เย่ฉงเฉิงรู้สึกอยู่เสมอว่าซ่างกวานเยียนไม่เพียงแต่งดงาม ทั้งยังจิตใจดี และเป็นสตรีที่เหมาะสมที่สุดสำหรับพี่สามของเขา แต่กลับกลายเป็นว่านางถูกฉู่เนี่ยนซีแย่งตำแหน่งชายาเอกไปอย่างไร้ยางอาย อีกทั้งยังถูกฉู่เนี่ยนซีกลั่นแกล้งอยู่เสมอ ตอนนี้เขาจึงอยากออกตัวแทนเพื่อปกป้องซ่างกวานเยียน “ตำแหน่งชายาเอกของพี่สามควรเป็นของนาง เจ้าขโมยตำแหน่งคนอื่นไปไม่พอ ยังจะฆ่านางด้วย! ไม่แปลกใจที่พี่สามเกลียดเจ้าถึงขนาดนี้! หากเป็นข้า คงจะทอดทิ้งเจ้าไปนานแล้ว!” ท่าทางของเย่ฉงเฉิงไม่ต่างไปจากกำลังขุดหลุมศพบรรพบุรุษของครอบครัวของตัวเองขึ้นมาตะโกนสาปแช่ง ฉู่เนี่ยนซีสงบสติอารมณ์ได้แล้วในตอนแรก แต่เมื่อนางเห็นเย่ฉงเฉิงทำท่าเคร่งขรึมด้วยใจอันชอบธรรมกำลังสั่งสอนนาง จู่ ๆ นางก็รู้สึกโกรธจนในใจเดือดพล่าน และรัศมีอันเยือกเย็นราวกับสระน้ำแข็งก็ค่อย ๆ กระจายออกมาจากรอบ ๆ ตัวของนาง “สมมติว่านางได้ตำแหน่งชายาเอกของเย่เฟยหลี ถ้าหม่อมฉันแย่งมันมาแล้วจะทำไมเล่า! หากไม่พอพระทัยก็ไปคุยกับพระบิดาของพระองค์สิเพคะ! แล้วอีกอย่าง ในชีวิตนี้ไม่มีใครที่จะทอดทิ้งหม่อมฉันได้! องค์ชายเองไม่มีคุณสมบัติมากพอที่จะแต่งงานกับหม่อมฉัน
เห็นดังนั้น ทั้งสองจึงหลบอย่างรวดเร็ว ซึ่งยังดีที่พอจะหลบได้ จากนั้นเข็มเงินอีกหลายเล่มก็พุ่งตามกันมา บังคับให้เย่เฟยหลีต้องลุกขึ้นยืน ฉู่เนี่ยนซีมองเขาและยิ้มมุมปากอย่างเยือกเย็น จากนั้นก็รีบดึงคอเสื้อของซ่างกวานเยียนขึ้นอย่างแรง ส่งผลให้เสื้อคลุมฉีกออก และแล้วนางก็ถีบซ่างกวานเยียนให้ลงไปในสระบัว เย่เฟยหลีคาดไม่ถึงว่าฉู่เนี่ยนซีจะเป็นเช่นนี้ แต่เมื่อได้ยินซ่างกวานเยียนตะโกนขอความช่วยเหลือ เขาก็ไม่สนใจสิ่งใดและกระโดดลงไปในน้ำทันที เย่ฉงเฉิงที่อยู่ข้าง ๆ มองฉู่เนี่ยนซีอย่างฉุนเฉียว “เจ้า นางคนอัปลักษณ์! ข้าไม่เคยเห็นใครโหดร้ายและบ้าบิ่นเท่านี้มาก่อน บังอาจฆ่าคนต่อหน้าผู้อื่นรึ?” “หม่อมฉันบ้าได้มากกว่านี้อีก พระองค์แค่ยังไม่เคยเห็น!” ฉู่เนี่ยนซีเป็นเหมือนงูพิษที่กำลังโกรธเกรี้ยว รอโอกาสที่จะตะครุบเหยื่อ นางยิ้มมุมปากเล็กน้อย ขณะเดียวกันเข็มเงินก็พุ่งออกไป เป้าหมายคือดวงตาของเขา เย่ฉงเฉิงไม่คาดคิดว่านางจะเป็นเช่นนี้ เขาจึงหลบอย่างรวดเร็ว แต่ทันทีที่ละสายตา เขาก็รู้สึกเจ็บที่คอและขา จึงสำรวจดูก็พบว่าบริเวณนั้นมีเข็มปักอยู่แน่น “อา...” เย่ฉงเฉิงดึงเข็มเงินออกมา ทันใดนั้นขาและเท้
