"เฮ้อ… สาวน้อยเป่ยเยี่ยน เจ้าดูจะตื่นเต้นมิน้อยเลย เจ้าคงมิได้คิดว่าแค่ชนะพวกเขา จะเท่ากับชนะทั้งวงการวรรณกรรมของแผ่นดินต้าเหยียนหรอกใช่หรือไม่?" เมื่อได้ยินเสียงนี้ ทุกคนต่างเงยหน้าขึ้นมอง ก็เห็นชายหนุ่มคนหนึ่งยืนอยู่ตรงหน้าต่างชั้นสอง มองลงมายังมู่หรงจื่อเยียนจากมุมสูง ชายผู้นั้นดูมีอายุราวสามสิบกว่า ร่างกำยำบึกบึน กล้ามเนื้อแขนแข็งแกร่ง ดูก็รู้ว่าเป็นผู้ที่ฝึกฝนตนอย่างชำนาญ ฉงชูโม่ที่อยู่ตรงข้ามก็ขมวดคิ้วทันทีเมื่อได้ยินเสียงของเขา นางรู้สึกว่าเสียงนี้คุ้นเคยอย่างยิ่ง ด้วยความสงสัย นางจึงลุกขึ้นยืนแล้วแอบมองไปที่หน้าต่างฝั่งตรงข้าม ก่อนจะอุทานออกมาด้วยความตกใจ “เป็นเขานี่เอง! เขาก็อยู่ที่นี่ด้วยหรือ?” เซี่ยหลานที่สังเกตเห็นชายร่างใหญ่ที่อยู่หน้าต่างอีกฟากเช่นกัน จึงเอ่ยถามด้วยความสงสัยว่า “ชูโม่ ชายร่างใหญ่คนนั้นเป็นใครกัน เจ้ารู้จักเขาหรือ?” ฉงชูโม่มิได้ตอบคำถามในทันที นางใช้ดวงตาคู่งามกวาดมองด้านหลังของชายร่างใหญ่คนนั้น ราวกับกำลังมองหาใครบางคน ขณะเดียวกัน มู่หรงจื่อเยียนที่อยู่ชั้นล่างก็จ้องชายร่างใหญ่คนนั้น ก่อนจะกล่าวอย่างดูถูก "หึ สาวน้อยเช่นข้าชนะบัณฑิตแห่งต้
เซี่ยหลานยิ่งมิอยากเชื่อเข้าไปใหญ่ ในความคิดของนาง องค์รัชทายาทฉินซูเป็นเพียงคนโง่ไร้การศึกษา เอาแต่หลงมัวเมาในสุราและนารี จะให้นางเชื่อว่าประโยคกลอนนี้เป็นของฉินซู นางยอมเชื่อเสียเองว่าตัวนางเป็นหญิงงามอันดับหนึ่งแห่งหลงเฉิงยังง่ายเสียกว่า เรื่องนี้เป็นไปมิได้เลยฉงชูโม่กล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า "จากที่ข้าได้รู้จักองค์รัชทายาทช่วงนี้ ข้ามิแปลกใจเลยหากเขาจะสามารถคิดกลอนประโยคที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้ได้""มิจริงหรอก ชูโม่… เจ้าคงถูกองค์รัชทายาทล่อลวงเสียแล้ว ถึงได้เข้าข้างเขาเช่นนี้" เซี่ยหลานมองชูโม่อย่างประหลาดใจ ราวกับนางมิเคยรู้จักสหายของตัวเอง ขณะเดียวกัน "ตงฟางไป๋" ก็เยาะเย้ยขึ้นว่า "อย่างไรเล่า? พวกเจ้าชาวเป่ยเยี่ยนที่เมื่อกี้ทำเป็นกร่าง ตอนนี้กลับต่อกลอนที่คุณชายข้าคิดขึ้นมามิได้แล้วรึ?" มู่หรงจื่อเยียนเริ่มร้อนใจ หันไปกระซิบถามเหล่าบัณฑิตที่มาด้วย "พวกเจ้าคิดกลอนประโยคต่อไปออกหรือยัง? บอกข้ามาเร็ว!" เหล่าบัณฑิตมองหน้ากันไปมา แต่ทุกคนกลับส่ายหัวพร้อมกันอย่างมิเต็มใจ"พวกเจ้ามันไร้ประโยชน์จริง ๆ!" มู่หรงจื่อเยียนตะโกนอย่างหงุดหงิด ก่อนจะหันไปขอความช่วยเหลือจากหนาน
