ฉินซูครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็เอื้อมมือไปกดจุดตันเถียนของเซี่ยหลานสองครั้งเซี่ยหลานเพียงรู้สึกเสียวแปลบบริเวณจุดตันเถียนของนาง พลางถามอย่างสงสัย “องค์รัชทายาท ท่านทำอะไรหม่อมฉัน”“ไม่มีอะไร ข้าปิดผนึกกลิ่นอายกำลังภายในให้เจ้าแล้ว ตราบใดที่เจ้ามิได้เปิดเผยมันออกมา คนอื่นก็จะมิรู้ระดับวรยุทธของเจ้า”“จริงหรือ?”เซี่ยหลานเชื่อครึ่งมิเชื่อครึ่งฉินซูพูดอย่างจริงจัง “แน่นอนว่าเป็นเรื่องจริง ข้าจะหลอกเจ้าได้รึ”“เช่นนั้นก็ดีเลย แต่หม่อมฉันก็ยังมิเข้าใจอยู่ดีว่าเหตุใดจู่ ๆ หม่อมฉันถึงได้แข็งแกร่งเพียงนี้” เซี่ยหลานยังคงรู้สึกเหลือเชื่อนางขมวดคิ้วและพูดต่อ “จริงสิ แล้วท่านรู้ระดับวรยุทธของหม่อมฉันได้อย่างไร ท่านมิใช่จอมยุทธนี่”เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ นางก็นึกอะไรออกและถามด้วยความตกใจ “องค์รัชทายาท ท่านคงมิใช่ยอดฝีมือที่ปิดบังความสามารถไว้หรอกใช่หรือไม่?”ฉินซูพูดอย่างกำกวม “ข้าเป็นยอดฝีมือที่ไหนกันเล่า แค่เคยอ่านเจอในตำราที่เขียนเกี่ยวกับเคล็ดลับการแยกระดับวรยุทธ์จอมยุทธ์ก็เท่านั้น”“จริงหรือ?”“แน่นอนว่าเป็นเรื่องจริง หากข้าเป็นยอดฝีมือจริง ๆ ข้าจะยังถูกอ๋องฉีและคนอื่น ๆ รังแ
ฉินซูพยักหน้าช้า ๆ “สำเร็จ ในสายตาของคนอื่น เจ้าโอวหยางขุยได้ตายไปแล้ว”“ขอบพระทัยองค์รัชทายาทสำหรับพระกรุณาอันยิ่งใหญ่ ข้าน้อยจะไม่มีวันลืมพ่ะย่ะค่ะ”หลังจากถูกฉินซูควบคุม โอวหยางขุยก็รู้ว่าตนคงจะต้องตายอย่างหลีกเลี่ยงมิได้โชคดีที่ฉินซูคิดแผนการอันยอดเยี่ยมขึ้นมาได้ ซึ่งก็คือการแกล้งตายตอนที่ฉินซูใช้มีดแทงเขาในท้องพระโรง คมมีดได้หลีกเลี่ยงอวัยวะทั้งหมด ดังนั้นโอวหยางขุยจึงได้รับบาดเจ็บที่เนื้อหนังเพียงเท่านั้นเมื่อรวมกับทักษะการฝังเข็มลับสุดยอดของฉินซู หลังจากที่โอวหยางขุยถูกแทง ลมปราณของเขาก็มิต่างจากคนตาย สุดท้ายก็หลอกทุกคนได้สำเร็จฉินซูพูดด้วยรอยยิ้มจาง ๆ “ขอบคุณข้ารึ? เจ้าคงมิได้พูดออกมาจากใจหรอกกระมัง เพราะสำนักอาทิตย์อัสดงของเจ้าจบเห่ไปแล้วนี่”“องค์รัชทายาท อันที่จริงข้าน้อยได้จัดการให้กองกำลังชั้นยอดแห่งสำนักอาทิตย์อัสดงหลบหนีไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ ผู้ที่อยู่ในสำนักตอนนี้เป็นเพียงคนที่มิได้มีความสำคัญ ยิ่งไปกว่านั้น ข้าน้อยหาได้มีครอบครัวไม่ และอยู่ตัวคนเดียวมาครึ่งชีวิตแล้วจึงมิได้สนโทษประหารล้างตระกูลพ่ะย่ะค่ะ”“เช่นนั้นเจ้าก็เต็มใจยอมจำนนต่อข้าแล้วใช่หรือไม่?”โอวหยาง
