เนื่องจากที่นี่เคยเปิดกิจการมาก่อน ทั้งทำเลและแผนผังภายในดีมาก ตัวอาคารยังคงเป็นสามชั้น นอกจากนี้ยังทำให้ง่ายต่อการแจกจ่ายยาและการรักษาในอนาคต “นายท่าน มาแล้วหรือขอรับ?” ทันทีที่ฉู่เนี่ยนซีมาถึง อวี๋ตงและอวี๋ซีก็ออกมาทักทาย ทั้งสองคนแต่งกายด้วยอาภรณ์สีดำ เนื่องจากมีสถานะพิเศษ พวกเขาจึงสวมหน้ากากสีเงินเอาไว้ รูปร่างของทั้งคู่สูงชะลูดและดูลึกลับ ฉู่เนี่ยนซีพยักหน้าและเดินเข้าไปในหอ “ท่านผู้อาวุโสเฮ่อหลานมาถึงแล้วหรือยัง?” ฉู่เนี่ยนซีถามขณะดูแผนผังของหอ “ยังเลยขอรับ เมื่อคืนอวี๋หนานไม่ได้พบท่านหมอเทวดา หมอฝึกหัดบอกว่าเขามีคนไข้คนสำคัญ จำต้องออกไปรักษา กลับมาอีกทีก็ตอนเช้านี้” บนใบหน้าอันสงบนิ่งของอวี๋ตงเต็มไปด้วยความกังวล “อวี๋หนานไปตั้งแต่เมื่อไหร่?” “เมื่อหนึ่งชั่วยามที่แล้วขอรับ” ฉู่เนี่ยนซีขมวดคิ้ว บ้านของหมอเทวดาเฮ่อหลานอยู่ไม่ไกลจากที่นี่ อย่างอวี๋หนานคงใช้เวลาเดินทางเพียงหนึ่งในสี่ของเวลาที่ว่าเท่านั้น แม้ว่าเขาจะกลับมาช้ากว่านี้อีกสักหน่อย แต่ไม่ได้เจอใครเลยภายเวลาหนึ่งชั่วยามน่ะหรือ “ช่างเถอะ ใกล้ถึงเวลาแล้ว เตรียมตัวเปิดร้านได้เลย” พูดจบ ฉู่เนี่ยนซีก็เดินไปที
“เจ้าเป็นหมอเจ้าของหอการแพทย์แห่งนี้หรือ? เจ้ายังเด็กมากและดูจะทำอะไรไม่เป็นโล้เป็นพาย แต่เจ้าก็ยังคงยืนกรานที่จะใช้ชื่อเสียงของหมอเทวดาเฮ่อหลานมาแอบอ้างและหลอกลวงงั้นรึ?!” ผู้นำเป็นชายวัยกลางคนอายุประมาณสี่สิบ มีดวงตารีเล็ก ความเยือกเย็นปรากฏขึ้นในดวงตาของฉู่เนี่ยนซี คนที่มาด้วยจุดประสงค์ไม่ดีเช่นนี้ คงจะมาเพื่อจับผิดโดยเฉพาะ เพียงแต่ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นใครมาจากไหนเท่านั้น “หากท่านกล่าวเช่นนี้ ข้าคงต้องไปฟ้องร้องต่อศาลาว่าการว่าท่านแพร่ข่าวลือและสร้างปัญหาแล้วกระมัง” ชายวัยกลางคนที่มีดวงตาหรี่เล็กคาดไม่ถึงว่านางจะสามารถพูดได้อย่างนิ่งเฉย หลังจากตกตะลึงไปครู่หนึ่ง เขาก็เย้ยหยันว่า “หมอเทวดาเฮ่อหลานเป็นคนเช่นไร ผู้น้อยเช่นเจ้าเนี่ยนะจะสามารถไปเชิญเขามาได้? ทั้งยังบอกว่าจะมานั่งตรวจเอง ตลกไปหน่อยแล้ว” ทันทีที่คนผู้นี้พูด ทุกคนก็ดูเหมือนจะตระหนักได้ และการสนทนาก็แพร่กระจายไปทั่วบริเวณถนน “พูดก็พูดเถอะ คนอย่างท่านหมอเทวดาเฮ่อหลานจะมาตรวจคนไข้ในสถานที่ที่ไร้ชื่อเสียงและไร้อำนาจแห่งนี้ได้อย่างไร” “นั่นสิ หากท่านหมอเทวดาเฮ่อหลานจะมาอยู่ในหอการแพทย์ไร้ชื่อเช่นนี้ได้อย่างไร หากเขา