เงาฝ่ามือยังมิทันตกลงมา แต่กระแสลมจากพลังฝ่ามือก็พุ่งเข้าใส่อย่างรวดเร็ว หนานกงจื่อชินหรี่ตาลงทันที ก่อนจะคว้าตัวมู่หรงจื่อเยียนให้หลบไปอยู่ด้านหลัง และในขณะเดียวกันก็เร่งลมปราณขึ้นมาก่อนจะส่งฝ่ามือออกไปเพื่อรับมือกับพลังนั้น"ปัง!!"กระแสลมปราณระเบิดออกอย่างรุนแรง ทำให้กลุ่มคนจากแคว้นเป่ยเยี่ยนต่างกระเด็นลอยออกไปทุกทิศทาง! แม้แต่หนานกงจื่อชินเองก็ยังมิสามารถควบคุมร่างกายได้ เขาถูกแรงกระแทกจนลอยไปชนกับโต๊ะไม้ด้านหลังอย่างแรง"โครม!!"โต๊ะไม้ถูกทุบจนแตกเป็นเสี่ยง ๆ ส่วนหนานกงจื่อชินก็ถูกถูกซากไม้ทับร่างอยู่ในกองเศษไม้ เมื่อเห็นภาพนี้ ทุกคนต่างมองขึ้นไปยังชั้นสองด้วยความตกตะลึงมู่หรงจื่อเยียนเมื่อได้สติ รีบลุกขึ้นแล้ววิ่งไปประคองหนานกงจื่อชินด้วยความร้อนใจ นางถามด้วยความกังวล "พี่จื่อชิน ท่านเป็นอะไรหรือไม่?" "ข้ามิ..." หนานกงจื่อชินยังพูดมิทันจบ ก็รู้สึกว่าพลังลมปราณภายในร่างพลุ่งพล่านมิหยุด สุดท้ายก็รู้สึกคาวในลำคอ เลือดสด ๆ คำหนึ่งไหลออกมาจากมุมปากอย่างมิอาจควบคุมได้"พี่จื่อชิน!!" มู่หรงจื่อเยียนตกใจจนแทบสิ้นสติ ใบหน้าเต็มไปด้วยความตื่นกลัว คนที่สามารถทำร้ายหนานกงจื่อชิ
“ดีเลย อยากจะตบหม่อมฉันสินะ ถ้าอย่างนั้นก็ลงมือสิ หม่อมฉันฉงชูโม่ หากกะพริบตาแม้แต่นิดเดียว ถือว่าท่านชนะ!” ฉงชูโม่พูดอย่างแน่วแน่ พลางยื่นหน้าเข้ามาใกล้ฉินซูเห็นใบหน้าสวยงามน่าทะนุถนอมตรงหน้า สมองพลันร้อนวูบ เขายื่นปากเข้าไปจุมพิตเบา ๆ หนึ่งที“!!!” ฉงชูโม่เบิกตาโต ใบหน้าอ่อนหวานเต็มไปด้วยความมิเชื่อ หลังจากนั้น นางก็สะบัดมือตบออกไปโดยสัญชาตญาณ!“เพียะ… ครืน… โครม!!”ฉินซูถูกนางตบจนลอยทะลุหน้าต่างอีกฝั่ง แล้วร่วงลงมาจากชั้นสองของโรงสุรา“องค์รัชทายาท!!” พี่น้องตระกูลตงฟางหน้าซีดเผือดด้วยความตกใจ รีบกระโดดจากหน้าต่างตามลงไปเซี่ยหลานเองก็ตกตะลึง รีบวิ่งมาหาฉงชูโม่ พลางยกนิ้วโป้งให้“ชูโม่ ทำได้ดีมาก ข้ารู้สึกสะใจเหลือเกินที่เห็นองค์รัชทายาทจอมเจ้าชู้ถูกซัดเยี่ยงนี้!”ฉงชูโม่พูดด้วยความเสียใจ “เมื่อครู่ข้าเผลอใช้พลังเต็มที่ไปหน่อย!”“ว่ากระไรนะ!!” เซี่ยหลานหน้าซีดเผือด หัวใจนางเต้นมิเป็นจังหวะฉงชูโม่มีพลังแข็งแกร่งขนาดไหน ทั้งเมืองยอมรับว่าเป็นรองเพียงเจ้าสำนักหอดูดาวหลวง แล้วองค์รัชทายาทที่อ่อนแอเช่นนั้นจะทนต่อการตบเต็มแรงของนางไหวได้อย่างไร จะมิตายคาที่หรอกหรือ!?เซ