ซุนฉีประสานมือคำนับเล็กน้อยจากนั้นก็หันหลังจากไปฉินเหยี่ยนกระโดดขึ้นไปบนรถม้าแล้วพูดสารถีว่า “สายมากแล้ว ออกเดินทางเถอะ”สารถีสะบัดแส้แล้วควบรถม้าไปตามถนน……จวนอ๋องฉีฉินหงรู้สึกใจหาย “คาดมิถึงจริง ๆ ฉินเหยี่ยนมิเพียงแต่จะล้มเหลวในการโค่นฉินซู ซ้ำยังตกหลุมพรางอีกฝ่าย เจ้าสารเลวฉินซูผู้นี้ช่างมีเล่ห์เหลี่ยมนัก!”เซี่ยเหอพูดอย่างจริงจัง “ท่านอ๋อง ต้องมียอดฝีมือคอยชี้แนะอยู่เบื้องหลังฉินซูแน่พ่ะย่ะค่ะ ท่านควรส่งคนไปจับตาดูเขาให้มากกว่าเดิม รีบหาคนผู้นั้นให้เจอและกำจัดทิ้งโดยเร็วที่สุด มิเช่นนั้น หากท่านทรงปล่อยไว้เช่นนี้ ฉินซูก็จะมีอำนาจมากขึ้นพ่ะย่ะค่ะ”“ข้าส่งคนไปแล้ว เชื่อว่าอีกมินานคนที่อยู่เบื้องหลังฉินซูจะโผล่หัวออกมา”“ท่านอ๋อง หากทรงต้องการโค่นองค์รัชทายาทจริง ๆ ตอนนี้โอกาสทองได้มาอยู่ตรงหน้าแล้วพ่ะย่ะค่ะ”เมื่อได้ยินคำพูดของหลินซี ฉินหงก็ถามอย่างสงสัย “เสนาบดีหลิน โอกาสที่ท่านว่าคืออะไร?”หลินซีพูดอย่างมุ่งร้าย “ท่านอ๋อง ขณะนี้เฉินหลิวอ๋องได้ออกจากเมืองหลงเฉิงไปแล้ว หากเกิดอะไรขึ้นกับเขาระหว่างทาง เช่นนั้นฝ่าบาทจะทรงสงสัยใครเป็นคนแรกพ่ะย่ะค่ะ?”ดวงตาของฉินหงเป็นประกา
มู่หรงฟู่พยักหน้าช้า ๆ “ไปเถอะ นำสิ่งนี้ติดตัวไปด้วย หลังจากสังหารฉินเหยี่ยนแล้ว ให้ทิ้งป้ายนี้เอาไว้บริเวณใกล้ ๆ ก็พอ!”เมื่อมองไปยังป้ายที่อีกฝ่ายยื่นมา หนานกงจื่อชินก็ยกนิ้วให้!“องค์ชายทรงเตรียมพร้อมมาอย่างดีจริง ๆ ด้วยป้ายขององครักษ์แห่งตำหนักบูรพานี้ เป็นไปมิได้เลยที่ฉินซูจะรอดไปได้!”หนานกงจื่อชินรับป้ายมามู่หรงจื่อเยียนพูดด้วยความกังวล “ช้าก่อน นี่อาจเป็นกับดักก็ได้กระมัง? พวกเรายังมิรู้แน่ชัดเลยว่าผู้ใดเป็นคนแอบส่งข่าวนี้มาให้”“หากข้าเดามิผิด ต้องเป็นหนึ่งในบรรดาองค์ชายแห่งต้าเหยียนแน่ ๆ เพราะถึงอย่างไรพวกเขาก็คงอยากให้องค์รัชทายาทหมดอำนาจโดยเร็วที่สุดเพื่อที่จะได้แข่งขันแย่งชิงตำแหน่งในตำหนักบูรพา”“ทว่าหากพวกเราไปลอบสังหารฉินเหยี่ยนจริง ๆ มันจะมิเท่ากับเป็นการลำบากทำงานให้ผู้อื่นหรอกหรือ?”มู่หรงฟู่หัวเราะเบา ๆ และกล่าวว่า “เจ้าก็คิดมากเกินไป เป้าหมายของพวกเราคือการทำให้เกิดความสับสนวุ่นวายในราชสำนักต้าเหยียน ทันทีที่ฉินเหยี่ยนเสียชีวิต เป้าหมายของพวกเราก็จะลุล่วง”หนานกงจื่อชินเปิดดูแผนที่แล้วพูดว่า “ฉินเหยี่ยนกำลังมุ่งหน้าไปที่เฉินหลิว และมีศาลาสิบลี้แห่งเขาเซียง
