เซี่ยหลานตกตะลึง เหม่อลอยและมิตอบสนองตอนนี้ฉินซูลืมความเจ็บปวดที่ท้ายทอยไปแล้ว เขาตกใจและมิรู้ว่าควรตอบสนองอย่างไร“อึก!”เซี่ยหลานกลืนน้ำลายโดยมิรู้ตัวเดิมทีนางคิดจะลุกขึ้น ทว่าเมื่อนึกถึงครั้งก่อนที่ฉินซูถอดอาภรณ์ของนางแต่กลับมิแตะต้องนาง นางก็โกรธขึ้นมาวันนี้ได้โอกาสดี นางจึงตัดสินใจแก้แค้นฉินซูให้สาสม ดังนั้นในฉากเร่าร้อนนี้ แทนที่นางจะถอนริมฝีปากสีแดงออกไป แต่กลับจูบเขาเข้าไปอีก!ทันใดนั้นดวงตาของฉินซูก็เบิกกว้างด้วยความเหลือเชื่อ!เซี่ยหลานจะทำอะไร?ขณะที่เขากำลังงุนงง แขนเรียวทั้งสองข้างของเซี่ยหลานโอบรอบคอของเขาแล้ว และนางก็เบียดเข้าไปในอ้อมแขนของเขาอย่างแนบแน่นหลังจากที่สัมผัสถึงความอ่อนโยนและความอบอุ่นจากร่างกายอันบอบบางของเซี่ยหลาน ฉินซูก็มิสนใจสิ่งใจอีกต่อไป เขาตอบรับด้วยการเอามือทั้งสองข้างโอบรอบเอวของเซี่ยหลานจากนั้นทั้งสองก็จูบกันอย่างเร่าร้อนมากขึ้นเรื่อย ๆ จนมิอาจหยุดยั้งได้เวลาผ่านไป อาภรณ์ของทั้งคู่ก็กระจัดกระจายไปคนละทางทันใดนั้นจู่ ๆ จิตใจของเซี่ยหลานก็สั่นไหว เดิมทีนางแค่ต้องการปลุกเร้าฉินซูแล้วหนีไป และปล่อยให้เขาอารมณ์ค้างมิใช่หร
“อย่าคิดให้เปลืองสมองเลย ฝ่าบาททรงมิเปลี่ยนความคิดที่จะปลดท่านอย่างแน่นอน”“พระองค์อาจทรงมิเปลี่ยนความคิด ทว่าหากทรงไม่มีทางเลือกเล่า?”เมื่อได้ยินเช่นนั้น เซี่ยหลานก็ตกใจอย่างมากพลางถามว่า “ฉินซู หรือว่าท่านคิดจะทำให้อ๋องฉีกับคนอื่น ๆ …”“ผู้ใดมิเห็นแก่ตัว ผู้นั้นย่อมถูกสวรรค์ลงทัณฑ์ ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขาเป็นฝ่ายยั่วยุข้าก่อน ข้าจะทำลายพวกเขาทีละคน และจะทำให้ฝ่าบาททรงไม่มีทางเลือก มิว่าบัลลังก์หรือสตรีงาม ข้าฉินซูจะเอามันมาให้หมด!”หลังจากได้ยินคำพูดที่องอาจน่าเกรงขามของฉินซู เซี่ยหลานก็อดมิได้ที่จะตะลึงสายตาที่นางใช้มองฉินซูนั้นเจือไปด้วยความศรัทธาฉินซูมองตรงไปที่เซี่ยหลานและถามอย่างจริงจัง “เจ้าเชื่อหรือไม่ว่าข้าทำได้?”เซี่ยหลานถูกถามหากเป็นเมื่อก่อนนางคงมิเชื่ออย่างแน่นอนแต่วันนี้ฉินซูมิเพียงแต่บีบบังคับให้ฝ่าบาททรงปลดอ๋องจิ้นเท่านั้น ทว่ายังสามารถออกมาได้อย่างปลอดภัย และยังมีท่าทีสบาย ๆ อีกเมื่อรวมกับความจริงที่ว่า ตอนนี้ตัวฉินซูดูเต็มไปด้วยจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ เซี่ยหลานจึงเชื่อเขานางเชื่อว่าฉินซูสามารถทำได้!แต่หลังจากคิดอย่างรอบคอบแล้ว ก็คิดว่าเป็นไปได้ยาก เ
