กลายเป็นว่าการแสดงความสามารถของตนเมื่อครู่นั้นถูกฉินซูชิงไปครึ่งหนึ่ง ซุนฉีกล่าวอย่างมิพอใจ “เมื่อกี้เจ้าคงจะแค่คาดเดาได้เท่านั้น ข้าจะออกคำโคลงอีกบท หากเจ้าสามารถตอบได้จริง ข้าจะยอมให้เจ้าเข้าไป!” เมื่อได้ยินเช่นนั้น คิ้วของฉินซูกระตุกเล็กน้อย สีหน้าปรากฏความมิพอใจ ตงฟางไป๋เมื่อเห็นท่าทางเช่นนั้น จึงก้าวไปข้างหน้าแล้วตะคอกใส่ซุนฉี “เจ้ามันไร้ยางอาย! เมื่อสักครู่เจ้าบอกว่า หากคุณชายของข้าต่อโคลงกลอนได้ จะยอมให้เข้าไป ตอนนี้กลับมากล่าวหาว่า คุณชายของข้าเดาสุ่ม เจ้าเล่นมิเป็น หรือคิดว่าคุณชายของข้าใครจะรังแกก็ได้ใช่หรือไม่?” ขณะที่พูด กำปั้นอันใหญ่โตของเขาก็กำขึ้นจนเกิดเสียงกร๊อบแกร๊บของข้อต่อ แสดงให้เห็นถึงการข่มขู่อย่างเต็มที่ ซุนฉีตอบรับอย่างมิได้รีบร้อนว่า “เขาตอบได้เร็วถึงเพียงนี้ ข้าสงสัยว่าเขาเดาก็มิผิดอะไร หากคุณชายของเจ้ามีความรู้จริง ไฉนจะตอบอีกโคลงมิได้เล่า?” “เจ้า...” ตงฟางไป๋กำลังจะพูดต่อ แต่ฉินซูกลับยกมือห้ามไว้ “พอแล้ว ข้าจะตอบโคลงอีกบทก็ได้ แต่ข้าขอเตือนไว้ก่อน หากเจ้ายังจงใจกลั่นแกล้งอีกละก็ อย่าหาว่าบ่าวทั้งสองคนนี้ของข้ามิเกรงใจ!” “หึ เจ้า
ฉินซูมิแม้แต่จะหันกลับมา และตอบเรียบ ๆ ว่า "ซูฉิน" แต่อันที่จริงเขาสลับชื่อของตัวเอง ทว่าซุนฉีมิได้สังเกตถึงเรื่องนี้ เขาหรี่ตาลงเล็กน้อย แววตาเจือด้วยความโหดเหี้ยมขณะพึมพำอย่างเจ้าเล่ห์ว่า "หึ ซูฉิน ข้าจะจำชื่อเจ้าไว้ หวังว่าเจ้าจะมิพลาดท่าให้ข้าในภายหลังแล้วกัน" พูดจบเขาก็เดินขึ้นไปยังชั้นบนของโรงสุรา เมื่อมาถึงหน้าห้องส่วนตัวห้องหนึ่ง ซุนฉีมิได้เคาะประตู แต่กลับเงี่ยหูฟังอยู่ที่หน้าประตู ผ่านไปประมาณหนึ่งเค่อ เมื่อเสียงในห้องสงบลง เขาจึงเคาะประตู มินาน ประตูก็ส่งเสียง “เอี๊ยด” แล้วเปิดออกชายหนุ่มในชุดหรูหราอีกคนที่ดูทรงพลังเช่นกันถามว่า "ซุนฉี มีอะไรหรือ?" “คุณชายซุย เมื่อครู่มีคนอ้างว่าเป็นสหายของท่าน ข้าทดลองทดสอบดูแล้ว พบว่าผู้นั้นพอมีความรู้ จึงให้เขาเข้ามา” คิ้วของซุยฮ่าวขมวดขึ้นเล็กน้อย เขาถามด้วยความประหลาดใจว่า “โอ้? สหายของข้า? ใครกัน?” “เขาอ้างว่าชื่อซูฉิน” “ซูฉิน?” คิ้วของซุยฮ่าวขมวดลึกยิ่งขึ้น เขาคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพึมพำ "ข้าจำมิได้เลยว่าข้ามีสหายนามว่าซูฉิน" ซุนฉีเหมือนจะนึกอะไรออก เขาจึงพูดอย่างระมัดระวัง “คุณชายซุย หรือว่าผู้นั