“ช่วยเหลือข้ารึ? หมายความว่าอย่างไร?”มู่หรงจื่อเยียนกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เท่าที่หม่อมฉันรู้ ตอนนี้ในราชสำนักต้าเหยียนของพวกท่าน องค์รัชทายาทผู้รอวันปลดมีอิทธิพลเป็นอย่างมาก แม้แต่ท่านอ๋องจิ้นก็ถูกเขาโค่นล้ม กลับกันหากท่านเป็นองค์รัชทายาท ท่านจะมิฉวยโอกาสไล่บี้ศัตรูหรือเพคะ?”ฉินเซียวพูดอย่างสงบเยือกเย็น “ดูเหมือนเจ้าจะรู้เรื่องเกี่ยวกับราชสำนักต้าเหยียนอยู่มาก มิทราบว่าหากองค์รัชทายาททรงต้องการจะไล่บี้ข้าจริง ๆ เจ้าคิดจะช่วยเหลือข้าอย่างไรหรือ?”“เร็ว ๆ นี้ จะมีข่าวการสิ้นพระชนม์ของเฉินหลิวอ๋อง ถึงตอนนั้น ท่านอ๋องหนิงแค่ต้องหาวิธีทำให้เรื่องนี้ตกเป็นความผิดของฉินซู เมื่อถึงเวลานั้น ฝ่าบาทที่ทรงกริ้วฉินซูมากก็จะมิเหลือข้ออ้างใดจนต้องทรงปลดเขาในทันทีเพคะ”“ว่ากระไรนะ! พวกเจ้าคิดจะสังหารฉินเหยี่ยนรึ!”ฉินเซียวอุทาน สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความตกใจ!“ไฉนท่านอ๋องหนิงถึงได้ตกพระทัยปานนั้นเพคะ ฉินเหยี่ยนถูกลดตำแหน่งเป็นเฉินหลิวอ๋องและไม่มีประโยชน์อีกต่อไป ให้เขาเป็นชิ้นส่วนสุดท้ายที่จะใช้โค่นล้มองค์รัชทายาทจะดีกว่า หากเป็นเช่นนั้น ก็ถือว่าได้ล้างแค้นแทนเขาไปด้วยมิใช่หรือเพคะ?”“เหลวไหล! ฉิ
องครักษ์ตอบด้วยความเคารพว่า “มิทราบพ่ะย่ะค่ะ เช่นนั้นให้ข้าน้อยไปสอบถามให้ดีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”ฉินซู่โบกมือ “มิต้อง ชูโม่น่าจะอยู่ในห้อง เสี่ยวหวน เจ้าไปแจ้งชูโม่ทีสิ”สาวใช้นามว่าเสี่ยวหวนรับคำสั่งด้วยความเคารพและเดินไปยังห้องนอนของฉงชูโม่ฉงชูโม่สะดุ้งตกใจเมื่อได้ยินว่าอ๋องหนิงมาหานางเมื่อนางมาถึงประตูตำหนักบูรพา นางก็เดินตรงไปถามว่า “ท่านอ๋องหนิง ได้ยินว่าท่านเสด็จมาหาหม่อมฉันหรือเพคะ?”“ใช่แล้วชูโม่ คุยที่นี่มิเหมาะ พวกเราไปคุยกันทางนั้นเถอะ”ฉงชูโม่พยักหน้าตอบรับและตามฉินเซียวไปยังศาลาที่อยู่มิไกลฉินเซียวมองไปรอบ ๆ เพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีใครอยู่ใกล้ ๆ แล้วพูดว่า “ชูโม่ ก่อนที่จะมาที่นี่ข้าได้รับรายงานลับมา มีคนต้องการทำร้ายฉินเหยี่ยนแล้วโยนความผิดไปให้องค์รัชทายาท!”“ว่ากระไรนะ! จริงหรือเพคะ?”ฉงชูโม่ประหลาดใจและมิค่อยอยากเชื่อฉินเซียวพยักหน้าพูดอย่างจริงจัง “จริงแท้แน่นอน วันนี้คนของข้าไปดื่มสุราที่โรงเตี๊ยมและได้ยินมาโดยบังเอิญ เพื่อหลีกเลี่ยงการแหวกหญ้าให้งูตื่น เขาจึงกลับมารายงานให้ข้ารู้ แต่ตอนที่ข้าพาคนไปยังโรงเตี๊ยมแห่งนั้น ก็พบว่าคนพวกนั้นออกไปนานแล้ว”เมื่อได้