เซี่ยหลานส่ายหัวและพูดอย่างจนใจ “หม่อมฉันหัวเราะให้กับโชคชะตา ฝ่าบาทเพิ่งจะทรงแต่งตั้งให้หม่อมฉันเป็นอาจารย์ขององค์รัชทายาทและทำงานร่วมกับชูโม่คอยจับตาดูท่าน แต่ในเวลามิถึงหนึ่งชั่วยาม หม่อมฉันก็… หม่อมฉันก็กลายมาเป็นสตรีของท่านแล้ว มิน่าขำหรือเพคะ?”ในคำพูดของนางแฝงการดูถูกตัวเองเอาไว้ฉินซูยิ้มอย่างมิเห็นด้วยและพูดว่า “นี่คือพรหมลิขิตต่างหาก สวรรค์ต้องการให้เจ้ากลายมาเป็นสตรีของข้า”“หึ แม้หม่อมฉันจะถูกท่านเอาเปรียบ แต่หม่อมฉันยังมิได้ตัดสินใจจะแต่งงานกับท่าน เพราะหากท่านถูกปลด หม่อมฉันก็จะมิได้อะไรเลย ฉะนั้นหม่อมฉันจะยังทำตามรับสั่งคอยจับตาดูท่านต่อไป ต่อไปท่านก็ระวังตัวเอาไว้และอย่าเผยจุดอ่อนให้หม่อมฉันเห็น มิเช่นนั้นอย่ามาหาว่าหม่อมฉันไม่มีความชอบธรรม!”เซี่ยหลานโบกกำปั้นด้วยท่าทางดุร้ายฉินซูจับมือของนางมาวางบนหน้าอกของเขา “เซี่ยหลาน ข้าฉินซูรับรองว่าจะทำตามสัญญาที่ให้ไว้กับเจ้าเมื่อครู่ให้ได้ และจะทำให้เจ้ากลายเป็นสตรีที่มีความสุขที่สุด!”“ถุย ทำให้หม่อมฉันมีความสุขที่สุด แล้วหลินชิงเหยาเล่า? นางจะมีความสุขที่สุดเป็นอันดับสองหรือ?”“เอ่อคือ… พวกเจ้าทั้งคู่ก็มีความสุขเท่า
ฉินซูครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็เอื้อมมือไปกดจุดตันเถียนของเซี่ยหลานสองครั้งเซี่ยหลานเพียงรู้สึกเสียวแปลบบริเวณจุดตันเถียนของนาง พลางถามอย่างสงสัย “องค์รัชทายาท ท่านทำอะไรหม่อมฉัน”“ไม่มีอะไร ข้าปิดผนึกกลิ่นอายกำลังภายในให้เจ้าแล้ว ตราบใดที่เจ้ามิได้เปิดเผยมันออกมา คนอื่นก็จะมิรู้ระดับวรยุทธของเจ้า”“จริงหรือ?”เซี่ยหลานเชื่อครึ่งมิเชื่อครึ่งฉินซูพูดอย่างจริงจัง “แน่นอนว่าเป็นเรื่องจริง ข้าจะหลอกเจ้าได้รึ”“เช่นนั้นก็ดีเลย แต่หม่อมฉันก็ยังมิเข้าใจอยู่ดีว่าเหตุใดจู่ ๆ หม่อมฉันถึงได้แข็งแกร่งเพียงนี้” เซี่ยหลานยังคงรู้สึกเหลือเชื่อนางขมวดคิ้วและพูดต่อ “จริงสิ แล้วท่านรู้ระดับวรยุทธของหม่อมฉันได้อย่างไร ท่านมิใช่จอมยุทธนี่”เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ นางก็นึกอะไรออกและถามด้วยความตกใจ “องค์รัชทายาท ท่านคงมิใช่ยอดฝีมือที่ปิดบังความสามารถไว้หรอกใช่หรือไม่?”ฉินซูพูดอย่างกำกวม “ข้าเป็นยอดฝีมือที่ไหนกันเล่า แค่เคยอ่านเจอในตำราที่เขียนเกี่ยวกับเคล็ดลับการแยกระดับวรยุทธ์จอมยุทธ์ก็เท่านั้น”“จริงหรือ?”“แน่นอนว่าเป็นเรื่องจริง หากข้าเป็นยอดฝีมือจริง ๆ ข้าจะยังถูกอ๋องฉีและคนอื่น ๆ รังแ