เมื่อเห็นฉงชูโม่หัวเราะอย่างมีความสุขจนตัวสั่นไปทั้งร่าง ฉินซูก็ถึงกับกลอกตาและเริ่มบ่นออกมา "เจ้าตบข้าจนตกจากชั้นสองแล้ว ยังจะมีหน้ามาหัวเราะได้อีก มิรู้สึกผิดบ้างเลยหรือ?""หึ! ท่านสมควรโดนแล้ว ว่าแต่ เหตุใดท่านถึงมิเป็นอะไร?" ฉงชูโม่เอ่ยด้วยความสงสัยในใจเพราะก่อนหน้านี้ นางจำได้อย่างชัดเจนว่าตอนที่ลงมือ นางมิได้ออมแรงไว้แม้แต่น้อยปกติแล้วจอมยุทธ์ทั่วไป หากโดนนางตบไปขนาดนี้ ต่อให้มิตายก็ต้องบาดเจ็บสาหัส แต่ฉินซูตอนนี้กลับมีเพียงรอยฝ่ามือแดงก่ำที่แก้ม และบวมเพียงเล็กน้อยเท่านั้นหรือว่า ฉินซูจะแอบซ่อนฝีมือไว้ แสร้งทำตัวเป็นหมูอ่อนแอ แต่จริง ๆ แล้วเป็นเสือซ่อนเล็บ?ฉงชูโม่คิดในใจอย่างระแวงมากขึ้น ขณะมองฉินซูด้วยสายตาสงสัยฉินซูทำท่าโกรธแล้วพูดว่า "ฟังจากน้ำเสียงของเจ้า การที่ข้ามิเป็นอะไรนี่ ดูเหมือนเจ้าจะผิดหวังมากเลยนะ อย่างนี้เจ้าคงอยากจะฆ่าข้าให้ตายจริง ๆ ล่ะสิ เจ้าคิดหรือว่าจะรับโทษฐานปลงพระชนม์องค์รัชทายาทไหว?"ฉงชูโม่รีบแจง "หม่อมฉันมิได้หมายความเช่นนั้น หม่อมฉันแค่แปลกใจ เหตุใดท่านถึงมิเป็นอะไรเลย ในเมื่อตอนตบ ข้าใช้ลมปราณไปด้วย""เจ้าน่าจะจำผิดแล้วล่ะ หากเจ้าใช้
เพราะเซี่ยเหอปู่ของนาง นับตั้งแต่ที่ฉินซูได้รับการแต่งตั้งเป็นองค์รัชทายาท เขาได้ยื่นฎีกาต่อหน้าธารกำนัลมากกว่าหนึ่งครั้งเพื่อถอดถอนฉินซู และเสนอให้แต่งตั้งอ๋องฉีเป็นองค์รัชทายาทแทนหากฉินซูได้รับความโปรดปรานจากองค์จักรพรรดิคืนมา คนแรกที่เขาต้องจัดการต้องเป็นปู่ของนางอย่างแน่นอน!เมื่อคิดได้เช่นนั้น เซี่ยหลานก็มิได้มีท่าทีแข็งกระด้างแล้วและฝืนยิ้มด้วยความยากลำบากอย่างยิ่ง“โอ้ องค์รัชทายาท หม่อมฉันเพียงแค่เย้าเล่นเท่านั้น จะทรงจริงจังอะไรถึงเพียงนั้นเล่าเพคะ จริง ๆ เลย มาเพคะ ให้หม่อมฉันตรวจดูหน่อยว่าท่านบาดเจ็บที่ใดหรือไม่”เซี่ยหลานนั่งยอง ๆ ข้างฉินซูพร้อมรอยยิ้ม จากนั้นจึงเริ่มตรวจร่างกายให้อีกฝ่ายฉินซูที่ถูกห้อมล้อมไปด้วยสตรีงามทั้งสองมีสีหน้าเรียบเฉย แต่ในใจกลับรู้สึกมีความสุขในเวลานี้ทั้งเซี่ยหลานและฉงชูโม่ต่างก็ก้มตัวลงมา โดยมีความงามที่ไม่มีที่สิ้นสุดปรากฏอยู่ใต้คออันนวลเนียนฉินซูส่งเสริมหลักการที่ว่า หากจะมิมองก็น่าเสียดาย เขาจึงเหลือบมองเป็นครั้งคราวเซี่ยหลานกำลังยุ่งอยู่กับการตรวจร่างกายของฉินซู จึงมิทันสังเกตเห็นสายตาแปลก ๆ ของเขาฉงชูโม่ตระหนักรู้ดีว่ามีบางอย่
