เนื่องจากที่นี่เคยเปิดกิจการมาก่อน ทั้งทำเลและแผนผังภายในดีมาก ตัวอาคารยังคงเป็นสามชั้น นอกจากนี้ยังทำให้ง่ายต่อการแจกจ่ายยาและการรักษาในอนาคต “นายท่าน มาแล้วหรือขอรับ?” ทันทีที่ฉู่เนี่ยนซีมาถึง อวี๋ตงและอวี๋ซีก็ออกมาทักทาย ทั้งสองคนแต่งกายด้วยอาภรณ์สีดำ เนื่องจากมีสถานะพิเศษ พวกเขาจึงสวมหน้ากากสีเงินเอาไว้ รูปร่างของทั้งคู่สูงชะลูดและดูลึกลับ ฉู่เนี่ยนซีพยักหน้าและเดินเข้าไปในหอ “ท่านผู้อาวุโสเฮ่อหลานมาถึงแล้วหรือยัง?” ฉู่เนี่ยนซีถามขณะดูแผนผังของหอ “ยังเลยขอรับ เมื่อคืนอวี๋หนานไม่ได้พบท่านหมอเทวดา หมอฝึกหัดบอกว่าเขามีคนไข้คนสำคัญ จำต้องออกไปรักษา กลับมาอีกทีก็ตอนเช้านี้” บนใบหน้าอันสงบนิ่งของอวี๋ตงเต็มไปด้วยความกังวล “อวี๋หนานไปตั้งแต่เมื่อไหร่?” “เมื่อหนึ่งชั่วยามที่แล้วขอรับ” ฉู่เนี่ยนซีขมวดคิ้ว บ้านของหมอเทวดาเฮ่อหลานอยู่ไม่ไกลจากที่นี่ อย่างอวี๋หนานคงใช้เวลาเดินทางเพียงหนึ่งในสี่ของเวลาที่ว่าเท่านั้น แม้ว่าเขาจะกลับมาช้ากว่านี้อีกสักหน่อย แต่ไม่ได้เจอใครเลยภายเวลาหนึ่งชั่วยามน่ะหรือ “ช่างเถอะ ใกล้ถึงเวลาแล้ว เตรียมตัวเปิดร้านได้เลย” พูดจบ ฉู่เนี่ยนซีก็เดินไปที
“เจ้าเป็นหมอเจ้าของหอการแพทย์แห่งนี้หรือ? เจ้ายังเด็กมากและดูจะทำอะไรไม่เป็นโล้เป็นพาย แต่เจ้าก็ยังคงยืนกรานที่จะใช้ชื่อเสียงของหมอเทวดาเฮ่อหลานมาแอบอ้างและหลอกลวงงั้นรึ?!” ผู้นำเป็นชายวัยกลางคนอายุประมาณสี่สิบ มีดวงตารีเล็ก ความเยือกเย็นปรากฏขึ้นในดวงตาของฉู่เนี่ยนซี คนที่มาด้วยจุดประสงค์ไม่ดีเช่นนี้ คงจะมาเพื่อจับผิดโดยเฉพาะ เพียงแต่ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นใครมาจากไหนเท่านั้น “หากท่านกล่าวเช่นนี้ ข้าคงต้องไปฟ้องร้องต่อศาลาว่าการว่าท่านแพร่ข่าวลือและสร้างปัญหาแล้วกระมัง” ชายวัยกลางคนที่มีดวงตาหรี่เล็กคาดไม่ถึงว่านางจะสามารถพูดได้อย่างนิ่งเฉย หลังจากตกตะลึงไปครู่หนึ่ง เขาก็เย้ยหยันว่า “หมอเทวดาเฮ่อหลานเป็นคนเช่นไร ผู้น้อยเช่นเจ้าเนี่ยนะจะสามารถไปเชิญเขามาได้? ทั้งยังบอกว่าจะมานั่งตรวจเอง ตลกไปหน่อยแล้ว” ทันทีที่คนผู้นี้พูด ทุกคนก็ดูเหมือนจะตระหนักได้ และการสนทนาก็แพร่กระจายไปทั่วบริเวณถนน “พูดก็พูดเถอะ คนอย่างท่านหมอเทวดาเฮ่อหลานจะมาตรวจคนไข้ในสถานที่ที่ไร้ชื่อเสียงและไร้อำนาจแห่งนี้ได้อย่างไร” “นั่นสิ หากท่านหมอเทวดาเฮ่อหลานจะมาอยู่ในหอการแพทย์ไร้ชื่อเช่นนี้ได้อย่างไร หากเขา