ฉินซูพยักหน้าช้า ๆ “สำเร็จ ในสายตาของคนอื่น เจ้าโอวหยางขุยได้ตายไปแล้ว”“ขอบพระทัยองค์รัชทายาทสำหรับพระกรุณาอันยิ่งใหญ่ ข้าน้อยจะไม่มีวันลืมพ่ะย่ะค่ะ”หลังจากถูกฉินซูควบคุม โอวหยางขุยก็รู้ว่าตนคงจะต้องตายอย่างหลีกเลี่ยงมิได้โชคดีที่ฉินซูคิดแผนการอันยอดเยี่ยมขึ้นมาได้ ซึ่งก็คือการแกล้งตายตอนที่ฉินซูใช้มีดแทงเขาในท้องพระโรง คมมีดได้หลีกเลี่ยงอวัยวะทั้งหมด ดังนั้นโอวหยางขุยจึงได้รับบาดเจ็บที่เนื้อหนังเพียงเท่านั้นเมื่อรวมกับทักษะการฝังเข็มลับสุดยอดของฉินซู หลังจากที่โอวหยางขุยถูกแทง ลมปราณของเขาก็มิต่างจากคนตาย สุดท้ายก็หลอกทุกคนได้สำเร็จฉินซูพูดด้วยรอยยิ้มจาง ๆ “ขอบคุณข้ารึ? เจ้าคงมิได้พูดออกมาจากใจหรอกกระมัง เพราะสำนักอาทิตย์อัสดงของเจ้าจบเห่ไปแล้วนี่”“องค์รัชทายาท อันที่จริงข้าน้อยได้จัดการให้กองกำลังชั้นยอดแห่งสำนักอาทิตย์อัสดงหลบหนีไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ ผู้ที่อยู่ในสำนักตอนนี้เป็นเพียงคนที่มิได้มีความสำคัญ ยิ่งไปกว่านั้น ข้าน้อยหาได้มีครอบครัวไม่ และอยู่ตัวคนเดียวมาครึ่งชีวิตแล้วจึงมิได้สนโทษประหารล้างตระกูลพ่ะย่ะค่ะ”“เช่นนั้นเจ้าก็เต็มใจยอมจำนนต่อข้าแล้วใช่หรือไม่?”โอวหยาง
ซุนฉีประสานมือคำนับเล็กน้อยจากนั้นก็หันหลังจากไปฉินเหยี่ยนกระโดดขึ้นไปบนรถม้าแล้วพูดสารถีว่า “สายมากแล้ว ออกเดินทางเถอะ”สารถีสะบัดแส้แล้วควบรถม้าไปตามถนน……จวนอ๋องฉีฉินหงรู้สึกใจหาย “คาดมิถึงจริง ๆ ฉินเหยี่ยนมิเพียงแต่จะล้มเหลวในการโค่นฉินซู ซ้ำยังตกหลุมพรางอีกฝ่าย เจ้าสารเลวฉินซูผู้นี้ช่างมีเล่ห์เหลี่ยมนัก!”เซี่ยเหอพูดอย่างจริงจัง “ท่านอ๋อง ต้องมียอดฝีมือคอยชี้แนะอยู่เบื้องหลังฉินซูแน่พ่ะย่ะค่ะ ท่านควรส่งคนไปจับตาดูเขาให้มากกว่าเดิม รีบหาคนผู้นั้นให้เจอและกำจัดทิ้งโดยเร็วที่สุด มิเช่นนั้น หากท่านทรงปล่อยไว้เช่นนี้ ฉินซูก็จะมีอำนาจมากขึ้นพ่ะย่ะค่ะ”“ข้าส่งคนไปแล้ว เชื่อว่าอีกมินานคนที่อยู่เบื้องหลังฉินซูจะโผล่หัวออกมา”“ท่านอ๋อง หากทรงต้องการโค่นองค์รัชทายาทจริง ๆ ตอนนี้โอกาสทองได้มาอยู่ตรงหน้าแล้วพ่ะย่ะค่ะ”เมื่อได้ยินคำพูดของหลินซี ฉินหงก็ถามอย่างสงสัย “เสนาบดีหลิน โอกาสที่ท่านว่าคืออะไร?”