มินานนัก ภายนอกก็เริ่มครึกครื้นขึ้นเหล่าบัณฑิตที่ดื่มสุราอยู่ตามห้องส่วนตัวบนชั้นสองและสามต่างก็ทยอยลงมายังโถงใหญ่ชั้นหนึ่ง บางคนถือพัดพับในมือ บางคนถือตำรากวีและวรรณกรรมในมือ ทุกคนล้วนแต่งกายในชุดบัณฑิต เห็นดังนั้น ซุนฉีจึงก้าวขึ้นไปยืนบนโต๊ะ พร้อมกล่าวแก่ฝูงชนด้วยเสียงดังว่า "ทุกท่าน พวกท่านล้วนเป็นผู้ที่มีความรู้สูง วันนี้ที่พวกเรามีโอกาสได้มารวมตัวกัน ข้าขอเสนอว่าเรามาลองประชันปัญญากันสักเล็กน้อย มิทราบว่าทุกท่านคิดเห็นเป็นอย่างไร?" "ดีเลย แม้ในวรรณกรรมจะไม่มีอันดับหนึ่ง แต่การได้แลกเปลี่ยนความรู้กันก็เป็นสิ่งที่ดี" "ใช่แล้ว ใช่แล้ว เช่นนี้เราจะได้เปิดหูเปิดตา แลกเปลี่ยนความรู้กัน" เมื่อเห็นว่าทุกคนเห็นพ้องต้องกัน ซุนฉีก็กล่าวต่อว่า "ถ้าเช่นนั้น นี่ก็ใกล้จะถึงวันผู้สูงอายุแล้ว เรามาใช้ 'ผู้สูงอายุ' เป็นหัวข้อในการประพันธ์บทความกันเถอะ แล้วเราจะนำผลงานทั้งหมดให้คุณชายซุยตรวจสอบและวิจารณ์ มาดูกันว่าใครจะเป็นผู้ที่มีฝีมือยอดเยี่ยมที่สุด!" "ดี ข้าเห็นด้วย เช่นนั้นพวกเราก็อย่าเสียเวลา รีบเริ่มเถอะ ได้รับการวิจารณ์จากคุณชายซุยถือเป็นเกียรติของพวกเราแล้ว" "ถูกต้อง ข้
ซุยฮ่าวพยักหน้ารับอย่างต่อเนื่อง "ใช่แล้ว พี่ชูโม่ ข้าเห็นว่าช่วงนี้มีผู้รู้ทางวรรณศิลป์มารวมตัวกันที่หลงเฉิงมากมาย ข้าก็เลยคิดจะนัดพวกเขามาพบปะกันบ้าง ว่าแต่ท่านกับพี่หญิงเซี่ยหลาน ไฉนจึงมาที่นี่ด้วยเล่า?" เซี่ยหลานหัวเราะ "ข้ากับชูโม่แค่จะมาร่วมสนุกสักหน่อย อยากเห็นว่าพวกบัณฑิตทั้งหลายเช่นเจ้าจะมีฝีมือโดดเด่นเพียงใด มิคิดเลยว่าจะบังเอิญเจอเจ้า" พูดถึงตรงนี้ เซี่ยหลานทำหน้าสงสัย พลางถามว่า "ซุยฮ่าว เหตุใดเจ้าดูหน้าตาดูย่ำแย่เช่นนี้ หรือมิอยากต้อนรับข้ากับชูโม่?" ซุยฮ่าวรีบอธิบาย "หามิได้ มิใช่เช่นนั้น ข้าแค่รู้สึกประหลาดใจนิดหน่อย มิเคยเห็นพวกท่านมาที่นี่มาก่อนเลย" "ดี ถ้าเช่นนั้น พวกเจ้าก็ทำธุระของพวกเจ้าไป ข้ากับชูโม่จะขึ้นไปนั่งที่ชั้นบน จะได้พลางฟังบทกวีและโคลงกลอนของพวกเจ้าไปด้วย" ทันทีที่เซี่ยหลานพูดจบ นางก็ควงแขนฉงชูโม่ขึ้นบันไดไป สายตาของทุกคนต่างจับจ้องสองสาวงามขณะที่เดินขึ้นไป เมื่อร่างของพวกนางหายไปตรงบันได ผู้คนในกลุ่มต่างก็เริ่มตั้งคำถาม "คุณชายซุย สองสาวงามที่พึ่งไปนั้นคือใครหรือ?" "ใช่ หากมิได้เห็นกับตาตนเอง ข้าก็มิอยากจะเชื่อเลยว่าใต้หล้านี้จ
