หลี่หลงหลินยิ้ม เขาไม่ถือสาซูเฟิ่งหลิง และยังตักบะหมี่ชามใหญ่ให้นางอีกด้วย ซูเฟิ่งหลิงกินคำเล็กๆ ก่อน แล้วดวงตาก็เป็นประกายทันที เห็นได้ชัดว่าเป็นแค่บะหมี่ธรรมดา! ทำไมถึงอร่อยขนาดนี้? ซูเฟิ่งหลิงหิวมากแล้ว นางถือชามไว้ แล้วซดบะหมี่เสียงดัง ไม่มีใครหนีพ้นกฎแห่งความอร่อย ซูเฟิ่งหลิงก็เช่นกัน บะหมี่ที่เหลือเหลือน้อยแล้ว หลี่หลงหลินตักให้ตัวเองชามเล็กๆ แล้วลองชิม อันที่จริง รสชาติของผงปรุงรสไก่นี้ก็พอใช้ได้ เมื่อเทียบกับผงชูรสจริงๆ แล้ว ความอร่อยยังด้อยกว่าอยู่บ้าง แต่ในยุคที่เครื่องปรุงรสหายากและรสชาติอาหารจืดชืด ผงปรุงรสไก่ก็ย่อมเป็นราชาอย่างไม่ต้องสงสัย! หลังจากกินบะหมี่หนึ่งชามเสร็จ หลี่หลงหลินก็ยังรักษาสัญญา เขาทำบะหมี่หม้อใหญ่ให้ซุนชิงไต้ ปล่อยให้นางกินอย่างเต็มที่ อย่างไรก็ตาม หลี่หลงหลินเริ่มสัมภาษณ์ลั่วอวี้จู๋และกงซูหว่าน "พี่สะใภ้ใหญ่ พี่สะใภ้รอง" "พวกท่านคิดว่ารสชาติของบะหมี่นี้เป็นอย่างไร?" หลี่หลงหลินถาม ลั่วอวี้จู๋และกงซูหว่านพยักหน้าและให้คำวิจารณ์ในเชิงบวก ซูเฟิ่งหลิงกินบะหมี่หมดชามด้วยความอยากรู้อยากเห็น: "อร่อยจริงๆ! ทำไมถึงอร่อยขนาดนี้?
ซุนชิงไต้เอ่ยตอบอย่างคล่องแคล่วหมดจด “เปล่า!”หลี่หลงหลินพูดยิ้มๆ “ผงปรุงรสไก่ที่แท้จริงอร่อยกว่าที่ท่านชิมนับหมื่นเท่า!”บึ้ม!ซุนชิงไต้น้ำลายแตกฟอง วิ่งมาเขย่าแขนหลี่หลงหลินซ้ายทีขวาที เปล่งเสียงออดอ้อน “องค์ชายเก้า ท่านเป็นคนดีคนหนึ่ง! ของกินเลิศรสเช่นนี้ทำเยี่ยงไร ท่านรีบสอนหม่อมฉันเถอะ!”หลี่หลงหลินหัวเราะออกมา “พี่สะใภ้สาม ท่านทำอาหารต่อเถอะ! อีกเดี๋ยวข้าจะเขียนให้ท่าน!”“ได้เลย!”ซุนชิงไต้วิ่งออกไปอย่างมีความสุข หยิบหม้อต่อไป ต่อสู้กับบะหมี่ที่เหลือหลี่หลงหลินหัวเราะเบาๆ พูดว่า “อิงตามความหลักแหลมของพี่สะใภ้สาม ไปจนถึงความยึดมั่นในอาหารเลิศรส! ทำผงปรุงรสไก่ที่แท้จริงออกมาขึ้นอยู่กับเวลาเท่านั้น! แต่จะทำผงปรุงรสไก่ ยังต้องใช้อุปกรณ์พิเศษมากมาย”กงซูหว่านตบอกของตน “เหล่านี้ยกให้ข้าเถอะ!”หลี่หลงหลินพยักหน้ายิ้มๆ “แล้วช่องทางการขายเล่า?”ลั่วอวี้จู่คลี่ยิ้มอ่อนโยน “เรื่องเล็ก ยกให้ข้าก็พอ!”หลี่หลงหลินพยักหน้า เอ่ยปากว่า “ต่อไปก็คือเผยแพร่เท่านั้น! สุราดีเองก็กลัวตรอกลึก! ต้องการขายผงปรุงรสไก่ ต้องหาตัวแทนตราสินค้าที่เหมาะสมสักคนหนึ่ง!”ตัวแทนตราสินค้า?ทุกคนได้ยินชื่