หลินซีพูดอย่างมุ่งร้าย “ท่านอ๋อง ขณะนี้เฉินหลิวอ๋องได้ออกจากเมืองหลงเฉิงไปแล้ว หากเกิดอะไรขึ้นกับเขาระหว่างทาง เช่นนั้นฝ่าบาทจะทรงสงสัยใครเป็นคนแรกพ่ะย่ะค่ะ?”ดวงตาของฉินหงเป็นประกา
ฉินซูขมวดคิ้วกล่าวว่า “ตอนนี้ข้าก็แค่คาดเดา ยังไม่มีหลักฐานที่แน่ชัด จะสอบสวนเลยได้อย่างไร? ยิ่งกว่านั้นพวกเขายังเป็นศิษย์เอกของท่านทั้งสิ้น หากเรื่องนี้แพร่งพรายออกไป เกรงว่าจะส่งผลเสียได้”เหลยเจิ้นส่ายหน้าอย่างจนใจ กล่าวว่า “ที่แท้องค์รัชทายาทก็แค่คาดเดาไปเอง แต่ข้าน้อยบอกท่านได้เต็มปากว่า นอกจากเสวี่ยเจี้ยน โฉ่วเยวี่ยและจีอันแล้ว ข้าน้อยล้วนจับศิษย์คนอื่น ๆ ขังแยกกันไว้ในห้องลับของสำนักหอดูดาวหลวงตั้งแต่ครึ่งปีก่อน พวกเขาไม่มีรอดพ้นจากสายตาข้าน้อยได้อย่างเงียบเชียบแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ”“อ้อ? ถูกท่านขังไว้หมดเลยหรือ?”ต่อมความอยากรู้อยากเห็นของฉินซูถูกกระตุ้นขึ้นมาทันที เขาถามต่อว่า “ท่านหัวหน้าโหรหลวงขังพวกเขาไว้ด้วยเหตุผลใดหรือ?”กล้ามเนื้อบนใบหน้าของเหลยเจิ้นกระตุกสองสามครั้ง เขายกมือขึ้นลูบหน้าผากแล้วตอบว่า “ช่างเถิด ข้าน้อยมิกลัวองค์รัชทายาทจะหัวเราะเยาะอยู่แล้ว ศิษย์เอกของข้าน้อยแต่ละคนล้วนมีสันดานทรยศ ข้าน้อยแน่ใจว่าท่านก็พอจะรู้นิสัยใจคอของโฉ่วเยวี่ยและจีอันอยู่บ้าง ดังนั้นข้าน้อยจึงทำได้เพียงปล่อยให้พวกเขาไตร่ตรองถึงความผิดพลาดของตนเท่านั้น”“เช่นนั้น ศิษย์เอกทั้งเจ็ดคนของท
ทันทีที่เขาลงบันไดมา จีอันก็ถามด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ว่า “ศิษย์พี่รอง โดนดุมาหรือไร?”“ไป ๆ ๆ หัวโขกจนปูดไปหมด เรื่องนี้ข้ายังมิได้คิดบัญชีกับเจ้าเลย!”“ดูเถอะ ขี้ใจน้อยเหมือนสตรีไปได้”“นี่ เจ้าอยู่ดี ๆ มิชอบใช่หรือไม่? ข้าจะฟาดเจ้าคอยดูเถอะ!” ตู๋กูโฉ่วเยวี่ยไปหาแส้ยาวมาจากไหนก็มิทราบจีอันแคะขี้มูกแล้วกล่าวอย่างมิได้ยี่หระว่า “ข้ามิกลัวเจ้าหรอก ถึงอย่างไรท่านก็สู้ข้ามิได้”“ข้า… เจ้ามันร้ายกาจ ข้ายอมแพ้!”