“ข้าตักเตือนเจ้าก็เพื่อประโยชน์ของตัวเจ้าเอง แต่เจ้ากลับแช่งข้าเช่นนี้ ข้ายอมไม่ได้จริง ๆ !” เถ้าแก่จ้าวไม่สามารถปั้นรอยยิ้มปลอม ๆ ต่อไปได้ และกัดฟันมองที่ฉู่เนี่ยนซีด้วยความเคียดแค้น ฉู่เนี่ยนซียังคงไม่ไหวติงและมองเขาด้วยสายตาเย็นชา “เถ้าแก่จ้าว จะดีกว่าหากท่านไม่โกรธ เพื่อสุขภาพของท่านเอง ไม่เช่นนั้นจะทำให้อาการของท่านทรุดเร็วขึ้น แม้แต่เทพองค์ไหนก็ช่วยไม่ได้!" “เจ้า...” หนวดเคราของเถ้าแก่จ้าวกระตุกเล็กน้อย ดวงตาของเขาเบิกกว้าง เขาไม่เคยเห็นใครแช่งผู้อื่นด้วยท่าทีนิ่งเฉยเช่นนี้มาก่อน ราวกับว่าทุกสิ่งที่คนผู้นี้พูดจะเป็นเรื่องจริง แต่เขาก็เป็นหมอจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าตัวเองป่วย! “หยุดพูดให้ผู้อื่นขวัญเสียเพื่อถ่วงเวลาได้แล้ว อย่างไรหอการแพทย์ของเจ้าจะถูกปิดไม่ช้าก็เร็ว ดังนั้นรีบไปเสียแต่ตอนนี้จะดีกว่า” “ใช่ เถ้าแก่จ้าวพูดถูก! รีบปิดเลย!” “นั่นสิ เถ้าแก่จ้าวเห็นใจเจ้าแท้ ๆ แต่เจ้ากลับแช่งเขาเสียอย่างนั้น มีคนเช่นนี้บนโลกได้อย่างไรเนี่ย รีบ ๆ ปิดไปเลย! อย่ามาทำร้ายคนอื่นนะ” ใช่! ปิดเลย! ปิดเลย! ... เสียงเรียกร้องให้ปิดกิจการดังขึ้นในฝูงชน บางคนถึงกับอยากจะเอาก้อนกรวดแล
คำพูดนั้นทำให้หลานอีตกใจเป็นอย่างมาก เขารู้จักอำพันทะเลจริง ๆ แต่กลับมีปฏิกิริยานิ่งเฉยเช่นนี้ได้อย่างไร ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อพิจารณาจากสีหน้าจริงจังของเขา นี่เขาตั้งใจที่จะไม่รับไว้จริง ๆ หรือ? “นายท่านของข้ามีความสามารถไม่พอที่จะใช้สิ่งนี้ ไหน ๆ วันนี้ก็นำมาแล้ว จะเอากลับไปได้อย่างไร คุณชายซีโปรดอย่าทำให้พวกเราลำบากเลย” ฉู่เนี่ยนซีมองหญิงสาวตรงหน้าด้วยดวงตาที่ลุกวาว ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดเนิบ ๆ ว่า “คุณหนูนำของมามากมาย พวกสิ่งของที่อยู่ด้านหลังข้าน้อยจะรับไว้ แต่สำหรับชิ้นนี้โปรดนำกลับไปเถิดขอรับ” นางไม่เคยพบกับนายใหญ่ของหุบเขาสมุนไพรแห่งนั้นมาก่อน น่าแปลกมากที่อีกฝ่ายมอบของมีค่าเช่นนี้เป็นของขวัญ นางรับของขวัญไว้ไม่ได้ ได้แต่รับน้ำใจไว้แทน เถ้าแก่จ้าวที่อยู่ด้านข้างตกตะลึงนับตั้งแต่ที่หลานอีและคนอื่น ๆ มาถึง แม้เขาจะเป็นเพียงเถ้าแก่หอหุยชุนในเมืองรัตติกาล แต่ก็ได้ยินจากคนที่ชนชั้นสูงกว่าเขาว่า หุบเขาสมุนไพรเป็นผู้จัดหาวัตถุดิบทางยาทั้งหมดให้กับพวกเขา ตอนแรกที่ได้ยินเขาก็ไม่เชื่อ แต่หลังจากที่เห็นป้ายระบุตัวตนที่เป็นสัญลักษณ์ของหุบเขาสมุนไพรที่อยู่บนเอวของคนกลุ่มนี้