เช้าวันต่อมา ก่อนหลี่หลงหลินไปเข้าประชุมยังถือผงปรุงรสไก่หนึ่งขวดเข้าวังอีกด้วยฮ่องเต้หวู่ตื่นบรรทม ไปเยี่ยมคารวะไทเฮาแล้ว บัดนี้กำลังเสวยพระกระยาหารเช้าอาหารวางเต็มโต๊ะ ฮ่องเต้หวู่ไม่แตะต้องสักอย่างเดียว กินโจ๊กจืดช้าๆช่วยไม่ได้เห็นอาหารโอชะสีสันงดงามมากมาย กลับไม่สามารถกลืนลงไปได้มีเพียงโจ๊กจืดที่แม้รสอ่อนไปบ้าง แต่ยังฝืนกลืนเข้าปากได้เว่ยซวินเดินก้าวเล็กๆ เข้ามา ค้อมตัวพลางเอ่ย “ฝ่าบาท องค์ชายเก้าเข้าวังขอเยี่ยมคารวะ กำลังรออยู่ด้านนอกตำหนักพ่ะย่ะค่ะ...”ฮ่องเต้หวู่ขมวดคิ้ว ตรัสอย่างไม่พอพระทัย “เจ้าเก้าว่างงานเกินไปหรือ? เหตุใดมาขอเยี่ยมคารวะตั้งแต่เช้าเหมือนเจ้าสี่ก็มิปาน? เขาคงไม่คิดว่านี้คือความกตัญญูหรอกกระมัง?”ระยะนี้ฟ้ายังไม่ทันสว่างองค์ชายสี่ก็รออยู่หน้าพระที่นั่งหย่างซินเพื่อขอเยี่ยมคารวะฮ่องเต้หวู่เดิมทีฮ่องเต้หวู่ยังซาบซึ้งใจ คิดว่าองค์ชายสี่มีความกตัญญูทว่านานวันเข้า ฮ่องเต้หวู่ก็นึกรำคาญอยู่บ้างเรางานยุ่งปวดหัวมาตลอดทั้งวันแล้วองค์ชายเจ้าเองก็ไม่รู้จักหาทางคลายกังวลให้เราเช้าเยี่ยมคารวะ เย็นเยี่ยมคารวะ เว้นเสียแต่แสร้งกตัญญูยังมีความนัยอื่นอีก
ก่อนหน้านี้ไม่ว่ากินสิ่งใดก็ล้วนไม่มีรสชาติ ยากจะกลืนลงไป!อึก...เพียงคำเดียว ดวงเนตรของฮ่องเต้หวู่ก็ทอประกายระยับรสชาติเข้มข้นระเบิดทั่วทั้งต่อมรับรส!รสชาติเลิศล้ำเหลือหลาย!ฮ่องเต้หวู่รู้สึกว่าตนเองมิได้กำลังกินโจ๊ก แต่ดื่มน้ำแกงไก่รสเข้มหนึ่งชาม!ภายในยังมีรสชาติหอมหวานของโจ๊กอีกด้วยความรู้สึกนั้นช่างเหลือจะเชื่อโดยแท้!ฮ่องเต้หวู่กินโจ๊กครึ่งถ้วยหมดภายในคำเดียว เช็ดพระโอษฐ์ตรัสว่า “เราไม่เคยกินโจ๊กอร่อยเพียงนี้มาก่อน! สหายเว่ย ไปนำโจ๊กมาให้เราอีกชาม!”เว่ยซวินตื่นเต้นแทบแย่ ขอบตาร้อนผะผ่าว “ฝ่าบาท พระองค์เสวยแล้ว! กระหม่อมจะไปเดี๋ยวนี้...”ฮ่องเต้หวู่เอ่ยเตือน “ใส่ยาด้วย!”ภายใต้การทำงานของผงปรุงรสไก่ ฮ่องเต้หวู่เสวยโจ๊กถึงสามชาม อิ่มแล้วก็เรอออกมา ตรัสอย่างสลดใจ “สบายยิ่งนัก! เรามิได้กินอิ่มนานมากแล้ว!”เว่ยซวินปาดน้ำตา “ใช่แล้วพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท! อาการประชวรของพระองค์หายดีแล้ว! ขอบคุณหมอเทวดาซุนมาก! นางยอดเยี่ยมเหลือเกิน ทั้งๆ ที่เป็นดรุณีน้อยคนหนึ่ง กลับสามารถทำยารักษาอาการประชวรของพระองค์ได้ ช่างมีความสามารถโดยแท้!”ฮ่องเต้หวู่หันมองทางหลี่หลงหลิน ตรัสอย่างแปลกพร