“ข้าตักเตือนเจ้าก็เพื่อประโยชน์ของตัวเจ้าเอง แต่เจ้ากลับแช่งข้าเช่นนี้ ข้ายอมไม่ได้จริง ๆ !” เถ้าแก่จ้าวไม่สามารถปั้นรอยยิ้มปลอม ๆ ต่อไปได้ และกัดฟันมองที่ฉู่เนี่ยนซีด้วยความเคียดแค้น ฉู่เนี่ยนซียังคงไม่ไหวติงและมองเขาด้วยสายตาเย็นชา “เถ้าแก่จ้าว จะดีกว่าหากท่านไม่โกรธ เพื่อสุขภาพของท่านเอง ไม่เช่นนั้นจะทำให้อาการของท่านทรุดเร็วขึ้น แม้แต่เทพองค์ไหนก็ช่วยไม่ได้!" “เจ้า...” หนวดเคราของเถ้าแก่จ้าวกระตุกเล็กน้อย ดวงตาของเขาเบิกกว้าง เขาไม่เคยเห็นใครแช่งผู้อื่นด้วยท่าทีนิ่งเฉยเช่นนี้มาก่อน ราวกับว่าทุกสิ่งที่คนผู้นี้พูดจะเป็นเรื่องจริง แต่เขาก็เป็นหมอจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าตัวเองป่วย! “หยุดพูดให้ผู้อื่นขวัญเสียเพื่อถ่วงเวลาได้แล้ว อย่างไรหอการแพทย์ของเจ้าจะถูกปิดไม่ช้าก็เร็ว ดังนั้นรีบไปเสียแต่ตอนนี้จะดีกว่า” “ใช่ เถ้าแก่จ้าวพูดถูก! รีบปิดเลย!” “นั่นสิ เถ้าแก่จ้าวเห็นใจเจ้าแท้ ๆ แต่เจ้ากลับแช่งเขาเสียอย่างนั้น มีคนเช่นนี้บนโลกได้อย่างไรเนี่ย รีบ ๆ ปิดไปเลย! อย่ามาทำร้ายคนอื่นนะ” ใช่! ปิดเลย! ปิดเลย! ... เสียงเรียกร้องให้ปิดกิจการดังขึ้นในฝูงชน บางคนถึงกับอยากจะเอาก้อนกรวดแล
คำพูดนั้นทำให้หลานอีตกใจเป็นอย่างมาก เขารู้จักอำพันทะเลจริง ๆ แต่กลับมีปฏิกิริยานิ่งเฉยเช่นนี้ได้อย่างไร ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อพิจารณาจากสีหน้าจริงจังของเขา นี่เขาตั้งใจที่จะไม่รับไว้จริง ๆ หรือ? “นายท่านของข้ามีความสามารถไม่พอที่จะใช้สิ่งนี้ ไหน ๆ วันนี้ก็นำมาแล้ว จะเอากลับไปได้อย่างไร คุณชายซีโปรดอย่าทำให้พวกเราลำบากเลย” ฉู่เนี่ยนซีมองหญิงสาวตรงหน้าด้วยดวงตาที่ลุกวาว ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดเนิบ ๆ ว่า “คุณหนูนำของมามากมาย พวกสิ่งของที่อยู่ด้านหลังข้าน้อยจะรับไว้ แต่สำหรับชิ้นนี้โปรดนำกลับไปเถิดขอรับ” นางไม่เคยพบกับนายใหญ่ของหุบเขาสมุนไพรแห่งนั้นมาก่อน น่าแปลกมากที่อีกฝ่ายมอบของมีค่าเช่นนี้เป็นของขวัญ นางรับของขวัญไว้ไม่ได้ ได้แต่รับน้ำใจไว้แทน เถ้าแก่จ้าวที่อยู่ด้านข้างตกตะลึงนับตั้งแต่ที่หลานอีและคนอื่น ๆ มาถึง แม้เขาจะเป็นเพียงเถ้าแก่หอหุยชุนในเมืองรัตติกาล แต่ก็ได้ยินจากคนที่ชนชั้นสูงกว่าเขาว่า หุบเขาสมุนไพรเป็นผู้จัดหาวัตถุดิบทางยาทั้งหมดให้กับพวกเขา ตอนแรกที่ได้ยินเขาก็ไม่เชื่อ แต่หลังจากที่เห็นป้ายระบุตัวตนที่เป็นสัญลักษณ์ของหุบเขาสมุนไพรที่อยู่บนเอวของคนกลุ่มนี้
คิดไปคิดมาในที่สุดก็ต้องประนีประนอม “ถ้าเช่นนั้น ข้าก็คงต้องให้ความเคารพมากกว่าการเชื่อฟังคำสั่ง” เมื่อพูดเช่นนั้น นางก็หยิบกล่องผ้าขึ้นมา พยักหน้าให้ฉู่เนี่ยนซี แล้วพาสาวใช้จากไป ขณะที่หลานอีและคนอื่น ๆ จากไป ก็เกิดความโกลาหลในฝูงชนขึ้นอีกครั้ง “ข้ามาสาย!” ทุกคนมองไปเห็นชายชราคนหนึ่งซึ่งกำลังพูดด้วยความเหนื่อยหอบ ส่วนชายอีกคนที่อยู่ข้าง ๆ ผู้ซึ่งสวมชุดสีดำและมีหน้ากากปิดหน้า เหมือนกับชายที่ยืนถัดจากซีซานเซิง สองคนนี้ไม่ใช่ใครอื่นนอกจาก หมอเทวดาเฮ่อหลานและอวี๋หนาน อวี๋ตงถอนหายใจด้วยความโล่งอก แม้แต่อวี๋ซีที่เย็นชาและมักไม่แสดงออกก็ผ่อนคลายความตึงเครียดในดวงตาของเขา “ข้าขออภัยจริง ๆ สหายเก่าของข้าป่วย ทำให้ล่าช้า ขอคุณชายซีโปรดอย่าตำหนิข้าเลย” หมอเทวดาเฮ่อหลานเดินฝ่าฝูงชนมาอย่างรวดเร็วเขาไปหาฉู่เนี่ยนซีและประสานมือคำนับด้วยท่าทางนอบน้อม นั่นทำให้ฝูงชนโกหากลราวกับน้ำเดือดในหม้อ “สวรรค์ นี่คือท่านหมอเทวดาเฮ่อหลานจริง ๆ ครั้งหนึ่งข้าเคยทำงานเป็นคนรับใช้ในครอบครัวเศรษฐี และได้เห็นรูปเหมือนของท่านหมอเทวดาในห้องทำงาน” “ใช่ ใช่ ใช่ ท่านหมอเทวดาเฮ่อหลานเป็นคนที่พ่อของข้าชื่น
เนื่องจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ หอการแพทย์จึงมีชื่อเสียงขึ้นมา อีกทั้งอวี๋ตงและคนอื่น ๆ ก็เตรียมการมาเป็นอย่างดี และได้รับคนงานกับหมอเข้ามาจำนวนมาก พวกเขาจึงสามารถรับมือได้แม้ว่าจะยุ่งก็ตาม ฉู่เนี่ยนีใช้เวลาตลอดช่วงเช้าที่หอการแพทย์เพื่อตอบคำถามเกี่ยวกับความรู้ทางการแพทย์อันไม่มีที่สิ้นสุดของหมอเทวดาเฮ่อหลาน ขณะเดียวกันก็รอผู้ป่วยที่มีอาการพิเศษอย่างเหม่อลอยเพื่อที่จะได้พัฒนาทักษะ อย่างไรก็ตาม จนถึงเที่ยงก็ยังไม่มีผู้ป่วยหนักเข้ามา ดังนั้น หลังจากที่ฉู่เนี่ยนซีชี้แนะเพิ่มอีกเล็กน้อยแล้วนางก็เปลี่ยนเสื้อผ้ากลับไปยังจวนอ๋องหลี ทันทีที่ฉู่เนี่ยนซีกลับมาที่จวน สาวใช้คนหนึ่งก็วิ่งมาหานางด้วยสีหน้ากังวล ขณะที่มองไปยังโถงรับแขก นางก็กระซิบอย่างระมัดระวังว่า “พระชายา ในที่สุดท่านก็กลับมาแล้ว องค์จักรพรรดิและฮองเฮาทรงประทับอยู่ที่นี่เจ้าค่ะ” “พวกเขามาทำอะไร?” ฉู่เนี่ยนซีสับสนเล็กน้อย “ว่ากันว่าท่านเป็นผู้รักษาองค์จักรพรรดิ และฮองเฮาก็เสด็จมาเพื่อพระราชทานรางวัลพระชายาเป็นการส่วนตัว แต่ไม่รู้เหตุใด พระองค์ถึงรู้ว่าท่านอ๋องเฉิงอาศัยอยู่ที่นี่ ดังนั้นพระองค์จึงเรียกตัวท่านอ๋องเฉิง
เมื่อฉู่เนี่ยนซีเห็นเช่นนั้นก็ดูจะตื่นตระหนก นางจึงหันข้างและนอนราบกับพื้น เช่นเดียวกันนั้น ถ้วยชาก็แตกดัง ‘เพล้ง’ ข้าง ๆ ฉู่เนี่ยนซี ทำให้เศษแก้วบาดแขนของนาง ฉู่เนี่ยนซีสูดลมหายใจเข้า ยกแขนเสื้อขึ้น พลันผิวขาวของนางก็เปลี่ยนเป็นสีแดงในทันที “ท่านอ๋องเฉิงโกรธมากจนอยากทุบตีหม่อมฉันให้ตายเลยหรือเพคะ?” ฉู่เนี่ยนซีปิดแขนแล้วบีบน้ำตา แม้รูปลักษณ์จะน่าเกลียด แต่ท่าทีอ่อนแอของนางทำให้ผู้คนรู้สึกว่านางได้รับความทุกข์ทรมานอย่างมาก พลอยทำให้ผู้คนถูกหลอกโดยไม่รู้ตัว