ฉู่เนี่ยนซีหยิบสมุนไพรที่คัดไว้แยกออกมาอย่างรวดเร็ว โชคดีที่หุบเขาสมุนไพรมีวิธีการเก็บรักษาแบบพิเศษ ตอนนี้จึงสามารถชะลอการเสื่อมสภาพของสมุนไพรได้ คุณสมบัติของยายังคงเดิมไม่เปลี่ยน ถึงกระนั้น นางก็ยังไม่รู้ว่าสมุนไพรที่เปราะบางเหล่านี้จะสามารถอยู่รอดได้หรือไม่ กระแสพลังในจิตสำนึกของฉู่เนี่ยนซีสว่างวาบ นางวางสมุนไพรลงดินทีละต้น ในชั่วพริบตา สมุนไพรเหล่านั้นก็งอกขึ้นมาเหมือนหน่อไม้หลังฝนตกในฤดูใบไม้ผลิ ใบแผ่ออกทีละใบ ต้นที่มีใบสีเขียวก็เขียวชอุ่มราวกับมรกต ส่วนต้นที่ใบเป็นสีแดงก็มีสีแดงสดสวย ไม่เพียงแค่ดูมีชีวิตชีวา แต่ยังให้ความรู้สึกเหมือนพืชเหล่านี้เติบโตขึ้นด้วย แม้แต่ข้อมูลคุณสมบัติของสมุนไพรที่ปรากฏขึ้นในหัวของฉู่เนี่ยนซี ก็ยังได้รับการปรับปรุงให้อยู่ในระดับที่สูงขึ้น นั่นทำให้นางประหลาดใจในทันที ไม่คาดคิดว่าพื้นที่ที่เพิ่งเปิดใช้งานของนางนี้จะเป็นพื้นที่แห่งจิตวิญญาณจริง ๆ ไม่เพียงแต่จะช่วยเพิ่มคุณภาพของสมุนไพรเท่านั้น ทั้งยังช่วยเร่งการเจริญเติบโตของพืชอีกด้วย “ดูท่าจะสามารถนำสมุนไพรที่ใช้ในหอการแพทย์มาปลูกที่นี่ได้สักระยะหนึ่ง” ดวงตาโค้งมนของฉู่เนี่ยนซีฉายแววโล่งใ
อีกด้าน หลังจากที่เย่เฟยหลีออกมาจากเรือนของซ่างกวานเยียน เขาก็มาหยุดที่หน้าเรือนของฉู่เนี่ยนซีโดยไม่รู้ตัว เขามองไปยังเรือนที่ปิดสนิท ร่องรอยของความรำคาญใจปรากฏขึ้นบนใบหน้า เขาส่ายหัวแล้วกำลังหันหลังตั้งท่าจะจากไป “ท่านอ๋อง กระหม่อมรู้ว่าพระองค์จะต้องเสด็จมาแน่” เย่เฟยหลีมองคนตรงหน้า รู้สึกเหมือนตัวเองถูกจับได้ แต่ไม่นานความเย็นชาก็กลับคืนสู่ดวงตาของเขา “เจ้ามาทำอะไรที่นี่!” “เรียนท่านอ๋อง หมอที่รักษาท่านอ๋องเฉิงบอกว่าไม่สามารถรักษาเพิ่มเติมได้แล้ว แต่อาการที่ขาจะหายเอง ตอนนี้ท่านผู้นั้นกำลังพังข้าวของอยู่พ่ะย่ะค่ะ” เหลียงหยวนอธิบายอย่างชัดถ้อยชัดคำ และมีสีหน้าลำบากใจ แม้ว่าจวนแห่งนี้จะไม่ได้ขาดเงินทอง แต่พังข้าวของขนาดนี้ค่าใช้จ่ายคงท่วมหัว เขาที่เห็นเช่นนั้นก็รู้สึกเป็นทุกข์ “หมอธรรมดาสามารถรักษาสิ่งที่นางทำได้อย่างไร?” เย่เฟยหลีมองไปยังเรือนของฉู่เนี่ยนซีและพูดอย่างนิ่งเฉย เหลียงหยวนมีสีหน้าสงสัย “เรื่องนี้เกี่ยวอะไรกับพระชายาหรือพ่ะย่ะค่ะ?” เขาดูเหมือนจะคิดอะไรออก และทำสีหน้าประหลาดใจ “นี่…หรือว่า…” เหลียงหยวนกำลังจะพูดแต่ก็หยุดลงเมื่อเห็นเย่เฟยหลีพยักหน้า “ข้