ฮ่องเต้หวู่มิได้ผิดคำพูดพระราชโองการหนึ่งฉบับก็ประกาศให้คนทั่วหล้ารู้ในวันนี้เลย!ชื่อของหมอเทวดาซุนชิงไต้ นับตั้งแต่นี้ไปเป็นชื่อที่ผู้คนต่างรู้จักทั่วบ้านทั่วเมืองชื่อที่มาพร้อมกับซุนชิงไต้ยังมียาเทวดาผงปรุงรสไก่อีกด้วยทั่วทั้งเมืองหลวง ไม่ว่าพระญาติราชวงศ์ หรือพ่อค้าอันธพาล ทั้งหมดต่างพากันพูดคุยกันถึงเรื่องนี้ตกลงวิชาแพทย์ของซุนชิงไต้ล้ำเลิศมากเพียงใดยาเทวดาผงปรุงรสไก่นี้ มีรสชาติเช่นไรทว่าไม่มีคนรู้กลับทำให้คนนับไม่ถ้วนประหลาดใจมากยิ่งขึ้น!ณ จวนสกุลซูฮูหยินผู้เฒ่าหลั่งน้ำตาเป็นสาย จับมือเล็กของซุนชิงไต้ “สวรรค์มีเมตตา! กงซูหว่านเป็นขุนนาง ซุนชิงไต้มีชื่อเสียงโด่งดังทั่วหล้า สร้างชื่อเสียงให้สกุลซู! ข้าดีใจมากเหลือเกิน!”ลั่วอวี้จู๋พูดยิ้มๆ “ฮูหยินผู้เฒ่า นี่มิใช่ความดีความชอบของสวรรค์! แต่เป็นความดีความชอบขององค์ชายเก้าเจ้าค่ะ!”ฮูหยินผู้เฒ่าซูพยักหน้า “ใช่แล้ว! นับตั้งแต่องค์ชายเก้ามา ไม่เพียงกวาดล้างความชั่วร้ายของสกุลซู ทุกวันเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ! พวกเจ้าแต่ละคนยังมีความสามารถมากยิ่งขึ้นไปอีกด้วย!”“เฮ้อ เว้นเสียแต่ซูเฟิ่งหลิงเด็กคนนี้ โง่เขลาเบาปัญญา ทำ
หลี่หลงหลินโคลงศีรษะ เอ่ยถามอย่างไม่เข้าใจ “ความคิด? ความคิดอะไร? ไม่มีขอรับ”ฮูหยินผู้เฒ่าซูมองหลี่หลงหลิน ยิ้มแปลกประหลาด “แต่เหตุใดข้าคิดว่าท่านอยู่กับสะใภ้ทั้งสี่แล้วอารม์ดีมากเหลือเกิน ยิ้มหัวเราะตลอดทั้งวัน? ท่านบอกความจริงข้า ท่านคิดว่าพวกนางเป็นเช่นไร?”หลี่หลงหลินพูดตามสัตย์จริง “พี่สะใภ้ทั้งสี่งดงามอ่อนเยาว์ มีพรสวรรค์มากความสามารถ ล้วนเป็นสตรีที่หาได้ยากยิ่งบนโลกนี้!”ฮูหยินผู้เฒ่าซูถอนหายใจ “ใช่แล้ว พวกนางล้วนเป็นสตรีมากความสามารถ น่าเสียดายชะตาอาภัพ เพิ่งแต่งงานเข้าสกุลซู สามีก็ตายไปแล้ว กลายเป็นแม่ม่าย!”“พวกนางยังอายุน้อย หรือจะรักษาตัวไปชั่วชีวิตกระนั้น?”“ข้าคิดหาสามีที่ดีให้พวกนางมาโดยตลอด ให้พวกนางแต่งออกไป”“ทว่าใต้หล้าจะมีชายสักกี่คนคู่ควรกับพวกนาง?”“มิหนำซ้ำข้าเองก็มิอาจหักใจ! หากพวกนางแต่งออกไป ก็กลายเป็นคนของบ้านอื่น ยากจะไม่ถูกบ้านสามีรังแก! เฮ้อ เพียงข้านึกถึงเรื่องนี้ก็ปวดใจยิ่งนัก!”ฮูหยินผู้เฒ่าซูพูดไป ร้องไห้ออกมาอย่างสุดระงับ ปาดน้ำตาหลี่หลงหลินเองก็ลำบากใจตามลั่วอวี้จู๋ กงซูหว่าน ซุนชิงไต้และหลิ่วหรูเยียน ล้วนเป็นสตรีโดดเด่นพบได้เพียงหนึ่งใน
หลี่หลงหลินพูดความจริงระคนความเท็จ “เรื่องแต่งงาน...”ลั่วอวี้จู๋ตกตะลึง “บัดนี้สกุลซูเกาะขาองค์ชายเก้าเจริญรุ่งเรือง ฮูหยินผู้เฒ่าซูร้อนใจอยากให้พวกท่านรีบแต่งงานกัน ประเดี๋ยวราตรียาวนานจะฝันมากเอาได้”สายตาหลี่หลงหลินกวาดมองใบหน้าของพี่สะใภ้ทั้งสี่ท่าน พูดภายในใจ ไม่เพียงซูเฟิ่งหลิง ฮูหยินผู้เฒ่าซูยังยกพวกท่านทั้งสี่ให้เป็นอนุของข้าอีกด้วย...