“ชูโม่ พระ… พระองค์คงมิได้แกล้งทำใช่หรือไม่?”เมื่อเห็นฉินซูกระอักเป็นเลือด เซี่ยหลานก็พูดขึ้นอย่างตื่นตระหนกแต่ในขณะเดียวกัน นางก็กังวลว่านี่อาจเป็นกลอุบายของฉินซู ดังนั้นนางจึงเอ่ยถามฉงชูโม่หันกลับมาโดยมิพูดอะไร พร้อมกับพุ่งมาหาฉินซูและคว้าข้อมือของอีกฝ่ายด้วยมือข้างเดียวจากนั้นนางก็ใช้วิชายุทธ์อย่างเงียบ ๆ และปราณบริสุทธิ์ก็ซึมผ่านข้อมือของฉินซูเข้าไปหลังจากนั้นมินาน สีหน้าของฉงชูโม่ก็แปรเปลี่ยนเป็นจริงจังเพราะนางตรวจพบว่า ลมปราณในร่างกายของฉินซูนั้นผิดปกติเป็นอย่างมาก ขณะเดียวกันนางก็สังเกตเห็นว่าใบหน้าของฉินซูซีดลงกว่าเดิมนางถามด้วยความมิอยากเชื่อ “ท่านได้รับบาดเจ็บภายในสาหัสถึงเพียงนี้ได้อย่างไร?!”“ถามมาได้ เมื่อครู่ใครตบข้าจนร่วงเล่า… แค่ก แค่ก...”ฉินซูพูดได้เพียงครึ่งประโยคก่อนที่เขาจะที่จะไออีกครั้งเขามิได้เสแสร้ง ด้วยกลัวว่าจะถูกเปิดเผยว่าตนเป็นจอมยุทธ์ ดังนั้นตอนที่ฉงชูโม่ตบเขาที่โรงเตี๊ยมเมื่อครู่ เขามิได้ต่อต้าน แต่ใช้กายเนื้อเพื่อรับแรงตบเนื่องจากกำลังภายในของฉงชูโม่ถูกใช้หมดแล้ว ฉินซูจึงได้รับบาดเจ็บภายในมานิดหน่อย แต่ก็มิได้เบาหรือสาหัสอะไรฉงชูโม่
“ที่ท่านนำยาพิษออกมาก็เพื่อให้พวกเรากินมันเข้าไปรึ?!”ซุยฮ่าวพยักหน้าพร้อมรอยยิ้มจาง ๆ “ถูกต้อง แต่พวกเจ้ามิต้องกังวลมากเกินไปหรอก พวกนี้เป็นยาพิษที่ออกฤทธิ์ช้า ตราบใดที่กินยาแก้พิษเป็นระยะ ๆ ก็จะไม่มีทางตายเพราะพิษ”“คุณชายซุย แม้ข้าต้องการจะทำอาชีพขุนนางอย่างสดใส ทว่าหากต้องกินยาพิษและถูกควบคุมโดยคนอื่น ชาตินี้ข้าก็มิอยากเป็นขุนนางแล้ว”“ข้าก็เช่นกัน หากมิมีอิสระ ข้าก็ขอไปอยู่อย่างสันโดษในป่าในเขาดีกว่า”“ข้าเองก็มิเอาด้วย ขอลา!”ขณะพูด คนส่วนใหญ่ก็พากันหันหลังกลับซุยฮ่าวยิ้มเย็นพลางพูดว่า “มาถึงขนาดนี้แล้ว พวกเจ้าคิดว่าจะออกไปได้หรือ?”พูดจบ หน้าต่างบนชั้นสามก็ถูกใครบางคนเปิดออกหลังจากนั้น ชายฉกรรจ์หลายคนก็กระโดดลงมาจากชั้นบนและขวางทางเหล่าบัณฑิตเมื่อเห็นดาบใหญ่แวววาวในมือของอีกฝ่าย บรรดาบัณฑิตทั้งหลายก็หน้าซีดด้วยความหวาดกลัว มิกล้าแม้แต่จะหายใจซุยฮ่าวไพล่มือไว้ด้านหลังแล้วพูดอย่างใจเย็น “ข้าว่าพวกเจ้าเข้าใจอะไรผิดไปกระมัง ที่ข้าให้พวกเจ้ากินยาพิษที่ออกฤทธิ์ช้าชนิดนี้ก็เพื่อให้พวกเจ้าเชื่อฟังมากขึ้นและมิทรยศตระกูลซุย ตราบใดที่พวกเจ้าเชื่อฟัง ข้ารับประกันว่ามิเพียงชีวิ