ชายร่างใหญ่มีเคราหนาขมวดคิ้วถามว่า "เป็นแม่ทัพขั้นหนึ่ง ฉงชูโม่คนนั้นใช่หรือมิ?" "ใช่แล้ว เป็นนางนั่นแหละ นางแข็งแกร่งมาก พวกเจ้าจงระวังตัวไว้ อย่าให้ถูกนางจับได้ว่าอยู่ที่นี่" ชายร่างใหญ่มีท่าทางสงสัยและถามอีกครั้ง "แล้วนางมาที่นี่ด้วยเหตุใดกัน?" "พวกนางเพียงแค่ผ่านมา ข้าจะหาทางเบี่ยงเบนความสนใจพวกนางเอง ในระหว่างนี้ พวกท่านจำไว้ว่าห้ามทำอะไรบุ่มบ่าม" ซุยฮ่าวสั่งย้ำอีกสองสามประโยค ก่อนจะหันหลังกลับลงไปชั้นล่าง ในห้องส่วนตัว ชายร่างใหญ่หลายคนต่างปิดประตูหน้าต่างอย่างแน่นหนาและระวังตัวมิให้ส่งเสียงดัง เมื่อซุยฮ่าวลงมาถึงชั้นสอง ก็ตรงไปยังห้องที่เซี่ยหลานและฉงชูโม่อยู่ เขาเคาะประตูเบา ๆ แล้วเดินเข้าไป พร้อมยิ้มอย่างสุภาพและกล่าวว่า "พี่หญิงเซี่ยหลาน พี่หญิงชูโม่โรงสุราแห่งนี้สกปรก และพวกท่านก็เห็นแล้ว บัณฑิตที่มาจากเมืองอื่นเหล่านี้ทำตัวเหมือนคนที่มิเคยเห็นหญิงงาม”“ข้าเกรงว่า หากพวกท่านอยู่ต่อไป พวกเขาอาจจะล่วงเกินพวกท่านได้ พวกท่านไปนั่งเล่นที่หอชวนหอม มิดีกว่าหรือ ที่นั่นก็มีบัณฑิตและนักปราชญ์มากมายมาแลกเปลี่ยนความรู้กัน” เซี่ยหลานครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพย
พวกชายฉกรรจ์ต่างมองหน้ากัน แล้วหันกลับไปมองด้านหลัง ทันใดนั้น ชายหนุ่มในชุดขาวก็ก้าวเดินเข้ามาอย่างช้า ๆ เขาประสานมือไว้ด้านหลัง ใบหน้าเต็มไปด้วยความหยิ่งทะนง ชายผู้นี้มิใช่ใครอื่น บุตรแห่งนักปราชญ์ประจำหอดารารักษ์ของเป่ยเยี่ยน หนานกงจื่อชิน! เคียงข้างเขายังมีสตรีอายุประมาณยี่สิบปี นางสวมใส่ชุดกระโปรงยาวสีขาวเรียบง่าย หน้าตางดงาม อ่อนช้อย สตรีคนนี้มิใช่ใครอื่น นางคือบุตรสาวของอ๋องอวี้แห่งเป่ยเยี่ยน นามว่ามู่หรงจื่อเยียน ในขณะนี้ มู่หรงจื่อเยียนกำลังคล้องแขนของหนานกงจื่อชินอย่างสนิทสนม เมื่อทั้งสองก้าวเข้ามา ทุกคนในห้องโถงรวมถึงซุยฮ่าวต่างก็ตกตะลึงไปตาม ๆ กัน ชายหญิงรูปงาม ช่างเป็นคู่กิ่งทองใบหยกที่ลงตัวที่สุด หนานกงจื่อชินมองสำรวจผู้คนในห้องโถงด้วยสายตาหยิ่งยโส จากนั้นก็ยิ้มอย่างเยือกเย็น "ดูเหมือนว่า ที่นี่จะมีแต่บัณฑิตจากต้าเหยียน ในเมื่อข้าก็มาแล้ว คงต้องขอประลองฝีมือกับพวกท่านสักหน่อย" แม้เสียงของเขาจะมิดังมาก แต่ทุกคนในห้องกลับได้ยินอย่างชัดเจน แถมยังรู้สึกเจ็บหูอีกด้วย คำพูดที่หนานกงจื่อชินเอ่ยออกมานั้น แฝงไปด้วยกำลังภายใน เห็นได้ชัดว่า เขาเจ
เสียงของเซี่ยหลานดังขึ้นด้วยความมิพอใจ พร้อมกล่าวเยาะเย้ยว่า “คนอัปลักษณ์ที่เจ้าว่า น่าจะเป็นตัวเจ้าเองมากกว่ากระมัง พวกเจ้ามิใช่ว่าจะประลองกับบัณฑิตแห่งต้าเหยียนของเราหรอกหรือ? จะรออะไรอีก รีบเข้าประเด็นกันเสียทีเถอะ "หึ ข้าจะให้พวกเจ้าได้เห็นว่าเหล่าบัณฑิตต้าเหยียนของพวกเจ้าจะถูกขยี้อย่างไร!" เมื่อมู่หรงจื่อเยียนพูดจบ ก็หันไปมองซุยฮ่าวและบัณฑิตคนอื่น ๆ แล้วกล่าวต่อว่า "เอาเถอะ อย่าหาว่าชาวเป่ยเยี่ยนของเรารังแกพวกเจ้าเลย พวกเจ้ากำหนดหัวข้อเถอะ ประลองกันสามรอบ ใครชนะสองในสามถือเป็นผู้ชนะ" ซุยฮ่าวก็แค่นเสียงเบา ๆ ด้วยความมั่นใจ “ให้บุตรแห่งนักปราชญ์เป็นคนตั้งหัวข้อเองดีกว่า จะได้ไม่มีข้ออ้างเมื่อแพ้ ว่าเราเอาเปรียบ” มู่หรงจื่อเยียนแสยะยิ้มเหยียดหยัน “หึ คนไร้ประโยชน์อย่างพวกเจ้า คิดจะประลองกับพี่จื่อชินของข้ารึ? แค่ข้าคนเดียวก็ล้มพวกเจ้าทั้งหมดได้แล้ว” “หมายความว่าอย่างไร เจ้าก็เป็นเพียงสตรี...”ซุยฮ่าวยังพูดมิทันจบ มู่หรงจื่อเยียนก็พูดขัดขึ้นทันที “แล้วอย่างไรเล่า? พวกเจ้ามิกล้ารึ? หรือกลัวว่าถ้าแพ้ข้าซึ่งเป็นสตรี แล้วจะทำให้บัณฑิตต้าเหยียนเสียหน้า?” เมื่อถูกยั่วเช่น
"เฮ้อ… สาวน้อยเป่ยเยี่ยน เจ้าดูจะตื่นเต้นมิน้อยเลย เจ้าคงมิได้คิดว่าแค่ชนะพวกเขา จะเท่ากับชนะทั้งวงการวรรณกรรมของแผ่นดินต้าเหยียนหรอกใช่หรือไม่?" เมื่อได้ยินเสียงนี้ ทุกคนต่างเงยหน้าขึ้นมอง ก็เห็นชายหนุ่มคนหนึ่งยืนอยู่ตรงหน้าต่างชั้นสอง มองลงมายังมู่หรงจื่อเยียนจากมุมสูง ชายผู้นั้นดูมีอายุราวสามสิบกว่า ร่างกำยำบึกบึน กล้ามเนื้อแขนแข็งแกร่ง ดูก็รู้ว่าเป็นผู้ที่ฝึกฝนตนอย่างชำนาญ ฉงชูโม่ที่อยู่ตรงข้ามก็ขมวดคิ้วทันทีเมื่อได้ยินเสียงของเขา นางรู้สึกว่าเสียงนี้คุ้นเคยอย่างยิ่ง ด้วยความสงสัย นางจึงลุกขึ้นยืนแล้วแอบมองไปที่หน้าต่างฝั่งตรงข้าม ก่อนจะอุทานออกมาด้วยความตกใจ “เป็นเขานี่เอง! เขาก็อยู่ที่นี่ด้วยหรือ?” เซี่ยหลานที่สังเกตเห็นชายร่างใหญ่ที่อยู่หน้าต่างอีกฟากเช่นกัน จึงเอ่ยถามด้วยความสงสัยว่า “ชูโม่ ชายร่างใหญ่คนนั้นเป็นใครกัน เจ้ารู้จักเขาหรือ?” ฉงชูโม่มิได้ตอบคำถามในทันที นางใช้ดวงตาคู่งามกวาดมองด้านหลังของชายร่างใหญ่คนนั้น ราวกับกำลังมองหาใครบางคน ขณะเดียวกัน มู่หรงจื่อเยียนที่อยู่ชั้นล่างก็จ้องชายร่างใหญ่คนนั้น ก่อนจะกล่าวอย่างดูถูก "หึ สาวน้อยเช่นข้าชนะบัณฑิตแห่งต้
ถานเหวยโกรธจนกัดฟันกรอด พลันตะโกนด่าด้วยความโมโห "ทั่วป๋าชื่อ เจ้านี่ช่างบ้าบิ่น การลอบปลงพระชนม์องค์รัชทายาทคือโทษประหารล้างชั่วโคตร! หากพวกเจ้ากล้าก่อเรื่องในวันนี้ ก็จงรอรับมือกองทัพจากราชสำนักที่จะมากวาดล้างพวกเจ้าทั้งเผ่าโครยอให้สิ้นซากได้เลย!”“หึ ในเมื่อข้ากล้าลงมือ ข้าก็เตรียมพร้อมทุกอย่างไว้หมดแล้ว เจ้าคิดว่ามีใครในพวกเจ้าในวันนี้จะหนีรอดไปได้หรือ?”อูมู่ยังหัวเราะเยาะหยัน "เพียงแค่พวกเราฆ่าพวกเจ้าทั้งหมด องค์จักรพรรดิจะมีหลักฐานอะไรที่พิสูจน์ได้ว่าเป็นฝีมือพวกเรา?"“ใช่แล้ว แถบพื้นที่ฉงซานมีสัตว์ร้ายอาละวาดหนัก ถึงตอนนั้นทุกคนคงคิดว่ารัชทายาทผู้ตกอับถูกสัตว์ร้ายฆ่าตาย ใครเล่าจะสงสัยมาถึงพวกเราชนเผ่าโครยอ?”