ฉู่เนี่ยนซีหันไปมองตามต้นเสียง แล้วเงยหน้าขึ้นมอง บนต้นไม้ใหญ่ด้านหนึ่งของสำนักหมอหลวง มีสตรีคนหนึ่งสวมกระโปรงสีน้ำเงินเข้มปักลายดอกไม้สีขาวกำลังจ้องมองมาที่นางเมื่อเห็นว่านางมองอยู่ สตรีผู้นั้นก็บินลงจากต้นไม้ กิ่งก้านใบไม้ขยับตามการเคลื่อนไหวของนาง และใบไม้บางส่วนก็ปลิวตามลมร่วงลงมาที่พื้น ดูส่งเสริมกันอย่างงดงาม ดูแล้วราวกับเทพธิดาที่ลงมายังโลกมนุษย์ในขณะที่ฉู่เนี่ยนซีกำลังคิดอยู่ สตรีผู้นั้นก็มาหยุดอยู่ตรงหน้านาง เมื่อได้มองเห็นอีกฝ่ายในระยะใกล้จึงได้เห็นว่าอีกฝ่ายมีผิวขาวละเอียดอ่อน ดวงตาได้รูปดูสดใส จมูกเล็กจิ้มลิ้ม ริมฝีปากสีแดงระเรื่อ และสองลักยิ้มข้างแก้มให้ความรู้สึกน่ารักและขี้เล่น“เจ้าคือพระชายาหลี?” เสียงของสตรีคนนั้นเบาและอ่อนหวานฉู่เนี่ยนซีได้สติกลับคืนมา ก่อนจะยิ้มหวาน “ใช่แล้ว”“ได้ยินชื่อเสียงมาเนิ่นนานแล้ว แต่…เจ้าดูไม่เหมือนกับในข่าวลือเลย” หญิงสาวจ้องมองหน้านาง ในแววตาคู่นั้นไม่มีความมุ่งร้ายอะไรเลยแม้แต่น้อย “แต่…ข้าไม่เคยเชื่อข่าวลือพวกนั้นเลยสักนิด เจ้าทั้งสวย ทั้งเก่งกาจ และฉลาดโดดเด่นกว่าใครในวังแห่งนี้เสียอีก!”ฉู่เนี่ยนซีนึกไม่ถึงว่าวันนี้จะถูกคนวิ
ฉู่เนี่ยนซีที่กำลังสั่งให้สาวใช้ในเรือนช่วยนางยกอ่างน้ำร้อนเอากลับไปที่เรือน ก็ได้ยินเสียงดังขึ้นจากด้านหลังฉู่เนี่ยนซีรู้ว่าเป็นใครได้ทันทีโดยไม่ต้องคิด นางกลอกตาอย่างขอไปทีก่อนจะหันกลับไป“ก็ดี แล้วน้องหญิงทำไมถึงได้มีเวลาว่างมาเดินในสวนได้?”เมื่อซ่างกวานเยียนเห็นสีหน้าไม่ทุกข์ร้อนอะไรของอีกฝ่าย ก็รู้สึกหมั่นไส้ขึ้นในใจ พวกหมอหลวงนวังที่เก่งกาจจนไม่มีหมอคนไหนมาเทียบได้จะมาฟังผู้หญิงไร้ชื่อเสียงแบบนางได้เช่นไร?!นางก็อยากเห็นเหมือนกันว่าฉู่เนี่ยนซีจะรักษาหน้าตัวเองไปได้สักกี่น้ำ!“พี่หญิงเอาอะไรมาพูด ข้าไม่ได้ออกไปข้างนอกได้บ่อยเหมือนท่าน ก่อนออกเรือน ท่านแม่ของข้ามักจะสอนข้าตลอดว่า ออกเรือนไปแล้วก็ต้องฝเฝ้าอยู่ในเรือนอย่างสงบเสงี่ยม ดังนั้น หากน้องไม่มีธุระอะไรก็จะมาเดินเล่นที่สวนของจวนเช่นนี้เสมอ”แน่นอนว่านางจะไม่บอกสตรีอัปลักษณ์คนนี้ว่าท่านอ๋องกับอ๋องเจ็ดเพิ่งกลับมาจากกองทัพ ตอนนี้กำลังคุยธุระกันอยู่ที่ศาลาในสวน นางจึงแต่งตัวสวยเป็นพิเศษเพื่องานนี้โดยเฉพาะกลัวแต่ว่าสตรีอัปลักษณ์ผู้นี้ก็รู้ว่าท่านอ๋องอยู่ที่นี่ เลยเลือกที่จะเดินทางนี้เช่นกันฉู่เนี่ยนซีได้ยินคำพูดอันแปลก