คิดไปคิดมาในที่สุดก็ต้องประนีประนอม “ถ้าเช่นนั้น ข้าก็คงต้องให้ความเคารพมากกว่าการเชื่อฟังคำสั่ง” เมื่อพูดเช่นนั้น นางก็หยิบกล่องผ้าขึ้นมา พยักหน้าให้ฉู่เนี่ยนซี แล้วพาสาวใช้จากไป ขณะที่หลานอีและคนอื่น ๆ จากไป ก็เกิดความโกลาหลในฝูงชนขึ้นอีกครั้ง “ข้ามาสาย!” ทุกคนมองไปเห็นชายชราคนหนึ่งซึ่งกำลังพูดด้วยความเหนื่อยหอบ ส่วนชายอีกคนที่อยู่ข้าง ๆ ผู้ซึ่งสวมชุดสีดำและมีหน้ากากปิดหน้า เหมือนกับชายที่ยืนถัดจากซีซานเซิง สองคนนี้ไม่ใช่ใครอื่นนอกจาก หมอเทวดาเฮ่อหลานและอวี๋หนาน อวี๋ตงถอนหายใจด้วยความโล่งอก แม้แต่อวี๋ซีที่เย็นชาและมักไม่แสดงออกก็ผ่อนคลายความตึงเครียดในดวงตาของเขา “ข้าขออภัยจริง ๆ สหายเก่าของข้าป่วย ทำให้ล่าช้า ขอคุณชายซีโปรดอย่าตำหนิข้าเลย” หมอเทวดาเฮ่อหลานเดินฝ่าฝูงชนมาอย่างรวดเร็วเขาไปหาฉู่เนี่ยนซีและประสานมือคำนับด้วยท่าทางนอบน้อม นั่นทำให้ฝูงชนโกหากลราวกับน้ำเดือดในหม้อ “สวรรค์ นี่คือท่านหมอเทวดาเฮ่อหลานจริง ๆ ครั้งหนึ่งข้าเคยทำงานเป็นคนรับใช้ในครอบครัวเศรษฐี และได้เห็นรูปเหมือนของท่านหมอเทวดาในห้องทำงาน” “ใช่ ใช่ ใช่ ท่านหมอเทวดาเฮ่อหลานเป็นคนที่พ่อของข้าชื่น
เนื่องจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ หอการแพทย์จึงมีชื่อเสียงขึ้นมา อีกทั้งอวี๋ตงและคนอื่น ๆ ก็เตรียมการมาเป็นอย่างดี และได้รับคนงานกับหมอเข้ามาจำนวนมาก พวกเขาจึงสามารถรับมือได้แม้ว่าจะยุ่งก็ตาม ฉู่เนี่ยนีใช้เวลาตลอดช่วงเช้าที่หอการแพทย์เพื่อตอบคำถามเกี่ยวกับความรู้ทางการแพทย์อันไม่มีที่สิ้นสุดของหมอเทวดาเฮ่อหลาน ขณะเดียวกันก็รอผู้ป่วยที่มีอาการพิเศษอย่างเหม่อลอยเพื่อที่จะได้พัฒนาทักษะ อย่างไรก็ตาม จนถึงเที่ยงก็ยังไม่มีผู้ป่วยหนักเข้ามา ดังนั้น หลังจากที่ฉู่เนี่ยนซีชี้แนะเพิ่มอีกเล็กน้อยแล้วนางก็เปลี่ยนเสื้อผ้ากลับไปยังจวนอ๋องหลี ทันทีที่ฉู่เนี่ยนซีกลับมาที่จวน สาวใช้คนหนึ่งก็วิ่งมาหานางด้วยสีหน้ากังวล ขณะที่มองไปยังโถงรับแขก นางก็กระซิบอย่างระมัดระวังว่า “พระชายา ในที่สุดท่านก็กลับมาแล้ว องค์จักรพรรดิและฮองเฮาทรงประทับอยู่ที่นี่เจ้าค่ะ” “พวกเขามาทำอะไร?” ฉู่เนี่ยนซีสับสนเล็กน้อย “ว่ากันว่าท่านเป็นผู้รักษาองค์จักรพรรดิ และฮองเฮาก็เสด็จมาเพื่อพระราชทานรางวัลพระชายาเป็นการส่วนตัว แต่ไม่รู้เหตุใด พระองค์ถึงรู้ว่าท่านอ๋องเฉิงอาศัยอยู่ที่นี่ ดังนั้นพระองค์จึงเรียกตัวท่านอ๋องเฉิง