หลังจากที่ฉินเซียวพูดจบ เขาก็หันหลังจากไปฉงชูโม่เองก็กลับมาที่ตำหนักบูรพาทันทีที่นางเข้าไป ฉินซูก็ถามด้วยความสงสัย “ชูโม่ เหตุใดอ๋องหนิงถึงมาหาเจ้า?”“เรื่องเป็นอย่างนี้เพคะ…”ฉงชูโม่เล่าสิ่งที่ฉินเซียวเพิ่งพูดเมื่อครู่หลังจากฟังที่นางเล่าจนจบ ทันใดนั้นดวงตาของฉินซูก็หรี่ลง และเผยรอยยิ้มมีความหมายลึกซึ้งออกมา เมื่อเห็นเช่นนั้น ฉงชูโม่ก็ถามด้วยความสับสน “องค์รัชทายาท ท่านทรงคิดอะไรอยู่หรือเพคะ?”“อ้อ ไม่มีอะไรหรอก ในเมื่อฉินเหยี่ยนตกอยู่ในอันตราย เช่นนั้นพวกเราก็ไปช่วยเขากันเถอะ”“หาได้ยากยิ่งนักที่จะเห็นท่านทรงมีน้ำใจไมตรีและชอบธรรม หม่อมฉันก็กังวลว่าท่านจะยืนมองดูคนตายไปเฉย ๆ โดนมิช่วยอะไรเสียอีก”ฉินซูโบกมือแล้วพูดว่า “นี่ มิว่าฉินเหยี่ยนจะทำตัวแย่เพียงใด เขาก็ยังคงเป็นน้องชายของข้า จะให้ข้าทนเห็นเขาตกอยู่ในอันตรายได้อย่างไร ยิ่งไปกว่านั้น คนเหล่านั้นก็ต้องการสังหารเขาเพื่อโยนความผิดให้ข้า ข้าคงนิ่งดูดายมิได้หรอก”“เอาเถอะ เช่นนั้นท่านก็ส่งทหารประจำตำหนักไปสักประมาณมิเกินยี่สิบนายเถิด แล้วให้ตงฟางไป๋พาคนไปกับหม่อมฉันด้วยนะเพคะ”ฉินซูพยักหน้ารับปากและเรียกตงฟางไป๋มาพบ
“จุ๊ จุ๊ จุ๊ เพื่อให้บรรลุเป้าหมาย ท่านถึงกับใช้สตรีที่ตนโปรด ฉินเซียว ตาแก่คนนี้มิได้มองคนผิดไปเลยจริง ๆ พ่ะย่ะค่ะ!”หลังจากที่ชายชราลึกลับพูดจบ เขาก็หัวเราะออกมาเสียงดังลั่นเสียงหัวเราะค่อนข้างบาดหู ทำให้ใครก็ตามที่ได้ยินรู้สึกหวาดกลัวและขนลุกฉินเซียวขมวดคิ้ว เห็นได้ชัดว่ารู้สึกอึดอัดเล็กน้อย แต่เขามิได้พูดอะไรจู่ ๆ ชายชราผู้ลึกลับก็เปลี่ยนเรื่องและพูดด้วยความเสียใจ "น่าเสียดายที่ท่านมิสามารถโน้มน้าวให้องค์รัชทายาทเป็นผู้นำคนเหล่านี้ได้ มิเช่นนั้นท่านก็คงสังหารเขาที่ศาลาสิบลี้ได้"“เขาเป็นองค์รัชทายาทผู้มีเกียรติ และฉินเหยี่ยนก็เคยส่งคนไปลอบสังหารเขาครั้งหนึ่งแล้ว เขายอมส่งทหารในตำหนักออกไปก็นับว่าดีมากแล้ว จะเป็นไปได้อย่างไรที่เขาจะนำทัพไปด้วยตัวเอง?”“สิ่งที่ท่านตรัสนั้นก็สมเหตุสมผล เพื่อให้แน่ใจว่าทุกอย่างลงตัว กระหม่อมจะออกเดินทางยังศาลาสิบลี้ทันที ท่านคอยรอฟังข่าวดีเถิดพ่ะย่ะค่ะ”ทันทีที่คำพูดจบลง ร่างของชายชราก็โผล่ออกมาจากเงามืดจะเห็นได้ว่าเขาแต่งกายด้วยชุดคลุมสีดำ มีรูปร่างแปลกประหลาดอย่างยิ่ง ใบหน้าข้างหนึ่งซีดและอ่อนนุ่มราวกับผิวเด็ก แต่อีกข้างมีรอยย่นและเหี่ยวแ
ฉินซูขมวดคิ้วกล่าวว่า “ตอนนี้ข้าก็แค่คาดเดา ยังไม่มีหลักฐานที่แน่ชัด จะสอบสวนเลยได้อย่างไร? ยิ่งกว่านั้นพวกเขายังเป็นศิษย์เอกของท่านทั้งสิ้น หากเรื่องนี้แพร่งพรายออกไป เกรงว่าจะส่งผลเสียได้”เหลยเจิ้นส่ายหน้าอย่างจนใจ กล่าวว่า “ที่แท้องค์รัชทายาทก็แค่คาดเดาไปเอง แต่ข้าน้อยบอกท่านได้เต็มปากว่า นอกจากเสวี่ยเจี้ยน โฉ่วเยวี่ยและจีอันแล้ว ข้าน้อยล้วนจับศิษย์คนอื่น ๆ ขังแยกกันไว้ในห้องลับของสำนักหอดูดาวหลวงตั้งแต่ครึ่งปีก่อน พวกเขาไม่มีรอดพ้นจากสายตาข้าน้อยได้อย่างเงียบเชียบแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ”“อ้อ? ถูกท่านขังไว้หมดเลยหรือ?”