เมื่อเย่ฉงเฉิงเห็นท่าทางของนาง ความรู้สึกผิดที่ขว้างถ้วยชาใส่นางก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย เขาอยากจะโต้แย้ง แต่สุดท้ายก็ทำได้เพียงส่งเสียง ‘อาอา’ ออกมาเท่านั้น หลังจากองค์จักรพรรดิเห็นเย่ฉงเฉิงลงไม้ลงมือต่อหน้าเขา ทำให้ฉู่เนี่ยนซีมีท่าทางเช่นนี้ แววตาของเขาก็วาวโรจน์ขึ้นมา และถ้วยชาบนโต๊ะก็ถูกเขวี้ยงใส่เย่ฉงเฉิงด้วยความโกรธเช่นกัน “ช่างอวดดีเสียนี่กระไร! มารยาทและความยุติธรรมของเจ้ามันหายลงท้องสุนัขไปหมดแล้วรึ? ทั้งยังกล้าลงมือต่อหน้าข้าอีก หากข้าไม่อยู่ที่นี่ เจ้าคงจะฆ่าคนไปแล้วล่ะสิท่า!" เย่ฉงเฉิงพูดไม่ได้ในขณะนี้ ในใจเขาเต็มไ
ฉู่เนี่ยนซียิ้มอย่างเย็นชาและมองตรงไปที่นางด้วยดวงตาที่สดใส “แล้วเหตุใดท่านอ๋องเฉิงถึงต่อว่าข้าเพื่อเจ้าเล่า!" “นั่นเป็นเพราะท่านอ๋องเฉิงไม่ต้องการให้ท่านรังแกผู้ที่อ่อนแอกว่า!” “ข้าไปรังแกเจ้าตอนไหน?” “ก็...ตอนที่กลับมาจากวังเมื่อวานนี้!” ซ่างกวานเยียนมองไปยังดวงตาที่ลุกวาวของฉู่เนี่ยนซี รู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย และตอบนางทีละคำถาม! “ท่านอ๋องเฉิงเห็นกับตาว่าหม่อมฉันเป็นคนผลักนางหรือไม่เพคะ?” ฉู่เนี่ยนซีเมินซ่างกวานเยียน และมองไปยังเย่ฉงเฉิงที่กำลังคุกเข่าอยู่บนพื้นและมองนางกลับด้วยสีหน้าโกรธเคือง เมื่อเย่ฉงเฉิงได้ยินคำถาม เขาก็อยากจะตอบทันที ฉู่เนี่ยนซีหรี่ตาลงเล็กน้อยแล้วพูดด้วยสีหน้าเย็นชา “พระองค์จะพยักหน้าหรือส่ายหน้าก็ได้ แค่ต้องทรงคิดให้ดีก่อนตอบ!” ไม่รู้เหตุใด เมื่อเห็นดูสีหน้าของนาง เย่ฉงเฉิงก็รู้สึกว่าทั้งร่างกายของเขาแข็งทื่อและไม่เป็นธรรมชาติ และเขาก็ส่ายหน้าไปโดยไม่รู้ตัว หลังจากส่ายหน้าไปแล้ว จู่ ๆ เขาก็รู้สึกหงุดหงิดหน่อย ๆ ในขณะนั้น เขาก็เริ่มกลัวสตรีอัปลักษณ์ผู้นี้ขึ้นมาบ้างแล้วจริง ๆ! “เสด็จพ่อคงเห็นแล้วว่าท่านอ๋องเฉิงไม่เห็นหม่อมฉันผลักซ่างกวานเยียน แ
เมื่อได้ยินดังนั้น ฉู่เนี่ยนซีจึงฟาดไปที่ไหล่ของเขาหนึ่งที พลางมองดูสีหน้าเจ็บปวดของอีกฝ่าย “เช่นนั้นท่านก็ถอดเสื้อออก ข้าจะดูแผลให้”เดิมทีไม่รู้สึกอะไร แต่เมื่อเห็นเย่เฟยหลีถอดเสื้อผ้าทีละชิ้นตรงหน้า ฉู่เนี่ยนซีก็หันหน้าหนีด้วยความเขินอาย แม้ว่าเขาจะทำอย่างองอาจ แต่ก็ยังทำให้นางอายจนต้องเบือนหน้าหนี“เสร็จแล้ว”ฉู่เนี่ยนซีหันกลับมาจับแผ่นหลังกว้างของเย่เฟยหลีไว้ แต่นางก็ไม่เขินอายอีกต่อไป เพราะร่องรอยบาดแผลจากการสู้รบในอดีตทำให้ใจของนางสั่นสะท้านนางค่อย ๆ แกะผ้าพันแผลออกทีละชั้น เมื่อแกะชั้นสุดท้าย เย่เฟยหลีก็ทนต่อความเจ็บปวดจนตัวสั่นฉู่เนี่ยนซีรีบโรยผงยาลงบนผ้าผ้าพันแผลทันที