เนื่องจากที่นี่เคยเปิดกิจการมาก่อน ทั้งทำเลและแผนผังภายในดีมาก ตัวอาคารยังคงเป็นสามชั้น นอกจากนี้ยังทำให้ง่ายต่อการแจกจ่ายยาและการรักษาในอนาคต “นายท่าน มาแล้วหรือขอรับ?” ทันทีที่ฉู่เนี่ยนซีมาถึง อวี๋ตงและอวี๋ซีก็ออกมาทักทาย ทั้งสองคนแต่งกายด้วยอาภรณ์สีดำ เนื่องจากมีสถานะพิเศษ พวกเขาจึงสวมหน้ากากสีเงินเอาไว้ รูปร่างของทั้งคู่สูงชะลูดและดูลึกลับ ฉู่เนี่ยนซีพยักหน้าและเดินเข้าไปในหอ “ท่านผู้อาวุโสเฮ่อหลานมาถึงแล้วหรือยัง?” ฉู่เนี่ยนซีถามขณะดูแผนผังของหอ “ยังเลยขอรับ เมื่อคืนอวี๋หนานไม่ได้พบท่านหมอเทวดา หมอฝึกหัดบอกว่าเขามีคนไข้คนสำคัญ จำต้องออกไปรักษา กลับมาอีกทีก็ตอนเช้านี้” บนใบหน้าอันสงบนิ่งของอวี๋ตงเต็มไปด้วยความกังวล “อวี๋หนานไปตั้งแต่เมื่อไหร่?” “เมื่อหนึ่งชั่วยามที่แล้วขอรับ” ฉู่เนี่ยนซีขมวดคิ้ว บ้านของหมอเทวดาเฮ่อหลานอยู่ไม่ไกลจากที่นี่ อย่างอวี๋หนานคงใช้เวลาเดินทางเพียงหนึ่งในสี่ของเวลาที่ว่าเท่านั้น แม้ว่าเขาจะกลับมาช้ากว่านี้อีกสักหน่อย แต่ไม่ได้เจอใครเลยภายเวลาหนึ่งชั่วยามน่ะหรือ “ช่างเถอะ ใกล้ถึงเวลาแล้ว เตรียมตัวเปิดร้านได้เลย” พูดจบ ฉู่เนี่ยนซีก็เดินไปที
“เจ้าเป็นหมอเจ้าของหอการแพทย์แห่งนี้หรือ? เจ้ายังเด็กมากและดูจะทำอะไรไม่เป็นโล้เป็นพาย แต่เจ้าก็ยังคงยืนกรานที่จะใช้ชื่อเสียงของหมอเทวดาเฮ่อหลานมาแอบอ้างและหลอกลวงงั้นรึ?!” ผู้นำเป็นชายวัยกลางคนอายุประมาณสี่สิบ มีดวงตารีเล็ก ความเยือกเย็นปรากฏขึ้นในดวงตาของฉู่เนี่ยนซี คนที่มาด้วยจุดประสงค์ไม่ดีเช่นนี้ คงจะมาเพื่อจับผิดโดยเฉพาะ เพียงแต่ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นใครมาจากไหนเท่านั้น “หากท่านกล่าวเช่นนี้ ข้าคงต้องไปฟ้องร้องต่อศาลาว่าการว่าท่านแพร่ข่าวลือและสร้างปัญหาแล้วกระมัง” ชายวัยกลางคนที่มีดวงตาหรี่เล็กคาดไม่ถึงว่านางจะสามารถพูดได้อย่างนิ่งเฉย หลังจากตกตะลึงไปครู่หนึ่ง เขาก็เย้ยหยันว่า “หมอเทวดาเฮ่อหลานเป็นคนเช่นไร ผู้น้อยเช่นเจ้าเนี่ยนะจะสามารถไปเชิญเขามาได้? ทั้งยังบอกว่าจะมานั่งตรวจเอง ตลกไปหน่อยแล้ว” ทันทีที่คนผู้นี้พูด ทุกคนก็ดูเหมือนจะตระหนักได้ และการสนทนาก็แพร่กระจายไปทั่วบริเวณถนน “พูดก็พูดเถอะ คนอย่างท่านหมอเทวดาเฮ่อหลานจะมาตรวจคนไข้ในสถานที่ที่ไร้ชื่อเสียงและไร้อำนาจแห่งนี้ได้อย่างไร” “นั่นสิ หากท่านหมอเทวดาเฮ่อหลานจะมาอยู่ในหอการแพทย์ไร้ชื่อเช่นนี้ได้อย่างไร หากเขา