ดวงตากลมโตดุจกวางของซ่างกวานเยียนหรี่ลง นางเคลื่อนตัวไปทางด้านหลังของฉู่เนี่ยนซี ประสาทสัมผัสของฉู่เนี่ยนซีไวกว่าผู้อื่น ขณะนี้คล้ายว่านางจะรู้สึกแปลก ๆ สายตาเต็มไปด้วยความระแวดระวัง ตอนที่ซ่างกวานเยียนกำลังจะแตะแผ่นหลังของนาง ฉู่เนี่ยนซีก็เบี่ยงตัวหลบไปด้านข้าง ซ่างกวานเยียนที่พุ่งมาด้วยความเร็วจึงพลาดท่า ยังดีที่นางมีแรงหมุนตัวกลับ จึงไม่ได้หล่นลงไปในสระบัวโดยตรงเพียงแต่ล้มลงไปที่พื้นแทน ฉู่เนี่ยนซียิ้มเยาะ สายตาเย็นชามองมาชวนให้ซ่างกวานเยียนรู้สึกกดดัน “เจ้าคิดว่าวันนี้อากาศร้อนรึ ถึงได้อยากให้ข้าลงไปคลายร้อน?” ริมฝีปากสีแดงระเรื่อของฉู่เนี่ยนซีเปล่งเสียงเยือกเย็นออกมา ส่งผลให้ซ่างกวานเยียนตัวสั่นอย่างบอกไม่ถูก “มะ...เมื่อครู่ข้าสะดุดก้อนหินโดยไม่ได้ตั้งใจ ก็เลยเผลอล้มไป” “อ้อ? จริงหรือ…” ฉู่เนี่ยนซีมีเสียงต่ำเนิบ ๆ และพูดต่อ “ข้าก็นึกว่าเจ้าล้มพับไปเพราะโรคลมแดดเสียอีก” “เช่นนั้นก็…” ฉู่เนี่ยนซีก้มมองร่างกายของนางอย่างเย็นชา “ถอดเสื้อคลุมพวกนี้ออกแล้วลงไปอาบน้ำเสียสิ!” จู่ ๆ ม่านตาของซ่างกวานเยียนก็ขยาย มองฉู่เนี่ยนซีด้วยความหวาดหวั่น “เจ้าทำเช่นนี้ไม่ได้ ท่านอ๋องไม
เย่ฉงเฉิงรู้สึกอยู่เสมอว่าซ่างกวานเยียนไม่เพียงแต่งดงาม ทั้งยังจิตใจดี และเป็นสตรีที่เหมาะสมที่สุดสำหรับพี่สามของเขา แต่กลับกลายเป็นว่านางถูกฉู่เนี่ยนซีแย่งตำแหน่งชายาเอกไปอย่างไร้ยางอาย อีกทั้งยังถูกฉู่เนี่ยนซีกลั่นแกล้งอยู่เสมอ ตอนนี้เขาจึงอยากออกตัวแทนเพื่อปกป้องซ่างกวานเยียน “ตำแหน่งชายาเอกของพี่สามควรเป็นของนาง เจ้าขโมยตำแหน่งคนอื่นไปไม่พอ ยังจะฆ่านางด้วย! ไม่แปลกใจที่พี่สามเกลียดเจ้าถึงขนาดนี้! หากเป็นข้า คงจะทอดทิ้งเจ้าไปนานแล้ว!” ท่าทางของเย่ฉงเฉิงไม่ต่างไปจากกำลังขุดหลุมศพบรรพบุรุษของครอบครัวของตัวเองขึ้นมาตะโกนสาปแช่ง ฉู่เนี่ยนซีสงบสติอารมณ์ได้แล้วในตอนแรก แต่เมื่อนางเห็นเย่ฉงเฉิงทำท่าเคร่งขรึมด้วยใจอันชอบธรรมกำลังสั่งสอนนาง จู่ ๆ นางก็รู้สึกโกรธจนในใจเดือดพล่าน และรัศมีอันเยือกเย็นราวกับสระน้ำแข็งก็ค่อย ๆ กระจายออกมาจากรอบ ๆ ตัวของนาง “สมมติว่านางได้ตำแหน่งชายาเอกของเย่เฟยหลี ถ้าหม่อมฉันแย่งมันมาแล้วจะทำไมเล่า! หากไม่พอพระทัยก็ไปคุยกับพระบิดาของพระองค์สิเพคะ! แล้วอีกอย่าง ในชีวิตนี้ไม่มีใครที่จะทอดทิ้งหม่อมฉันได้! องค์ชายเองไม่มีคุณสมบัติมากพอที่จะแต่งงานกับหม่อมฉัน