ซึ่งไม่เพียงแต่บรรเทาความเจ็บปวดของเย่เฟยหลีเท่านั้น แต่ยังช่วยให้ปลดผ้าพันแผลออกได้ง่ายขึ้นอีกด้วยผงยานำความเย็นแพร่ไปตามบาดแผลทั่วทั้งแผ่นหลัง เย่เฟยหลีจึงคลายคิ้วที่ขมวดอยู่ช้าๆฉู่เนี่ยนซีมองไปยังบาดแผลไฟไหม้ที่สภาพดูไม่ได้“นอนลงบนเตียง ข้าจะทายาให้ท่านใหม่”“ได้”เย่เฟยหลีทำตามอย่างเชื่อฟัง เขาคว่ำตัวเหยียดยาวอยู่บนเตียงฉู่เนี่ยนซีโรยผงยาอีกขวดบนแผลให้เสมอกัน ผงยานี้ให้ผลลัพธ์ที่น่าอัศจรรย
ซุนจื่อซีที่อยู่ข้าง ๆ ไทเฮา ครุ่นคิดแล้วพูดว่า “ท่านป้า เนื่องด้วยจื่อซีและพระชายาหลีอยู่ด้วยกันมาระยะหนึ่งแล้วจึงได้รู้ว่าหากตระกูลไม่มีการอบรมสั่งสอนที่เข้มงวด พวกเขาก็จะไม่สามารถเลี้ยงดูบุตรีให้เติบโตมาอย่างดีเช่นนี้ได้ ฉู่กุ้ยเฟยต้องถูกใส่ร้ายแน่นอนเพคะ ได้โปรดทรงอย่าปล่อยให้คนบริสุทธิ์ต้องรับผิดอย่างไม่เป็นธรรมเลยนะเพคะ”องค์จักรพรรดิคิดว่าเขาไม่สามารถลงโทษสนมไป๋ได้เพียงเพราะการคาดเดาของหยางเหอ แต่สนมไป๋ ล่วงเกินฉู่กุ้ยเฟยซ้ำแล้วซ้ำเล่า ซึ่งนั่นเป็นความจริงที่แน่ชัด จึงมีรับสั่งให้สนมไป๋ถูกปรับเงินเดือนครึ่งปีและถูกกักบริเวณในตำหนักเป็นเวลาหนึ่งเดือน และไม่ได้รับอนุญาตให้ออกไปข้างนอกโดยพลการองค์จักรพรรดิมีรับสั่งให้เย่เหลียนและเย่เฟยหลีสืบเรื่องนี้ด้วยกัน หลังจากเหตุการณ์เลวร้ายพ้นผ่าน งานเลี้ยงในพระราชวังก็สูญเสียบรรยากาศที่สนุกสนานไป องค์จักรพรรดิทรงกังวลว่าไทเฮาจะทรงหวาดกลัว จึงประคองไทเฮาเสด็จกลับไปยังพระตำหนักอันชิ่งเพื่อพักผ่อนทุกคนที่หมดสนุกแล้วจึงหยุดทุกอย่างและรีบพากันกลับจวนช่องว่างเล็ก ๆ ของหน้าต่างหน้าต่างสีแดงลายมังกรถูกปิดลงอย่างเงียบ ๆ อย่างไม่มีใครสังเกตเผย
ฉู่เนี่ยนซีมาอยู่ข้างกายฉู่กุ้ยเฟยร่วมกับหยางเหอ หลังจากจับชีพจรและตรวจดูให้แน่ใจว่านางไม่เป็นอะไรแล้ว ก็สั่งให้คนรับใช้นำเบาะขนห่านมาวางไว้ด้านหลังฉู่กุ้ยเฟยหยางเหอดูเหมือนจะมีอะไรจะพูด แต่นางก็ไม่กล้าพูด ทว่าเมื่อเห็นฉู่กุ้ยเฟยเอนตัวอยู่บนเก้าอี้ หัวใจของนางก็เต้นรัวและสุดท้ายนางก็ลุกขึ้นยืนทันใดนั้นสายตาของทุกคนก็จับจ้องไปที่หยางเหอ นางหายใจเข้าลึก ๆ พลางมองตรงไปที่องค์จักรพรรดิ“โปรดทรงอภัยในความอวดดีของหม่อมฉัน แต่หม่อมฉันไม่สามารถทนเห็นกุ้ยเฟยถูกกล่าวหาอย่างผิด ๆ เช่นนี้ได้ แม้จะเสี่ยงต่อการถูกบั่นหัว แต่หม่อมฉันก็ต้องพูดอะไรบางอย่างเพคะ”“เกิดอะไรขึ้น?”องค์จักรพรรดิทรงโน้มตัวไปข้างหน้าเล็กน้อยและหรี่ตามองไปยังหยางเหอที่กำลังคุกเข่าด้วยใบหน้าแห่งความยุติธรรม“สนมไป๋ที่เข้ามาใหม่ไม่มีความเคารพต่อกุ้ยเฟยเลย เมื่อใดก็ตามที่ได้พบกับกุ้ยเฟย นางมักจะใช้คำพูดที่แฝงเป็นนัยเสียดสีอยู่เสมอ ไม่ก็สาปแช่งให้กุ้ยเฟยรักษาพระโอรสไว้ไม่ได้หรือไม่ก็เสียดสีว่ากุ้ยเฟยไม่คู่ควรกับตำแหน่งสูง กุ้ยเฟยไม่ต้องการโต้เถียงกับสนมไป๋จึงลืมมันไปทุกครั้งเพคะ”“สาวใช้ต่ำช้า กล้าพูดจาว่าร้ายข้าอย่างนั้นห