กานรุ่ยสีหน้าเคร่งขรึม และเอ่ยเสียงเบา "องค์รัชทายาท พวกเขาพูดถูกพ่ะย่ะค่ะ เมื่อพวกเขากล้าลงมือ แสดงว่าต้องวางแผนไว้อย่างรัดกุมแล้ว อีกเดี๋ยวท่านโปรดหาโอกาสหลบหนี พวกเราจะยอมสละชีวิตเพื่อเปิดทางให้เองพ่ะย่ะค่ะ"หลังจากพูดจบ เขาก็ชักดาบออกจากฝักเหล่าทหารที่ติดตามต่างก็ชักกระบี่ออกมาเช่นกันด้วยท่าทีพร้อมสละชีวิตทั่วป๋าชื่อตะโกนเสียงดัง "ฉินซู ยังมิรีบปลิดชีพตนอีกรึ จ
“ดวนมู่ เจ้าคิดมากเกินไป หากทุกคนเหมือนเจ้า คอยแต่ลังเลเช่นนี้ แล้วจะสร้างความสำเร็จได้อย่างไร!”“ถูกต้อง หากมิทำการรวดเร็วเด็ดขาด เราชาวเผ่าโครยอจะต้องรออีกนานเพียงใดจึงจะฟื้นฟูชนเผ่าของเราได้ พวกเรารอมาหลายสิบปีแล้ว จะให้รอไปอีกหลายสิบปีหรือ?”ตวนมู่ยังคิดจะโต้แย้ง แต่ในตอนนั้นทั่วป๋าชื่อก็พลันโบกมือขัดจังหวะด้วยท่าทีแน่วแน่!“หยุดพูดเรื่องนี้ได้แล้ว ในเมื่อพวกเราตัดสินใจจะร่วมมือกับท่านผู้สูงศักดิ์ผู้นั้นเราก็ต้องแสดงความจริงใจ มิเช่นนั้นจะเอาอะไรไปต่อรองในภายหลัง”หลี่ว์ชุ่นและอูมู่เอ่ยพร้อมกันว่า "ท่านหัวหน้าฉลาดล้ำ!"เมื่อเห็นว่าทั่วป๋าชื่อตัดสินใจแน่วแน่แล้ว ตวนมู่จึงได้แต่ถอนหายใจและมิพูดอะไรอีกทั่วป๋าชื่อสั่งหลี่ว์ชุ่น รีบรวบรวมทหารทั้งหมด รวมตัวกันที่ลานฝึกซ้อม ข้าจะให้รัชทายาทผู้รอวันถูกปลดนั้นได้เห็นถึงความเก่งกาจของเผ่าเรา!""ขอรับ!"หลี่ว์ชุ่นรับคำสั่งด้วยความเคารพก่อนจะเดินออกไปอย่างรวดเร็วอูมู่พูดด้วยท่าทีเคร่งขรึม "ท่านหัวหน้า สตรีที่ติดตามเจ้าชายนั้นดูเหมือนจะมีฝีมือมิธรรมดา ข้าจะนำกองพลธนูไปจับตาดูนางเป็นพิเศษ""ดีมาก ไปเถอะ!"อูมู่โค้งคำนับแล้วจึงเดินออ
หลังจากที่ฉินซูพูดจบ เขาก็หยิบของว่างบนโต๊ะขึ้นมากินขณะที่เขากำลังจะเอามันเข้าปาก ถานเหวยก็รีบเตือน "องค์รัชทายาท เกรงว่าทั่วป๋าชื่ออาจจะเล่นตุกติกกับอาหารและเครื่องดื่มเหล่านี้ โปรดระวังด้วยพ่ะย่ะค่ะ"“หากทั่วป๋าชื่อหาญกล้าเช่นนั้น ตอนที่ถูกข้าดูหมิ่นเมื่อครู่ เขาคงสั่งให้ทหารสองหมื่นนายของเขาลงมือไปแล้ว”ฉินซูพูดพลางเริ่มกินอย่างมิสนใจใบหน้าของถานเหวยเต็มไปด้วยความอึดอัดใจ คิดในใจว่าองค์รัชทายาทประมาทเกินไป จึงรีบหันไปส่งสายตาให้กู้เสวี่ยเจี้ยนกู้เสวี่ยเจี้ยนเอ่ยขึ้นเรียบ ๆ "ไม่มีพิษ สบายใจได้"เมื่อได้ยินนางพูดเช่นนั้น ถานเหวยก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกเขารู้ดีว่ากู้เสวี่ยเจี้ยนมีความเชี่ยวชาญด้านการแพทย์ หากมีพิษในอาหาร ต้องไม่มีทางรอดพ้นสายตาอันเฉียบคมของนางไปได้แน่หลังจากนั้น ถานเหวยและคนอื่น ๆ ก็เริ่มกินตามเช่นกันพวกเขากินดื่มอยู่ข้างลานฝึกทหารพลางมองดูเหล่ากองทหารของชนเผ่าโครยอฝึกซ้อมประจำวันฉินซูเดาะลิ้นแล้วเอ่ยชมเชย "ทหารโครยอเหล่านี้ช่างมิธรรมดาจริง ๆ แต่ละคนล้วนแข็งแรงกำยำ ทั้งยังมีทักษะธนูที่ยอดเยี่ยมอีกด้วย"“ใช่แล้ว ดูจากการฝึกซ้อมแบบนี้แล้ว เรียกได้ว่าเป็