เห็นดังนั้น ทั้งสองจึงหลบอย่างรวดเร็ว ซึ่งยังดีที่พอจะหลบได้ จากนั้นเข็มเงินอีกหลายเล่มก็พุ่งตามกันมา บังคับให้เย่เฟยหลีต้องลุกขึ้นยืน ฉู่เนี่ยนซีมองเขาและยิ้มมุมปากอย่างเยือกเย็น จากนั้นก็รีบดึงคอเสื้อของซ่างกวานเยียนขึ้นอย่างแรง ส่งผลให้เสื้อคลุมฉีกออก และแล้วนางก็ถีบซ่างกวานเยียนให้ลงไปในสระบัว เย่เฟยหลีคาดไม่ถึงว่าฉู่เนี่ยนซีจะเป็นเช่นนี้ แต่เมื่อได้ยินซ่างกวานเยียนตะโกนขอความช่วยเหลือ เขาก็ไม่สนใจสิ่งใดและกระโดดลงไปในน้ำทันที เย่ฉงเฉิงที่อยู่ข้าง ๆ มองฉู่เนี่ยนซีอย่างฉุนเฉียว “เจ้า นางคนอัปลักษณ์! ข้าไม่เคยเห็นใครโหดร้ายและบ้าบิ่นเท่านี้มาก่อน บังอาจฆ่าคนต่อหน้าผู้อื่นรึ?” “หม่อมฉันบ้าได้มากกว่านี้อีก พระองค์แค่ยังไม่เคยเห็น!” ฉู่เนี่ยนซีเป็นเหมือนงูพิษที่กำลังโกรธเกรี้ยว รอโอกาสที่จะตะครุบเหยื่อ นางยิ้มมุมปากเล็กน้อย ขณะเดียวกันเข็มเงินก็พุ่งออกไป เป้าหมายคือดวงตาของเขา เย่ฉงเฉิงไม่คาดคิดว่านางจะเป็นเช่นนี้ เขาจึงหลบอย่างรวดเร็ว แต่ทันทีที่ละสายตา เขาก็รู้สึกเจ็บที่คอและขา จึงสำรวจดูก็พบว่าบริเวณนั้นมีเข็มปักอยู่แน่น “อา...” เย่ฉงเฉิงดึงเข็มเงินออกมา ทันใดนั้นขาและเท้
ฉู่เนี่ยนซีหยิบสมุนไพรที่คัดไว้แยกออกมาอย่างรวดเร็ว โชคดีที่หุบเขาสมุนไพรมีวิธีการเก็บรักษาแบบพิเศษ ตอนนี้จึงสามารถชะลอการเสื่อมสภาพของสมุนไพรได้ คุณสมบัติของยายังคงเดิมไม่เปลี่ยน ถึงกระนั้น นางก็ยังไม่รู้ว่าสมุนไพรที่เปราะบางเหล่านี้จะสามารถอยู่รอดได้หรือไม่ กระแสพลังในจิตสำนึกของฉู่เนี่ยนซีสว่างวาบ นางวางสมุนไพรลงดินทีละต้น ในชั่วพริบตา สมุนไพรเหล่านั้นก็งอกขึ้นมาเหมือนหน่อไม้หลังฝนตกในฤดูใบไม้ผลิ ใบแผ่ออกทีละใบ ต้นที่มีใบสีเขียวก็เขียวชอุ่มราวกับมรกต ส่วนต้นที่ใบเป็นสีแดงก็มีสีแดงสดสวย ไม่เพียงแค่ดูมีชีวิตชีวา แต่ยังให้ความรู้สึกเหมือนพืชเหล่านี้เติบโตขึ้นด้วย แม้แต่ข้อมูลคุณสมบัติของสมุนไพรที่ปรากฏขึ้นในหัวของฉู่เนี่ยนซี ก็ยังได้รับการปรับปรุงให้อยู่ในระดับที่สูงขึ้น นั่นทำให้นางประหลาดใจในทันที ไม่คาดคิดว่าพื้นที่ที่เพิ่งเปิดใช้งานของนางนี้จะเป็นพื้นที่แห่งจิตวิญญาณจริง ๆ ไม่เพียงแต่จะช่วยเพิ่มคุณภาพของสมุนไพรเท่านั้น ทั้งยังช่วยเร่งการเจริญเติบโตของพืชอีกด้วย “ดูท่าจะสามารถนำสมุนไพรที่ใช้ในหอการแพทย์มาปลูกที่นี่ได้สักระยะหนึ่ง” ดวงตาโค้งมนของฉู่เนี่ยนซีฉายแววโล่งใ