เย่เฟยหลีอาศัยโอกาสนี้จับมือนาง รู้สึกดีกับการตรวจดูอย่างละเอียดของอีกฝ่ายพลางพูดเสียงอ่อน “ข้าไม่เป็นไร แค่เป็นแผลนิดหน่อย หมอหลวงจ่ายยาให้ข้าเรียบร้อยแล้ว”“เจ้ามาดูสิ นี่มันคืออะไร?”เย่เฟยหลีพาฉู่เนี่ยนซีไปยังจุดที่เพิ่งเกิดเพลิงไหม้ พื้นถูกไฟไหม้และมีรอยดำเต็มไปหมด เก้าอี้เอียงตะแคงโดยมีขาหักไปฉู่เนี่ยนซีนั่งยอง ๆ พลางใช้นิ้วชี้ขวาสัมผัสพื้น จากนั้นยกมาที่ปลายจมูกสูดดมเบาๆ ก่อนพูดด้วยความตกใจ “มันคือดินปืน แต่ไม่ใช่ดินปืนบริสุทธิ์ มันจึงไม่ทำให้เกิดการระเบิด แค่ติดไฟเร็วเท่านั้น”“ใช่ มีคนโปรยดินปืนประเภทนี้ไว้ตั้งแต่แรก แต่ท้องฟ้ามืดจนมองไม่เห็น คนจึงคิดว่ามันดูเหมือนฝุ่นกรวดทั่วไป”เย่เฟยหลีเหยียดแขนออกไปประคองให้ฉู่เนี่ยนซียืนขึ้นฉู่เนี่ยนซีขึ้นไปที่ลานถงฮวาอีกครั้งและมองไปที่เครื่องมือที่ฉู่กุ้ยเฟยใช้ในการจุดไฟ มันปนเปื้อนด้วยเศษสะเก็ดไฟบางส่วน แม้จะเผาไหม้ได้ แต่มันก็อยู่ได้ไม่นานและเปลวไฟก็ไม่ลุกลามมากเท่ากับดินปืนโดยทั่วไปนางยืนอยู่บนลานพลางมองไปที่เย่เฟยหลี ดวงตาของนางก็ค่อย ๆ ดูน่ากลัวมากขึ้น น้ำเสียงของนางก็เยือกเย็นลงตามลมหนาว“รู้หรือไม่ว่าใครมาที่นี่บ้างก่อ
เหล่าขันทีและนางกำนัลที่รีบรุดมาพร้อมกับอ่างน้ำเย็น นำมาราดลงบนเปลวไฟที่อยู่บริเวณรอบ ๆ องค์จักรพรรดิและเย่เฟยหลี ทำให้เกิดเสียงน้ำสาดกระเซ็นเย่เฟยหลีไม่รู้สึกถึงความรู้สึกแสบร้อนที่แผ่นหลัง เขาจึงประคององค์จักรพรรดิลุกขึ้นยืนไทเฮาถูกนางกำนัลอาวุโสซิวเหลียงประคองมา ทว่าพระนางยังไม่หายตกใจ องค์จักรพรรดิทอดพระเนตรเห็นคิ้วคมเข้มของเย่เฟยหลีที่ขมวดเล็กน้อยเพราะความเจ็บปวด จึงทอดพระเนตรมองไปยังแผ่นหลังของเขา พบว่าอาภรณ์สีดำของเขาถูกไฟไหม้เป็นวงกว้าง และร่างกายที่แข็งแกร่งของเขาถูกเปลวเพลิงเผาจนเป็นสีแดงเข้ม เลือดที่ไหลออกมาจากบาดแผลยิ่งเพิ่มความเจ็บปวดขึ้นไปอีก“ฝ่าบาท” ฉู่กุ้ยเฟยเอ่ยด้วยเสียงสั่นเครือ รีบคุกเข่าคำนับด้วยความตื่นตระหนกเย่เหลียนตะโกนทันที “ฉู่กุ้ยเฟย นี่ท่านคิดลอบปลงพระชนม์หรือ? ท่านจงใจล่อลวงทุกคนมาที่นี่เพื่อวางแผนลอบปลงพระชนม์เสด็จพ่อหรือ เอาคนมา จับฉู่กุ้ยเฟยไว้!”“ฝ่าบาท หม่อมฉันไม่ได้ทำ! หม่อมฉันไม่มีทางทำเช่นนั้นเด็ดขาด! ขอฝ่าบาทโปรดทรงพิจารณาด้วยเพคะ!”เมื่อเห็นเหล่าราชองครักษ์ในชุดเกราะเข้ามาใกล้ ฉู่กุ้ยเฟยก็ตะโกนทูลต่อองค์จักรพรรดิด้วยความตื่นกลัว“โอหัง!