ตู๋กูโฉ่วเยวี่ยหมดความอดทนใดทันที จีอันผู้นี้ขึ้นชื่อเรื่องหนังหนา อีกทั้งยังเก่งกาจจนน่าขนลุก สู้มิได้ เขาหลบดีกว่าพูดจบเขาก็หันหลังเดินออกไปครู่ต่อมา ฉินซูและฉงชูโม่ก็มาถึงเมื่อเห็นฉินซู จีอันก็อุทานด้วยความประหลาดใจว่า “โอ้โหแฮะ องค์รัชทายาท มิไปประกาศศักดาที่ใดหรือ ไฉนจึงมาเยือนสำนักหอดูดาวหลวงของเราได้?”ฉินซูงงงวยเล็กน้อย จึงถามกลับว่า “ตัวข้าต้องไปประกาศศักดาที่ใดเล่า? อวดอ้างกระไร?”“ท่านมิทรงทราบหรือ? ยึดครองแคว้นหนานเยวี่ยง่ายเหมือนปอกกล้วยเช่นนี้ ผลงานระดับนี้ไยมิไปประกาศให้ทั่วเล่า? หากเป็นข้าน้อย ข้าน้อยจะร้องแรกแหกกระเชอคุยโวไปสามวันสามคืนเต็ม ๆ ท่านนี่ช่าง
ชิวก่วนกล่าวด้วยสีหน้าเศร้าหมองว่า “หาได้มีโจรผู้ร้ายบุกรุกเข้ามาไม่พ่ะย่ะค่ะ หูก่วงเซิงและพวกตายไปโดยไร้สาเหตุ ก่อนหน้านี้ก็ไม่มีความผิดปกติใด ๆ พ่ะย่ะค่ะ”“ว่ากระไรนะ? หูก่วงเซิงและพวกตายแล้วรึ?”ฉงชูโม่เดินเข้ามาด้วยสีหน้าประหลาดใจฉินซูกล่าวอย่างมิสบอารมณ์ว่า “มิใช่แค่พวกเขา แม้แต่กองทัพส่วนตัวห้าหมื่นนายของอ๋องฉู่ก็ถูกคนช่วยออกไปแล้ว”“ว่ากระไรนะเพคะ?”ฉงชูโม่ตกตะลึงอ้าปากค้าง!เมื่อได้สติกลับมา นางก็ขมวดคิ้วกล่าวว่า “ด้วยกำลังของอ๋องฉู่เพียงลำพัง ไม่มีทางทำเรื่องเหล่านี้ได้แน่ ดังนั้นเบื้องหลังของเขาต้องมียอดฝีมือคอยช่วยเหลือเป็นแน่เพคะ!”ฉินซูครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วกล่าวว่า “ศพของหูก่วงเซิงและพวกอยู่ที่ใด?”“ตอนนี้อยู่ที่ศาลต้าหลี่พ่ะย่ะค่ะ”“ไปดูกัน”ฉินซูกล่าวจบก็เดินจากไปอย่างรวดเร็วหวังฉือเห็นเขาออกมาก็คำนับแล้วกำลังจะกล่าวทว่าฉินซูกลับพูดแทรกขึ้นก่อนว่า “ใต้เท้าหวัง ไปกันเถิด ไปศาลต้าหลี่ของท่านด้วยกัน”เมื่อได้ยินเช่นนั้น หวังฉือก็ชะงักไปเล็กน้อย จากนั้นก็รีบพยักหน้าหนึ่งชั่วยามต่อมาพวกเขาก็มาถึงศาลต้าหลี่เมื่อมองดูร่างไร้วิญญาณของหูก่วงเซิงและพวก ฉ
ฉงชูโม่พยักหน้าหนักแน่น “ถูกต้องแล้วเพคะ เรื่องนี้มิใช่แค่ข้าน้อยคนเดียวที่เห็นกับตา ทหารทั้งสามทัพหลายนายก็เห็นเช่นกัน”เมื่อได้ยินเช่นนั้น สีหน้าของฉินอู๋ต้าวก็มิสู้ดีขึ้นมาทันตาอดีตองค์รัชทายาทสำมะเลเทเมาบัดนี้กลับสร้างคุณงามความดีครั้งยิ่งใหญ่ อีกทั้งวรยุทธ์ก็ยังลึกล้ำเกินหยั่งถึง นี่มัน… เกินความคาดหมายของเขาไปมาก!