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ทั่วป๋าชื่อก็เหลือบมองฉินซูอย่างสงสัยในใจเขาเต็มไปด้วยความฉงน มิเข้าใจว่าการกระทำของฉินซูมีจุดประสงค์อะไรกันแน่หรือเขาจะคิดว่าตนกำลังวางแผนกบฏ ดังนั้นองค์จักรพรรดิจึงให้เขานำกองทหารมาปราบปราม?เมื่อคิดถึงตรงนี้ ทั่วป๋าชื่อก็รีบร้อนอธิบาย "องค์รัชทายาทกล่าวเกินไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ ทหารของพวกเราเหล่านี้จะนับเป็นกองทหารมีฝีมือได้อย่างไร ก็แค่กลุ่มคนหนุ่มที่รวมตัวกันเองเพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยภายในเผ่าเท่านั้น เพราะเมื่อคนมากขึ้น ความขัดแย้งก็ย่อมมากขึ้นตามไปด้วย”“จะเป็นกองกำลังฝีมือดี หรือเป็นแค่กลุ่มที่รวมตัวกันเองก็ตามที วันนี้ตัวข้าก็อยากจะดูสักหน่อย หัวหน้าทั่วป๋าผลัดข้ออ้างไปมา หรือว่าเจ้ามีอะไรบางอย่างที่มิอยากให้ข้ารู้?”“หามิได้ ๆ พ่ะย่ะค่ะ หากองค์รัชทายาทต้องการชม เช่นนั้นก็เชิญเสด็จไปที่ลานฝึกทหารเถิดพ่ะย่ะค่ะ”ทั่วป๋าชื่อพูดพลางทำท่าทางเชื้อเชิญด้วยความสุภาพ แล้วจึงนำคณะของฉินซูไปยังลานฝึกทหารลานฝึกนั้นมีขนาดกว้างขวาง อุปกรณ์ฝึกซ้อมต่าง ๆ ถูกจัดเตรียมไว้อย่างครบครันในลานยังมีคนจำนวนมิน้อยกำลังฝึกซ้อมอยู่ทั่วป๋าชื่อทำใจดีสู้เสือพลางเอ่ย "เหล่าคนหน
ทั่วป๋าชื่อคิดว่าตนเองปกปิดมันไว้อย่างดีแล้ว แต่หารู้ไม่ว่า ฉินซูมองเห็นเจตนาสังหารในแววตาของเขาได้อย่างชัดเจนฉินซูหรี่ตาลงเล็กน้อย ก่อนจะยกเท้าออกจากอกของทั่วป๋าชื่อเมื่อพ้นจากพันธนาการ ทั่วป๋าชื่อก็ลุกขึ้นยืนด้วยการพยุงของเหล่าผู้นำผู้นำคนหนึ่งกระซิบข้างหูทั่วป๋าชื่อ "ท่านหัวหน้า องค์รัชทายาทหยิ่งผยองถึงเพียงนี้ ย่อมต้องมีบางสิ่งในมือเป็นที่พึ่งพา มิแน่ว่าทัพหลวงของราชสำนักอาจซุ่มอยู่รอบ ๆ นอกเผ่า ขอเพียงเรายอมถอยก่อน ย่อมมิเสียเปรียบ”สีหน้าของทั่วป๋าชื่อเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา แต่สุดท้ายก็ยังพยักหน้าเบา ๆจากนั้นเขาก็นำบรรดาผู้นำเหล่านั้นคุกเข่าลงต่อหน้าฉินซูด้วยความเคารพนอบน้อม“ข้าน้อยขอคารวะองค์รัชทายาท”เหล่าทหารรักษาการณ์และชาวบ้านที่ผ่านไปมาก็รีบคุกเข่าตามเช่นกันฉินซูไพล่มือไว้ด้านหลังแล้วมองดูพวกเขาอย่างเย็นชา แต่มิได้สั่งให้พวกเขาลุกขึ้นทันทีเมื่อเห็นว่าฉินซูจงใจทำให้ตนอับอาย ทั่วป๋าชื่อก็ก้มศีรษะต่ำลงอีกเล็กน้อย ใบหน้าเต็มไปด้วยความคับแค้นบรรดาผู้นำที่อยู่ข้างหลังเขากัดฟันคำนับแก่ฉินซูถานเหวยมองเจตนาของฉินซูออก จึงพูดกับทั่วป๋าชื่ออย่างเย็นชา "ทั่วป๋าชื่อ เจ้า