เรื่องนี้ไม่สามารถให้ซูเฟิ่งหลิงรู้ได้เป็นอันขาดหาไม่แล้ว นางต้องคิดว่าข้าล่อลวงฮูหยินผู้เฒ่า ต้องฆ่าข้าอย่างแน่นอน!ซูเฟิ่งหลิงสวมชุดกระโปรงแดง ใบหน้างดงามร้อนผะผ่าว ความรังเกียจเกลื่อนหน้า “เฮ่อะ! หากมิใช่ฝ่าบาทพระราชทานสมรส ข้าไม่มีวันแต่งกับท่านแน่! เรื่องเพียงแค่นี้ก็ทำได้ไม่ดี! ทั้งๆ ที่ผงปรุงรสไก่เป็นเครื่องปรุง เหตุใดกลายเป็นยาได้เล่า ขายยากยิ่งนัก!”ซุนชิงไต้พยักหน้า “ใช่แล้วๆ! ผงปรุงรสไก่อร่อยมาก! ยากินยากมากนัก! เช่นนี้ไม่กระทบต่อเส้นทางการขายหรือ?”ไม่รอให้หลี่หลงหลินอธิบาย ลั่วอวี้จู๋แย้มยิ้มอ่อนโยน “พวกเจ้าไม่เข้าใจ นี่คือความหลักแหลมขององค์ชายเก้า!”ซูเฟิ่งหลิงไม่ยอมรับ เบ้ปากพลางพูด “หลักแหลมเยี่ยงไร?”สายตาลั่วอวี้จู๋เ
ลั่วอวี้จู๋พูดเกลี้ยกล่อม “ใช่แล้ว น้องหญิง! พวกเราล้วนเป็นครอบครัวเดียวกัน! องค์ชายเก้าทำเช่นนี้ก็เพื่อสกุลซูของพวกเรา! แต่ไหนแต่ไรมาเขาก็ทุ่มเทสุดจิตสุดใจ ทำเพื่อสกุลซูไม่น้อย...”ซูเฟิ่งหลิงจากอายกลายเป็นโกรธ พูดว่า “เช่นนั้นตกลงเขาทำอันใดให้กองทัพสกุลซูบ้างเล่า?”ลั่วอวี้จู๋คิดว่าซูเฟิ่งหลิงไร้เหตุผลอยู่บ้าง อธิบาย “อาหารของกองทัพสกุลซูมีเนื้อทุกมื้อ นี่หรือว่าไม่ใช้เงิน? ยังมีทางฝั่งพี่สะใภ้รองของเจ้า หลังสถาบันวิจัยภูเขาทิศประจิมสร้างเสร็จแล้วก็เริ่มผลิตเหล็กกล้าตีร้อยครั้งได้!”“ไม่ว่าอาวุธหรือเสื้อเกราะก็ล้วนมอบให้กองทัพสกุลซูก่อน!”“เมื่อนั้นกองทัพสกุลซูเตรียมการพรักพร้อม ทหารกล้าม้าแกร่ง...”ขอบตาซูเฟิ่งหลิงแดงก่ำ “ทหารกล้าม้าแกร่ง? ม้าเล่า? กองทัพสกุลซูล้วนไม่มีม้าแม้ตัวเดียว ต่อให้มีอาวุธและชุดเกราะแล้วมีประโยชน์อันใด? หรือต้องอาศัยเท้าเดินต่อสู้กับทหารม้าหุ้มเกราะเหล็กของเผ่าหมาน?”“ท่านรู้ว่ามีความเสียหายมากเพียงใด ทหารมากน้อยเพียงใดต้องสละชีวิตหรือไม่?”“ต่อให้เอาชนะเผ่าหมานได้ คนก็ขี่ม้าหนีไป ท่านจะตามเยี่ยงไร?”“ไม่มีม้า ทั้งหมดก็สูญเปล่า!”พูดจบ ซูเฟิ่งหลิงออ
ในที่สุดจางอี้ก็เข้าใจว่าเหตุใดหลี่หลงหลินจึงจับผิดสำนักปราชญ์ไม่ปล่อย จับบัณฑิตขังคุกทีละคนสำนักปราชญ์อาจมีอำนาจทางวาจา แต่กลับไร้ซึ่งกำลังทหารคนธรรมดาไร้ความผิด แต่หากมีทรัพย์สมบัติล้ำค่าติดตัว ก็อาจนำภัยมาสู่ตนนี่ไม่ใช่เนื้อชิ้นโตแล้วจะเป็นอะไร?หลี่หลงหลินยิ้ม “เงินแค่นี้จะนับเป็นอะไรได้? ไป! ตามข้าไปพบฉินฮั่นหยางกันอีกครั้ง!”เมื่อพูดจบแล้วหลี่หลงหลินจึงพาซูเฟิ่งหลิงและจางอี้ไปยังห้องขังของฉินฮั่นหยางอีกครั้ง“รัชทายาท!”