ทุกคนเดินไปที่ลานถงฮวาและเห็นว่ามีโต๊ะและเก้าอี้ตั้งอยู่ด้านล่าง อีกทั้งยังมีน้ำชากับผลไม้ที่จัดอย่างประณีตวางไว้ด้วยบนเวทีมีเสาไม้ห้าต้นสูงประมาณหกศอก ติดตั้งล้อมรอบมุมทั้งสี่และด้านบนตรงกลาง เสาไม้ทั้งหมดนั้นถูกพันด้วยเชือกหากมองลงมาจากหลังคาตำหนักที่อยู่ใกล้ ๆ จะรู้สึกว่าเชือกนั้นเปรียบเสมือนใยแมงมุมขนาดใหญ่ที่ปกคลุมเสาไม้ไว้แม้องค์จักรพรรดิจะทรงสับสน แต่พระองค์ก็ไม่ได้ตรัสถามอะไรมากนัก เพียงแค่ทรงยิ้มมุมปากแล้วตรัสกับไทเฮา “ดูเหมือนว่าฉู่กุ้ยเฟยจะมีอะไรใหม่ ๆ มานำเสนอ เสด็จแม่ทรงนั่งลงก่อนเถิดพ่ะย่ะค่ะ”เหล่าขันทีและนางกำนัลมาช่วยบรรดาผู้เป็นนายหาที่นั่งเพื่อไม่ให้ทุกคนพากันสับสนวุ่นวายนางกำนัลผู้น้อยจัดให้เย่เฟยหลีและฉู่เนี่ยนซีนั่งด้วยกันที่ฝั่งหนึ่ง ทว่ายังไม่ทันจะได้นั่งลง ก็เห็นหลานชุ่ยที่อยู่ข้าง ๆ เย่หลิงเอ๋อร์เดินมาเชิญฉู่เนี่ยนซีไปพูดคุยหลานชุ่ยมาเชิญนางด้วยตนเอง คงจะไม่มีเรื่องหลอกลวง ฉู่เนี่ยนซีเหลือบมองเย่เฟยหลีอย่างสบายใจ หลังจากทำความเคารพองค์จักรพรรดิและไทเฮา นางก็ตามหลานชุ่ยไปทันใดนั้น ลานถงฮวาก็สว่างขึ้นมาก ทุกคนเงยหน้าเห็นเด็กผู้หญิงอายุราวเจ็ดแปดขวบห
“ไม่เป็นไร เช่นนั้นก็ให้นางอยู่ด้วยกันต่อไปเถอะ ช่วงนี้เราเข้ากันได้ดี นางอ่อนโยน มีน้ำใจและใฝ่เรียนใฝ่รู้ ข้าชอบนางมาก ดีที่มีนางอยู่ที่จวนแห่งนี้ ข้าจึงคลายความเบื่อลงไปได้บ้าง”สิ่งที่ฉู่เนี่ยนซีพูดนั้นเป็นความจริง ตอนแรกนางสงสัยในเจตนาของซุนจื่อซีที่ช่วยนางจากการตกน้ำ แต่ตอนที่นางตกจากรถม้า ซุนจื่อซีกลับไม่ห่วงตนเองและเอาตัวมารองรับนางไว้ ช่างเป็นสตรีที่จิตใจงามอย่างแท้จริงทันใดนั้น ท้องฟ้าก็สว่างไสวไปด้วยดอกไม้ไฟ ส่องแสงไปทั่วทุกสารทิศ ราวกับแสงสว่างของรุ่งอรุณส่องขึ้นมาจากความมืดมิดประกายแสงนั้นส่องสว่างราวกับหมู่ดาวที่โอบล้อมภูเขาและแม่น้ำอันกว้างใหญ่ที่กระแสน้ำเชี่ยวกราก รวมไปถึงป่าอันงดงามและที่ราบอันไร้ขอบเขต ทำให้ความขุ่นข้องในใจของคนสองคนจางลง และคนทั้งคู่ก็ยังได้มองดูความยิ่งใหญ่ที่พร่างพราวนี้ไปด้วยกันณ พระตำหนักเจาฮุย ซุนจื่อซีกำลังร่ายรำอย่างงดงามดุจนางสวรรค์ หลังจากการแสดงสิ้นสุดลง ผู้คนในโถงยังคงตกอยู่ในภวังค์องค์จักรพรรดิทรงปรบมือใหญ่แล้วหันไปหาไทเฮาพร้อมรอยยิ้ม “ทักษะการร่ายรำของจื่อซีดีขึ้นเรื่อย ๆ ดูเหมือนว่านางจะฝึกฝนอย่างหนักและลำบากไม่น้อย เป็นเสด็จแม่