อีกด้าน หลังจากที่เย่เฟยหลีออกมาจากเรือนของซ่างกวานเยียน เขาก็มาหยุดที่หน้าเรือนของฉู่เนี่ยนซีโดยไม่รู้ตัว เขามองไปยังเรือนที่ปิดสนิท ร่องรอยของความรำคาญใจปรากฏขึ้นบนใบหน้า เขาส่ายหัวแล้วกำลังหันหลังตั้งท่าจะจากไป “ท่านอ๋อง กระหม่อมรู้ว่าพระองค์จะต้องเสด็จมาแน่” เย่เฟยหลีมองคนตรงหน้า รู้สึกเหมือนตัวเองถูกจับได้ แต่ไม่นานความเย็นชาก็กลับคืนสู่ดวงตาของเขา “เจ้ามาทำอะไรที่นี่!” “เรียนท่านอ๋อง หมอที่รักษาท่านอ๋องเฉิงบอกว่าไม่สามารถรักษาเพิ่มเติมได้แล้ว แต่อาการที่ขาจะหายเอง ตอนนี้ท่านผู้นั้นกำลังพังข้าวของอยู่พ่ะย่ะค่ะ” เหลียงหยวนอธิบายอย่างชัดถ้อยชัดคำ และมีสีหน้าลำบากใจ แม้ว่าจวนแห่งนี้จะไม่ได้ขาดเงินทอง แต่พังข้าวของขนาดนี้ค่าใช้จ่ายคงท่วมหัว เขาที่เห็นเช่นนั้นก็รู้สึกเป็นทุกข์ “หมอธรรมดาสามารถรักษาสิ่งที่นางทำได้อย่างไร?” เย่เฟยหลีมองไปยังเรือนของฉู่เนี่ยนซีและพูดอย่างนิ่งเฉย เหลียงหยวนมีสีหน้าสงสัย “เรื่องนี้เกี่ยวอะไรกับพระชายาหรือพ่ะย่ะค่ะ?” เขาดูเหมือนจะคิดอะไรออก และทำสีหน้าประหลาดใจ “นี่…หรือว่า…” เหลียงหยวนกำลังจะพูดแต่ก็หยุดลงเมื่อเห็นเย่เฟยหลีพยักหน้า “ข้
เนื่องจากที่นี่เคยเปิดกิจการมาก่อน ทั้งทำเลและแผนผังภายในดีมาก ตัวอาคารยังคงเป็นสามชั้น นอกจากนี้ยังทำให้ง่ายต่อการแจกจ่ายยาและการรักษาในอนาคต “นายท่าน มาแล้วหรือขอรับ?” ทันทีที่ฉู่เนี่ยนซีมาถึง อวี๋ตงและอวี๋ซีก็ออกมาทักทาย ทั้งสองคนแต่งกายด้วยอาภรณ์สีดำ เนื่องจากมีสถานะพิเศษ พวกเขาจึงสวมหน้ากากสีเงินเอาไว้ รูปร่างของทั้งคู่สูงชะลูดและดูลึกลับ ฉู่เนี่ยนซีพยักหน้าและเดินเข้าไปในหอ “ท่านผู้อาวุโสเฮ่อหลานมาถึงแล้วหรือยัง?” ฉู่เนี่ยนซีถามขณะดูแผนผังของหอ “ยังเลยขอรับ เมื่อคืนอวี๋หนานไม่ได้พบท่านหมอเทวดา หมอฝึกหัดบอกว่าเขามีคนไข้คนสำคัญ จำต้องออกไปรักษา กลับมาอีกทีก็ตอนเช้านี้” บนใบหน้าอันสงบนิ่งของอวี๋ตงเต็มไปด้วยความกังวล “อวี๋หนานไปตั้งแต่เมื่อไหร่?” “เมื่อหนึ่งชั่วยามที่แล้วขอรับ” ฉู่เนี่ยนซีขมวดคิ้ว บ้านของหมอเทวดาเฮ่อหลานอยู่ไม่ไกลจากที่นี่ อย่างอวี๋หนานคงใช้เวลาเดินทางเพียงหนึ่งในสี่ของเวลาที่ว่าเท่านั้น แม้ว่าเขาจะกลับมาช้ากว่านี้อีกสักหน่อย แต่ไม่ได้เจอใครเลยภายเวลาหนึ่งชั่วยามน่ะหรือ “ช่างเถอะ ใกล้ถึงเวลาแล้ว เตรียมตัวเปิดร้านได้เลย” พูดจบ ฉู่เนี่ยนซีก็เดินไปที