“ท่านช่างใจร้ายนัก!”ฉินฮั่นหยางจ้องหลี่หลงหลินเขม็ง ดวงตาลุกโชนราวกับเปลวไฟความเจ้าเล่ห์ขององค์รัชทายาทผู้นี้ ช่างน่ากลัวจนทำให้ผู้คนโกรธเกรี้ยวถึงขีดสุดหลี่หลงหลินโบกมือ “ข้าขี้เกียจพูดมาก! ราคาเดียว หนึ่งล้านตำลึง ขาดแม้แต่ตำลึงเดียวก็ไม่ได้!”ฉินฮั่นหยางส่ายหน้า “ไม่มีทาง!”หลี่หลงหลินแสยะยิ้ม “ดี! ข้าชี้ทางสว่างให้เจ้าแล้ว แต่เจ้ากลับไม่ยอมเดิน เลือกที่จะเดินบนสะพานไม้ซุง! อย่ามาโทษว่าข้าไร้ความปรานีก็แล้วกัน! ไป!”เมื่อสิ้นเสียงหลี่หลงหลินไม่รอให้ฉินฮั่นหยางได้ตอบโต้ใดๆ ก่อนจะหันหลังเดินจากไป“???”ฉินฮั่นหยางมองตามหลังหลี่หลงหลินด้วย
“ขออภัยด้วย!”“ศิษย์ขอไปก่อน หากออกไปได้ ข้าจะหาทางช่วยอาจารย์ออกมาให้ได้ขอรับ!”เหล่าบัณฑิตรีบเขียนจดหมายให้คนทางบ้านส่งเงินมาให้ เมื่อจะจากไปยังไม่ลืมคำนับคารวะต่อหน้าบัณฑิตเช่นฉินฮั่นหยางฉินฮั่นหยางหน้าแดงก่ำด้วยความโกรธพวกเจ้าช่างทรยศนัก!ทิ้งข้าไว้เช่นนี้หรือ?พวกเจ้ารู้จักคำว่าเคารพครูบาอาจารย์หรือไม่? จิตใจของพวกเจ้าเหี่ยวเฉาเสียจนสิ้นดีแล้วหรือ?ตำราที่พวกเจ้าอ่านมา หรือว่าลงกระเพาะสุนัขไปแล้วงั้นรึ?สิ่งที่ฉินฮั่นหยางไม่อาจรับได้ยิ่งกว่าคือแม้แต่อาจารย์วัยชราหลายคนก็ทนไม่ไหว ต่างหยิบเงินหนึ่งพันตำลึงออกมาแล้วออกจากคุกไป“ช่าง...”“ไร้เหตุผลสิ้นดี!”“สำนักปราชญ์เลี้ยงคนเหล่านี้ไว้เสียข้าวสุกจริงๆ!”“ยามสุขร่วมเสพ ยามทุกข์ร่วมต้านทานไม่ได้!”เหล่าบัณฑิตโดยมีฉินฮั่นหยางเป็นผู้นำ มองไปยังบัณฑิตและอาจารย์ที่จากไปด้วยความอิจฉาความจริงแล้ว พวกเขาก็อยากจากไปเช่นกันคุกเป็นสถานที่เช่นไร ใครที่เคยอยู่ย่อมรู้ซึ้งมันไม่ใช่ที่ที่มนุษย์จะอาศัยอยู่ได้อีกอย่าง ฉินฮั่นหยางใช้ชีวิตอย่างสุขสบายมานาน ย่อมไม่อาจทนทุกข์เช่นนี้ได้ปัญหาคือเงินหนึ่งล้านตำลึงมันมากมายเกินไป
จางอี้มีสีหน้างุนงงเงินไถ่ชีวิตราษฎรเพียงหนึ่งอีแปะบัณฑิตต่ำที่สุดหนึ่งร้อยตำลึงสูงที่สุดหนึ่งล้านตำลึงความแตกต่างนี้ช่างราวกับฟ้าและเหวโดยแท้นี่เห็นได้ชัดว่าหลี่หลงหลินต้องการลงมือกับสำนักปราชญ์!ฉินฮั่นหยางโมโหตัวสั่น จับจ้องหลี่หลงหลิน “ผู้สูงศักดิ์ราคาแพง? คนจนราคาถูก? นี่ถือสิทธิ์อะไร?”หลี่หลงหลินยิ้มเย็น พูดเย้ยหยัน “เรายังอยากถามเจ้า เกิดและเติบโตโดยพ่อแม่เฉกเดียวกัน ถือสิทธิ์อะไรพวกเจ้าบัณฑิตสูงส่งกว่าหนึ่งขั้น? นี่ถือสิทธิ์อะไร?”ฉินฮั่นหยางชะงักไป ไม่พูดอีกหลี่หลงหลินคร้านจะพูดไร้สาระ หันหน้าหาจางอี้ ออกคำสั่ง “ทำตามที่เราบอก!”