ต่อมความอยากรู้อยากเห็นของฉินซูถูกกระตุ้นขึ้นมาทันที เขาถามต่อว่า “ท่านหัวหน้าโหรหลวงขังพวกเขาไว้ด้วยเหตุผลใดหรือ?”กล้ามเนื้อบนใบหน้าของเหลยเจิ้นกระตุกสองสามครั้ง เขายกมือขึ้นลูบหน้าผากแล้วตอบว่า “ช่างเถิด ข้าน้อยมิกลัวองค์รัชทายาทจะหัวเราะเยาะอยู่แล้ว ศิษย์เอกของข้าน้อยแต่ละคนล้วนมีสันดานทรยศ ข้าน้อยแน่ใจว่าท่านก็พอจะรู้นิสัยใจคอของโฉ่วเยวี่ยและจีอันอยู่บ้าง ดังนั้นข้าน้อยจึงทำได้เพียงปล่อยให้พวกเขาไตร่ตรองถึงความผิดพลาดของตนเท่านั้น”“เช่นนั้น ศิษย์เอกทั้งเจ็ดคนของท
ทันทีที่เขาลงบันไดมา จีอันก็ถามด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ว่า “ศิษย์พี่รอง โดนดุมาหรือไร?”“ไป ๆ ๆ หัวโขกจนปูดไปหมด เรื่องนี้ข้ายังมิได้คิดบัญชีกับเจ้าเลย!”“ดูเถอะ ขี้ใจน้อยเหมือนสตรีไปได้”“นี่ เจ้าอยู่ดี ๆ มิชอบใช่หรือไม่? ข้าจะฟาดเจ้าคอยดูเถอะ!” ตู๋กูโฉ่วเยวี่ยไปหาแส้ยาวมาจากไหนก็มิทราบจีอันแคะขี้มูกแล้วกล่าวอย่างมิได้ยี่หระว่า “ข้ามิกลัวเจ้าหรอก ถึงอย่างไรท่านก็สู้ข้ามิได้”“ข้า… เจ้ามันร้ายกาจ ข้ายอมแพ้!”ตู๋กูโฉ่วเยวี่ยหมดความอดทนใดทันที จีอันผู้นี้ขึ้นชื่อเรื่องหนังหนา อีกทั้งยังเก่งกาจจนน่าขนลุก สู้มิได้ เขาหลบดีกว่าพูดจบเขาก็หันหลังเดินออกไปครู่ต่อมา ฉินซูและฉงชูโม่ก็มาถึงเมื่อเห็นฉินซู จีอันก็อุทานด้วยความประหลาดใจว่า “โอ้โหแฮะ องค์รัชทายาท มิไปประกาศศักดาที่ใดหรือ ไฉนจึงมาเยือนสำนักหอดูดาวหลวงของเราได้?”ฉินซูงงงวยเล็กน้อย จึงถามกลับว่า “ตัวข้าต้องไปประกาศศักดาที่ใดเล่า? อวดอ้างกระไร?”“ท่านมิทรงทราบหรือ? ยึดครองแคว้นหนานเยวี่ยง่ายเหมือนปอกกล้วยเช่นนี้ ผลงานระดับนี้ไยมิไปประกาศให้ทั่วเล่า? หากเป็นข้าน้อย ข้าน้อยจะร้องแรกแหกกระเชอคุยโวไปสามวันสามคืนเต็ม ๆ ท่านนี่ช่าง
ชิวก่วนกล่าวด้วยสีหน้าเศร้าหมองว่า “หาได้มีโจรผู้ร้ายบุกรุกเข้ามาไม่พ่ะย่ะค่ะ หูก่วงเซิงและพวกตายไปโดยไร้สาเหตุ ก่อนหน้านี้ก็ไม่มีความผิดปกติใด ๆ พ่ะย่ะค่ะ”“ว่ากระไรนะ? หูก่วงเซิงและพวกตายแล้วรึ?”ฉงชูโม่เดินเข้ามาด้วยสีหน้าประหลาดใจฉินซูกล่าวอย่างมิสบอารมณ์ว่า “มิใช่แค่พวกเขา แม้แต่กองทัพส่วนตัวห้าหมื่นนายของอ๋องฉู่ก็ถูกคนช่วยออกไปแล้ว”“ว่ากระไรนะเพคะ?”ฉงชูโม่ตกตะลึงอ้าปากค้าง!เมื่อได้สติกลับมา นางก็ขมวดคิ้วกล่าวว่า “ด้วยกำลังของอ๋องฉู่เพียงลำพัง ไม่มีทางทำเรื่องเหล่านี้ได้แน่ ดังนั้นเบื้องหลังของเขาต้องมียอดฝีมือคอยช่วยเหลือเป็นแน่เพคะ!”ฉินซูครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วกล่าวว่า “ศพของหูก่วงเซิงและพวกอยู่ที่ใด?”“ตอนนี้อยู่ที่ศาลต้าหลี่พ่ะย่ะค่ะ”“ไปดูกัน”ฉินซูกล่าวจบก็เดินจากไปอย่างรวดเร็วหวังฉือเห็นเขาออกมาก็คำนับแล้วกำลังจะกล่าวทว่าฉินซูกลับพูดแทรกขึ้นก่อนว่า “ใต้เท้าหวัง ไปกันเถิด ไปศาลต้าหลี่ของท่านด้วยกัน”เมื่อได้ยินเช่นนั้น หวังฉือก็ชะงักไปเล็กน้อย จากนั้นก็รีบพยักหน้าหนึ่งชั่วยามต่อมาพวกเขาก็มาถึงศาลต้าหลี่เมื่อมองดูร่างไร้วิญญาณของหูก่วงเซิงและพวก ฉ
ฉงชูโม่พยักหน้าหนักแน่น “ถูกต้องแล้วเพคะ เรื่องนี้มิใช่แค่ข้าน้อยคนเดียวที่เห็นกับตา ทหารทั้งสามทัพหลายนายก็เห็นเช่นกัน”เมื่อได้ยินเช่นนั้น สีหน้าของฉินอู๋ต้าวก็มิสู้ดีขึ้นมาทันตาอดีตองค์รัชทายาทสำมะเลเทเมาบัดนี้กลับสร้างคุณงามความดีครั้งยิ่งใหญ่ อีกทั้งวรยุทธ์ก็ยังลึกล้ำเกินหยั่งถึง นี่มัน… เกินความคาดหมายของเขาไปมาก!ตลอดเวลาที่ผ่านมา เขาคิดว่าเบื้องหลังฉินซูต้องมียอดฝีมือคอยชี้แนะแต่จากที่เห็นในเวลานี้ ยอดฝีมือที่ว่านั้น แท้จริงแล้วก็คือฉินซูเองกล่าวคือ ฉินซูมิเพียงแต่มีกลยุทธ์ที่เหนือชั้น แต่วรยุทธ์ก็ยังก้าวเข้าสู่ระดับที่น่าตกตะลึงซ้ำร้ายฉินซูยังจงใจปิดบังวรยุทธ์ของตนอีกด้วย!เมื่อรวมทุกอย่างเข้าด้วยกัน ความระแวงที่ฉินอู๋ต้าวมีต่อฉินซูก็ยิ่งทวีความรุนแรงขึ้นเมื่อเห็นฉินอู๋ต้าวนิ่งอึ้งไป ฉงชูโม่ก็กล่าวต่ออย่างมีนัยแฝงว่า “ฝ่าบาท ข่าวลือเรื่ององค์รัชทายาททรงทักษะยอดเยี่ยม เกรงว่าอีกมินานคงจะแพร่สะพัดไปทั่วหลงเฉิงเพคะแต่ก็ดีเหมือนกันเพคะ เหล่าคนชั่วที่คิดจะลอบสังหารองค์รัชทายาทจะได้ประมาณตนก่อนจะลงมือ เช่นนี้แล้ว ก็จะได้มิต้องกังวลเรื่องความปลอดภัยขององค์รัชทายาทให้มา
สวี่จิ้นเสนาบดีกรมโยธาธิการกล่าวว่า “องค์รัชทายาท พระองค์ได้นำหนานเยวี่ยทั้งเจ็ดมณฑลสามสิบแปดเมืองมาอยู่ภายใต้ต้าเหยียนของเรา คุณูปการอันยิ่งใหญ่เช่นนี้ สมควรได้รับการประทานเครื่องยศเก้าประการแล้วพ่ะย่ะค่ะ”ฉินซูส่ายหน้าเล็กน้อย “ใต้เท้าสวี่ ท่านกล่าวผิดแล้ว มีคำกล่าวว่า ใต้หล้าไพศาลล้วนเป็นแผ่นดินขององค์จักรพรรดิ บนแผ่นดินนี้ล้วนเป็นข้ารองพระบาทขององค์จักรพรรดิ ข้าในฐานะองค์รัชทายาทแห่งต้าเหยียน ย่อมถือเอาความผาสุกของราษฎรเป็นภารกิจของตน ทุกสิ่งที่ทำล้วนเป็นหน้าที่”เมื่อกล่าวถึงตรงนี้ ฉินซูก็ประสานมือคำนับฉินอู๋ต้าวอีกครั้ง “เสด็จพ่อ ดังนั้นรางวัลอันยิ่งใหญ่อย่างเครื่องยศเก้าประการนี้ลูกมิกล้ารับไว้จริง ๆ หวังว่าเสด็จพ่อจะทรงเข้าพระทัยพ่ะย่ะค่ะ!”เมื่อได้ยินเช่นนั้น เหล่าขุนนางระดับสูงก็อุทานด้วยความประหลาดใจอีกครั้งรางวัลอันยิ่งใหญ่เช่นเครื่องยศเก้าประการนี้ องค์รัชทายาทกลับปฏิเสธจริง ๆ หรือ?ต้องเท้าความว่า หากฉินซูในฐานะเป็นองค์รัชทายาทรับรางวัลนี้ ในภายภาคหน้า สถานะความสำคัญของเขาในสายตาของขุนนางและราษฎรแห่งต้าเหยียนก็แทบจะเทียบเท่ากับฉินอู๋ต้าวผู้เป็นองค์จักรพรรดิได้เลยทีเ