ตลอดเวลาที่ผ่านมา เขาคิดว่าเบื้องหลังฉินซูต้องมียอดฝีมือคอยชี้แนะแต่จากที่เห็นในเวลานี้ ยอดฝีมือที่ว่านั้น แท้จริงแล้วก็คือฉินซูเองกล่าวคือ ฉินซูมิเพียงแต่มีกลยุทธ์ที่เหนือชั้น แต่วรยุทธ์ก็ยังก้าวเข้าสู่ระดับที่น่าตกตะลึงซ้ำร้ายฉินซูยังจงใจปิดบังวรยุทธ์ของตนอีกด้วย!เมื่อรวมทุกอย่างเข้าด้วยกัน ความระแวงที่ฉินอู๋ต้าวมีต่อฉินซูก็ยิ่งทวีความรุนแรงขึ้นเมื่อเห็นฉินอู๋ต้าวนิ่งอึ้งไป ฉงชูโม่ก็กล่าวต่ออย่างมีนัยแฝงว่า “ฝ่าบาท ข่าวลือเรื่ององค์รัชทายาททรงทักษะยอดเยี่ยม เกรงว่าอีกมินานคงจะแพร่สะพัดไปทั่วหลงเฉิงเพคะแต่ก็ดีเหมือนกันเพคะ เหล่าคนชั่วที่คิดจะลอบสังหารองค์รัชทายาทจะได้ประมาณตนก่อนจะลงมือ เช่นนี้แล้ว ก็จะได้มิต้องกังวลเรื่องความปลอดภัยขององค์รัชทายาทให้มา
สวี่จิ้นเสนาบดีกรมโยธาธิการกล่าวว่า “องค์รัชทายาท พระองค์ได้นำหนานเยวี่ยทั้งเจ็ดมณฑลสามสิบแปดเมืองมาอยู่ภายใต้ต้าเหยียนของเรา คุณูปการอันยิ่งใหญ่เช่นนี้ สมควรได้รับการประทานเครื่องยศเก้าประการแล้วพ่ะย่ะค่ะ”ฉินซูส่ายหน้าเล็กน้อย “ใต้เท้าสวี่ ท่านกล่าวผิดแล้ว มีคำกล่าวว่า ใต้หล้าไพศาลล้วนเป็นแผ่นดินขององค์จักรพรรดิ บนแผ่นดินนี้ล้วนเป็นข้ารองพระบาทขององค์จักรพรรดิ ข้าในฐานะองค์รัชทายาทแห่งต้าเหยียน ย่อมถือเอาความผาสุกของราษฎรเป็นภารกิจของตน ทุกสิ่งที่ทำล้วนเป็นหน้าที่”เมื่อกล่าวถึงตรงนี้ ฉินซูก็ประสานมือคำนับฉินอู๋ต้าวอีกครั้ง “เสด็จพ่อ ดังนั้นรางวัลอันยิ่งใหญ่อย่างเครื่องยศเก้าประการนี้ลูกมิกล้ารับไว้จริง ๆ หวังว่าเสด็จพ่อจะทรงเข้าพระทัยพ่ะย่ะค่ะ!”เมื่อได้ยินเช่นนั้น เหล่าขุนนางระดับสูงก็อุทานด้วยความประหลาดใจอีกครั้งรางวัลอันยิ่งใหญ่เช่นเครื่องยศเก้าประการนี้ องค์รัชทายาทกลับปฏิเสธจริง ๆ หรือ?ต้องเท้าความว่า หากฉินซูในฐานะเป็นองค์รัชทายาทรับรางวัลนี้ ในภายภาคหน้า สถานะความสำคัญของเขาในสายตาของขุนนางและราษฎรแห่งต้าเหยียนก็แทบจะเทียบเท่ากับฉินอู๋ต้าวผู้เป็นองค์จักรพรรดิได้เลยทีเ