จางอี้พยักหน้า มาที่ด้านหน้าคุก ถ่ายทอดคำพูดเมื่อครู่ของหลี่หลงหลินหนึ่งรอบเหล่าราษฎรฮือฮา ดวงตาเบิกโพลง ใบหน้าเปี่ยมความรู้สึกเหลือจะเชื่อหนึ่งอีแปะ ก็สามารถแลกกับอิสระได้แล้วหรือ?จริงหรือนี่?ทว่า เหล่าราษฎรกลับกังวลประการแรกคือตนเองออกมารับชมความครึกครื้น บนตัวไม่มีเงินแม้อีแปะเดียวประการที่สองคือรัชทายาทมิได้หลอกคนเพียงครั้งเดียวหากเขาหลอกตนจะทำเช่นไร?เจิ้งถูฮู่กลับดีใจมาก ยื่นเงินหนึ่งก้อนออกไป “นี่คือเงินหนึ่งตำลึง
จางอี้เตรียมการไว้ตั้งแต่แรกแล้ว ทางหนึ่งสั่งผู้อยู่ใต้อาณัติ ใช้ปลอกดาบเคาะตีที่กรงเหล็ก ตะคอกนักโทษภายในคุก ทางหนึ่งคุ้มกันหลี่หลงหลิน ก้าวเท้าฉับไวเข้าไปยังส่วนลึกที่สุด ชี้ประตูห้องขังแห่งหนึ่ง “องค์ชาย ฉินฮั่นหยางอยู่ข้างในนี้พ่ะย่ะค่ะ”ฉินฮั่นหยางอยู่ห้องขังเดี่ยวไม่ใช่เพราะเขาเป็นบัณฑิตทรงคุณวุฒิ มีสิทธิพิเศษอะไรแต่เพราะมีตัวอย่างของซ่งชิงหลวน หากฉินฮั่นหยางอยู่ที่คุกด้านนอก ตายไปอย่างคลุมเครือ จางอี้ก็ยากจะหาข้อแก้ตัว รองผู้บัญชาการองครักษ์เสื้อแพรนี้เขาก็ไม่ต้องทำแล้วเพราะเหตุนี้ฉินฮั่นหยางไม่เพียงขังอยู่ในห้องขังเดี่ยว ประตูยังมีองครักษ์เสื้อแพรเฝ้าอีกสองคน รับรองไม่ให้เกิดข้อผิดพลาดหลี่หลงหลินผลักเปิดประตูเข้าห้องขัง ได้เห็นฉินฮั่นหยางกำลังนั่งขัดสมาธิ“ฮึๆ รัชทายาท เจ้ามาหาข้าว่องไวถึงเพียงนี้เชียวหรือ!”“อะไรกัน?”“เจ้ามาเชิญข้าออกไปหรือ?”“บอกเจ้า ข้าอยู่ที่นี่สบายมากนัก! เว้นเสียแต่เจ้าคุกเข่าบนพื้น โขกศีรษะสามครั้ง ขอร้องให้ข้าออกไป! หาไม่แล้ว ชาตินี้ข้าก็จะอยู่ที่นี่!”เสียงฉินฮั่นหยางแหบพร่า ใบหน้าประดับยิ้มเย็นหลายวันมานี้ เขาด่าอย่างหยาบคาย เสียงแห
หลี่หลงหลินลูบจมูก สบมองหนิงชิงโหวอย่างพูดไม่ออก “สหายร่วมสำนักศึกษาของเจ้านี้คิดมากเกินไปแล้ว ข้ามิใช่เทพเซียนเสียหน่อย เพียงแค่ตัวอักษรของจดหมายนิรนามก็สามารถหาตัวเขาได้แล้วกระนั้น?”หนิงชิงโหวยิ้มแห้ง “องค์ชาย ท่านยังไม่รู้ คนบนโลกล้วนพูดว่าท่านฉลาดปราดเปรื่องเหนือกว่ามนุษย์ เป็นปีศาจ...”หลี่หลงหลินยิ้มขมปร่าตนเองให้เสด็จพ่อยกเว้นเก็บภาษีราษฎรสามปี พวกเขายังพูดว่าตนเป็นปีศาจอีกนะคนดี เป็นได้ยากยิ่ง!“ในเมื่อเป็นเช่นนี้...”หลี่หลงหลินใคร่ครวญ พูดกับหนิงชิงโหว “เจ้าไปบอกให้ซูเฟิ่งหลิงเตรียมรถม้า ไปที่คุกใหญ่กับข้า”หนิงชิงโหวค้อมตัว “น้อมรับคำสั่ง”ครู่ต่อมารถม้าคันหนึ่งแล่นออกจากภูเขาทิศประจิม มุ่งหน้าไปสู่คุกใหญ่กรมอาญาบัดนี้คุกใหญ่กรมอาญามีคนเนืองแน่น ภายในถูกยัดไว้แน่นเอียด เสียงโอดครวญดังระงมผู้คุมเรือนจำต้องควบคุมนักโทษมากถึงเพียงนี้ ยุ่งแทบตายตั้งแต่เช้าจรดเย็น เหนื่อยเสียจนพูดไม่ออกหากไม่ใช่เพราะจางอี้พาองครักษ์เสื้อแพรมาคุมเชิง พวกเขากล้าโมโหแต่ไม่กล้าพูดอันใด ป่านนี้คงหนีหายไม่ทำแล้วเห็นหลี่หลงหลินและซูเฟิ่งหลิงลงจากรถม้า จางอี้รีบเข้าไปต้อนรับ โค้งคำนั