ดวงจันทร์ในค่ำคืนนี้ถูกบดบังด้วยเมฆหนาทึบ จนแทบมองเห็นแสงสว่าง เช่นนี้เขาเห็นดวงจันทร์ที่สุกสกาวที่สุดที่ว่านั่นจากที่ใดกัน?“ท่านอ๋องชื่นชมดวงจันทร์ได้อย่างไรหรือ?”ฉู่เนี่ยนซีมองดูแสงสีเหลืองจาง ๆ ที่ขอบฟ้านั้น อย่างกับมันถูกขัดถูจนไร้ซึ่งความแวววาวเย่เฟยหลีทัดผมฉู่เนี่ยนซีไว้ข้างหลังใบหูของนาง พลางพูดด้วยเสียงอ่อนโยน “เพราะดวงจันทร์ที่สุกสกาวที่ว่านี้ไม่ใช่ดวงจันทร์ดวงนั้น”ฉู่เนี่ยนซีหันมาสบตาที่เป็นประกายของเย่เฟยหลี มือที่ค้างเติ่งในตอนแรกเลื่อนมาตรงแก้มของนาง เย่เฟยหลีรู้สึกได้ถึงความร้อนที่ส่งผ่านมายังฝ่ามือ เขาคลี่ยิ้มออกมาเพราะรู้ว่าฉู่เนี่ยนซีกำลังเขินอาย“ข้าได้ยินจากน้องเจ็ดว่าเจ้าคิดว่าซุนจื่อซีกับข้าเป็นคู่ที่เหมาะสมกันมากหรือ?”เย่เฟยหลีดึงนางเข้ามาในอ้อมแขน หางตาของเขาเห็นท่าทางหงุดหงิดของฉู่เนี่ยนซีพลางคิดว่าช่างน่าสนุกฉู่เนี่ยนซีแอบด่าทอเย่ฉงเฉิงในใจว่าเป็นคนที่ไม่น่าเชื่อถือ นางพูดความในใจออกไปเพียงนิดเดียวเขาก็นำไปบอกเจ้าตัวในพริบตาเสียอย่างนั้น“ก็คิดบ้าง เป็นบางครั้ง”ฉู่เนี่ยนซีกะพริบตาและพยายามอย่างมากเพื่อรักษาท่าทางสงบนิ่งอย่างเคย นางไม่สามารถปฏิเส
เย่เฟยหลีเหลือบมองอีกฝ่าย “เจ้าว่าเจ้ารู้จักข้าดีที่สุดไม่ใช่หรือ?”“แต่พี่สะใภ้สามไม่รู้จักท่านดีเท่าข้า หากมีเรื่องเข้าใจผิดกันก็ควรรีบแก้ไขเสียดีกว่า ไม่อย่างนั้นข้าก็ช่วยท่านไม่ได้”เมื่อได้ยินเสียงดนตรีดังมาจากพระตำหนักเจาฮุย เขาก็รู้ได้ทันทีว่างานเลี้ยงได้เริ่มขึ้นแล้ว เย่เฟยหลีจึงให้เย่ฉงเฉิง เรียกฉู่เนี่ยนซีมาที่นี่เพราะเขามีเรื่องจะพูดกับนางเย่ฉงเฉิงรับคำสั่งแล้วจากไป ทันทีที่เขาเข้าไปในห้องจัดงาน เขาก็เห็นซุนจื่อซีกำลังร่ายรำอยู่อย่างอ่อนช้อย นางอยู่ในชุดกระโปรงสีแดงราวกับดอกเหมยที่กำลังบานสะพรั่งอยู่ท่ามกลางหิมะขาว ส่งกลิ่นหอมฟุ้งเขาหันไปด้านข้างและกระซิบกับฉู่เนี่ยนซี “พี่สะใภ้สาม พี่สามกำลังรอท่านอยู่ไม่ไกลจากทางเหนือของ พระตำหนักเจาฮุย ท่านรีบไปเถิด”ฉู่เนี่ยนซีเหลือบมองเย่ฉงเฉิงอย่างสงสัยและบอกให้เสี่ยวเถารออยู่ที่นี่ หากใครถามหาก็บอกว่านางออกไปเดินรับลมข้างนอกให้สร่างเมาในห้องจัดงาน ซุนจื่อซีออกท่วงท่าราวกับต้นหลิวที่กำลังแผ่กิ่งก้านสาขาอย่างเพลินใจ ชายแขนเสื้อในมือของนางกระพือเบา ๆ แขนเรียวยาวใต้เสื้อคดเคี้ยวราวกับดอกบ๊วยแดงที่ล่องลอยในอากาศแต่ไม่ว่านางจะพย