ฉงชูโม่กำลังจะกล่าวต่อ แต่กลับสังเกตเห็นว่าฉินซูกำลังส่ายหน้าให้นางเล็กน้อยเมื่อเห็นดังนั้น คิ้วเรียวก็ขมวดเล็กน้อยด้วยความสงสัยจากนั้นเสียงของฉินซูก็ดังขึ้นในหูของนาง “สถานการณ์เปลี่ยนไปแล้ว หลักฐานสำคัญหายไป”ฉินซูใช้วิชาแห่งกระแสจิต ดังนั้นจึงไม่มีใครสังเกตได้นอกจากฉงชูโม่เมื่อได้ยินถ้อยคำของฉินซู แววตาของฉงชูโม่ก็พลันไหววูบ จากนั้นจึงกล่าวกับฉินอู๋ต้าวว่า “ทูลฝ่าบาท ข้าน้อยไม่มีสิ่งใดจะกล่าวทูลแล้วเพคะ”เมื่อเห็นเช่นนั้น ฉินอู๋ต้าวก็มองฉงชูโม่ด้วยความสงสัยผาดหนึ่งแล้วหันไปมองฉินซูแทน“องค์รัชทายาท รายงานเรื่องคลังหลวงของหนานเยวี่ยหน่อยซิ”“ลูกน้อมรับพระบัญชาพ่ะย่ะค่ะ!”ฉินซูประสานมือแล้วพูดต่อ “ทูลเสด็จพ่อ ในการตรวจค้นคลังหลวงของหนานเยวี่ยครั้งนี้ ลูกพบผ้าไหมแพรพรรณสูงค่ามากมายนับมิถ้วน เงินแท้รวมทั้งสิ้นสิบสามล้านกว่าตำลึง ทองคำสองล้านตำลึง เสบียงอาหารก็มีมากถึงเกือบแสนต้านพ่ะย่ะค่ะ”“ลูกได้จัดสรรเงินจำนวนหนึ่งล้านตำลึงจากทั้งหมดในพระนามของเสด็จพ่อ เพื่อใช้เป็นรางวัลแก่ทหารทั้งสามทัพ ส่วนพืชพรรณธัญหารก็ได้สั่งให้คนนำกลับไปเก็บไว้ที่เจียวโจวแล้วพ่ะย่ะค่ะ”“ยังมีอีกเรื่
ฉินอู๋ต้าวผงกศีรษะให้ฉินอวี่เล็กน้อย แล้วกล่าวว่า “อ๋องฉู่ ในเมื่อชูโม่เข้าใจตัวเจ้าผิดไป เจ้าก็เล่าเรื่องราวทั้งหมดอีกครั้งเถิด”“ลูกรับพระบัญชาพ่ะย่ะค่ะ!”ฉินอวี่ประสานมือคำนับ แล้วกล่าวช้า ๆ ว่า “ชูโม่ ตอนที่ลงใต้ไปยังเจียวโจว ยามนั้นข้าประมาทเลินเล่อ ถูกคนสนิทขโมยตราประจำตัวไป ภายหลังจึงได้ทราบว่าเจ้าคนสารเลวนั่นถูกเติ้งหม่างซื้อตัวไปนานแล้วแม้แต่หูก่วงเซิงและคนอื่น ๆ ก็ยังแปรพักตร์ไปเข้าข้างหนานเยวี่ย กว่าข้าจะรู้ตัวทัพหนานเยวี่ยก็บุกเข้าประตูเมืองเจียวโจวแล้วด้วยความจำเป็น ข้าจึงต้องถอยกลับมาก่อน จากนั้นก็เดินทางทั้งวันทั้งคืน เมื่อกลับมาถึงหลงเฉิงก็รีบทูลเรื่องนี้ให้เสด็จพ่อทรงทราบในทันที”เมื่อได้ยินเช่นนั้น ฉงชูโม่ก็แค่นยิ้มหยันทันที “ท่านอ๋องฉู่ ท่านทรงคิดว่าแค่โยนความผิดทั้งหมดไปให้คนสนิทขอท่านแล้วเรื่องก็จะจบลงง่าย ๆ เช่นนั้นหรือ?”ฉินอวี่โต้กลับว่า “สิ่งที่ตัวข้าพูดมาทั้งหมดเป็นความจริง จะเรียกว่าโยนความผิดได้อย่างไร?”ฉงชูโม่มิได้โต้เถียงกับเขาต่อ แต่หันไปกล่าวกับฉินอู๋ต้าวว่า “ฝ่าบาท ที่ทะเลตงไห่ ท่านอ๋องฉู่...”ยังมิทันที่นางจะพูดจบ ขันทีน้อยคนหนึ่งก็วิ่งเข้าม