เมื่อบ้วนออกมา ปรากฏว่าเป็นเศษฟันหลายซี่!ทั่วป๋าชื่อโกรธจนตัวสั่น เส้นเลือดบนหน้าผากปูดโปนขณะที่เขากำลังจะลุกขึ้นยืน ฉินซูก็เอาเท้าข้างหนึ่งเหยียบหน้าอกของเขาไว้!"ท่านหัวหน้า!!"หลังจากที่เหล่าผู้นำได้สติกลับมา พวกเขาทั้งหมดก็ชักดาบออกมาทันทีและจ้องมองไปยังฉินซูด้วยสายตาดุร้าย!เหล่าทหารที่เฝ้าประตูเมืองเห็นเหตุการณ์ก็ชักอาวุธเตรียมพร้อมทันทีเช่นกันเมื่อเห็นเช่นนี้ ถานเหวยก็ตะโกนด้วยเสียงเกรี้ยวกราด "บังอาจ! กล้าชักดาบต่อหน้าองค์รัชทายาท พวกเจ้าคิดจะทำอะไร ต้องการก่อกบฏรึ?"ผู้นำคนหนึ่งพูดด้วยเสียงหนักแน่น "ใต้เท้า พวกเรามิได้ตั้งใจหาเรื่อง แต่องค์รัชทายาทเป็นฝ่ายลงมือก่อน!"“ใช่แล้ว รีบปล่อยหัวหน้าของพวกเราเสีย มิเช่นนั้นอย่าหาว่าพวกเรามิเกรงใจ!"ฉินซูแสยะยิ้มเย็นชา สีหน้าเต็มไปด้วยความดูแคลน "พวกเจ้าจะลองดูก็ได้ว่าดาบของพวกเจ้าจะเร็ว หรือเท้าของข้าจะไวกว่า!"เมื่อพูดจบ เขาก็เพิ่มแรงกดเท้าลงไปอีกทันใดนั้นก็มีเสียง กร๊อบ ดังขึ้นจากกระดูกหน้าอกของทั่วป๋าชื่อเมื่อเห็นเหตุการณ์เช่นนี้ บรรดาผู้นำต่างมองหน้ากันด้วยสีหน้าหวาดหวั่น และรีบยอมแพ้ในทันที“องค์รัชทายาท หากมีอะไ
ทั่วป๋าชื่อหันไปถามทหารคนเดิม "รัชทายาทไร้ประโยชน์นั่นพาคนมาเท่าใด?""ท่านหัวหน้า พวกเขามากันเพียงสิบกว่าคนเท่านั้น!”“ว่ากระไรนะ แค่สิบกว่าคน?”“ขอรับ อีกทั้งคนที่ติดตามมาด้วยก็เป็นเพียงเจ้าหน้าที่จากอำเภอฉงซาน หลายคนยังเป็นหน้าเดิมที่เคยเห็นกันอยู่แล้ว”ได้ยินดังนั้น ทั่วป๋าชื่อก็หัวเราะลั่นอีกครั้ง ฮ่าฮ่าฮ่า! รัชทายาทผู้รอวันถูกปลดคนนั้นช่างกล้าจริง ๆ! แค่สิบกว่าคนก็กล้าบุกเข้ามาในชนเผ่าโครยอของข้า คิดว่าชนเผ่าโครยอของเรายังอ่อนแอเหมือนเมื่อหลายสิบปีก่อนหรืออย่างไร!”ผู้นำคนหนึ่งพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ "ท่านหัวหน้า รัชทายาทผู้รอวันถูกปลดคนนั้นกล้ามาอย่างเปิดเผยเช่นนี้ คงต้องมีอะไรให้พึ่งพาอยู่เป็นแน่ เราอย่าประมาทเลย"ทั่วป๋าชื่อโบกมือไปมา เอ่ยอย่างมิเห็นด้วย “หึ ๆ เขาเป็นแค่รัชทายาทที่กำลังจะถูกปลด จะมีอะไรให้พึ่งพาได้!"“ท่านหัวหน้า ข้าได้ยินมาว่า ช่วงนี้รัชทายาทเปลี่ยนไปมาก เมื่อมินานมานี้ในงานเลี้ยงฉลองวันคล้ายวันพระราชสมภพของไทฮองไทเฮา เขายังสามารถเอาชนะบัณฑิตของเป่ยเยี่ยนได้อย่างหมดจด แม้แต่ขุนนางอาวุโสของสำนักหอสมุดหลวงแห่งเป่ยเยี่ยนก็ยังแพ้ให้เขา"“เจ้าคิดมากไปแล้ว! เ