ฉงชูโม่กำลังจะกล่าวต่อ แต่กลับสังเกตเห็นว่าฉินซูกำลังส่ายหน้าให้นางเล็กน้อยเมื่อเห็นดังนั้น คิ้วเรียวก็ขมวดเล็กน้อยด้วยความสงสัยจากนั้นเสียงของฉินซูก็ดังขึ้นในหูของนาง “สถานการณ์เปลี่ยนไปแล้ว หลักฐานสำคัญหายไป”ฉินซูใช้วิชาแห่งกระแสจิต ดังนั้นจึงไม่มีใครสังเกตได้นอกจากฉงชูโม่เมื่อได้ยินถ้อยคำของฉินซู แววตาของฉงชูโม่ก็พลันไหววูบ จากนั้นจึงกล่าวกับฉินอู๋ต้าวว่า “ทูลฝ่าบาท ข้าน้อยไม่มีสิ่งใดจะกล่าวทูลแล้วเพคะ”เมื่อเห็นเช่นนั้น ฉินอู๋ต้าวก็มองฉงชูโม่ด้วยความสงสัยผาดหนึ่งแล้วหันไปมองฉินซูแทน“องค์รัชทายาท รายงานเรื่องคลังหลวงของหนานเยวี่ยหน่อยซิ”“ลูกน้อมรับพระบัญชาพ่ะย่ะค่ะ!”ฉินซูประสานมือแล้วพูดต่อ “ทูลเสด็จพ่อ ในการตรวจค้นคลังหลวงของหนานเยวี่ยครั้งนี้ ลูกพบผ้าไหมแพรพรรณสูงค่ามากมายนับมิถ้วน เงินแท้รวมทั้งสิ้นสิบสามล้านกว่าตำลึง ทองคำสองล้านตำลึง เสบียงอาหารก็มีมากถึงเกือบแสนต้านพ่ะย่ะค่ะ”“ลูกได้จัดสรรเงินจำนวนหนึ่งล้านตำลึงจากทั้งหมดในพระนามของเสด็จพ่อ เพื่อใช้เป็นรางวัลแก่ทหารทั้งสามทัพ ส่วนพืชพรรณธัญหารก็ได้สั่งให้คนนำกลับไปเก็บไว้ที่เจียวโจวแล้วพ่ะย่ะค่ะ”“ยังมีอีกเรื่
ฉินอู๋ต้าวผงกศีรษะให้ฉินอวี่เล็กน้อย แล้วกล่าวว่า “อ๋องฉู่ ในเมื่อชูโม่เข้าใจตัวเจ้าผิดไป เจ้าก็เล่าเรื่องราวทั้งหมดอีกครั้งเถิด”“ลูกรับพระบัญชาพ่ะย่ะค่ะ!”ฉินอวี่ประสานมือคำนับ แล้วกล่าวช้า ๆ ว่า “ชูโม่ ตอนที่ลงใต้ไปยังเจียวโจว ยามนั้นข้าประมาทเลินเล่อ ถูกคนสนิทขโมยตราประจำตัวไป ภายหลังจึงได้ทราบว่าเจ้าคนสารเลวนั่นถูกเติ้งหม่างซื้อตัวไปนานแล้วแม้แต่หูก่วงเซิงและคนอื่น ๆ ก็ยังแปรพักตร์ไปเข้าข้างหนานเยวี่ย กว่าข้าจะรู้ตัวทัพหนานเยวี่ยก็บุกเข้าประตูเมืองเจียวโจวแล้วด้วยความจำเป็น ข้าจึงต้องถอยกลับมาก่อน จากนั้นก็เดินทางทั้งวันทั้งคืน เมื่อกลับมาถึงหลงเฉิงก็รีบทูลเรื่องนี้ให้เสด็จพ่อทรงทราบในทันที”เมื่อได้ยินเช่นนั้น ฉงชูโม่ก็แค่นยิ้มหยันทันที “ท่านอ๋องฉู่ ท่านทรงคิดว่าแค่โยนความผิดทั้งหมดไปให้คนสนิทขอท่านแล้วเรื่องก็จะจบลงง่าย ๆ เช่นนั้นหรือ?”ฉินอวี่โต้กลับว่า “สิ่งที่ตัวข้าพูดมาทั้งหมดเป็นความจริง จะเรียกว่าโยนความผิดได้อย่างไร?”ฉงชูโม่มิได้โต้เถียงกับเขาต่อ แต่หันไปกล่าวกับฉินอู๋ต้าวว่า “ฝ่าบาท ที่ทะเลตงไห่ ท่านอ๋องฉู่...”ยังมิทันที่นางจะพูดจบ ขันทีน้อยคนหนึ่งก็วิ่งเข้าม