เมื่อฉู่เนี่ยนซีเห็นเช่นนั้นก็ดูจะตื่นตระหนก นางจึงหันข้างและนอนราบกับพื้น เช่นเดียวกันนั้น ถ้วยชาก็แตกดัง ‘เพล้ง’ ข้าง ๆ ฉู่เนี่ยนซี ทำให้เศษแก้วบาดแขนของนาง ฉู่เนี่ยนซีสูดลมหายใจเข้า ยกแขนเสื้อขึ้น พลันผิวขาวของนางก็เปลี่ยนเป็นสีแดงในทันที “ท่านอ๋องเฉิงโกรธมากจนอยากทุบตีหม่อมฉันให้ตายเลยหรือเพคะ?” ฉู่เนี่ยนซีปิดแขนแล้วบีบน้ำตา แม้รูปลักษณ์จะน่าเกลียด แต่ท่าทีอ่อนแอของนางทำให้ผู้คนรู้สึกว่านางได้รับความทุกข์ทรมานอย่างมาก พลอยทำให้ผู้คนถูกหลอกโดยไม่รู้ตัว เมื่อเย่ฉงเฉิงเห็นท่าทางของนาง ความรู้สึกผิดที่ขว้างถ้วยชาใส่นางก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย เขาอยากจะโต้แย้ง แต่สุดท้ายก็ทำได้เพียงส่งเสียง ‘อาอา’ ออกมาเท่านั้น หลังจากองค์จักรพรรดิเห็นเย่ฉงเฉิงลงไม้ลงมือต่อหน้าเขา ทำให้ฉู่เนี่ยนซีมีท่าทางเช่นนี้ แววตาของเขาก็วาวโรจน์ขึ้นมา และถ้วยชาบนโต๊ะก็ถูกเขวี้ยงใส่เย่ฉงเฉิงด้วยความโกรธเช่นกัน “ช่างอวดดีเสียนี่กระไร! มารยาทและความยุติธรรมของเจ้ามันหายลงท้องสุนัขไปหมดแล้วรึ? ทั้งยังกล้าลงมือต่อหน้าข้าอีก หากข้าไม่อยู่ที่นี่ เจ้าคงจะฆ่าคนไปแล้วล่ะสิท่า!" เย่ฉงเฉิงพูดไม่ได้ในขณะนี้ ในใจเขาเต็มไ
ฉู่เนี่ยนซียิ้มอย่างเย็นชาและมองตรงไปที่นางด้วยดวงตาที่สดใส “แล้วเหตุใดท่านอ๋องเฉิงถึงต่อว่าข้าเพื่อเจ้าเล่า!" “นั่นเป็นเพราะท่านอ๋องเฉิงไม่ต้องการให้ท่านรังแกผู้ที่อ่อนแอกว่า!” “ข้าไปรังแกเจ้าตอนไหน?” “ก็...ตอนที่กลับมาจากวังเมื่อวานนี้!” ซ่างกวานเยียนมองไปยังดวงตาที่ลุกวาวของฉู่เนี่ยนซี รู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย และตอบนางทีละคำถาม! “ท่านอ๋องเฉิงเห็นกับตาว่าหม่อมฉันเป็นคนผลักนางหรือไม่เพคะ?” ฉู่เนี่ยนซีเมินซ่างกวานเยียน และมองไปยังเย่ฉงเฉิงที่กำลังคุกเข่าอยู่บนพื้นและมองนางกลับด้วยสีหน้าโกรธเคือง เมื่อเย่ฉงเฉิงได้ยินคำถาม เขาก็อยากจะตอบทันที ฉู่เนี่ยนซีหรี่ตาลงเล็กน้อยแล้วพูดด้วยสีหน้าเย็นชา “พระองค์จะพยักหน้าหรือส่ายหน้าก็ได้ แค่ต้องทรงคิดให้ดีก่อนตอบ!” ไม่รู้เหตุใด เมื่อเห็นดูสีหน้าของนาง เย่ฉงเฉิงก็รู้สึกว่าทั้งร่างกายของเขาแข็งทื่อและไม่เป็นธรรมชาติ และเขาก็ส่ายหน้าไปโดยไม่รู้ตัว หลังจากส่ายหน้าไปแล้ว จู่ ๆ เขาก็รู้สึกหงุดหงิดหน่อย ๆ ในขณะนั้น เขาก็เริ่มกลัวสตรีอัปลักษณ์ผู้นี้ขึ้นมาบ้างแล้วจริง ๆ! “เสด็จพ่อคงเห็นแล้วว่าท่านอ๋องเฉิงไม่เห็นหม่อมฉันผลักซ่างกวานเยียน แ