"ยังเหลืออีกสองลูก""นั่นก็เพียงพอแล้ว"หลังจากที่กู้เสวี่ยเจี้ยนพูดจบก็กอดกระบี่ยาวเอนตัวพิงประตูหลับตาพักผ่อนเซี่ยหลานพูดอย่างมิสบายใจ "องค์รัชทายาท ในเมื่อชนเผ่าโครยอกล้าตัดเส้นทางน้ำของแม่น้ำกุ้ยฮวาเจียงได้ แสดงว่าพวกเขาอาจมีเจตนาร้าย หากเกิดการต่อสู้ขึ้น พวกเราที่มีเพียงสิบกว่าคนจะเอาชนะได้อย่างไรเพคะ?"ฉินซูยิ้มอย่างมิใส่ใจ "วางใจได้ ต่อให้เกิดการต่อสู้ ก็มิได้หมายความว่าจะแพ้เสียหน่อย อีกทั้งข้าคือองค์รัชทายาทผู้สูงศักดิ์ หากพวกเขากล้าล่วงเกินเช่นนั้น มิกลัวหรือว่าราชสำนักจะส่งทหารมาเหยียบพวกเขาให้ราบเป็นหน้ากลองหรือไร?”“มิว่าอย่างไร ท่านก็ต้องระวังตัวด้วยเพคะ หม่อมฉันจะรอท่านกลับมา”ฉินซูพยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นก็ออกเดินทางพร้อมกู้เสวี่ยเจี้ยนและถานเหวยก่อนที่กู้เสวี่ยเจี้ยนจะออกไป นางจ้องมองไปยังเซี่ยหลานพร้อมกับรอยยิ้มเย็นแฝงเลศนัยที่ชวนให้ครุ่นคิดเมื่อเห็นเช่นนี้ เซี่ยหลานก็อดขมวดคิ้วมิได้ มองมิออกว่าแววตาของกู้เสวี่ยเจี้ยนต้องการสื่อถึงสิ่งใดด้านนอกที่ว่าการอำเภอกานรุ่ยมาพร้อมกับทหารสิบนายและเดินเข้ามาอย่างรวดเร็วฉินซูมิพูดพร่ำทำเพลง พลันโบกมือสั่งการ "ไปก
ในช่วงหลายวันที่ผ่านมาฉินซูดูแลจัดการเรื่องการช่วยเหลือผู้ประสบภัยในอำเภอฉงซานด้วยการสนับสนุนเสบียงข้าวที่เพียงพอ ชาวบ้านกว่าสองแสนคนในอำเภอฉงซานจึงมิต้องทนทุกข์กับความหิวโหยอีกต่อไปอย่างไรก็ตาม ปัญหาการขาดแคลนน้ำเนื่องจากแม่น้ำกุ้ยฮวาเจียงแห้งขอดนั้นยังมิได้รับการแก้ไขวันนี้ที่ห้องประชุมใหญ่ของที่ว่าการอำเภอฉินซูสอบถามผู้ว่าการอำเภอ “ใต้เท้ากาน แม่น้ำกุ้ยฮวาเจียงของพวกท่านมีต้นน้ำอยู่ที่ใด?”กานรุ่ยตอบด้วยความเคารพ "กราบทูลองค์รัชทายาท แม่น้ำกุ้ยฮวาเจียงเป็นเพียงสาขาหนึ่งของแม่น้ำเหลียนเจียง โดยจุดที่ไหลมาบรรจบกันอยู่ที่ทางด้านเหนือห่างไปสามสิบลี้ที่เนินเขาสูง"“ในเมื่อแม่น้ำกุ้ยฮวาเจียงเป็นเพียงแม่น้ำสาขา แล้วมันจะแห้งแล้งได้อย่างไร? หรือว่าแม่น้ำเหลียนเจียงเองก็แห้งไปด้วย?”“มิใช่เช่นนั้นพ่ะย่ะค่ะ แม่น้ำเหลียนเจียงยังคงมีน้ำไหลอย่างอุดมสมบูรณ์ แต่เป็นเพราะชนเผ่าโครยอได้ทำการปิดกั้นทางน้ำสาขาที่แม่น้ำเชื่อมต่อเอาไว้ ข้าน้อยเคยส่งคนไปเจรจาหลายครั้งแล้วแต่ก็มิเป็นผลสำเร็จเลยสักครั้ง”ฉินซูแค่นเสียงอย่างเย็นชา "หึ! แค่ชนเผ่าตัวเล็ก ๆ ก็กล้าปิดกั้นแม่น้ำสาขาของต้าเหยียน ข้าเก