“นึกมิถึงว่าเขาจะหนีรอดไปได้ เขาก็มีฝีมือเหมือนกันนี่ ดูท่าทางจะเตรียมการมาอย่างดีเชียว”“องค์รัชทายาท เมื่อกลับถึงหลงเฉิงแล้วเข้าเฝ้าฝ่าบาท จะทูลเรื่องที่อ๋องฉู่สมคบคิดก่อกบฏหรือไม่เพคะ?”“ทูลสิ ต้องทูลอยู่แล้ว ตอนนี้พวกเรามีทั้งพยานบุคคลและพยานวัตถุ ยิ่งกว่านั้นการที่เขาสมคบคิดก่อกบฏก็เป็นความจริง อย่างไรก็ต้องทูล”“แต่ยามนี้อ๋องฉู่หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย ด้วยนิสัยระแวดระวังของฝ่าบาท เกรงว่าพระองค์จะมิทรงเชื่อพวกเราเต็มร้อยกระมังเพคะ”ฉินซูกล่าวอย่างเฉยเมยว่า “หลังจากเรื่องของอ๋องฉู่แดงขึ้นมา เขาก็หายตัวไป นี่เห็นได้ชัดว่าเป็นการหนีความผิด พวกเรากราบทูลตามความจริง บวกกับคำให้การของเหล่าคนสนิทของอ๋องฉู่และทหารห้าหมื่นนายที่ไม่มีรายชื่อในทะเบียน ก็เพียงพอที่จะตัดสินความผิดของอ๋องฉู่ได้แล้ว”“หวังว่าจะเป็นเช่นนั้น กองทัพส่วนตัวห้าหมื่นคนนั้น หม่อมฉันให้พวกตงฟางไป๋นำทางกลับหลงเฉิงล่วงหน้าไปแล้วเพคะ”ฉงชูโม่พูดพลางรู้สึกกระวนกระวายใจแปลก ๆจากนั้น พวกเขาก็พักค้างคืนที่เมืองหลงโย่วก่อนนอน ฉินซูสัมผัสได้ถึงคลื่นพลังมหาศาลที่แผ่ออกมาจากห้องฝั่งตรงข้ามที่นั่นคือห้องของจีอันด้วยคว
เซวียหมิงมองไปยังทิศทางที่ฉินซูและพรรคพวกจากไปพลางพึมพำกับตัวเอง“คิดมิถึงเลยว่าจะได้เจอกับคนที่สามารถกลืนกินปราณเลือดอาถรรพ์ได้ จีอันหรือ? ข้าจะจำเจ้าเอาไว้!”“แล้วก็ฉินซู เจ้าคอยข้าก่อนเถอะ สักวันข้าจะทำให้เจ้าทุกข์ทรมานจนอยู่ต่อมิไหว จะตายก็มิได้!”“แค่นี้ก็น่าจะพอให้ข้าใช้แล้ว”เขาพูดพลางมองลูกแก้วสีแดงอมม่วงในมือภายในลูกแก้วนั้นคือปราณเลือดอาถรรพ์จุดประสงค์ของการเดินทางครั้งนี้ของเขาคือต้องการหามหาปุโรหิตแห่งสำนักจันทราโรหิต เพื่อขอยืมปราณเลือดอาถรรพ์มาใช้แต่เมื่อเข้าใกล้บริเวณนี้ ก็เห็นเฉินซีถูกฉงชูโม่ล่อลวงไปแล้ว ส่วนสาวกของสำนักจันทราโรหิตก็บาดเจ็บล้มตายกันเป็นเบือ เขาจึงฉวยโอกาสจัดการสาวกที่เหลือของสำนักจันทราโรหิต จากนั้นก็เข้าไปในถ้ำจนได้พบกับแท่นบูชาต่อมาก็ฉวยโอกาสที่ตู๋กูโฉ่วเยวี่ยมิทันระวังจัดการอีกฝ่ายจนสลบไป และเก็บรวบรวมปราณเลือดอาถรรพ์เหล่านี้ได้อย่างง่ายดายจากนั้นเซวียหมิงก็หันหลังเดินออกจากที่นี่ไปเช่นกันขณะที่เขาเดินผ่านป่าแห่งหนึ่ง จู่ ๆ ก็รู้สึกว่าเท้าเหยียบเข้ากับบางสิ่งบางอย่างเมื่อก้มลงมอง ก็พบว่าเป็นขลุ่ยกระดูกสีขาวบริสุทธิ์เขายกมันขึ้นมาด