“ข้าตักเตือนเจ้าก็เพื่อประโยชน์ของตัวเจ้าเอง แต่เจ้ากลับแช่งข้าเช่นนี้ ข้ายอมไม่ได้จริง ๆ !” เถ้าแก่จ้าวไม่สามารถปั้นรอยยิ้มปลอม ๆ ต่อไปได้ และกัดฟันมองที่ฉู่เนี่ยนซีด้วยความเคียดแค้น ฉู่เนี่ยนซียังคงไม่ไหวติงและมองเขาด้วยสายตาเย็นชา “เถ้าแก่จ้าว จะดีกว่าหากท่านไม่โกรธ เพื่อสุขภาพของท่านเอง ไม่เช่นนั้นจะทำให้อาการของท่านทรุดเร็วขึ้น แม้แต่เทพองค์ไหนก็ช่วยไม่ได้!" “เจ้า...” หนวดเคราของเถ้าแก่จ้าวกระตุกเล็กน้อย ดวงตาของเขาเบิกกว้าง เขาไม่เคยเห็นใครแช่งผู้อื่นด้วยท่าทีนิ่งเฉยเช่นนี้มาก่อน ราวกับว่าทุกสิ่งที่คนผู้นี้พูดจะเป็นเรื่องจริง แต่เขาก็เป็นหมอจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าตัวเองป่วย! “หยุดพูดให้ผู้อื่นขวัญเสียเพื่อถ่วงเวลาได้แล้ว อย่างไรหอการแพทย์ของเจ้าจะถูกปิดไม่ช้าก็เร็ว ดังนั้นรีบไปเสียแต่ตอนนี้จะดีกว่า” “ใช่ เถ้าแก่จ้าวพูดถูก! รีบปิดเลย!” “นั่นสิ เถ้าแก่จ้าวเห็นใจเจ้าแท้ ๆ แต่เจ้ากลับแช่งเขาเสียอย่างนั้น มีคนเช่นนี้บนโลกได้อย่างไรเนี่ย รีบ ๆ ปิดไปเลย! อย่ามาทำร้ายคนอื่นนะ” ใช่! ปิดเลย! ปิดเลย! ... เสียงเรียกร้องให้ปิดกิจการดังขึ้นในฝูงชน บางคนถึงกับอยากจะเอาก้อนกรวดแล
คำพูดนั้นทำให้หลานอีตกใจเป็นอย่างมาก เขารู้จักอำพันทะเลจริง ๆ แต่กลับมีปฏิกิริยานิ่งเฉยเช่นนี้ได้อย่างไร ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อพิจารณาจากสีหน้าจริงจังของเขา นี่เขาตั้งใจที่จะไม่รับไว้จริง ๆ หรือ? “นายท่านของข้ามีความสามารถไม่พอที่จะใช้สิ่งนี้ ไหน ๆ วันนี้ก็นำมาแล้ว จะเอากลับไปได้อย่างไร คุณชายซีโปรดอย่าทำให้พวกเราลำบากเลย” ฉู่เนี่ยนซีมองหญิงสาวตรงหน้าด้วยดวงตาที่ลุกวาว ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดเนิบ ๆ ว่า “คุณหนูนำของมามากมาย พวกสิ่งของที่อยู่ด้านหลังข้าน้อยจะรับไว้ แต่สำหรับชิ้นนี้โปรดนำกลับไปเถิดขอรับ” นางไม่เคยพบกับนายใหญ่ของหุบเขาสมุนไพรแห่งนั้นมาก่อน น่าแปลกมากที่อีกฝ่ายมอบของมีค่าเช่นนี้เป็นของขวัญ นางรับของขวัญไว้ไม่ได้ ได้แต่รับน้ำใจไว้แทน เถ้าแก่จ้าวที่อยู่ด้านข้างตกตะลึงนับตั้งแต่ที่หลานอีและคนอื่น ๆ มาถึง แม้เขาจะเป็นเพียงเถ้าแก่หอหุยชุนในเมืองรัตติกาล แต่ก็ได้ยินจากคนที่ชนชั้นสูงกว่าเขาว่า หุบเขาสมุนไพรเป็นผู้จัดหาวัตถุดิบทางยาทั้งหมดให้กับพวกเขา ตอนแรกที่ได้ยินเขาก็ไม่เชื่อ แต่หลังจากที่เห็นป้ายระบุตัวตนที่เป็นสัญลักษณ์ของหุบเขาสมุนไพรที่อยู่บนเอวของคนกลุ่มนี้