มีนับล้านคน!ข้าไม่เชื่อหรอกว่าเจ้าหลี่หลงหลินเป็นเทพเซียนบนสวรรค์ สามารถใช้กำลังเพียงฝ่ายเดียวเป็นศัตรูกับสำนักปราชญ์ได้?น่าขันจริงเชียว!หลี่เทียนฉี่รีบหยิบหนังสือพิมพ์วิชาการต้าเซี่ยออกมา ถือไว้ด้วยสองมือ “นี่คือหนังสือพิมพ์วิชาการต้าเซี่ยฉบับล่าสุด เชิญท่านผ่านตา!”สีหน้าเสิ่นชิงโจวเปลี่ยนไป รีบรับไปอ่านอย่างละเอียดของสิ่งอื่นเขาสามารถไม่ใส่ใจได้เว้นแต่เพียงหนังสือพิมพ์วิชาการต้าเซี่ยเจ้าสิ่งใหม่นี้ ทำให้เสิ่นชิงโจวไม่มั่นใจ กระวนกระวายว้าวุ่น“นี่...ก็ไม่มีอันใดพิเศษนี่”เสิ่นชิงโจวอ่านหนังสือพิมพ์วิชาการต้าเซี่ยอย่างละเอียดหนึ่งรอบ สีหน้าแปลกใจเดิมทีคิดว่าหลี่หลงหลินจะเขียนเรื่องวันพิธีสักการะฟ้าดินออกมาเพื่อฉวยโอกาสปรักปรำสำนักปราชญ์สรุปว่าไม่เป็นเช่นนั้นหนังสือพิมพ์วิชาการต้าเซี่ยฉบับนี้ เทียบกันแล้วธรรมดามาก คล้ายรีบทำออกมา ไม่เขียนถึงพิธีสักการะฟ้าดินเลยแม้แต่น้อยหลี่เทียนฉี่รีบสืบเท้าขึ้นไป ชี้ตำแหน่งใจกลางหน้าหนังสือพิมพ์ “ท่านอาจารย์ ท่านดูที่นี่...”เสิ่นชิงโจวจ้องมอง ในที่สุดก็พบประกาศเกี่ยวกับจดหมายนิรนาม ทันใดนั้นสีหน้าแข็งทื่อดุจเหล็ก “รัชทายาท นี่
สิบห้าค่ำเดือนอ้าย ก่อนวันเทศกาลโคมไฟ หลี่หลงหลินจะต้องจัดการสำนักปราชญ์พูดให้ถูกก็คือเหลืออีกเพียงสิบสี่วันเวลานั้นสั้นนัก ไม่อาจพลาดไปได้แม้เสี้ยวนาทีรุ่งเช้าวันต่อมาหลี่หลงหลินและกงซูหว่านมายังภูเขาทิศประจิม ให้เหล่าช่างฝีมือพิมพ์หนังสือพิมพ์วิชาการต้าเซี่ยฉบับใหม่เริ่มงานวันที่สองเดือนอ้าย เหล่าช่างฝีมือย่อมไม่พอใจทว่าหลี่หลงหลินลงมืออย่างใจกว้าง รับปากเพิ่มค่าทำงานล่วงเวลาให้เหล่าช่างฝีมือเหล่าช่างฝีมือยิ้มกว้างอย่างดีใจ ไม่บ่นอีกสองวันต่อมาหนังสือพิมพ์วิชาการต้าเซี่ยฉบับใหม่ก็ออกมาเหล่าเด็กขายหนังสือพิมพ์บุกฝ่าหิมะ ขายตามตรอกเล็กซอยน้อย การค้าขายดีมากการขายหนังสือพิมพ์วิชาการต้าเซี่ยกลายเป็นความคุ้นชินของราษฎรภายในเมืองหลวงแล้วยังมีคนฉลาดบางส่วน สบช่องทางการค้า ลอบรับซื้อหนังสือพิมพ์วิชาการต้าเซี่ยโดยเฉพาะฉบับแรกรวมถึงภาคผนวกฉบับใหม่ล่าสุด ไม่เพียงพิเศษ ยังผลิตเป็นจำนวนน้อย สามารถขายได้ในราคาสูงบนตลาดมืด“หา?”“นี่คืออันใด?”“รัชทายาทต้องการให้พวกเราเขียนจดหมายร้องเรียนนิรนามฟ้องร้องสำนักปราชญ์?”“นี่แปลกมาก!”เหล่าราษฎรเห็นโฆษณาบนหนังสือพิมพ์ ดวง