“นึกมิถึงว่าเขาจะหนีรอดไปได้ เขาก็มีฝีมือเหมือนกันนี่ ดูท่าทางจะเตรียมการมาอย่างดีเชียว”“องค์รัชทายาท เมื่อกลับถึงหลงเฉิงแล้วเข้าเฝ้าฝ่าบาท จะทูลเรื่องที่อ๋องฉู่สมคบคิดก่อกบฏหรือไม่เพคะ?”“ทูลสิ ต้องทูลอยู่แล้ว ตอนนี้พวกเรามีทั้งพยานบุคคลและพยานวัตถุ ยิ่งกว่านั้นการที่เขาสมคบคิดก่อกบฏก็เป็นความจริง อย่างไรก็ต้องทูล”“แต่ยามนี้อ๋องฉู่หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย ด้วยนิสัยระแวดระวังของฝ่าบาท เกรงว่าพระองค์จะมิทรงเชื่อพวกเราเต็มร้อยกระมังเพคะ”ฉินซูกล่าวอย่างเฉยเมยว่า “หลังจากเรื่องของอ๋องฉู่แดงขึ้นมา เขาก็หายตัวไป นี่เห็นได้ชัดว่าเป็นการหนีความผิด พวกเรากราบทูลตามความจริง บวกกับคำให้การของเหล่าคนสนิทของอ๋องฉู่และทหารห้าหมื่นนายที่ไม่มีรายชื่อในทะเบียน ก็เพียงพอที่จะตัดสินความผิดของอ๋องฉู่ได้แล้ว”“หวังว่าจะเป็นเช่นนั้น กองทัพส่วนตัวห้าหมื่นคนนั้น หม่อมฉันให้พวกตงฟางไป๋นำทางกลับหลงเฉิงล่วงหน้าไปแล้วเพคะ”ฉงชูโม่พูดพลางรู้สึกกระวนกระวายใจแปลก ๆจากนั้น พวกเขาก็พักค้างคืนที่เมืองหลงโย่วก่อนนอน ฉินซูสัมผัสได้ถึงคลื่นพลังมหาศาลที่แผ่ออกมาจากห้องฝั่งตรงข้ามที่นั่นคือห้องของจีอันด้วยคว
เซวียหมิงมองไปยังทิศทางที่ฉินซูและพรรคพวกจากไปพลางพึมพำกับตัวเอง“คิดมิถึงเลยว่าจะได้เจอกับคนที่สามารถกลืนกินปราณเลือดอาถรรพ์ได้ จีอันหรือ? ข้าจะจำเจ้าเอาไว้!”“แล้วก็ฉินซู เจ้าคอยข้าก่อนเถอะ สักวันข้าจะทำให้เจ้าทุกข์ทรมานจนอยู่ต่อมิไหว จะตายก็มิได้!”“แค่นี้ก็น่าจะพอให้ข้าใช้แล้ว”เขาพูดพลางมองลูกแก้วสีแดงอมม่วงในมือภายในลูกแก้วนั้นคือปราณเลือดอาถรรพ์จุดประสงค์ของการเดินทางครั้งนี้ของเขาคือต้องการหามหาปุโรหิตแห่งสำนักจันทราโรหิต เพื่อขอยืมปราณเลือดอาถรรพ์มาใช้แต่เมื่อเข้าใกล้บริเวณนี้ ก็เห็นเฉินซีถูกฉงชูโม่ล่อลวงไปแล้ว ส่วนสาวกของสำนักจันทราโรหิตก็บาดเจ็บล้มตายกันเป็นเบือ เขาจึงฉวยโอกาสจัดการสาวกที่เหลือของสำนักจันทราโรหิต จากนั้นก็เข้าไปในถ้ำจนได้พบกับแท่นบูชาต่อมาก็ฉวยโอกาสที่ตู๋กูโฉ่วเยวี่ยมิทันระวังจัดการอีกฝ่ายจนสลบไป และเก็บรวบรวมปราณเลือดอาถรรพ์เหล่านี้ได้อย่างง่ายดายจากนั้นเซวียหมิงก็หันหลังเดินออกจากที่นี่ไปเช่นกันขณะที่เขาเดินผ่านป่าแห่งหนึ่ง จู่ ๆ ก็รู้สึกว่าเท้าเหยียบเข้ากับบางสิ่งบางอย่างเมื่อก้มลงมอง ก็พบว่าเป็นขลุ่ยกระดูกสีขาวบริสุทธิ์เขายกมันขึ้นมาด