“หลายปีมานี้สำนักปราชญ์ผูกขาดการสอบขุนนาง คนถูกสับเปลี่ยนข้อสอบเหมือนหนิงเซิงมีมากมายนับไม่ถ้วน”“เพียงน่าเสียดายสำนักปราชญ์ยิ่งใหญ่ ร่วมมือกับทางการทุจริต ต่อให้ภายในมือพวกเขามีหลักฐาน แต่ก็ไม่สามารถร้องขอความเป็นธรรมได้!”“สามารถใช้หนังสือพิมพ์วิชาการต้าเซี่ยประกาศออกไปได้ ให้คนเหล่านี้ล่วงรู้ว่าพวกเขาสามารถเขียนจดหมายถึงข้าโดยไม่เปิดเผยชื่อ เพื่อให้ข้าร้องทุกข์แทนพวกเขาได้!”กงซูหว่านชะงักไป ใบหน้าเผยแววดีใจยังสามารถทำเช่นนี้ได้?อานุภาพของหนังสือพิมพ์วิชาการต้าเซี่ยมากกว่าที่ตนเองคิดไว้อย่างแท้จริง“แต่...”กงซูหว่านยังลังเลเล็กน้อย “องค์ชาย น่ากลัวว่าไม่ได้! วิธีที่ท่านพูด แม้ว่ามีเหตุผลที่แน่นอน แต่พลังอำนาจของสำนักปราชญ์กลับยิ่งใหญ่ ไม่แน่ว่าคนเหล่านี้จะกล้าเขียนจดหมายร้องเรียนและมอบหลักฐานให้พวกเรา...”ลั่วอวี้จู๋คิดไปไกลยิ่งกว่านั้น “หากเปิดให้มีการร้องเรียน น่ากลัวว่าหายนะที่ตามมาจะไม่มีที่สิ้นสุด! หากมีคนตั้งใจก่อกวน สร้างหลักฐานเท็จ กล่าวหาคนดี นั่นจะทำเช่นไร?”ในยุคสมัยโบราณ เพื่อหลีกเลี่ยงมิให้ปรักปรำคนดี โทษการกล่าวหาเท็จรุนแรงมากนักหากมั่นใจแล้วว่ากล่าวหาเท็
“แต่...”กงซูหว่านหายใจเข้าลึกๆ เฮือกหนึ่ง ทำใจให้สงบลง “ท่านวางแผนโจมตีสำนักปราชญ์ น่ากลัวว่าไม่ง่ายถึงเพียงนั้น! ประวัติศาสตร์นับพันปี ฮ่องเต้ผลัดเปลี่ยนราชวงศ์ ขั้วอำนาจเปลี่ยนผัน ธงใหญ่บนกำแพงเมืองเปลี่ยนไปอย่างไม่หยุดหย่อน แต่มีเพียงสำนักปราชญ์ไม่เคยล้มลง”“รากฐานของสำนักปราชญ์หยั่งลึกเกินกว่าที่ท่านคิดไว้มากนัก!”“ท่านฆ่าบัณฑิตทรงคุณวุฒินั้นง่าย ก็แค่หนึ่งชีวิตเท่านั้น ขอเพียงยอมรับเสียงก่นด่าก็พอ!”“แต่ หากท่านต้องการตัดรากถอนโคนสำนักปราชญ์ นั่นยากมากเหลือเกิน”สำนักโม่ถูกสำนักปราชญ์ทำลายกงซูหว่านเป็นคนรุ่นหลังของสำนักโม่ โกรธแค้นสำนักปราชญ์ลึกถึงกระดูก ใคร่ครวญอยู่ทุกขณะจิต จะใช้วิธีการใดทำลายสำนักปราชญ์สรุปคือไม่ได้อะไรสำนักปราชญ์แข็งแกร่งเกินไปต่อให้เป็นสำนักโม่ ก็มีโอกาสเพียงน้อยนิดต่อให้หลี่หลงหลินเป็นรัชทายาท ต้องการใช้กำลังเพียงคนเดียวล้มสำนักปราชญ์ ตัดรากถอนโคนให้สิ้นซากนี่จะเป็นไปได้จริงหรือ?หลี่หลงหลินหัวเราะเบาๆ “พี่สะใภ้รอง ไม่ว่าเรื่องใดล้วนขึ้นอยู่กับความมุ่งมั่นของคน ไม่ลองดู จะรู้ได้เยี่ยงไร? ยิ่งไปกว่านั้น หนังสือพิมพ์วิชาการต้าเซี่ยในมือข้ายั